หน้า 1 จากทั้งหมด 1

Moneytalk@SET12/5/62หุ้นเด่น&ทิศทางตลาดหุ้น

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 12, 2019 8:10 pm
โดย i-salmon
Moneytalk@SET12/5/62

ช่วงที่ 1 “หุ้นเด่นหลังสงกรานต์(2)”
1. คุณ อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา JMART
2. คุณ ธิดา แก้วบุตตา SAWAD
3. คุณ จิระพงษ์ สันติภิรมย์กุล TKN
อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ และ นพ.ศุภศักดิ์ หล่อธนวณิชย์ ดำเนินรายการ

ภาพรวมธุรกิจ และมีการเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
JMART
ปีที่แล้วแก้ปัญหาเยอะมาก ปีนี้พร้อมที่จะให้ข้อมูลแล้ว
บริษัทเติบโตจากธุรกิจมือถือ และยังเป็นธุรกิจหลักอยู่
โครงสร้างกลุ่มมีหลายบริษัท
- JMT ติดตามหนี้สิน คาดว่าปีนี้กำไรเติบโต 50%
เพราะธุรกิจมีการซื้อหนี้และได้ตัดต้นทุนหมดแล้ว จึงส่งผลกำไรเยอะขึ้นทุกไตรมาส
- JAS ธุรกิจพื้นที่เช่า จะกลับมามีกำไรในปีนี้ ด้วยคอนโดที่สร้างและรับรู้รายได้
- SINGER เพิ่งผ่านการเพิ่มทุน และประกาศงบไตรมาส 1 มีกำไร 40 ล้านบาท
ซึ่งปรับเปลี่ยนหลายเรื่องกว่าจะกลับมาแข็งแรง
- J Fintech ดูเหมือนทันสมัย แต่วันนี้เรายังเป็นอนาล็อค
โดยนิยาม Fintech ต้องการเข้าถึงผู้ใช้บริการหลักแสนหลักล้านคนในเวลาอันสั้น ในต้นทุนต่ำ
ซึ่งปีที่แล้วเจอภาวะขาดทุนจากการตั้งสำรอง เพื่อรองรับระเบียบบัญชีใหม่ IFRS9
ตอนนี้ไตรมาสแรกกลับมาบวกแล้ว
- JVC เป็นบริษัททำเกี่ยวกับเทคโนโลยี แพลตฟอร์ม
ตั้งใจจะ transform บริษัททั้งหมดในกลุ่มให้มีเทคโนโลยี เชื่อว่าจากนี้ไปการเข้าถึงลูกค้าในต้นทุนต่ำจะเป็นผู้ชนะ
ช่วงต้นปี 2018 มีการออก ICO ปัจจุบันเป็น ICO เดียวที่ผ่านกลต./ธนาคารแห่งประเทศไทย ทำอยู่ในกรอบข้อบังคับ
ซึ่งหลังจากช่วงที่เราออก ICO มีออก พรก.อีก 4 ฉบับเพื่อรองรับ ICO ที่จะเกิดขึ้นในไทย
โดยมี exchange(ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล) ที่ กลต.อนุมัติแล้ว 3 ราย เช่น บิทคัพ,สตางค์โปร,BX
ซึ่งแปลว่า jfincoin สามารถเทรดได้อย่างถูกต้อง

ขยายความ JMT เรื่องการซื้อหนี้ที่ตัดต้นทุนเกือบหมดแล้ว
บริษัทใช้เงินเกือบ 1 หมื่นล้าน ซื้อหนี้ 1.5 แสนล้าน เก็บ 13 ปี ได้ 10% ของมูลค่าหนี้
ซึ่งที่เก็บมาได้เกือบคืนทุนแล้ว ปีนี้จะทำสถิติเก็บหนี้สูงสุด จะเก็บเงินสด 3.2 พันล้านบาท
หนี้ก้อนแรกที่ซื้อ 39 ล้าน ซื้อ 1 พันล้านบาท ณ วันนี้เก็บได้ 187 ล้านบาท
และเพิ่งเก็บไป 25%
ถ้าไปดูปีนี้มีหนี้ที่ตัดต้นทุนหมดในไตรมาส 3,4 อีกเยอะมาก
เมื่อก่อนเก็บ 100 ตัดต้นทุน 30-40% อย่างเช่น สแตนดาร์ดชาร์ตเตอร์ 6.5 พันล้านบาท

JFintech
ทำธุรกิจพรีโลน แฟคตอริ่ง และกลุ่มสินเชื่ออื่น ตามใบอนุญาตแบงค์ชาติ
มีพี่น้องคือ JVC ที่ออก ICO เพื่อทำ digital lending platform โดยใช้ blockchain
มีการใช้ AI/Data analytics ซึ่งได้พัฒนาระบบแล้วปีกว่าจะเริ่มเดือน ก.ค.
ยกตัวอย่าง ที่เพิ่งเซ็นสัญญากับฮิวเมนิก้า มีพนักงานหลายแสนคนที่อยู่ในระบบ payroll
ซึ่ง jfintech จะให้ load กับพนักงานที่ต้องการกู้ผ่าน application (ทำ P2P ร่วมกับ deepsparks)
พนักงาน 1 คน เงินเดือน 3 หมื่นบาท ทำงาน 10 วัน มีวงเงิน 1 หมื่นบาท กดถอน
ระบบจะส่งเงินมาให้ทันที 9 พันกว่าบาท หักค่า fee ให้บริษัท
แล้ว jfintech จะได้รับเงินตอนสิ้นเดือนที่พนักงานรับเงินเดือน 3 หมื่นก็หัก 9 พันกว่าบาท
นอกจาก business model ที่เข้าทุนคนจำนวนมากด้วยทุนต่ำ และ NPL = 0
เพราะ ฮิวเมนิก้าเป็นคนหัก payroll และส่งให้ jfintech
นอกจากนี้ JVC มีการทำ DDLP(Decentralized Digital Lending Platform) ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย
เพราะเรามีความพร้อมสุดในการทำ P2P ทั้งเริ่มทำ platform มาปีกว่า
และมี service ครบ loop ตั้งแต่กระบวนการเริ่มให้เก็บเงิน,ติดตามฟ้องบังคับคดีไปจนถึงซื้อหนี้


SAWAD
ปี 2017 มีการปรับโครงสร้าง ศรีสวัสดิ์ 1979 ควบรวมกิจการกับกรุงเทพธนาธร(BFIT)
ซึ่งถือไลเซนส์เงินทุนถือเป็นสถาบันการเงิน
โดยยังมุ่งเน้นการให้สินเชื่อมีหลักประกันสู่ลูกค้าทั่วประเทศ ทำผ่านบริษัทลูกที่ถือไลเซนส์ต่างกัน
จึงให้บริการโดย ถูกควบคุมผ่านข้อจำกัดธนาคารแห่งประเทศไทย

กลุ่มลูกค้าเป็นผู้ที่มีทรัพย์สิน ต้องการเงินด่วน รับเงินได้ภายใน 30 นาที
บริษัททำหน้าที่จัดการบริหารความเสี่ยง โดยให้สินเชื่อผ่านสาขาของกลุ่มเกือบ 3 พันแห่ง
นอกจากนี้ยังมีบริษัทเงินสดทันใจ เป็นใบอนุญาตนาโนไฟแนนซ์
เป็นการให้ยืมเงินโดยไม่มีหลักประกัน

พอร์ตของบริษัทเป็นสินเชื่อมีหลักประกันเป็นหลัก
มุ่งเน้น รถกระบะ สิบล้อ หกล้อ รองลงมา เป็นที่ดิน

การปล่อยสินเชื่อก็กำหนดมูลค่าหลักประกัน และมุ่งเน้นให้คนในท้องถิ่น
มีบ้านมีหลักแหล่งทำมาหากิน ซึ่งไม่ได้ยืมเงินไปเพื่อความฟุ่มเฟือย แต่นำไปทำมาหากิน
หรือมีความจำเป็นฉุกเฉินบ้าง เช่น ช่วงเปิดเทอม
เมื่อได้เงินไปหมุนเวียนธุรกิจ มีกระแสเงินสด ซึ่งลูกค้ารักหลักประกัน
เมื่อเงินได้มาก็จะนำมาใช้คืน
นโยบายบริษัทไม่ได้มุ้งเน้นจะยึดหลักประกัน มักเจรจา
หรือช่วยเหลือเก็บไว้ให้ลูกค้าไว้ตามที่ตกลงกัน เป็นเหมือนเพื่อนกัน

ประกาศข้อจำกัดธุรกิจรับจำนำทะเบียนรถ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
เป็นส่วนเพิ่มเติมจากไลเซนส์พรีโลน ซึ่งมีการใช้อยู่แล้ว
ซึ่งผู้ที่ทำธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนมากกว่า 50 ล้านบาท
ต้องขอไลเซนส์ โดยมีข้อจำกัดการคิดดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียม ไม่เกิน 28%
การชี้แจงสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องให้ลูกค้ารับทราบเป็นสำคัญ
ผลบังคับใช้น่าจะ 6 เดือนหลังจากประกาศ
โดยกลุ่ม SAWAD ให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถผ่าน BFIT อยู่ใต้การควบคุมแล้ว
มีบางผลิตภัณฑ์ที่บริษัทไปขอไลเซนส์เพิ่มเติม

ตลาดธุรกิจจำนำทะเบียนรถ ไม่ได้เป็นการกู้เงินอย่างเป็นธนาคารซึ่งมีข้อจำกัดบางประการ
เช่น Statement หรือ slip เงินเดือน
ในการดูมูลค่าทรัพย์สิน เป็นหลัก ทำให้คนที่ไม่ได้มีกระแสเงินสดให้พิจารณาสามารถใช้บริการได้
รถในประเทศไทยรวมทุกประเภท 37 ล้านคัน มีบัญชีที่ active 1 ล้านบัญชี
ซึ่งวันใดที่ต้องการใช้เงินด่วนก็อาจเป็นลูกค้าของบริษัทได้ บริษัทจึงจะค่อยๆเติบโต
ปัจจุบันดูสมุดคู่มือทะเบียนรถ โดยให้เงินกู้ยืมกับเจ้าของ

TKN
บริษัทต้องการเป็นบริษัท Food innovative จากเดิมที่ Global food company
จะขยายมากกว่าการเป็น snack
และขยายเป้าหมายรายได้จาก 1 หมื่นล้านบาท เป็น 1 พันล้านเหรียญในอีก 10 ปีข้างหน้า
บริษัทเป็นรายแรกที่ทำ snack ที่เป็นสาหร่าย และยังใช้กระบวนการทอดกับย่างรายแรกในไทย

การเป็น Food innovative ตอนนี้กำลังเริ่มพัฒนา
เป็นการทำสินค้าใหม่ใน business model เดิมหรือทำสินค้าปัจจุบันกับ business model ใหม่ เช่น

เวย์โปรตีน ใช้งบการตลาดพอสมคร มีเริ่มจากขายออนไลน์ แล้วกระจายกลับไปที่ modern trade

ข้าวแกงกะหรี่ ฮิโนยะ ซื้อแฟรนไชส์จากญี่ปุ่น ดำเนินการใต้ เถ้าแก่น้อยเรสเตอรองแอนด์แฟรนไชส์
มาจากตอนที่คุณต๊อบไปเที่ยวญี่ปุ่น และมีเพื่อนที่ไม่ชอบข้าวแกงกะหรี่แนะนำร้านให้ทาน
จึงสนใจตลาด QSR ตอนนี้มี 1 สาขาที่บิ๊กซี ราชดำริ
จากที่คาดจะขายได้ 300-400 จานต่อวัน แต่ขายได้จริง 600-700 จาน
กำลังจะเปิดเพิ่มที่ Cosmo เมืองทองธานีอีกสาขา ถ้าตอบรับดีก็จะเปิดสาขาเพิ่มอีก

เถ้าแก่น้อยแลนด์พลัส เป็นการต่อยอดจากเดิมที่นักท่องเที่ยวเข้ามาซื้อสาหร่าย
ก็สามารถซื้อเซียงพิวอิ๊ว แชมพู ได้

สัดส่วนรายได้หลักมาจากการขายสาหร่าย
เป็นประเภทย่าง 45% ทอด 43% รองลงมาเป็นอบ และ เทมปุระ

ประเทศไทยตลาดขนมขบเคี้ยว 3.7 หมื่นล้านบาท
จัดลำดับตามมูลค่า สูงสุดคือมันฝรั่ง(เลย์),extrude(ชีโตส,คอนเน่),ถั่ว
และค่อยเป็นสาหร่าย คิดเป็นมูลค่าตลาด 3 พันกว่าล้านบาท
TKN มี market share ราว 69%
คู่แข่งเบอร์ 2 มีแชร์ 16-19% การแข่งขันเหนื่อย
ต้องแย่งแชร์จากคู่แข่งสาหร่ายและ snack อื่น

ตลาดจีนมีการตกต่ำ เนื่องจากผู้แทนจำหน่ายที่มีปัญหา และยังไม่สามารถฟื้นยอดขายได้
มี ผู้กระจายสินค้าทั้งหมด 3 ราย
โดยยกเลิกสัญญาไป 1 รายที่เซี่ยงไห้ ซึ่งได้เจ้าใหม่มาแทนแล้ว
มีที่ปักกิ่งได้เพิ่ม 1 ราย และมีรายเดิมที่กวางโจว 1 ราย
มีความเชื่อมั่นว่ามีความต้องการในจีนอีกมาก
จากข้อมูล Crispy snack food มีมูลค่า 3 หมื่นล้านหยวน
ถ้ามีสาหร่าย 5-10% ก็ยังมีโอกาสอีกเยอะ

ภาพข้างหน้าจะไม่ได้โฟกัสแค่จีน โดยมีตลาดที่สนใจอีกแห่งคือ USA

ต้นทุนสาหร่าย
โนริสาหร่าย ปลูกได้ 3 ประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ขึ้นกับภูมิประเทศ และอุณภูมิน้ำ
โดยช่วงปี 2016 ที่มี global warming เกิดผลกระทบกับผลผลิตลดลง ทำให้ราคาเพิ่ม
หลังจากนั้นปี 2017 ทางจีนมีทดลองปลูกใช้สปอร์ เป็นพันธ์ใหม่เพื่อเพิ่มผลผลิตและล้มเหลว
ทำให้ supply ตกลง ทำให้เกิดการแย่ง supply ที่เกาหลีจึงทำให้ราคายิ่งเพิ่มอีก
ในปี 2018 เริ่มกลับมาลดลง 10% และในปี 2019 ก็ต้นทุนลดลงอีก
ซึ่งตุลาคมที่ผ่านมาเกาหลีหนาวมาเร็วทำให้ผลิตผลสาหร่ายออกมามาก

การติดต่อซื้อขายกับ supplier เราติดต่อกับโรงงานเป็น 1st tier factory
เขาจะมี contract farm ที่เชคราคาสาหร่ายน้ำ และมาคุยตกลงราคากับบริษัท
โดยทำสัญญาเม.ย.ชนมี.ค. จะมีช่วงเหลื่อมราคา 1 ไตรมาส
หลังมีผลกระทบราคาเกิดขึ้นทุกคนในอุตสาหกรรมกระทบเหมือนกัน
ที่กังวลเป็นเรื่องปริมาณด้วย จึงซื้อมาเก็บ stock เพิ่ม สามารถใช้ได้ถึง ก.ค. 2020
ซึ่งราคาเทียบกับปี 2016 จะถูกลง 15-20%

โรงงานใหม่ที่โรจนะ มีกำลังผลิต 6 พันตัน สามารถทำรายได้ 4.0-4.5 พันล้านบาท
เป้าหมายต้องการทำเป็นโรงงานอัตโนมัติ 100%
โดยสินค้าทอดทำได้แล้ว แต่สินค้าย่างยังมีปัญหาเช่น Bigroll ต้องใช้คนม้วนอยู่
Utilization โรงงานใหม่ 50-60% เนื่องจาก demand ในต่างประเทศลดลง

ผลดำเนินงานและทิศทาง
JMART
ปีที่แล้ว ธุรกิจมือถือเจอปัญหา 2-3 เรื่อง
1.มี stock มากไป สูงถึง 2 พันล้านบาท ปัจจุบันลดลงเหลือ 1 พันล้านบาท
2.สินค้า iphone ที่มีความนิยมลดลง ปีที่แล้วจึงต้องสำรองส่วนนี้ค่อนข้างมาก
3.ธุรกิจกล้องหลังจากทดลอง 2-3 ปีเชื่อว่าเราไม่น่าถนัด
ซึ่งได้แก้ปัญหาข้างต้นแล้ว
บริษัทได้ไปร่วมมือกับ AIS เช่นขายมือถือ ลดค่าเครื่อง
หรือบริการอื่นใน AIS Center เอามาเปิดบริการขายกับ jmart ทำให้ธุรกิจมือถือกลับมากำไร

ธุรกิจติดตามหนี้สิน
ปีนี้เชื่อว่าจะมีหนี้ออกมาเยอะ เนื่องจาก IFRS และแบงค์ไม่อยากเก็บหนี้ไว้

JAS asset ปีที่แล้วขาดทุน น่าจะกลับมากำไรปีนี้

SINGER ต้องคอยติดตาม ว่าเราพยายามเปลี่ยน model ธุรกิจจาก analog เป็น digital มากขึ้น
ลดค่าใช้จ่าย มีธุรกิจเพิ่มเติม เช่น จำนำทะเบียนรถมี พอร์ต 1.2 พันล้านบาท
และเพิ่มทุนเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
จุดแข็งคือช่องทางจัดจำหน่าย น่าจะเป็น contact point ได้

JFintech มีกำไรแล้ว และน่าจะทำกำไรเพิ่มขึ้น

Jmart ไม่ใช่แค่บริษัทมือถือ
ในอดีตธุรกิจมือถือ ส่งผลกำไร 75% ทุกวันนี้เหลือ 20-25%
ซึ่งมาจาก ecosystem ที่บริษัทพยายามสร้าง
JMT เข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทประกัน เชื่อว่าเป็น 1 ในตัวที่สร้างรายได้ ถ้าใช้ประกันในกลุ่ม

SAWAD
ปี 2018 บริษัทอยู่ระหว่างปรับปรุงเรื่องต่างๆ เช่น วิธีการทำบัญชี,วิธีรับรู้รายได้
ซึ่งครึ่งปีหลังมุ่งเน้นขยายพอร์ตสินเชื่อ กลุ่มลูกค้าเดิม สินเชื่อทะเบียนรถ/ที่ดิน
ปี 2019 คาดว่าพอร์ตสินเชื่อโต 20-30% รายได้ และกำไรก็น่าจะโตทิศทางเดียวกัน
การแข่งขันธุรกิจจำนวนทะเบียนรถสูง แต่ผู้บริหารก็มีความชำนาญ
และกฏระเบียบที่ชัดเจนขึ้นก็ดึงดูดให้มีคู่แข่งใหม่เข้ามาทำ แต่ก็มีรายเก่าไม่อยากทำแล้ว

IFRS9 มีเรื่องตั้งสำรองหนี้สูญ
บริษัทที่มีทรัพย์สินการเงินต้องบังคับใช้ ทางกลุ่มบริษัทมีสินทรัพย์หลักคือพอร์ตลูกหนี้
ตั้งสำรองหนี้สูญ โดยว่าจ้างที่ปรึกษากลุ่มบริษัทใน Big4
ไม่ได้คาดว่าจะมีผลเสียหายใหญ่ เนื่องจากเป็นสินเชื่อมีหลักประกัน 90%
อย่างเช่น เกณฑ์มีค่า Loss given default ตัวเลขในการขายสินทรัพย์ที่ยึดไม่ได้มีผลขาดทุนเกิดขึ้น
จึงมีค่านี้ค่อนข้างต่ำ ไม่น่าจะกระทบกับบริษัท

บริษัทเชื่อว่าช่วงการเติบโต 20-30% มีความระมัดระวังระดับหนึ่ง
ไม่น่ามีเหตุการณ์ที่ทำให้กระทบ เพราะในอดีตก็สามารถทำได้ต่อเนื่อง

ภาษีคาร์บอนไดออกไซด์คาดว่าไม่มีผลกระทบ เพราะรถที่มาจำนำส่วนใหญ่เป็นรถญี่ปุ่น
รวมถึงบริษัทสามารถจัดการ loan to value ได้

TKN
ปี 2018 ยอดขายโต แต่กำไรไม่ค่อยเป็นที่พอใจนักลงทุนเท่าไร
มีค่าใช้จ่าย 1 time จากการยกเลิกผู้แทนจำหน่ายในจีน
มีการแต่งตั้งทนายในจีน และในไทย ค่าใช้จ่ายด้านต่างๆเหล่านี้คงเป็นการรอตัดบัญชี

IFRS มีการย้ายค่าใช้จ่ายการขายบางส่วนไปชดเชยกับยอดขาย
จากเดิมที่ออก invoice ไป auditor ตรวจมีค่าใช้จ่ายบางอย่างนำไปรวม
อาจทำให้งงเล็กน้อย ว่าทำไม ไตรมาส 1 ที่ออกมากำไรขั้นต้นต่ำ

ทีมบริหารจะมีการปรับเป้าในครึ่งปีหลัง โดยลดเป้าหมายจากเดิมที่ตั้งไว้ 12-14% ลง
โดยเน้นว่าอัตราทำกำไรต้องดีกว่าปี 2017
ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาค่าใช้จ่ายการขายและการตลาดสูงขึ้น
ตัวแทนจำหน่ายใหม่ที่จีนหลังไตรมาส 2 ขึ้นไปน่าจะฟื้นกลับมาได้
มีการจด flagship store ในช่องทางออนไลน์ อย่างเช่นใน taobao
นอกจากนี้ตลาดที่อเมริกา มีการซื้อโรงงานเล็กๆในปลายปี 2017
เริ่มมีการ set team เพื่อไปเพิ่มยอดขายจากเดิมที่
1.6-2 ล้านเหรียญ ตั้งเป้าเป็น 5 ล้านเหรียญต่อปี
ซึ่งช่องทางที่อยากเข้าไปคือ Cosco, Sam’s club, Walmart
ซึ่งก็ไม่ได้ง่าย ต้องมีการตรวจโรงงาน
โดยกลุ่มที่เราเข้าไปแล้ว เช่น ฮาเบอร์สันที่มี 100-200 store ใน LA/CANADA
,Famlity food group ในฮาวาย

ความเสี่ยง
หน้าบ้าน ตลาดมีศักยภาพเติบโตอยู่ และมีการกระจายไปธุรกิจใหม
หลังบ้าน ธุรกิจสาหร่ายยังเป็น labor intensive
เรายังไม่สามารถทำให้เป็น automation ทั้งหมดได้ ซึ่งก็เป็นโอกาสให้ปรับปรุง



ช่วงที่ 2 “ทิศทางหุ้นไทยภายใต้รัฐบาลใหม่”
1. คุณไพบูลย์ นลินทรางกูล/ประธานธุรกิจตลาดทุน
2. คุณมนตรี ศรไพศาส/ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MBKET
3. คุณปริญญ์ พานิชภักดิ์/กรรมการตลาดหลักทรัพย์
4. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร / ปรมาจารย์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ

ภาพรวมเศรษฐกิจ
คุณไพบูลย์
ปีนี้เป็นปีที่ดีสำหรับตลาดหุ้น เศรษฐกิจโลกไม่ดีเท่าไร
IMF ปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจโลกในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาลง 3 ครั้ง
จาก 3.9%>3.5%>3.3%
ถ้ามองตลาดหุ้น 4-5 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ดี
เพราะก่อนหน้าที่ทรัมป์จะทวิตเตอร์ตลาดอเมริกาขึ้น 15% จีนขึ้น 20%
มีแค่ 4 ตลาดที่ปรับลดลง
เนื่องจากสภาพคล่องไม่สูง QE ที่ทยอยเอาออกตั้งแต่ปีที่แล้ว
และปีนี้จะหยุดเอาออกเดือน ก.ย. เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดีอย่างที่คาด
ดังนั้นเงินที่มีก็ต้องเอาไปลงทุนต่อ

ถ้ามองเทียบกับปลายปีก่อนที่ FED ส่งสัญญาณว่าจะเอาเงินออกเดือนละ 5 หมื่นล้านเหรียญ
อีกประเด็น อัตราดอกเบี้ยที่ทุกคนมองว่าเข้าสู่ขาขึ้น และขึ้นเยอะด้วย
แต่ FED เปลี่ยนมุมมองหยุดขึ้นดอกเบี้ย ไปถึงจุดสูงสุดเร็วมาก
ไม่เคยมีรอบไหนในการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ที่จบที่ 2.5%
ปกติจะขึ้นไป 5-10% เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ
เราจึงกลับมาอยู่ในสถานการณ์ดอกเบี้ยต่ำ สภาพคล่องสูง
จึงเชื่อว่าในอีก1-2 ปีนี้จะเป็นขาขึ้น และโอกาสเกิดวิกฤติน้อยมาก

เรื่องที่กระทบเศรษฐกิจโลกสุดคือ Trade war
จากที่คุณทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้า 25% รายครึ่งหนึ่งของรายการสินค้า
และให้เวลาจีน 1 เดือนในการเจรจาด้วยการขึ้นภาษีสินค้าทุกรายการ
ส่วนตัวมองว่าสงครามการค้าน่าจะจบลงด้วยดี
ทั้ง 2 ฝ่ายคิดว่าตัวเองมีไพ่เหนือกว่า
อเมริกาขึ้นภาษีไป จีนก็ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ
การส่งออกจีนไปอเมริกาลดลงอย่างมาก

ขณะจีนมองว่าอเมริกาต้องเลือกตั้งในปีหน้า แต่จีนไม่ต้อง
หากขึ้นภาษีเต็มที่คนที่เจ็บหนักก็คืออเมริกาด้วย เพราะ 80% เศรษฐกิจมาจากบริโภค
ถ้าสินค้าทุกอย่างราคาขึ้นหมด เงินเฟ้อมากำลังซื้อหด เศรษฐกิจอเมริกาก็แย่ได้
จะกระทบการเลือกตั้งปีหน้า

ผลกระทบการส่งออกที่ลดลงก็มีผลกระทบกับประเทศอื่น
เช่น สินค้าอิเลคทรอนิกส์ จีนลดลง 20% ไต้หวัน,เกาหลี เพิ่ม 30%,15%

สิ่งที่อเมริกาต้องการไม่ได้เกี่ยวกับการค้าอย่างเดียว เช่น ให้จีนปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ
จึงต้องมีข้อสรุปเบื้องต้นไม่ให้ผลกระทบลากยาวเกินไป

สำหรับไทย เครื่องยนต์เศรษฐกิจที่แย่สุดคือ ส่งออก ติดลบ
ส่วนท่องเที่ยว ไม่โต เหลือการบริโภค และลงทุนในประเทศที่ต้องเอามาช่วย
ซึ่งวันนี้ก็ยังไม่เห็นรัฐบาลออกมา รวมถึงถ้าตั้งรัฐบาลได้ก็เสียงเกินครึ่งไม่มาก
เสถียรภาพอาจไม่มี รองนายกฯและกระทรวงต่างๆก็มาจากหลายพรรค เป็นไซโลของตัวเอง
อาจคล้ายกับมาเลเซีย ที่มีพรรคร่วมเยอะ และบริหารได้ยาก
ข้อดีคือตลาดก็อาจสะท้อนไปแล้ว ถ้าเข้ามาแล้วทำได้ดีกว่านี้ก็อาจเป็นผลบวก


คุณปริญญ์
ที่ผ่านมาทรัมป์พยายามแทรกแซง FED ทั้งการโจมตีต่อหน้าหรือข้างหลัง
อย่างที่มีการส่งสัญญาณให้ตัดลดดอกเบี้ย
ประธาน FED(โพเวลล์) ปัจจุบันเริ่มแสดงท่าทีที่ไม่อยู่ในการสั่งการของประธาธิบดีสหรัฐฯ
โดยการแถลงข่าวทุกเดือนในการประชุมตัดสินใจ หรือมีพูดให้ทิศทาง ผิดๆถูกๆ
ซึ่งเห็นด้วยว่าอเมริกามีความเปราะบางในการฟื้นตัว และเศรษฐกิจโลกก็มีประเด็นการค้าโลก
รวมถึงที่ทรัมป์ต้องทำงานร่วมกับจีนในการสร้างสันติภาพที่เกาหลี
และรู้ว่าผลกระทบที่ผ่านมาว่าสินค้าจีนนำเข้าจากอเมริกาตกลงเยอะมาก
เทียบกับอเมริกานำเข้าจีนลดลง อีกทั้งจีนก็มีกลไกทางรัฐบาลที่นำมาใช้ได้
สิ่งที่กลัวไม่ใช่แค่อเมริกากับจีน แต่เป็นกลไกของ WTO ที่เรียกว่าระบบอนุญาโตตุลาการ
ที่ทำหน้าที่เป็นองค์กรระงับข้อพิพาท ทำให้กลไกการค้าโลกมีระเบียบ
เช่น ฟ้องว่ามีการทำผิดในการอุดหนุนการค้า
แต่อเมริกากำลังทำให้กลไกนี้หายไปโดยการใช้อำนาจในการยับยั้ง WTO
หรือจ่ายเงินให้ทนาย/ผู้พิพากษาเก่งๆ
ปกติเวลาประเทศเล็กๆมาฟ้องร้องก็มักชนะอเมริกาอย่างล่าสุดที่
นิวซีแลนด์ฟ้องชนะเรื่องการอุดหนุนสินค้าเกษตร
ดังนั้นถ้าปรับโครงสร้างเรื่องนี้จะ ทำให้การค้าโลกจะมีปัญหา
มีการเติบโตแบบเหลื่อมล้ำมากขึ้น อย่างข้อตกลงกับประเทศเล็กๆ
เช่น TPP, CPTPP, Pacific partnership ก็จะส่งผลกับประเทศไทยด้วย
และน่ากังวลว่าจะหดตัวกับการส่งออก
โดยปัจจัยในประเทศไทย มองว่าการเมืองในไทยก็มีความเป็นไซโลหรือเป็นกลุ่มอยู่แล้ว
การจัดตั้งรัฐบาลปริ่มน้ำ ก็คงไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นแกว่างนัก
ก็ต้องหาหุ้นที่ได้รับอาณิสงค์ในประเทศ
นโยบาลรัฐบาลที่จะทำอาจไม่ต่างจากเดิมนัก เช่น EEC,รถไฟความเร็วสูง, มอเตอร์เวย์
โดยรัฐมนตรีที่เข้ามาอาจมีคนเปลี่ยนหน้ามาบ้างในหลายกระทรวง
ซึ่งเป็นช่วงที่ไฟลนก้น ต้องรีบเร่งอนุมัติ และทำให้บางโปรเจคเร็วขึ้นกว่าที่คาดไว้ได้
พรบ.จัดซื้อจัดจ้างตั้งแต่ ส.ค. 2560 ไปอุดไม่ให้หลายโครงการไหลออกมา
ซึ่งหลังมิ.ย. ที่จัดตั้งรัฐบาลได้เชื่อว่าจะมีโครงการใหม่ออกมาเยอะขึ้น เร็วขึ้น
ต่างชาติก็มีบางโครงการที่รอเซ็นกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เช่น กลุ่ม Alibaba

เม็ดเงินลงทุนตลาดทุนต้องดูปัจจัยภายนอกประเทศ
สิ่งที่ทรัมป์ต่อรองรอบนี้ที่รุนแรง เชื่อว่าภายใน 1-3 เดือนพอได้ดีลมา
ก็อาจจะไม่เปลี่ยนอะไรมาก เพราะไม่เคยมีใครเห็นว่าเขียนข้อตกลงอะไร
แต่สิ่งที่ทรัมป์ทำคือทำให้ประชาชนเห็นว่ากล้าเข้าไปสู้กับจีนและได้ดีลมา
เป็นการรบกันทางการเมือง ที่กังวลคือ สงคราม cyber security ที่ล้วงข้อมูล

แม้ต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่ปีก่อนก็ตลาดปรับตัวลงน้อยกว่าประเทศอื่น
รวมถึงค่าเงินบาทแข็งกว่า ทำให้กองทุนต่างชาติชนะตลาด
แต่ถ้าเป็นปีนี้ก็จะแพ้ตลาดนิดหน่อยเทียบกับประเทศอื่น เพราะปีที่แล้วไทยแข็งกว่า

ครึ่งปีหลังคาดว่าจะเห็นลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน, FDI เร็วขึ้น
และ การท่องเที่ยวก็จะได้ผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ

คุณมนตรี
ทรัมป์เป็นผู้นำโลกก็สร้างความสับสนให้กับโลกเยอะมาก
เพราะคาดการณ์อะไรได้ยาก แต่ดูพฤติกรรมที่พอคาดการณ์ได้
คือ เป็นคนอยากชนะ อยากเป็นฮีโร่

เชื่อว่ากลไกตลาดเป็น invisible hand
การฝืนกลไกตลาดจะทำได้ไม่นาน ดังนั้นสิ่งที่ดูน่ากลัวอย่าง trade war
มันทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายเจ็บทั้งคู่ จึงต้องทำให้ไม่มีสงคราม
การขึ้นภาษีจีนก็ทำให้คนซื้อของในอเมริกามากขึ้น
แต่การที่ของแพงขึ้นก็อาจทำให้ไม่ยั่งยืน
หรือการบีบให้จีนลำบากขึ้นก็จะกระทบกลับไปที่กำลังซื้อจีน
เช่น ยอดขาย apple ในจีนลดลงมาก หรือเกษตรกรอเมริกาส่งออกถั่วเหลืองลำบาก
FED จะตัดสินนโยบายจาก data dependent คือดูข้อมูลประกอบด้วย
จึงมีการประคองไปด้วย ดังนั้นถ้ามีข่าวร้ายก็อาจเป็นโอกาสในการซื้อได้

Any country get their leader as they deserve
หลักการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง สังคมจะดีขึ้นคุณภาพคุณธรรมของคนในสังคมเป็นสิ่งสำคัญ
เศรษฐกิจการเมืองไทยจะดีไหม ประชาชนเป็นคนกำหนดให้ท่าทีนักการเมืองถูกต้อง
ฝ่ายหนึ่งบอกจะเป็นประชาธิปไตยต้องต่อต้านการสืบทอดอำนาจ
อีกฝ่ายก็บอกว่าก็ลงสนามเลือกตั้งแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาเราบอกอยากจะก้าวข้ามปัญหา
ถ้าเราทุกคนเคารพรัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตยอันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คะแนนเสียง
คนที่รวมเสียงได้ตั้งรัฐบาลก็เข้าไปทำงาน คนที่รวมเสียงไม่ได้ก็ไปเป็นฝ่ายค้านที่สร้างสรรค์
ไปทำนโยบายเงา ทำแข่งกับรัฐบาล
ถ้าเป็นไปได้อยากให้มีการเมืองสร้างสรรค์ให้รัฐบาลทำงานดูก่อน อย่าเพิ่งจ้องค้านจ้องจับผิด
เพิ่งไปสัมมนามา ดูอัตราแลกเปลี่ยนหลายประเทศ
ประเทศที่ใกล้เคียงกับไทย 5 ปีที่ผ่านมาค่าเงินอ่อน
เช่น สิงคโปร์ 8.8%, ฟิลิปปินส์ 16.9%, อินโดนิเซีย 22%, มาเลเซีย 26%
แต่ประเทศไทยแข็งขึ้น 1% กองทุนสำรองไทย 2.2 แสนล้านเหรียญอันดับ 12 โลก
เศรษฐกิจไทยถือว่าหลากหลาย บริโภคในประเทศกว่า 50%
ลงทุนภาคเอกชนอย่าง EEC ส่งเสริมการลงทุนน่าจะไปได้ดี,
การลงทุนภาครัฐก็เดินได้อย่างดี,การส่งออกขึ้นกับสถานการณ์โลก
ท่องเที่ยว ประเทศไทยจาก 35 ล้านขึ้นไป 38 ล้านคน,
การค้าขายภาคประชาชนยากขึ้น บางครั้งเป็นเรื่องเทคโนโลยี
ผู้ชนะก็ชนะมากขึ้น ผู้ไม่แข็งแรงมากก็อ่อนแอลง

ดร.นิเวศน์
มองย้อนหลังไปหลายสิบปี เหตุการณ์นี้ไม่ได้มีอะไรใหม่
มีพรรคการเมืองเล็กน้อย และพรรคใหญ่สุดไม่ได้เป็นรัฐบาล เพราะมีการรวบรวมเสียง
ทุกครั้งที่เกิดขึ้นก็อยู่ไม่ครบปี จนกระทั่งตอนหลังที่มีบางพรรคขึ้นมาแล้วมีเสียงใหญ่ก็อยู่ได้นาน
รัฐบาลไหนเข้ามาก็คิดว่าทำคล้ายๆกัน
เช่น โครงการประชานิยม,สร้างสาธารณูปโภค เพียงแต่ก็เร็วขึ้นเพราะเวลามีน้อย
ข้อดีในสายตาต่างประเทศคือได้รับยอมรับมากขึ้นมาตามกติกา
ก็เป็นการแบ่งเค้กที่กลุ่มคนเข้ามาใหญ่ขึ้น ไม่น่ามีอะไรกระทบมาก

เสริมเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศ
ประเทศไทยด้วยโครงสร้างคงไปได้ช้า คนสูงอายุมาก
สร้างรถไฟอะไรก็ช้า/เร็วขึ้นหน่อย ไม่มีอะไรที่น่าดึงดูดนัก
การลงทุนต่างประเทศก็ขึ้นกับความสามารถแข่งขันคน
เทียบกับเวียดนาม ค่าแรงต่ำ คุณภาพดี ท่าเรือเพียงพอ

ตลาดหุ้นไทย side way มาตลอด 5-6 ปี
ซึ่งถ้ามองย้อนหลัง 20 ปี ไม่มีช่วงไหนที่ตลาดหุ้นตก 2 ปีติดกัน
ปีที่แล้วตก 10% หลังจากขึ้นมา 2 ปี โดยปีนี้ขึ้นมา 5%
ถ้าต่างชาติไม่ลงทุน คนไทยก็ลงทุนเอง
หากไม่มีวิกฤติต่างประเทศก็คิดว่าน่าจะไปได้

ครึ่งปีหลังอุตสาหกรรมไหน หุ้นไหนน่าสนใจ?
คุณไพบูลย์
ที่เคยคาดว่าทุกอย่างไปรวมศูนย์ที่จีนคงไม่ใช่แบบนั้น
กลุ่มที่อิงกับต่างประเทศก็ควรหลีกเลี่ยงก่อน
รัฐบาลเข้ามาคาดว่าต้องกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
1.การบริโภค หุ้นที่เกี่ยวข้องจะได้ประโยชน์
2.การลงทุนภาคเอกชน ก็จะต่อเนื่องกับการลงทุนภาครัฐ
เช่น EEC หรือโครงการใหญ่ๆที่เคยประกาศไว้
อย่างในมาเลเซียที่มหาเธร์ เจรจากับจีนใหม่ แล้วเศรษฐกิจก็ไปไม่ได้
3.ธนาคารพาณิชย์ ราคาหุ้นค่อนข้างไม่แพง บางตัวเทรดเท่ากับ PBV หรือต่ำกว่า
เพราะคนเป็นห่วงเศรษฐกิจที่ไม่ชัดเจน และถ้าเม็ดเงินต่างประเทศไหลกลับก็จะได้ประโยชน์
ถ้ามองไปถึงปีหน้ากลุ่มที่เกี่ยวการท่องเที่ยวก็น่าจะกลับมาได้

คุณปริญญ์
คราวก่อนออกรายการเคยให้หุ้นรถไฟเหาะตีลังกาไว้ตัวหนึ่ง
ที่ลงมาจาก 60 บาทเหลือ 6 บาทน่าจะซื้อแล้วก็ชอบคือ BEC จนลงต่อไป 4 บาท
และตอนนี้ก็ขึ้นกลับมา อย่าง BEC มี content มีดาราเก่งๆ ก็ต้องการผู้นำที่เข้าใจวิธีการเข้าถึง
ซึ่งคุณบี๋ที่มาจาก line เป็นคนคิดนอกกรอบหลายเรื่องเก่ง ซึ่งวิสัยทัศน์ไม่ใช่แค่ในประเทศ
อาจมีการนำไปทำเงินต่างประเทศ หรือจับมือร่วมกับ content ต่างประเทศ

Planb จะได้ประโยชน์จากงบโฆษณาที่กลับมา
นอกจากธุรกิจที่จะโตในไทยก็ยังมีต่างประเทศ
VGI ก็มองอยากซื้อ planb มาหลายปี
ซึ่งระบบนิเวศน์ของสังคมยุคใหม่ จะมี 5G เข้ามาสามารถใช้ iot
ซึ่ง planb มีสื่อนอกบ้าน(OOH) เยอะสุดในประเทศ และจะใช้ประโยชน์ได้มาก

ก่อสร้าง ก็จะมีงานได้เยอะขึ้น เช่น stec,uniq
โครงการEEC จะมาทั้งการพัฒนาเมืองใหม่ มีอสังหาฯ ศูนย์การค้า พัฒนานิคมฯ
ซึ่งคลังสินค้าชั้นพรีเมียม AMATA,WHA ก็ได้อาณิสงค์ระยะยาว
หุ้นกลุ่มอสังหาฯที่ได้ประโยชน์จากที่ดินที่มี เช่น ORI หรอ CPN มี growth ข้างหน้าอีก
รวมถึงจะมี CRC เข้าตลาดหลักทรัพย์ปลายปีก็จะ restructure ธุรกิจให้ชัด ต่างชาติก็น่าจะชอบ

คุณมนตรี
ต่างประเทศมีความไม่แน่นอน จึงมองหุ้นที่เกี่ยวกับในประเทศ
ซึ่งมีผลบวกการกระตุ้นเศรษฐกิจ ค้าปลีก , โรงแรม, การรักษาพยาบาล, consumer finance
เช่น bjc,cpall,mint,erw,bch,sawad,stec,ck รวมถึงหุ้นลูกก็ดี
เป็นการให้หุ้น ณ วันนี้ โดยติดตามหุ้น update ได้ที่ Line@maybankfriend

ดร.นิเวศน์
ปีนี้ยังต้อง conservative ปันผลก็ยังเป็นตัวที่ทำให้ไม่ขาดทุนถ้าหุ้นไม่ขึ้น
อย่าไปหวังเติบโตอะไรมากมาย หุ้น growth ยังแพงมาก
การเติบโตที่มาจากในประเทศ โตได้ 10% หืดขึ้นคอ
พวกที่โตได้ก็ไม่นาน ผ่านยุค growth ไปแล้ว
เน้น conservative pe ต่ำ ธุรกิจไม่ถูก disrupt สินค้ายังเป็นที่ต้องการ
ยอดขายไม่ตกในระยะยาว สองสามปีหน้ายังดีขึ้น
ถ้าเกิดวิกฤติต่างประเทศก็เตรียมเงินไว้ก้อนหนึ่ง

ปิดท้าย
อ.เสน่ห์ ฝากข้อคิดจากสีจิ้นผิง
การยิ้มไม่เหนื่อย โกรธเหนื่อย ต้องเอาชนะ
เรียบง่ายไม่เหนื่อย สลับซับซ้อนเหนื่อย
มีมิตรภาพไม่เหนื่อย ไม่เข้าใจกันเหนื่อย
ความจริงไม่ไม่เหนื่อย เสแสร้งเข้าหากันเหนื่อย
เพิ่มมิตรไม่เหนื่อย สร้างศัตรูเหนื่อย
ไม่เห็นแก่ตัวไม่เหนื่อย เห็นแก่ตัวเหนื่อย
มีได้มีเสีย ไม่เหนื่อย คิดหยุมหยิม เอาแต่ได้เหนื่อย
กายเหนื่อยไม่เหนื่อยหรอก แต่ถ้าใจเราเหนื่อย นั่นแหละ เหนื่อยที่แท้จริง

อ.ไพบูลย์เติมอีกข้อ
หุ้นตกไม่เหนื่อย หุ้นขึ้นเราจะเหนื่อย
เพราะหุ้นตกเราจะปลง

ขอขอบคุณ อ.ไพบูลย์ อ.นิเวศน์ อ.เสน่ห์ พี่หมอเค และ ทีมงาน Moneytalk ทุกท่านที่ร่วมจัดงาน
และขอบคุณแขกรับเชิญทุกท่านที่มาแชร์ข้อมูลและความรู้ดีๆให้กับผู้ลงทุน
หากผิดพลาดอย่างไรขออภัยด้วยครับ VDO ฉบับเต็มมีใน FB Moneytalk/Youtube/TV

สัมมนาครั้งต่อไป เสาร์ 8 มิ.ย.62 เปิดจอง 1 มิ.ย.62
หัวข้อ 1 เชิญผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจ อยู่ระหว่างเชิญ(น่าจะเป็น อ.ศุภวุฒิ)
หัวข้อ 2 วางแผนจะจัดเกี่ยวกับเรื่องการเมือง

โดยเดือน ก.ค. จะยกเลิกงานเสาร์ 20 ก.ค. ไปจัดงานพิเศษที่โรงแรมเซนทาราแกรนด์ วันที่ 13 ก.ค. แทน

Re: Moneytalk@SET12/5/62หุ้นเด่น&ทิศทางตลาดหุ้น

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 12, 2019 9:46 pm
โดย theenuch
ขอบคุณมากค้าบ น้องบิ๊ก :bow: :bow: :bow:

Re: Moneytalk@SET12/5/62หุ้นเด่น&ทิศทางตลาดหุ้น

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 12, 2019 9:56 pm
โดย amornkowa
ขอบคุณน้องบิ๊กครับ