พี่saiตั้งกระทู้นี้มาต้องตอนต้นปี53นะครับพี่^^ แต่ก็ใช้ได้เรื่อยๆครับไม่มีวันเก่า^^แม่แฝด3 เขียน:-ขอบคุณ คุณซาอิ มาตั้งกระทู้ในยามนี้
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
-
- Verified User
- โพสต์: 125
- ผู้ติดตาม: 0
Re: กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 92
ผมเข้าใจครับว่าถ้าเราสามารถทำผลตอบแทนได้อย่างที่ว่าต่อเนื่องกันทุกปี คนที่พอร์ต 100% ตลอดย่อมได้ผลตอบแทนดีกว่า ส่วนผมที่บอกไม่เคยถือ 100% แต่ส่วนใหญ่ก็จะ 90%+- แต่เหรียญมี 2 ด้านเสมอ ในบางปีพอร์ตเราอาจจะไม่ได้ + แต่เป็น - ซึ่งเป็นปีที่เราคาดไม่ถึง คนที่ถือ 100% ย่อมพลาดโอกาสที่จะได้ซื้อของถูก ซึ่งจะทำให้ปีต่อไปผลตอบแทนสู้คนที่ได้มีโอกาสซื้อของถูกไม่ได้ อาจจะมึข้อยกเว้นสำหรับบางคนที่มีการปรับพอร์ตไปถือตัวที่ถูกกว่าได้ถูกต้อง ช่วง subprime ผมก็ได้อาศัยเงิน 10% ที่ยังพอเหลืออยู่เข้าไปซื้อเฉลี่ยตัวที่ผมจะถือยาวๆ ทำให้ต้นทุนลดลงพอสมควร แล้วก็เห็นผลชัดเจนในปีต่อๆ มา เนื่องจากผมไม่ใช้ margin ก็ต้องกันเงินสดส่วนนี้ไว้ อันนี้เป็นความเห็น+ความชอบส่วนตัว+ประสบการณ์ที่พบมา ส่วนใครชอบแบบไหนก็เลือกเอาตามถนัดครับpicklife เขียน:ไม่เคยถือ100%เลยหรอครับพี่???janont เขียน:สำหรับผมแล้ว ผมยึดหลักความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ทำให้ผมไม่เคยถือหุ้น 100% อย่างน้อย ตัองมีเงินสดเผื่อไว้เสมอ กรณีเกิด panic sale ทำให้ได้เก็บหุ้นดีๆในราคาถูกๆ ที่จะถือยาว เพิ่มเข้าพอร์ตเสมอ ช่วงที่ผ่านมาก็ได้เก็บเข้าพอร์ตเพิ่มไปอีกพอสมควร โอกาสดีๆไม่ได้มีบ่อยๆครับ ถ้าเราไม่ได้เผื่อไว้ก็จะพลาดโอกาสไป
พี่ลองทำModel +20%ติดต่อกัน4ปี ปีที่5-50%(ปล.ปีที่-50%เป็นปีไหนก็ได้นะครับ1-5ปลายทางเหมือนกัน)
แล้วลองดูว่า Port 25% 50% 75% 100% 125% 150% 175% 200% ณ.ปีที่5พอร์ไหนโตสุด^^
สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
Re: กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 93
ลองทำตามModelที่ว่ายังครับพี่janont เขียน:ผมเข้าใจครับว่าถ้าเราสามารถทำผลตอบแทนได้อย่างที่ว่าต่อเนื่องกันทุกปี คนที่พอร์ต 100% ตลอดย่อมได้ผลตอบแทนดีกว่า ส่วนผมที่บอกไม่เคยถือ 100% แต่ส่วนใหญ่ก็จะ 90%+- แต่เหรียญมี 2 ด้านเสมอ ในบางปีพอร์ตเราอาจจะไม่ได้ + แต่เป็น - ซึ่งเป็นปีที่เราคาดไม่ถึง คนที่ถือ 100% ย่อมพลาดโอกาสที่จะได้ซื้อของถูก ซึ่งจะทำให้ปีต่อไปผลตอบแทนสู้คนที่ได้มีโอกาสซื้อของถูกไม่ได้ อาจจะมึข้อยกเว้นสำหรับบางคนที่มีการปรับพอร์ตไปถือตัวที่ถูกกว่าได้ถูกต้อง ช่วง subprime ผมก็ได้อาศัยเงิน 10% ที่ยังพอเหลืออยู่เข้าไปซื้อเฉลี่ยตัวที่ผมจะถือยาวๆ ทำให้ต้นทุนลดลงพอสมควร แล้วก็เห็นผลชัดเจนในปีต่อๆ มา เนื่องจากผมไม่ใช้ margin ก็ต้องกันเงินสดส่วนนี้ไว้ อันนี้เป็นความเห็น+ความชอบส่วนตัว+ประสบการณ์ที่พบมา ส่วนใครชอบแบบไหนก็เลือกเอาตามถนัดครับpicklife เขียน:ไม่เคยถือ100%เลยหรอครับพี่???janont เขียน:สำหรับผมแล้ว ผมยึดหลักความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ทำให้ผมไม่เคยถือหุ้น 100% อย่างน้อย ตัองมีเงินสดเผื่อไว้เสมอ กรณีเกิด panic sale ทำให้ได้เก็บหุ้นดีๆในราคาถูกๆ ที่จะถือยาว เพิ่มเข้าพอร์ตเสมอ ช่วงที่ผ่านมาก็ได้เก็บเข้าพอร์ตเพิ่มไปอีกพอสมควร โอกาสดีๆไม่ได้มีบ่อยๆครับ ถ้าเราไม่ได้เผื่อไว้ก็จะพลาดโอกาสไป
พี่ลองทำModel +20%ติดต่อกัน4ปี ปีที่5-50%(ปล.ปีที่-50%เป็นปีไหนก็ได้นะครับ1-5ปลายทางเหมือนกัน)
แล้วลองดูว่า Port 25% 50% 75% 100% 125% 150% 175% 200% ณ.ปีที่5พอร์ไหนโตสุด^^
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
-
- Verified User
- โพสต์: 6
- ผู้ติดตาม: 0
Re: กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 94
ขอบคุณพี่ซาอิมากครับ
ได้ทั้งกำลังใจและสติเลยครับ
อดทนรอดูผลประกอบการอย่างใจสั่นๆต่อไป ^_^
ได้ทั้งกำลังใจและสติเลยครับ
อดทนรอดูผลประกอบการอย่างใจสั่นๆต่อไป ^_^
- ส.สลึง
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3784
- ผู้ติดตาม: 77
Re: กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 97
ขอบคุณมากครับคุณมี่
มี Quote ของตัวเองแปะด้วย
อ่านเพลินเลย
...
ถ้าย้อนเวลากลับไปช่วงนั้น
ผมเป็นคนเบี้ยน้อยหอยน้อย
มนุษย์เงินเดือนธรรมดา
กินข้าวแกงโดดขึ้นรถเมล์
ภาษีสังคมบานเลย
แถมติดหญิง
เงินลงทุนช่วง 10 ปีแรก
ประมาณหลักแสนต้นๆ
เป็นเงินที่ทยอยๆ ลงครับ
เพราะผมไม่มีเงินก้อน
ถึงวันนี้ ผมก็ยังถือหุ้น 100%
ใช้แนวคิดของ ปีเตอร์ ลินช์
ให้ถือหุ้นสภาพคล่องสูงแทนเงินสด
เคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าเราแอบใช้มาร์จิ้น
พอร์ตน่าจะไปได้ไกลกว่านี้
แต่เอาเข้าจริงก็ไม่กล้าอยู่ดี
และอาจจะพลาดท่า
พอร์ตแตกไปก่อนวัยอันควร
ทุกวันนี้พอจะพูดไว้ว่า
ตัวเองยกระดับฐานะได้จากการลงทุนครับ
...
ด้วยผมอาจจะเป็นคนขี้กลัว
เลยพยายามหลีกเลี่ยงอะไรที่มันเบลอๆ ไม่ค่อยชัด
ซึ่งแน่นอนว่ามันช่วยให้ผมปลอดภัย
จากหายนะร้ายแรงได้
ในมุมกลับ
แนวคิดนี้ก็ทำให้ผมพลาดหุ้นหลายเด้ง
แบบที่ใครหลายคนทำได้กัน
ผมเคยสงสัยว่า
แล้วผมมาถึงจุดนี้ได้ยังไง
คำตอบคือ สูตรคูณแม่ 2
"สองหนึ่งสองสองสองสี่..."
ที่ครูเคยบังคับให้ท่องก่อนเลิกเรียนสมัยชั้นประถม
เพราะหุ้น 1 เด้งถ้าเราหาได้ 5 ครั้ง
ผลตอบแทนของมันคือ 64 เท่า
แม้ตอนเด็กๆ จะท่องไปไม่เคยถึง
และปัจจุบันอาจจะไม่ทำให้ใครหลายคนเปลี่ยนชีวิต
แต่น่าพอยกฐานะตัวเองและครอบครัวได้บ้าง
...
หุ้นหลายเด้งของคนอื่น
อาจจะเป็นหุ้นเด้งเดียวของผมก็ได้
ผมแค่ไม่พร้อมที่จะจ่ายมัน
และรับความเสียว
มี Quote ของตัวเองแปะด้วย
ขอบคุณคุณ Takerisks ผู้ขุดกระทู้ด้วยนะครับ
อ่านเพลินเลย
...
ถ้าย้อนเวลากลับไปช่วงนั้น
ผมเป็นคนเบี้ยน้อยหอยน้อย
มนุษย์เงินเดือนธรรมดา
กินข้าวแกงโดดขึ้นรถเมล์
ภาษีสังคมบานเลย
แถมติดหญิง
เงินลงทุนช่วง 10 ปีแรก
ประมาณหลักแสนต้นๆ
เป็นเงินที่ทยอยๆ ลงครับ
เพราะผมไม่มีเงินก้อน
ถึงวันนี้ ผมก็ยังถือหุ้น 100%
ใช้แนวคิดของ ปีเตอร์ ลินช์
ให้ถือหุ้นสภาพคล่องสูงแทนเงินสด
เคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าเราแอบใช้มาร์จิ้น
พอร์ตน่าจะไปได้ไกลกว่านี้
แต่เอาเข้าจริงก็ไม่กล้าอยู่ดี
และอาจจะพลาดท่า
พอร์ตแตกไปก่อนวัยอันควร
ทุกวันนี้พอจะพูดไว้ว่า
ตัวเองยกระดับฐานะได้จากการลงทุนครับ
...
ด้วยผมอาจจะเป็นคนขี้กลัว
เลยพยายามหลีกเลี่ยงอะไรที่มันเบลอๆ ไม่ค่อยชัด
ซึ่งแน่นอนว่ามันช่วยให้ผมปลอดภัย
จากหายนะร้ายแรงได้
ในมุมกลับ
แนวคิดนี้ก็ทำให้ผมพลาดหุ้นหลายเด้ง
แบบที่ใครหลายคนทำได้กัน
ผมเคยสงสัยว่า
แล้วผมมาถึงจุดนี้ได้ยังไง
คำตอบคือ สูตรคูณแม่ 2
"สองหนึ่งสองสองสองสี่..."
ที่ครูเคยบังคับให้ท่องก่อนเลิกเรียนสมัยชั้นประถม
เพราะหุ้น 1 เด้งถ้าเราหาได้ 5 ครั้ง
ผลตอบแทนของมันคือ 64 เท่า
แม้ตอนเด็กๆ จะท่องไปไม่เคยถึง
และปัจจุบันอาจจะไม่ทำให้ใครหลายคนเปลี่ยนชีวิต
แต่น่าพอยกฐานะตัวเองและครอบครัวได้บ้าง
...
หุ้นหลายเด้งของคนอื่น
อาจจะเป็นหุ้นเด้งเดียวของผมก็ได้
ผมแค่ไม่พร้อมที่จะจ่ายมัน
และรับความเสียว
"วิถีรักษ์โลก บ้าน 1 หลัง รถ 1 คัน สาว 1 คน กางเกงใน 1 ตัว" <( ̄︶ ̄)> ...