เงินบาทแข็งค่าเพราะเงินไหลเข้าลึกลับ?/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2050
ผู้ติดตาม: 465

เงินบาทแข็งค่าเพราะเงินไหลเข้าลึกลับ?/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ได้มีการกล่าวถึงการแข็งค่าของเงินบาท โดยโยงไปถึงความเป็นไปได้ว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการใช้ประเทศไทยเป็นแหล่งเพื่อฟอกเงินผ่านการนำเข้าเงินคริปโทแล้วแปลงออกมาเป็นการซื้อแล้วส่งออกทองคำ นอกจากนั้นก็ยังมีการโยงไปถึงตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนทางสถิติ (Net errors and omissions) ในข้อมูลบัญชีดุลชำระเงิน ซึ่งมีความผิดปกติเพราะสะท้อนว่า มีเงินไหลเข้ามาจากในประเทศที่ไม่รู้ว่าต้นตอว่ามาจากไหน

โดยไหลเข้ามาติดต่อกันอย่างต่อเนื่องประมาณ 23,450 ล้านดอลลาร์ในช่วง 7 ไตรมาสที่ผ่านมา แปลว่า มีเงินไหลเข้ามาโดยไม่รู้ต้นตอเฉลี่ยกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน จึงมีการตั้งคำถามว่า เงินนี้มีส่วนในการทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นใช่หรือไม่และเพียงใด

ต่อมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงว่า ได้มีการปรับตัวเลขดังกล่าว ซึ่งเป็นสิ่งที่ ธปท. ทำโดยปกติอยู่แล้วทุกปีในเดือนกันยายน และเมื่อปรับตัวเลขแล้ว ส่วนที่มีความคลาดเคลื่อนทางสถิตินั้นก็ลดลงไป 7,300 ล้านดอลลาร์ หรือลดลงไปกว่าครึ่งหนึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมา

1.กรมศุลกากร ปรับราคานำเข้าน้ำมันลงไปจากตัวเลขเดิม แปลว่าที่จริงแล้ว ใช้เงินซื้อน้ำมันลดลงประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์ เลยดูเหมือนกับว่ามีเงินไหลเข้ามามากกว่า เพราะเงินที่จ่ายออกไปลดลง

2.กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ทยอยรายงานเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิม 2,700 ล้านดอลลาร์

3.ผู้นำเข้าได้สินเชื่อการค้าเพิ่มขึ้น คือแทนที่จะต้องจ่ายเงินค่าสินค้าปี 2567 ก็คงจะยกไปจ่ายในปีถัดไปคิดเป็นมูลค่า 4,200 ล้านดอลลาร์

การปรับตัวเลขของ ธปท. นี้ เป็นการเอาข้อเท็จจริงจากหน่วยงานของรัฐมาอธิบาย นอกจากนั้น จะเห็นได้ว่า ความคลาดเคลื่อนทางสถิติที่กล่าวถึงนั้น แม้จะเป็นตัวเลขเดิมคือ 12,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 ก็ดูจะไม่ได้สูงมากนัก

เมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกและนำเข้าสินค้าในแต่ละปี ซึ่งมีปริมาณด้านละ 300,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงการนำเข้าและส่งออกบริการ ตลอดจนการไหลเข้าออกของเงินทุน ซึ่งมีมูลค่ารวมกันอีกนับแสนล้านดอลลาร์

จะเห็นได้ว่า การทำธุรกรรมกับต่างประเทศทั้งหมดซึ่งมูลค่ารวมกันมีปริมาณสูงพอๆ กับจีดีพีของไทยคือ 19 ล้านล้านบาทนั้น หากจะมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อน มูลค่าเป็นพันเป็นหมื่นล้านบาทก็ไม่สูงมากนักเมื่อคิดเป็นสัดส่วนของธุรกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นในแต่ละปี 

แต่ที่เป็นจุดสนใจ คือ หากตัวเลขความคลาดเคลื่อนทางสถิติดังกล่าว เกิดขึ้นขาเดียว คือมีการเงินไหลเข้าที่หาคำอธิบายไม่ได้อย่างต่อเนื่อง (อีกกรณีหนึ่งคือเงินไหลออกที่หาคำอธิบายอธิบายไม่ได้ ไม่เกิดขึ้นเลย) ก็ต้องตั้งข้อสงสัยว่า กำลังมีอะไรเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องหาคำอธิบายหรือสาเหตุให้ได้ 

ในความเข้าใจของผมนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องน่าจะเป็น ธปท. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และอาจรวมถึงสภาพัฒน์ด้วย สำหรับสภาพัฒน์นั้น ผู้ที่มีอำนาจสั่งการคือรัฐบาลและเลขาฯ สภาพัฒน์ ไม่ใช่ประธานสภาพัฒน์ครับ

ในความเห็นของผมนั้น การไหลเข้าของเงินดังกล่าวไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น และหากมีส่วนอยู่บ้างก็จะมีส่วนเพียงเล็กน้อยและชั่วคราวเท่านั้น ที่สำคัญคือ เงินบาทแข็งค่าขึ้นจริง ทำให้ผู้ส่งออกลำบากจริง และเกิดขึ้นมายาวนานนับ 10 ปีแล้ว เพราะปัจจัยพื้นฐานดังต่อไปนี้

1.ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เงินเฟ้อไทยเฉลี่ยเท่ากับ 1.1% ต่อปีในขณะที่เงินเฟ้อ สหรัฐเฉลี่ยที่ 2.85% ต่อปี เงินเฟ้อคือการเสื่อมค่าของเงิน ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์เสื่อมค่ามากกว่าเงินบาทเฉลี่ย 1.75% ต่อปี จึงไม่น่าแปลกใจว่า เงินบาทจึงจะแข็งค่าขึ้นประมาณ 15% เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ

2.ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาเกือบทุกปีติดต่อกัน เป็นมูลค่าประมาณ 2-4% ของจีดีพี  ซึ่งการเกินดุลดังกล่าวคือ การที่คนไทยมีรายได้เป็นเงินดอลลาร์ส่วนเกินที่ต้องนำกลับมาแลกเป็นเงินบาท

และแม้ว่าจะมีคนไทยพยายามนำเงินส่วนเกินดังกล่าวไปลงทุนในต่างประเทศบางส่วน แต่เงินบาทก็ยัง "ขาดแคลน” อย่างต่อเนื่องอยู่ดี

3.เวลาที่ ธปท. แทรกแซงไม่ให้เงินบาทแข็งค่านั้น จะทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อชะลอการแข็งค่าของเงิน เช่น พยายามไม่ให้แข็งเกิน 35 บาทหากไม่สำเร็จก็ถอยไปที่ 34 บาทและ 33 บาทเป็นต้น 

การกระทำเช่นนี้ ในระยะยาว นักเก็งกำไรจะได้กำไร และ ธปท. จะมีทุนสำรองเป็นดอลลาร์เพิ่มขึ้น แต่จะขาดทุน เพราะซื้อดอลลาร์ที่ราคาลดลงอย่างต่อเนื่องมาเก็บไว้เพิ่มขึ้น

ประเด็นสุดท้ายคือ เงินบาทไม่ได้แข็งค่าขึ้นเฉพาะกับเงินเหรียญสหรัฐ แต่แข็งค่าขึ้นกับเงินสกุลหลักทุกสกุล ตัวอย่างล่าสุดคือ เงินบาทอ่อนค่าที่สุดเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567 ที่ 37.18 บาทต่อดอลลาร์

เวลาผ่านมา 17 เดือน คือวันที่ 24 กันยายน 2568 เงินบาท แข็งค่า มาที่ ที่ 31.95 บาทต่อดอลลาร์ แปลว่า เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง 16.4% ในช่วงเวลาดังกล่าว

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ดัชนีอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับเงินสกุลหลัก (Nominal Effective Exchange Rate หรือ NEER) ปรับขึ้นจาก 116.8 ในเดือนเมษายน 2567 มา เป็น 129.17 ในเดือนสิงหาคม 2568 (ตัวเลขล่าสุด) แปลว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้น 10.6% เทียบกับเงินสกุลต่างๆ ของโลกครับ
โควท
โพสต์โพสต์