MoneyTalk@SET10/6/2018Updateหุ้นเด่น&หากวิกฤติมา
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 10, 2018 6:48 pm
MoneyTalk@SET10/6/2018
ช่วงที่ 1 “UPDATE หุ้นแด่น”
1. คุณ ปรียนาถ สุนทรวาทะ / CEO BGRIM
2. คุณ สุวิทย์ ยอดจรัส / CEO AUCT
3. คุณ ทรงพล ชัญมาตรกิจ / CEO TVD
4. คุณ ภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ / CFO TPIPP
ผู้ดำเนินรายการ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ และ นพ.ศุภศักดิ์ หล่อธนวณิชย์
ธุรกิจที่ดำเนินการ
BGRIM
ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP ในนิคมอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่ขายให้ กฟผ.ที่เหลือให้ลูกค้าในนิคมฯ
มีโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว 32 โรง รวมแล้ว 2091 MW
เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม SPP 15 โรง 1954 MW,
โรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ลาว 1 โรง 20 MW, โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ 15 โรง 114 MW,
โรงไฟฟ้าดีเซลเล็กๆ ที่เวียดนาม ลูกค้าร้อยกว่าราย
โรงไฟฟ้า SPP มีกำไรค่อนข้างนิ่ง ROE 18-25% มีสัมปทานกับกฟผ. 25 ปี
โดยทุกโรงงานจะมีสัญญาแบบนี้กับทางกฟผ.หรือรัฐบาล 20-25 ปี จึงมีความเสี่ยงต่ำ
บริษัทเข้า IPO เดือน ก.ค. 60 มีแผนงานถึงปี 65 ต้าเป้ามีโรงไฟฟ้า 53 โรง
มีสัญญาสร้างแล้วรวมเป็น 2938 MW (เพิ่มขึ้น 64%)
ขั้นตอนการสร้างโรงไฟฟ้าต้องขอ license ก่อน และร่วมหุ้นกับทางนิคมฯ แล้วทำ EIA และมีลูกค้ารองรับ
(มูลค่าลงทุนโรงไฟฟ้าSPP 5500-6000 ล้านบาทต่อโรง)
ลูกค้าอยู่ในอุตสาหกรรมหลักๆของประเทศ มีที่นิคมอมตะนคร 5 โรง,
อมตะซิตี้ระยอง 5 โรง, เหมราช 1 โรง, บางกะดี 2 โรง, แหลมฉบัง 2 โรง เป็น Exclusive right
ลูกค้าระดับโลก เช่น ยางบริดสโตน,มิชลิน,ดันล็อป โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่น
ประเด็นข่าวบริษัทที่จะไม่ได้สร้างโรงไฟฟ้า
คือ บริษัทมีแผนกำหนดสร้างโรงไฟฟ้าปี 64 ที่เซ็นไว้เรียบร้อยแล้ว เป็น SPP 2 ที่ราชบุรี
แต่นิคมอุตสาหกรรมที่ราชบุรีถูกยกเลิกนิโดนนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
จึงต้องย้ายแผนสร้างโรงไฟฟ้าด้วย ซึ่งต้องตกลงกับกฟผ.ให้ชัดเจนว่าย้ายไปที่ไหนระบบส่งจึงรับได้
ซึ่งก็มีหลายทางเลือก เช่น นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย, นิคมอุตสาหกรรมที่อ่างทอง
น่าจะสรุปจบได้ใน 3 เดือนนี้
และมีอีกข่าวเรื่องโรงไฟฟ้าที่จะหมดอายุจะไม่ได้สร้างต่อก็ไม่จริง
บริษัทมีตกลงและมีมติ กฟช.แล้ว โดยทางรัฐมนตรีมีการทบทวน แผนการสร้างเดิม
ให้เป็นแบบ repowering ซึ่งทางเราก็เห็นด้วย จะทำให้เราขายถูกลง และลงทุนน้อยลง ขายได้อีก 10 ปี
TVD
บริษัททำธุรกิจ direct marketing คือทำการตลาดแบบตรงสู่ผู้บริโภค ขายผ่านสื่อทีวี call center online
จนเมื่อ3 ปีก่อน online ในไทยก็เข้าสู่จุดเปลี่ยน สำคัญ จึงแยกออกไปเรียกเป็นช่องทาง online marketing
เมื่อก่อนเราขายของผ่านสื่อทีวีเป็นหลัก ซึ่งสามารถเข้าถึงผู้บริโภคและตอบรับได้รวดเร็วที่สุด
แต่ปัจจุบันเราเปลี่ยนมาใช้สื่ออะไรก็ได้ที่จะเข้าถึงผู้บริโภคแบบนี้ได้
โมเดลการการขายสินค้าทางทีวีของเราบางครั้งได้กำไรบางครั้งขาดทุน
แต่เราได้รายชื่อลูกค้ามา และให้เขาซื้อซ้ำ ซึ่งการซื้อครั้งที่ 2,3,4 ขึ้นไปจะทำให้เราได้กำไรยั่งยืน
ถ้าสินค้าหรือบริการไม่ดี ลูกค้าจะไม่ซื้อซ้ำ
บริษัทมีการปรับตัวอยู่ตลอด ตามความต้องการลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อก่อนลูกค้ารอสินค้า 7 วันได้ สมัยนี้ต้องการสินค้าเร็ว
หลายปีก่อนคนดูทีวี กับคนดูหนังสือพิมม์ เป็นคนละคนกัน
แต่พอมีโทรศัพท์พัฒนาได้ดีขึ้น คนก็หันไปดูในโทรศัพท์ได้แทน
จาก Single channel ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็น Multi Channel
หรืออย่างหนังสือพิมพ์บางเรื่องก็มีคนเอามาอ่านในทีวีให้ฟังแทน
เกิดการเชื่อมโยงช่องทางมากขึ้น จึงต้องเปลี่ยนมาทำ Cross channel
และเมื่อ 3 ปีก่อน มี 3G เข้ามาทำให้การใช้งาน data เร็วขึ้น และคนไทยใช้งานมากขึ้น
ทำให้ยอดค้าปลีกของไทยพร้อมทำ online กันแล้ว จึงทำให้ผู้ขาย online มาประเทศไทยกันหมด
แต่ทั้งนี้บริษัทที่เข้ามาก็ไม่ได้จะรอดทุกราย จะคล้ายกันตอน Hypermarket เข้ามาประเทศไทย
ช่วงที่เข้ามาก็แข่งขันลดราคา,ตัดราคากัน จนทำให้ผู้บริโภคติดใจ จึงต้องรอดูกันต่อไปว่าใครจะรอด
ซึ่งเราก็ปรับตัวมาทำ Omni channel ต้องเลือกวิธีให้เหมาะสมกับช่องทาง
ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปสามารถดูสื่อไปพร้อมกันได้มากกว่า 1 อย่าง ดูทีวีไป อ่านไลน์ไป
เช่น ดูทีวีหรือคอลเซ็นเตอร์ต้องพูดเร็วๆคนไม่อยากรอ แต่สิ่งพิมพ์คนจะดูช้าๆค่อยๆดู
เราจึงให้บริการสินค้าทุกช่องทางให้ได้ประสบการณ์เดียวกัน ทั้งค้าปลีก,online, tv, call center
ปัจจุบัน TV ยังเป็นช่องทางหลักของรายได้ มีช่องเยอะขึ้น แต่ air time ก็แพงขึ้นมากเทียบกับคนดู
เมื่อก่อน 1 นาที มีคนดู 4 หมื่น แต่วันนี้ 1 นาที มีคนดูไม่ถึง 3 พัน แต่ราคาซื้อ air time ลดลงราว 50%
พอช่วงโฆษณาคนก็หันไปดูเฟซบุ๊ค (ประเทศไทยมีบัญชีเฟซบุ๊ค 49 ล้านคน)
สัดส่วนสินค้าเรามี health&beauty ไม่เยอะ เพราะเคยมีประสบการณ์ตอนปี 1999 สินค้ากวาวเครือ
ซึ่งมีผลทดสอบทางคลินิคและผลวิจัยว่าช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ขายได้ถล่มทลาย
จน อย.ออกมาบอกว่าใช้ไม่ได้ ทำให้กวาวเครือตายใน 2 วันเลย
บริษัทจึงพยายามไม่พึ่งพาสินค้าเด่นๆเพียงชนิดเดียว
เรามีสินค้าที่นำเข้า,สั่งผลิตเอง และซื้อมาขายไป อย่างช่วงนี้เรามีสินค้า big vision, portable toilet
ซึ่งเป็นสินค้าที่บริษัทพัฒนา ต้องทดสอบจนมั่นใจแล้วจึงนำมาขาย
ช่วงต้นปีที่ผ่านมาเราอยากลุยสินค้า Health&beauty มากขึ้น
เห็นช่องอื่นทำได้ เช่น ถังเช่า,เห็นหลินจือ อยู่ได้พักนึงพอมีปัญหา magic skin ขึ้นมา ก็หายกันไปหมด
จึงมี slot ว่าง ก็เป็นโอกาสของเราในการเข้าไปขายสินค้า แต่ก็แนะนำอย่างระมัดระวังเพราะเป็นบริษัทมหาชน
สินค้าของบริษัทมีกระบวนการให้ทดลองใช้ ซึ่งผลตอบรับก็มีอัตราสั่งซื้อที่ดี
TPIPP
ธุรกิจเป็นบริษัท Waste to energy(ขยะสู่พลังงาน) ที่ใหญ่สุดในไทยและอาเซียน
บริษัทมี 2 ธุรกิจ คือ สถานีบริการน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ แต่ไม่มีนโยบายขยายในธุรกิจนี้
โดยแผนการเติบโตจะอยู่ในธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งหมด
ปัจจุบันบริษัทมีโรงไฟฟ้ามี 6 โรง 220 MW ลูกค้าหลัก 2 รายคือ
บริษัทแม่ TPIPL ขายในราคาเดียวกับ กฟผ. อยู่ที่ 2.9-3.0 บาท (ราคาเปลี่ยนทุก 4 เดือน)
และลูกค้าอีกรายคือ EGAT 2.9-3 บาท + Adder 3.5 บาท ซึ่งสูงกว่าที่ขายให้บริษัทแม่
สัดส่วนกายขายให้ TPIPL 40 MW ขายให้ EGAT 180 MW
โดยเงื่อนไขที่ขายให้ EGAT คือต้องใช้ RDF 75% ในรอบปี และใช้เชื้อเพลิงเสริมไม่เกิน 25% ในรอบปี
ซึ่งอีก 40 MW ไม่สามารถทำได้ติดที่ RDF และรัฐยังไม่ได้เปิดให้ประมูลเพิ่ม
แผนที่กำลังดำเนินการ
โรงไฟฟ้าที่ 7 ถ่านหิน 70 MW อยู่ระหว่างเข้าบอร์ด กฟพ. คาดว่าจะจบภายในไตรมาส 2
หรืออย่างช้า COD ได้สัปดาห์ที่1 ของไตรมาส 3
โรงไฟฟ้าที่ 8 ถ่านหิน 150 MW ดำเนินการประชาพิจารณ์รอบ4 เมื่อ 22 พ.ค.61 เรียบร้อย
โดยกฟพ. กำลังดำเนินการต่อตามขั้นตอน น่าจะ 2 เดือน เสร็จปลายเดือน 7 ถึงสัปดาห์แรกเดือน 8
ความแตกต่างของเรากับที่อื่น คือ เรามีโรง RDF เอาขยะเข้ามาแล้วใส่แล้วค่อยนำไปผลิตไฟฟ้า
แต่ที่อื่นจะมีปัญหา ความชื้นสูง,คุณภาพขยะ และองค์ประกอบต่างๆไม่พร้อมที่จะเผาตรง
และอีกเรื่องหนึ่งเราเริ่มมี model ธุรกิจใหม่ โดยไปคุยกับบ่อขยะ โดยตั้งโรงคัดแยกเบื้องต้น
เลือกบ่อขยะที่มีศักยภาพมีปริมาณมาก และให้ส่งขยะมาที่เราอย่างเดียว
ทำให้เราสามารถมั่นใจว่ามีวัตถุดิบเข้าการผลิต
,มีต้นทุนในการดำเนินการต่ำลง และได้ค่าเช่าเครื่องจักรจากทางบ่อขยะด้วย คืนทุนได้ 2-3 ปีต่อโรงคัดแยก
วัตถุดิบขยะ มี 2 ส่วน จากเทศบาลส่วนใหญ่จะฟรี ไม่มีเครื่องคัดแยก ขนและส่งมาเลย
สำหรับเอกชนเราแนะนำให้ติดเครื่องคัดแยกขยะ แล้วค่อยส่งมาที่เราซึ่งจะเปียกและหนักขนส่งได้น้อย
จำนวนขนส่งต่อเที่ยวได้มาก และคุ้มค่าสำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย
ค่าความร้อนเกิน 2500 Kcal จะจ่ายเงินให้ แต่ถ้าต่ำกว่า 2500 Kcal จะไม่จ่ายเงิน
การวัดค่าความร้อนของขยะ จะใช้วิธีสุ่ม 4-5 จุด แล้วนำไปวัดค่าใน Lab
ขยะอิเลคทรอนิกส์ หรือของแปลกปลอมถ้าเกิน 0.1% จะหักราคา ถ้าเกิน 0.2% จะ reject ไม่รับวัตถุดิบ
ประเด็นความเพียงพอของวัตถุดิบ
โรงที่ 7,8 เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นหลัก ขายให้ TPIPL บริษัทแม่ และบริษัทก็ซื้อวัตถุดิบจาก TPIPL ด้วย
โดย TPIPL อยู่ในธุรกิจถ่านหินมากว่า 25 ปี ไม่น่ามีปัญหาในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามเราสามารถซื้อถ่านหินจากบริษัทแม่หรือผู้ขายรายอื่นก็ได้ขึ้นกับราคา
ส่วนโรงเดิม(1-6) มี model ธุรกิจที่บริษัทจองขยะไว้สำหรับทั้ง 6 โรงแล้ว
สำหรับ โรง 7 สามารถผลิตได้ทั้งถ่านหินและ RDF ซึ่งสามารถสำรองในการผลิต RDF
ได้ถ้าหากโรง 5,6 มีปัญหาจะไม่เสียโอกาสขายให้ EGAT
ประเด็นด้านการประท้วงการทำโรงไฟฟ้าถ่านหิน ว่าจะสร้างมลภาวะ แต่มักไม่ใช่คนในท้องที่มาประท้วง
สำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินของบริษัทที่สร้างที่สระบุรีไม่น่ามีปัญหาเพราะคนเข้าใจว่ามีถ่านหินที่สะอาด
และบริษัทที่อยู่โดยรอบก็มีธรรมาภิบาล รวมถึงบริษัทก็มีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในชุมขน
AUCT
ธุรกิจประมูลรถ เป็นกลางน้ำของสินเชื่อรถยนต์
90% ของการซื้อขายรถในไทยต้องผ่านธุรกิจสินเชื่อ และมีหนี้เสียประมาณ 2%
โดยสหการประมูลอยู่ตรงกลางเมื่อมีหนี้เสียแล้วไฟแนนซ์จะบริหารหนี้เสียต่อ
และเต๊นท์รถมือสองก็เป็นผู้รับซื้อมาขายต่อ 95% เป็นลูกค้าสหการประมูล
ผู้ขายอยากขายราคาสูงสุด ผู้ซื้ออยากซื้อราคาต่ำสุด
บริษัทจึงต้องมีธรรมมาภิบาล ถึงจะเป็นตัวกลางในห่วงโซ่อุปทานได้
ตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์มากำไรช่วงที่ผ่านมาย่อตัวลง โดยปี 61 ไตรมาสแรกก็ฟื้นกลับมา
บริษัทเปิดมา 27 ปี อุตสาหกรรมมีดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่บริษัทไม่เคยขาดทุน
Platform ของสหการประมูล
1.เราไม่มีที่ดินของตัวเอง ข้อเสียจึงไม่มีกำไรจากที่ดิน แต่ข้อดีคือเราไม่มีภาระ
เนื่องจากเราต้องใช้ที่เยอะมาก ต้องจอดรถปีละ 3 หมื่นคัน ถ้าหากซื้อที่วันนี้ไม่รวยก็อาจเจ๊งได้
2. เราไม่มี stock รถยนต์ 5-8 หมื่นคัน มอเตอร์ไซค์เป็นแสนคัน
3. เราไม่มีดอกเบี้ย ถ้าดู ROE,ROA จะเห็นว่าใช้ได้
ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจต้นน้ำไม่ได้ขายน้อยลง แต่เป็นความรู้สึกผู้บริโภค
และผลกระทบจากกฏหมายบางข้อเกี่ยวที่ควบคุมการยึดรถผ่านขั้นตอนมากขึ้น
รวมถึง บริษัทที่ส่งรถให้มีเทคนิคบริหารหนี้ไม่ให้เสียที่ปีใดปีหนึ่ง จึงทำให้มีรถเข้ามาน้อยลง
ปลายปีที่แล้วเริ่มมี stock เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าเทียบกับ 2 ปีก่อน
ซึ่งบริษัทมองว่าคนสมัครใจที่จะยอมโดนยึด เพราะติดหนี้แล้วจะมีปัญหาในเครดิตบูโร และก็ใช้รถมาสองสามปีแล้ว
ถ้าคืนรถและหักหนี้ไปได้เยอะ เป็นความลงตัวของลูกหนี้กับเจ้าหนี้
เมื่อสองปีก่อน รถไหลเข้าก็รถไหลออกบริษัทใกล้เคียงกัน แต่วันนี้รถไหลเข้ามากกว่ายอดประมูล
คาดว่าในไตรมาส 3-4 ไปจะมีการประมูลสูงขึ้นทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์
ที่จริง มอเตอร์ไซค์มีการเคลื่อนไหวมาก่อนรถยนต์แล้ว น่าจะ 8-10 เดือนก่อน
แต่รถยนต์เพิ่งจะเริ่มมาเมื่อ 4 เดือนก่อน
รายได้บริษัท ได้จากรถยนต์ คันละ 8 พันบาท, จักรยานยนต์ได้คันละ 1.5 พันบาท
ซึ่งรายได้มาจากการประมูลออก แต่ไม่ได้เงินจากรถเข้า
ต่อไปถ้ารถยนต์ราคาลดลงไประดับหนึ่ง ผู้บริโภคก็จะเปลี่ยนพฤติกรรม
เช่น คนอินเดียที่เปลี่ยนจากมอเตอร์ไซค์ เป็นรถซิตี้คาร์ของทาทา
3 ปีที่ผ่านมาเราก้าวไปหาตลาด end user ซึ่งพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงเร็ว
และต้องเข้าถึงใจเขาจริงๆ ต้องมีบริการรองรับ
ที่ผ่านมาเราปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อบริการลุกค้ารายย่อย
การซื้อรถมือสอง ต้องหาเพื่อนช่วยเชค บริษัทมีการตั้งสถาบันตรวจสอบรถยนต์
รายได้บริษัทจะไม่ได้มาจาก ค่าขนย้ายรถยนต์ ค่าตรวจสอบคุณภาพ ค่าปรับปรุงคุณภาพ
รายได้ธุรกรรมการประมูลต่อไปจะลดลง แต่บริษัทเพิ่มรายได้การบริการ
ต่อไป บริษัทจะมีสถาบันที่จัด event รายใหญ่เข้ามาให้การันตีรถยนต์ให้
end user จะสามารถเข้าประมูลผ่าน online ได้ที่เห็นแต่ภาพรถยนต์หรือข้อมูล
ซึ่งจะเป็นภาระบริษัทเพิ่ม แต่ก็เป็นโอกาสในการขาย
รถยนต์ขายปีละล้านคัน ต่างประเทศใช้รถ 3-5 ปี แต่บ้านเราใช้ 10 ปี
สมมติมองว่าใช้รถยนต์ต่อ 5 ปี แสดงว่ามีรถให้จับ 5 ล้านคัน
ถ้าขอแค่ 2 ล้านคัน และได้มา 4% จากตรงนั้นรายได้บริษัทก็จะเพิ่มสามเท่าจากวันนี้
นอกจากประมูลรถยนต์ มีรายได้จากประมูลอย่างอื่น 4% เช่น ประมูล 4G,ประมูลเลขสวย,ประมูลให้หน่วยงานรัฐ
เช่น ปปส. ฯลฯ นอกจากมี technology แล้วต้องมีธรรมาภิบาลจึงจัด
ผลดำเนินงานไตรมาสที่ 1 และแนวโน้มข้างหน้า
BGRIM
4 ปีข้างหน้า 2938 MW เติบโต 64% โดยระหว่างนี้ก็ยังมีเพิ่มเติม เช่น เซ็นสัญญา 420 MW
เป็นโซลาร์เวียดนามเพราะเรามี connection ที่แข็งแรงกับ partner และอาจจะมีอีก 600 MW
เป้าหมายในอีก 4 ปีข้างหน้าคือ 5,000 MW
รายได้ของเรา SPP 90% Renewable 10% โดยกำลังขยาย renewable มากขึ้น เป้าหมายคือ 70:30
รายได้จะเติบโตตามจำนวนโรงไฟฟ้าและจำนวน MW ที่เพิ่มขึ้น
รายได้ปี 60 3.1 หมื่นล้าน ปี 61 ไตรมาส 1 8 พันกว่าล้าน โดยกำไรเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน
เป็นไปตามแผนและเป้าหมายทั้งหมด จึงมั่นใจเราเป็นหุ้นพื้นฐานในระยะยาว
อัตรากำไร renewable แสงแดดแข่งขันกันสูง ขณะเดียวกัน 18-25% แต่ Solar จะได้ 12-15%
ซึ่งขยายไปเวียดนามเพราะ ได้ Tariff ที่สูง และเพิ่งเปิดช่วงแรก จึงเป็นโอกาสของเรา
และเรามีพันธมิตรเป็นยักษ์ใหญ่ของจีน Energy china และ Power china
ซึ่งเขาต้องการทำแค่ turn key contractor แต่ถ้าจะถือหุ้นเขาต้องไปขออนุมัติพรรคคอมมิวนิสต์อะไรต่างๆ
ที่ผ่านมาการลงทุนของเราอยู่ใน Budget และ ประสิทธิภาพสูงกว่าที่คาดทั้งหมด
ความท้าทายธุรกิจ มี disruptive change การเข้ามาของ solar roof top และ renewable เพราะต้นทุนลดลงเร็ว
เราจึงต้องมีการปรับตัว ไม่ได้ทำแค่ conventional มีทำ solar และ renewable
ตอนนี้ได้สัญญาในมืออีก 70 MW ที่ยังไม่ได้ประกาศ และยังมีโครงการใหญ่ที่กำลังตามมา
การเข้ามาของ Solar roof top เป็นอุปสรรคสำหรับบริษัท
ถ้าหากลูกค้าอยากติดตั้งโดยยังไม่มี battery, energy storage จะส่งผลกระทบกับเรา
เนื่องพวกระบบส่ง distribution network ที่ใช้งานบริษัทเป็นผู้สร้างและเป็นเจ้าของเอง
แต่ตอนนี้ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากลูกค้าเป็น high technology
การประหยัดไฟจาก solar roof top ไม่สำคัญ เท่ากับจ่ายไฟฟ้ามีประสิทธิภาพได้นิ่งๆ
SPP เป็น must run ถึงแม้ไฟฟ้าจะเกิน แต่ EGAT ก็ต้องซื้อตามสัญญา ได้ทั้ง capacity charge, energy charge
ไม่เหมือน IPP โรงใหญ่อาจไม่ซื้อแล้วได้รับแต่ capacity charge
เรื่องปริมาณวัตถุดิบแก๊สไม่มีความเสี่ยง แก๊สต้องผสมกับ LNG อยู่แล้ว ซึ่งมีแหล่งใหม่ๆ เกิดขึ้นในโลก
เทคโนโลยีการขนส่ง การเปลี่ยนจากแก๊สเหลวให้เป็นไอ ถูกลงและมีประสิทธิภาพขึ้นเรื่อยๆ แก๊สจึงไม่มีทางหมดไป
TVD
ปี 2016 ไตรมาสสุดท้ายมีเหตุการณ์พิเศษ โฆษณาไม่ได้ 2 เดือน ติดลบเกือบ 60 ล้านได้
ซึ่งกระทบต่อมาถึงปี 2017 ที่ยังมีควบคุมที่ทำไม่ได้หลายเรื่อง
จนปลายปีที่ผ่อนรถคันแรกหมด กำลังซื้อน่าจะกลับมา ซึ่งผลคือกลับมาในไตรมาส 4
ประเทศไทยมีความหลากหลาย เราเกิด Fragmentation คือ ทุกคนกำลังแตกตัว
สมัยก่อน เพศแยกหญิงชาย ต่อมามีเพศสภาพ,
เพศทางเลือก ก็มีเกย์,ทอม,ดี้ และแค่เกย์อย่างเดียวก็มีแยกอีก 4 อย่าง
หรือในทางสากลก็แยกอีกถึง 26 เพศสภาพ จึงมี segment ต่างๆที่หลากหลายขึ้น
เช่น ทำเครื่องสำอางค์ ครีม 1 ตัว ทำขายคนอายุ 20,30,40,50 ก็ต้องมีส่วนผสมไม่เหมือนกัน
ทำให้การทำตลาดแบบเดิมเหมือนๆกัน จึงทำได้ยากขึ้น
ทุกวันนี้การดูทีวี นอกจากดูใน device ต่างๆแล้ว ยังมีพฤติกรรมการแห่ตามไปดู
การวางแผน media จึงจัดการได้ยากขึ้นมาก วันดีคืนดีคนหายไปหมดเลย หรืออาจจะเปลี่ยนใจกลับมา
ปี 2017 เราเริ่มตั้งธงได้ตั้งแต่ปลาย Q3 และกลับมาลุยซื้อ media
เดือนหน้าเราจะใช้สื่อ 20% ของงบ ลงโฆษณาในเฟซบุ๊ค
เฟซบุ๊คมีเวลา 3 วินาที ที่จะให้คนหยุดดู (thumb stopper) ซึ่งเราก็ได้เตรียมการร่วมกับทีมเฟซบุ๊คแล้ว
ตั้งแต่ Q3 เป็นต้นไปจะเห็นการเติบโตใน online
เราใช้ช่องทาง market place เป็น Platinum partner ของ shopee และกำลังจะทำใน Lazada ด้วย
เขาทำงานกับเราเพราะเรามีสินค้าของตัวเอง รวมถึง google ที่จะเป็นสิ่งที่เราทำ
TPIPP
ปี 17 รายได้ 4.9 พันล้าน กำไร 2.4 พันล้านบาท(เฉพาะ Net operating ไม่รวมผลจากอัตราแลกเปลี่ยน)
Q1 ปี 18 รายได้ 1.3 พันล้าน กำไร 6.5 ร้อยล้าน ซึ่งถ้าคูณ 4 ตีออกมาทั้งปีราว 5.4 พันล้าน
แต่ Q1 เรายังมีโรงไฟฟ้า 5 โรง 150 MW โดย COD โรงที่ 6 เพิ่งเริ่มรับรู้ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา
เป็น RDF ขายให้กฟผ. และโรง4 เราเริ่มปรับจากขายให้บริษัทแม่มาขายให้ EGATก็จะทำให้รายได้เพิ่มขึ้น
โรง 6 ที่เริ่มเดิมช่วงแรกในเดือน 4 ต้องมีการ ramp up โดยเดือน 5 ก็ขึ้นมาเป็น 9x% ต้นๆแล้ว
เป้าหมายคือ 95% ขึ้นไป
โรง 7 เสร็จก็จะเข้ามาช่วงเรื่องรายได้และกำไร แต่คงไม่ได้ช่วยก้าวกระโดด เพราะโรงไฟฟ้าถ่านหินอัตรากำไรไม่สูง
โรง 8 ก็จะมีรายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 3-4
ช่วงต้นปีมีข่าวที่กระทรวงฯจะไม่รับซื้อพลังงานทดแทน ซึ่งทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องราคาลดลงมา
จนเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา มีการออกมาให้ข่าวจากกระทรวงฯ ให้ชัดเจนว่าไม่รับซื้อพลังงานทดแทน
ยกเว้น 2 อย่าง คือ ขยะ และโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งของเรายังรับซื้ออยู่
ถัดมาอีกการประกาศเรื่องประมูลโรงไฟฟ้า Quick win 78 MW เพิ่มเป็น 378 MW
ซึ่งเปลี่ยนวิธีการประมูล เมื่อก่อนส่วนกลางเปิดประมูล และเอกชนเข้ามาแบ่งกัน
แต่ปัญหาคือ ผู้ที่ประมูลไม่สามารถทำได้สำเร็จ ก็เอาไปขาย
ซึ่งผิดจุดประสงค์การเปิดประมูล ต้องการให้เอาขยะไปทำโรงไฟฟ้า
จึงเปลี่ยนมาประมูลแบ่งแยกให้เทศบาล หรือ อบจ. แต่ละจังหวัด ประมูลเอง
ออก TOR ให้เอกชนไปประมูล กับ อบจ. หรือเทศบาลโดยตรง
น่าจะมีประมูลออกมาเรื่อยๆ เช่น ปลายปีก่อนที่ นนทบุรี
เป็นการประมูลโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ นนทบุรี 20 MW
ซื้อซองและศึกษาหลายๆอย่างแล้วไม่คุ้มทุนสำหรับเราจึงไม่ได้ประมูล
จะมีเปิดประมูลอีก 4-5 โครงการ คาดว่าเราจะเข้าไปร่วม แต่จะยื่นประมูลหรือไม่ขึ้นกับความคุ้มค่าและความเสี่ยง
เช่น RDF ที่เราลงทุนไปแล้ว IRR 45-50% อัตรากำไรดี แต่ก็มีความเสี่ยงเพราะเป็นขยะ และขายให้กับรัฐ
แต่ถ่านหิน IRR 15% แต่ความเสี่ยงต่ำ
AUCT
บริษัททุนจดทะเบียน 137.5 ล้าน ปีที่เข้าตลาดกำไร 200 กว่าล้าน ปีที่สองกำไรลดลง 180 กว่าล้าน
ปีที่แล้ว 130 กว่าล้าน ปีนี้ไตรมาส 1 เป็นไปตามคาด กำไร 40 กว่าล้าน
สิ้นปีนี้บริษัทอยากได้กำไรสูงกว่าปีแรกที่เข้าตลาด
ความเสี่ยง ทุกธนาคารและทุกไฟแนนซ์ให้รถเกิน 80% แต่ถ้าธนาคารไม่ให้ขึ้นมาก็เป็นความเสี่ยง
2 ปีก่อน การซื้อรถสถาบันทั่วไปไม่เพิ่ม แต่สถาบันรถเช่าเพิ่มเป็น 100%
องค์กรขนาดใหญ่ ไม่ซื้อรถใช้เอง แต่ซื้อตามสถาบันให้เช่า
ซึ่งรถพวกนี้ใช้ปีเดียวก็เอาเข้ามาปล่อยแล้ว ช่วยลดความเสี่ยงที่เราต้องพึ่งพอรายใหญ่
เรามีเงินสดเยอะ กระแสเงินสดดี มีเวลาพอสมควรกว่าจะส่งกลับไปสู่ผู้ขายรถ
เราได้รับอาณิสงค์จาก fair price การเปลี่ยนแปลงธุรกิจอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ราคาอยู่ที่ไหน
แต่เราเสนอให้มาประมูล เป็นเรื่องที่เราตั้งใจบอกว่าการประมูลเป็นการซื้อขายที่ fair price ให้กับสินค้า
เมื่อก่อนเราใช้สถิติกำหนดราคา วันนี้เราใช้ life style
เรามอง end user รายได้เราสามารถเพิ่มสามเท่าโดยไม่ต้องใช้เงินทุนเพิ่ม
อัตราปันผลเราไม่ต่ำกว่า 40% (ปีก่อนจ่าย 100%) จ่ายปันผล 3% กว่า
อัตรากำไรขั้นต้น 50% กว่า อัตรากำไรสุทธิ 23-24% ซึ่งน่าจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
ประเทศไทยมองว่าอย่างไรก็ต้องใช้รถยนต์ แม้มีรถไฟฟ้าการอยู่บ้านจัดสรรอย่างไรก็ต้องต่อรถยนต์
เชื่อว่ารายได้หลักของบริษัทจะเกิดจากยานพาหนะไม่ว่าจะเปลี่ยนจาก engine เป็น ไฟฟ้า
ยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงบริษัทก็จะได้ประโยชน์จากการที่ไม่รู้ว่าราคาอยู่ตรงไหน ซึ่งบริษัทจะเป็นตัวกลางให้
การประมูลรถจะผ่าน e-market ได้ไหม?
บริษัทพัฒนา e platform ของตัวเองแล้ว แต่ต้องมีการสื่อสารทำให้ลูกค้ารายย่อยเปลี่ยนพฤติกรรม
จากการซื้อที่เต๊นท์มาซื้อที่บริษัทแทน เช่น ผ่าน market place หรือ facebook ก็น่าสนใจ
เราจัดประมูล 365 วัน น่าจะรองรับความต้องการของลูกค้าได้ สามารถดู Live การประมูลได้
เชื่อว่าถ้าใครเคยประมูลเองจะพบว่าราคาถูกกว่าการไปซื้อจากที่อื่น
แต่บริษัทก็ยังต้อง balance ระหว่าง ลูกค้ารายเก่าที่เป็นเต๊นท์รถ และ end user
ปิดท้าย
การลงทุนมีความเสี่ยง ตัดสินใจให้ดีก่อนการลงทุน
กำไรเกิดจากท่าน ขาดทุนเกิดจากท่าน รายการให้ข้อมูลมีเวลาสั้นๆ ยังมีช่องทางอื่นๆ ศึกษาเพิ่มเติมให้ดีก่อน
ช่วงที่ 2 ทางพี่อมร จะเป็นผู้สรุปให้นะครับ ขอบคุณมากคร้าบ
__________________________________________________________
ข้อมูลที่จดหากมีคลาดเคลื่อนขออภัยไว้ด้วยครับ
สามารถดูรายการเต็มได้ใน Money channel และ Youtube ครับ
ขอบพระคุณ พี่หมอเค อ.เสน่ห์ และผู้บริหารทุกท่านที่สละเวลามาสัมภาษณ์และ
ให้ข้อมูลเพื่อประกอบการการลงทุนครับ
ขอบคุณอ.ไพบูลย์ อ.นิเวศน์ และทีมงาน Moneytalk ,ตลท.ทุกท่าน
ในการจัดงานสัมมนาให้ความรู้ครับ
Special thanks to คิม และทีมถ่ายทอดวันนี้ดูผ่าน FB Live ครับ
สัมมนาพิเศษ Moneytalk@MAI Forum 1ก.ค.61
โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ชั้น 22
งานเริ่มตั้งแต่สิบโมง ไม่ต้องจอง สัมมนาเริ่ม 16.00 น.
หัวข้อ 1 MAI เล็กดี รสโต จริงหรือ ดร.นิเวศน์,คุณโจลูกอีสาน
หัวข้อ 2 วิเคราะห์ เจาะหุ้นเด่น เทรนด์การลงทุนครึ่งปีหลัง ดร.วิศิษฐ์,คุณเทิดศักดิ์
ผู้ดำเนินรายการ อ.ไพบูลย์,อ.เสน่ห์
MoneyTalk@SETครั้งถัดไป>>14 ก.ค.61
หัวข้อ1 เจาะลึกหุ้นเด่น irpc,amatav,seafco,scn
หัวข้อ2 ทิศทางหุ้นไทยครึ่งปีหลัง คุณมนตรี,ดร.วิศิษฐ์,คุณกวี,ดร.นิเวศน์
เปิดจองเสาร์ 7 ก.ค.61
ช่วงที่ 1 “UPDATE หุ้นแด่น”
1. คุณ ปรียนาถ สุนทรวาทะ / CEO BGRIM
2. คุณ สุวิทย์ ยอดจรัส / CEO AUCT
3. คุณ ทรงพล ชัญมาตรกิจ / CEO TVD
4. คุณ ภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ / CFO TPIPP
ผู้ดำเนินรายการ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ และ นพ.ศุภศักดิ์ หล่อธนวณิชย์
ธุรกิจที่ดำเนินการ
BGRIM
ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP ในนิคมอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่ขายให้ กฟผ.ที่เหลือให้ลูกค้าในนิคมฯ
มีโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว 32 โรง รวมแล้ว 2091 MW
เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม SPP 15 โรง 1954 MW,
โรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ลาว 1 โรง 20 MW, โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ 15 โรง 114 MW,
โรงไฟฟ้าดีเซลเล็กๆ ที่เวียดนาม ลูกค้าร้อยกว่าราย
โรงไฟฟ้า SPP มีกำไรค่อนข้างนิ่ง ROE 18-25% มีสัมปทานกับกฟผ. 25 ปี
โดยทุกโรงงานจะมีสัญญาแบบนี้กับทางกฟผ.หรือรัฐบาล 20-25 ปี จึงมีความเสี่ยงต่ำ
บริษัทเข้า IPO เดือน ก.ค. 60 มีแผนงานถึงปี 65 ต้าเป้ามีโรงไฟฟ้า 53 โรง
มีสัญญาสร้างแล้วรวมเป็น 2938 MW (เพิ่มขึ้น 64%)
ขั้นตอนการสร้างโรงไฟฟ้าต้องขอ license ก่อน และร่วมหุ้นกับทางนิคมฯ แล้วทำ EIA และมีลูกค้ารองรับ
(มูลค่าลงทุนโรงไฟฟ้าSPP 5500-6000 ล้านบาทต่อโรง)
ลูกค้าอยู่ในอุตสาหกรรมหลักๆของประเทศ มีที่นิคมอมตะนคร 5 โรง,
อมตะซิตี้ระยอง 5 โรง, เหมราช 1 โรง, บางกะดี 2 โรง, แหลมฉบัง 2 โรง เป็น Exclusive right
ลูกค้าระดับโลก เช่น ยางบริดสโตน,มิชลิน,ดันล็อป โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่น
ประเด็นข่าวบริษัทที่จะไม่ได้สร้างโรงไฟฟ้า
คือ บริษัทมีแผนกำหนดสร้างโรงไฟฟ้าปี 64 ที่เซ็นไว้เรียบร้อยแล้ว เป็น SPP 2 ที่ราชบุรี
แต่นิคมอุตสาหกรรมที่ราชบุรีถูกยกเลิกนิโดนนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
จึงต้องย้ายแผนสร้างโรงไฟฟ้าด้วย ซึ่งต้องตกลงกับกฟผ.ให้ชัดเจนว่าย้ายไปที่ไหนระบบส่งจึงรับได้
ซึ่งก็มีหลายทางเลือก เช่น นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย, นิคมอุตสาหกรรมที่อ่างทอง
น่าจะสรุปจบได้ใน 3 เดือนนี้
และมีอีกข่าวเรื่องโรงไฟฟ้าที่จะหมดอายุจะไม่ได้สร้างต่อก็ไม่จริง
บริษัทมีตกลงและมีมติ กฟช.แล้ว โดยทางรัฐมนตรีมีการทบทวน แผนการสร้างเดิม
ให้เป็นแบบ repowering ซึ่งทางเราก็เห็นด้วย จะทำให้เราขายถูกลง และลงทุนน้อยลง ขายได้อีก 10 ปี
TVD
บริษัททำธุรกิจ direct marketing คือทำการตลาดแบบตรงสู่ผู้บริโภค ขายผ่านสื่อทีวี call center online
จนเมื่อ3 ปีก่อน online ในไทยก็เข้าสู่จุดเปลี่ยน สำคัญ จึงแยกออกไปเรียกเป็นช่องทาง online marketing
เมื่อก่อนเราขายของผ่านสื่อทีวีเป็นหลัก ซึ่งสามารถเข้าถึงผู้บริโภคและตอบรับได้รวดเร็วที่สุด
แต่ปัจจุบันเราเปลี่ยนมาใช้สื่ออะไรก็ได้ที่จะเข้าถึงผู้บริโภคแบบนี้ได้
โมเดลการการขายสินค้าทางทีวีของเราบางครั้งได้กำไรบางครั้งขาดทุน
แต่เราได้รายชื่อลูกค้ามา และให้เขาซื้อซ้ำ ซึ่งการซื้อครั้งที่ 2,3,4 ขึ้นไปจะทำให้เราได้กำไรยั่งยืน
ถ้าสินค้าหรือบริการไม่ดี ลูกค้าจะไม่ซื้อซ้ำ
บริษัทมีการปรับตัวอยู่ตลอด ตามความต้องการลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อก่อนลูกค้ารอสินค้า 7 วันได้ สมัยนี้ต้องการสินค้าเร็ว
หลายปีก่อนคนดูทีวี กับคนดูหนังสือพิมม์ เป็นคนละคนกัน
แต่พอมีโทรศัพท์พัฒนาได้ดีขึ้น คนก็หันไปดูในโทรศัพท์ได้แทน
จาก Single channel ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็น Multi Channel
หรืออย่างหนังสือพิมพ์บางเรื่องก็มีคนเอามาอ่านในทีวีให้ฟังแทน
เกิดการเชื่อมโยงช่องทางมากขึ้น จึงต้องเปลี่ยนมาทำ Cross channel
และเมื่อ 3 ปีก่อน มี 3G เข้ามาทำให้การใช้งาน data เร็วขึ้น และคนไทยใช้งานมากขึ้น
ทำให้ยอดค้าปลีกของไทยพร้อมทำ online กันแล้ว จึงทำให้ผู้ขาย online มาประเทศไทยกันหมด
แต่ทั้งนี้บริษัทที่เข้ามาก็ไม่ได้จะรอดทุกราย จะคล้ายกันตอน Hypermarket เข้ามาประเทศไทย
ช่วงที่เข้ามาก็แข่งขันลดราคา,ตัดราคากัน จนทำให้ผู้บริโภคติดใจ จึงต้องรอดูกันต่อไปว่าใครจะรอด
ซึ่งเราก็ปรับตัวมาทำ Omni channel ต้องเลือกวิธีให้เหมาะสมกับช่องทาง
ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปสามารถดูสื่อไปพร้อมกันได้มากกว่า 1 อย่าง ดูทีวีไป อ่านไลน์ไป
เช่น ดูทีวีหรือคอลเซ็นเตอร์ต้องพูดเร็วๆคนไม่อยากรอ แต่สิ่งพิมพ์คนจะดูช้าๆค่อยๆดู
เราจึงให้บริการสินค้าทุกช่องทางให้ได้ประสบการณ์เดียวกัน ทั้งค้าปลีก,online, tv, call center
ปัจจุบัน TV ยังเป็นช่องทางหลักของรายได้ มีช่องเยอะขึ้น แต่ air time ก็แพงขึ้นมากเทียบกับคนดู
เมื่อก่อน 1 นาที มีคนดู 4 หมื่น แต่วันนี้ 1 นาที มีคนดูไม่ถึง 3 พัน แต่ราคาซื้อ air time ลดลงราว 50%
พอช่วงโฆษณาคนก็หันไปดูเฟซบุ๊ค (ประเทศไทยมีบัญชีเฟซบุ๊ค 49 ล้านคน)
สัดส่วนสินค้าเรามี health&beauty ไม่เยอะ เพราะเคยมีประสบการณ์ตอนปี 1999 สินค้ากวาวเครือ
ซึ่งมีผลทดสอบทางคลินิคและผลวิจัยว่าช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ขายได้ถล่มทลาย
จน อย.ออกมาบอกว่าใช้ไม่ได้ ทำให้กวาวเครือตายใน 2 วันเลย
บริษัทจึงพยายามไม่พึ่งพาสินค้าเด่นๆเพียงชนิดเดียว
เรามีสินค้าที่นำเข้า,สั่งผลิตเอง และซื้อมาขายไป อย่างช่วงนี้เรามีสินค้า big vision, portable toilet
ซึ่งเป็นสินค้าที่บริษัทพัฒนา ต้องทดสอบจนมั่นใจแล้วจึงนำมาขาย
ช่วงต้นปีที่ผ่านมาเราอยากลุยสินค้า Health&beauty มากขึ้น
เห็นช่องอื่นทำได้ เช่น ถังเช่า,เห็นหลินจือ อยู่ได้พักนึงพอมีปัญหา magic skin ขึ้นมา ก็หายกันไปหมด
จึงมี slot ว่าง ก็เป็นโอกาสของเราในการเข้าไปขายสินค้า แต่ก็แนะนำอย่างระมัดระวังเพราะเป็นบริษัทมหาชน
สินค้าของบริษัทมีกระบวนการให้ทดลองใช้ ซึ่งผลตอบรับก็มีอัตราสั่งซื้อที่ดี
TPIPP
ธุรกิจเป็นบริษัท Waste to energy(ขยะสู่พลังงาน) ที่ใหญ่สุดในไทยและอาเซียน
บริษัทมี 2 ธุรกิจ คือ สถานีบริการน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ แต่ไม่มีนโยบายขยายในธุรกิจนี้
โดยแผนการเติบโตจะอยู่ในธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งหมด
ปัจจุบันบริษัทมีโรงไฟฟ้ามี 6 โรง 220 MW ลูกค้าหลัก 2 รายคือ
บริษัทแม่ TPIPL ขายในราคาเดียวกับ กฟผ. อยู่ที่ 2.9-3.0 บาท (ราคาเปลี่ยนทุก 4 เดือน)
และลูกค้าอีกรายคือ EGAT 2.9-3 บาท + Adder 3.5 บาท ซึ่งสูงกว่าที่ขายให้บริษัทแม่
สัดส่วนกายขายให้ TPIPL 40 MW ขายให้ EGAT 180 MW
โดยเงื่อนไขที่ขายให้ EGAT คือต้องใช้ RDF 75% ในรอบปี และใช้เชื้อเพลิงเสริมไม่เกิน 25% ในรอบปี
ซึ่งอีก 40 MW ไม่สามารถทำได้ติดที่ RDF และรัฐยังไม่ได้เปิดให้ประมูลเพิ่ม
แผนที่กำลังดำเนินการ
โรงไฟฟ้าที่ 7 ถ่านหิน 70 MW อยู่ระหว่างเข้าบอร์ด กฟพ. คาดว่าจะจบภายในไตรมาส 2
หรืออย่างช้า COD ได้สัปดาห์ที่1 ของไตรมาส 3
โรงไฟฟ้าที่ 8 ถ่านหิน 150 MW ดำเนินการประชาพิจารณ์รอบ4 เมื่อ 22 พ.ค.61 เรียบร้อย
โดยกฟพ. กำลังดำเนินการต่อตามขั้นตอน น่าจะ 2 เดือน เสร็จปลายเดือน 7 ถึงสัปดาห์แรกเดือน 8
ความแตกต่างของเรากับที่อื่น คือ เรามีโรง RDF เอาขยะเข้ามาแล้วใส่แล้วค่อยนำไปผลิตไฟฟ้า
แต่ที่อื่นจะมีปัญหา ความชื้นสูง,คุณภาพขยะ และองค์ประกอบต่างๆไม่พร้อมที่จะเผาตรง
และอีกเรื่องหนึ่งเราเริ่มมี model ธุรกิจใหม่ โดยไปคุยกับบ่อขยะ โดยตั้งโรงคัดแยกเบื้องต้น
เลือกบ่อขยะที่มีศักยภาพมีปริมาณมาก และให้ส่งขยะมาที่เราอย่างเดียว
ทำให้เราสามารถมั่นใจว่ามีวัตถุดิบเข้าการผลิต
,มีต้นทุนในการดำเนินการต่ำลง และได้ค่าเช่าเครื่องจักรจากทางบ่อขยะด้วย คืนทุนได้ 2-3 ปีต่อโรงคัดแยก
วัตถุดิบขยะ มี 2 ส่วน จากเทศบาลส่วนใหญ่จะฟรี ไม่มีเครื่องคัดแยก ขนและส่งมาเลย
สำหรับเอกชนเราแนะนำให้ติดเครื่องคัดแยกขยะ แล้วค่อยส่งมาที่เราซึ่งจะเปียกและหนักขนส่งได้น้อย
จำนวนขนส่งต่อเที่ยวได้มาก และคุ้มค่าสำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย
ค่าความร้อนเกิน 2500 Kcal จะจ่ายเงินให้ แต่ถ้าต่ำกว่า 2500 Kcal จะไม่จ่ายเงิน
การวัดค่าความร้อนของขยะ จะใช้วิธีสุ่ม 4-5 จุด แล้วนำไปวัดค่าใน Lab
ขยะอิเลคทรอนิกส์ หรือของแปลกปลอมถ้าเกิน 0.1% จะหักราคา ถ้าเกิน 0.2% จะ reject ไม่รับวัตถุดิบ
ประเด็นความเพียงพอของวัตถุดิบ
โรงที่ 7,8 เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นหลัก ขายให้ TPIPL บริษัทแม่ และบริษัทก็ซื้อวัตถุดิบจาก TPIPL ด้วย
โดย TPIPL อยู่ในธุรกิจถ่านหินมากว่า 25 ปี ไม่น่ามีปัญหาในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามเราสามารถซื้อถ่านหินจากบริษัทแม่หรือผู้ขายรายอื่นก็ได้ขึ้นกับราคา
ส่วนโรงเดิม(1-6) มี model ธุรกิจที่บริษัทจองขยะไว้สำหรับทั้ง 6 โรงแล้ว
สำหรับ โรง 7 สามารถผลิตได้ทั้งถ่านหินและ RDF ซึ่งสามารถสำรองในการผลิต RDF
ได้ถ้าหากโรง 5,6 มีปัญหาจะไม่เสียโอกาสขายให้ EGAT
ประเด็นด้านการประท้วงการทำโรงไฟฟ้าถ่านหิน ว่าจะสร้างมลภาวะ แต่มักไม่ใช่คนในท้องที่มาประท้วง
สำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินของบริษัทที่สร้างที่สระบุรีไม่น่ามีปัญหาเพราะคนเข้าใจว่ามีถ่านหินที่สะอาด
และบริษัทที่อยู่โดยรอบก็มีธรรมาภิบาล รวมถึงบริษัทก็มีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในชุมขน
AUCT
ธุรกิจประมูลรถ เป็นกลางน้ำของสินเชื่อรถยนต์
90% ของการซื้อขายรถในไทยต้องผ่านธุรกิจสินเชื่อ และมีหนี้เสียประมาณ 2%
โดยสหการประมูลอยู่ตรงกลางเมื่อมีหนี้เสียแล้วไฟแนนซ์จะบริหารหนี้เสียต่อ
และเต๊นท์รถมือสองก็เป็นผู้รับซื้อมาขายต่อ 95% เป็นลูกค้าสหการประมูล
ผู้ขายอยากขายราคาสูงสุด ผู้ซื้ออยากซื้อราคาต่ำสุด
บริษัทจึงต้องมีธรรมมาภิบาล ถึงจะเป็นตัวกลางในห่วงโซ่อุปทานได้
ตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์มากำไรช่วงที่ผ่านมาย่อตัวลง โดยปี 61 ไตรมาสแรกก็ฟื้นกลับมา
บริษัทเปิดมา 27 ปี อุตสาหกรรมมีดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่บริษัทไม่เคยขาดทุน
Platform ของสหการประมูล
1.เราไม่มีที่ดินของตัวเอง ข้อเสียจึงไม่มีกำไรจากที่ดิน แต่ข้อดีคือเราไม่มีภาระ
เนื่องจากเราต้องใช้ที่เยอะมาก ต้องจอดรถปีละ 3 หมื่นคัน ถ้าหากซื้อที่วันนี้ไม่รวยก็อาจเจ๊งได้
2. เราไม่มี stock รถยนต์ 5-8 หมื่นคัน มอเตอร์ไซค์เป็นแสนคัน
3. เราไม่มีดอกเบี้ย ถ้าดู ROE,ROA จะเห็นว่าใช้ได้
ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจต้นน้ำไม่ได้ขายน้อยลง แต่เป็นความรู้สึกผู้บริโภค
และผลกระทบจากกฏหมายบางข้อเกี่ยวที่ควบคุมการยึดรถผ่านขั้นตอนมากขึ้น
รวมถึง บริษัทที่ส่งรถให้มีเทคนิคบริหารหนี้ไม่ให้เสียที่ปีใดปีหนึ่ง จึงทำให้มีรถเข้ามาน้อยลง
ปลายปีที่แล้วเริ่มมี stock เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าเทียบกับ 2 ปีก่อน
ซึ่งบริษัทมองว่าคนสมัครใจที่จะยอมโดนยึด เพราะติดหนี้แล้วจะมีปัญหาในเครดิตบูโร และก็ใช้รถมาสองสามปีแล้ว
ถ้าคืนรถและหักหนี้ไปได้เยอะ เป็นความลงตัวของลูกหนี้กับเจ้าหนี้
เมื่อสองปีก่อน รถไหลเข้าก็รถไหลออกบริษัทใกล้เคียงกัน แต่วันนี้รถไหลเข้ามากกว่ายอดประมูล
คาดว่าในไตรมาส 3-4 ไปจะมีการประมูลสูงขึ้นทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์
ที่จริง มอเตอร์ไซค์มีการเคลื่อนไหวมาก่อนรถยนต์แล้ว น่าจะ 8-10 เดือนก่อน
แต่รถยนต์เพิ่งจะเริ่มมาเมื่อ 4 เดือนก่อน
รายได้บริษัท ได้จากรถยนต์ คันละ 8 พันบาท, จักรยานยนต์ได้คันละ 1.5 พันบาท
ซึ่งรายได้มาจากการประมูลออก แต่ไม่ได้เงินจากรถเข้า
ต่อไปถ้ารถยนต์ราคาลดลงไประดับหนึ่ง ผู้บริโภคก็จะเปลี่ยนพฤติกรรม
เช่น คนอินเดียที่เปลี่ยนจากมอเตอร์ไซค์ เป็นรถซิตี้คาร์ของทาทา
3 ปีที่ผ่านมาเราก้าวไปหาตลาด end user ซึ่งพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงเร็ว
และต้องเข้าถึงใจเขาจริงๆ ต้องมีบริการรองรับ
ที่ผ่านมาเราปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อบริการลุกค้ารายย่อย
การซื้อรถมือสอง ต้องหาเพื่อนช่วยเชค บริษัทมีการตั้งสถาบันตรวจสอบรถยนต์
รายได้บริษัทจะไม่ได้มาจาก ค่าขนย้ายรถยนต์ ค่าตรวจสอบคุณภาพ ค่าปรับปรุงคุณภาพ
รายได้ธุรกรรมการประมูลต่อไปจะลดลง แต่บริษัทเพิ่มรายได้การบริการ
ต่อไป บริษัทจะมีสถาบันที่จัด event รายใหญ่เข้ามาให้การันตีรถยนต์ให้
end user จะสามารถเข้าประมูลผ่าน online ได้ที่เห็นแต่ภาพรถยนต์หรือข้อมูล
ซึ่งจะเป็นภาระบริษัทเพิ่ม แต่ก็เป็นโอกาสในการขาย
รถยนต์ขายปีละล้านคัน ต่างประเทศใช้รถ 3-5 ปี แต่บ้านเราใช้ 10 ปี
สมมติมองว่าใช้รถยนต์ต่อ 5 ปี แสดงว่ามีรถให้จับ 5 ล้านคัน
ถ้าขอแค่ 2 ล้านคัน และได้มา 4% จากตรงนั้นรายได้บริษัทก็จะเพิ่มสามเท่าจากวันนี้
นอกจากประมูลรถยนต์ มีรายได้จากประมูลอย่างอื่น 4% เช่น ประมูล 4G,ประมูลเลขสวย,ประมูลให้หน่วยงานรัฐ
เช่น ปปส. ฯลฯ นอกจากมี technology แล้วต้องมีธรรมาภิบาลจึงจัด
ผลดำเนินงานไตรมาสที่ 1 และแนวโน้มข้างหน้า
BGRIM
4 ปีข้างหน้า 2938 MW เติบโต 64% โดยระหว่างนี้ก็ยังมีเพิ่มเติม เช่น เซ็นสัญญา 420 MW
เป็นโซลาร์เวียดนามเพราะเรามี connection ที่แข็งแรงกับ partner และอาจจะมีอีก 600 MW
เป้าหมายในอีก 4 ปีข้างหน้าคือ 5,000 MW
รายได้ของเรา SPP 90% Renewable 10% โดยกำลังขยาย renewable มากขึ้น เป้าหมายคือ 70:30
รายได้จะเติบโตตามจำนวนโรงไฟฟ้าและจำนวน MW ที่เพิ่มขึ้น
รายได้ปี 60 3.1 หมื่นล้าน ปี 61 ไตรมาส 1 8 พันกว่าล้าน โดยกำไรเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน
เป็นไปตามแผนและเป้าหมายทั้งหมด จึงมั่นใจเราเป็นหุ้นพื้นฐานในระยะยาว
อัตรากำไร renewable แสงแดดแข่งขันกันสูง ขณะเดียวกัน 18-25% แต่ Solar จะได้ 12-15%
ซึ่งขยายไปเวียดนามเพราะ ได้ Tariff ที่สูง และเพิ่งเปิดช่วงแรก จึงเป็นโอกาสของเรา
และเรามีพันธมิตรเป็นยักษ์ใหญ่ของจีน Energy china และ Power china
ซึ่งเขาต้องการทำแค่ turn key contractor แต่ถ้าจะถือหุ้นเขาต้องไปขออนุมัติพรรคคอมมิวนิสต์อะไรต่างๆ
ที่ผ่านมาการลงทุนของเราอยู่ใน Budget และ ประสิทธิภาพสูงกว่าที่คาดทั้งหมด
ความท้าทายธุรกิจ มี disruptive change การเข้ามาของ solar roof top และ renewable เพราะต้นทุนลดลงเร็ว
เราจึงต้องมีการปรับตัว ไม่ได้ทำแค่ conventional มีทำ solar และ renewable
ตอนนี้ได้สัญญาในมืออีก 70 MW ที่ยังไม่ได้ประกาศ และยังมีโครงการใหญ่ที่กำลังตามมา
การเข้ามาของ Solar roof top เป็นอุปสรรคสำหรับบริษัท
ถ้าหากลูกค้าอยากติดตั้งโดยยังไม่มี battery, energy storage จะส่งผลกระทบกับเรา
เนื่องพวกระบบส่ง distribution network ที่ใช้งานบริษัทเป็นผู้สร้างและเป็นเจ้าของเอง
แต่ตอนนี้ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากลูกค้าเป็น high technology
การประหยัดไฟจาก solar roof top ไม่สำคัญ เท่ากับจ่ายไฟฟ้ามีประสิทธิภาพได้นิ่งๆ
SPP เป็น must run ถึงแม้ไฟฟ้าจะเกิน แต่ EGAT ก็ต้องซื้อตามสัญญา ได้ทั้ง capacity charge, energy charge
ไม่เหมือน IPP โรงใหญ่อาจไม่ซื้อแล้วได้รับแต่ capacity charge
เรื่องปริมาณวัตถุดิบแก๊สไม่มีความเสี่ยง แก๊สต้องผสมกับ LNG อยู่แล้ว ซึ่งมีแหล่งใหม่ๆ เกิดขึ้นในโลก
เทคโนโลยีการขนส่ง การเปลี่ยนจากแก๊สเหลวให้เป็นไอ ถูกลงและมีประสิทธิภาพขึ้นเรื่อยๆ แก๊สจึงไม่มีทางหมดไป
TVD
ปี 2016 ไตรมาสสุดท้ายมีเหตุการณ์พิเศษ โฆษณาไม่ได้ 2 เดือน ติดลบเกือบ 60 ล้านได้
ซึ่งกระทบต่อมาถึงปี 2017 ที่ยังมีควบคุมที่ทำไม่ได้หลายเรื่อง
จนปลายปีที่ผ่อนรถคันแรกหมด กำลังซื้อน่าจะกลับมา ซึ่งผลคือกลับมาในไตรมาส 4
ประเทศไทยมีความหลากหลาย เราเกิด Fragmentation คือ ทุกคนกำลังแตกตัว
สมัยก่อน เพศแยกหญิงชาย ต่อมามีเพศสภาพ,
เพศทางเลือก ก็มีเกย์,ทอม,ดี้ และแค่เกย์อย่างเดียวก็มีแยกอีก 4 อย่าง
หรือในทางสากลก็แยกอีกถึง 26 เพศสภาพ จึงมี segment ต่างๆที่หลากหลายขึ้น
เช่น ทำเครื่องสำอางค์ ครีม 1 ตัว ทำขายคนอายุ 20,30,40,50 ก็ต้องมีส่วนผสมไม่เหมือนกัน
ทำให้การทำตลาดแบบเดิมเหมือนๆกัน จึงทำได้ยากขึ้น
ทุกวันนี้การดูทีวี นอกจากดูใน device ต่างๆแล้ว ยังมีพฤติกรรมการแห่ตามไปดู
การวางแผน media จึงจัดการได้ยากขึ้นมาก วันดีคืนดีคนหายไปหมดเลย หรืออาจจะเปลี่ยนใจกลับมา
ปี 2017 เราเริ่มตั้งธงได้ตั้งแต่ปลาย Q3 และกลับมาลุยซื้อ media
เดือนหน้าเราจะใช้สื่อ 20% ของงบ ลงโฆษณาในเฟซบุ๊ค
เฟซบุ๊คมีเวลา 3 วินาที ที่จะให้คนหยุดดู (thumb stopper) ซึ่งเราก็ได้เตรียมการร่วมกับทีมเฟซบุ๊คแล้ว
ตั้งแต่ Q3 เป็นต้นไปจะเห็นการเติบโตใน online
เราใช้ช่องทาง market place เป็น Platinum partner ของ shopee และกำลังจะทำใน Lazada ด้วย
เขาทำงานกับเราเพราะเรามีสินค้าของตัวเอง รวมถึง google ที่จะเป็นสิ่งที่เราทำ
TPIPP
ปี 17 รายได้ 4.9 พันล้าน กำไร 2.4 พันล้านบาท(เฉพาะ Net operating ไม่รวมผลจากอัตราแลกเปลี่ยน)
Q1 ปี 18 รายได้ 1.3 พันล้าน กำไร 6.5 ร้อยล้าน ซึ่งถ้าคูณ 4 ตีออกมาทั้งปีราว 5.4 พันล้าน
แต่ Q1 เรายังมีโรงไฟฟ้า 5 โรง 150 MW โดย COD โรงที่ 6 เพิ่งเริ่มรับรู้ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา
เป็น RDF ขายให้กฟผ. และโรง4 เราเริ่มปรับจากขายให้บริษัทแม่มาขายให้ EGATก็จะทำให้รายได้เพิ่มขึ้น
โรง 6 ที่เริ่มเดิมช่วงแรกในเดือน 4 ต้องมีการ ramp up โดยเดือน 5 ก็ขึ้นมาเป็น 9x% ต้นๆแล้ว
เป้าหมายคือ 95% ขึ้นไป
โรง 7 เสร็จก็จะเข้ามาช่วงเรื่องรายได้และกำไร แต่คงไม่ได้ช่วยก้าวกระโดด เพราะโรงไฟฟ้าถ่านหินอัตรากำไรไม่สูง
โรง 8 ก็จะมีรายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 3-4
ช่วงต้นปีมีข่าวที่กระทรวงฯจะไม่รับซื้อพลังงานทดแทน ซึ่งทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องราคาลดลงมา
จนเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา มีการออกมาให้ข่าวจากกระทรวงฯ ให้ชัดเจนว่าไม่รับซื้อพลังงานทดแทน
ยกเว้น 2 อย่าง คือ ขยะ และโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งของเรายังรับซื้ออยู่
ถัดมาอีกการประกาศเรื่องประมูลโรงไฟฟ้า Quick win 78 MW เพิ่มเป็น 378 MW
ซึ่งเปลี่ยนวิธีการประมูล เมื่อก่อนส่วนกลางเปิดประมูล และเอกชนเข้ามาแบ่งกัน
แต่ปัญหาคือ ผู้ที่ประมูลไม่สามารถทำได้สำเร็จ ก็เอาไปขาย
ซึ่งผิดจุดประสงค์การเปิดประมูล ต้องการให้เอาขยะไปทำโรงไฟฟ้า
จึงเปลี่ยนมาประมูลแบ่งแยกให้เทศบาล หรือ อบจ. แต่ละจังหวัด ประมูลเอง
ออก TOR ให้เอกชนไปประมูล กับ อบจ. หรือเทศบาลโดยตรง
น่าจะมีประมูลออกมาเรื่อยๆ เช่น ปลายปีก่อนที่ นนทบุรี
เป็นการประมูลโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ นนทบุรี 20 MW
ซื้อซองและศึกษาหลายๆอย่างแล้วไม่คุ้มทุนสำหรับเราจึงไม่ได้ประมูล
จะมีเปิดประมูลอีก 4-5 โครงการ คาดว่าเราจะเข้าไปร่วม แต่จะยื่นประมูลหรือไม่ขึ้นกับความคุ้มค่าและความเสี่ยง
เช่น RDF ที่เราลงทุนไปแล้ว IRR 45-50% อัตรากำไรดี แต่ก็มีความเสี่ยงเพราะเป็นขยะ และขายให้กับรัฐ
แต่ถ่านหิน IRR 15% แต่ความเสี่ยงต่ำ
AUCT
บริษัททุนจดทะเบียน 137.5 ล้าน ปีที่เข้าตลาดกำไร 200 กว่าล้าน ปีที่สองกำไรลดลง 180 กว่าล้าน
ปีที่แล้ว 130 กว่าล้าน ปีนี้ไตรมาส 1 เป็นไปตามคาด กำไร 40 กว่าล้าน
สิ้นปีนี้บริษัทอยากได้กำไรสูงกว่าปีแรกที่เข้าตลาด
ความเสี่ยง ทุกธนาคารและทุกไฟแนนซ์ให้รถเกิน 80% แต่ถ้าธนาคารไม่ให้ขึ้นมาก็เป็นความเสี่ยง
2 ปีก่อน การซื้อรถสถาบันทั่วไปไม่เพิ่ม แต่สถาบันรถเช่าเพิ่มเป็น 100%
องค์กรขนาดใหญ่ ไม่ซื้อรถใช้เอง แต่ซื้อตามสถาบันให้เช่า
ซึ่งรถพวกนี้ใช้ปีเดียวก็เอาเข้ามาปล่อยแล้ว ช่วยลดความเสี่ยงที่เราต้องพึ่งพอรายใหญ่
เรามีเงินสดเยอะ กระแสเงินสดดี มีเวลาพอสมควรกว่าจะส่งกลับไปสู่ผู้ขายรถ
เราได้รับอาณิสงค์จาก fair price การเปลี่ยนแปลงธุรกิจอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ราคาอยู่ที่ไหน
แต่เราเสนอให้มาประมูล เป็นเรื่องที่เราตั้งใจบอกว่าการประมูลเป็นการซื้อขายที่ fair price ให้กับสินค้า
เมื่อก่อนเราใช้สถิติกำหนดราคา วันนี้เราใช้ life style
เรามอง end user รายได้เราสามารถเพิ่มสามเท่าโดยไม่ต้องใช้เงินทุนเพิ่ม
อัตราปันผลเราไม่ต่ำกว่า 40% (ปีก่อนจ่าย 100%) จ่ายปันผล 3% กว่า
อัตรากำไรขั้นต้น 50% กว่า อัตรากำไรสุทธิ 23-24% ซึ่งน่าจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
ประเทศไทยมองว่าอย่างไรก็ต้องใช้รถยนต์ แม้มีรถไฟฟ้าการอยู่บ้านจัดสรรอย่างไรก็ต้องต่อรถยนต์
เชื่อว่ารายได้หลักของบริษัทจะเกิดจากยานพาหนะไม่ว่าจะเปลี่ยนจาก engine เป็น ไฟฟ้า
ยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงบริษัทก็จะได้ประโยชน์จากการที่ไม่รู้ว่าราคาอยู่ตรงไหน ซึ่งบริษัทจะเป็นตัวกลางให้
การประมูลรถจะผ่าน e-market ได้ไหม?
บริษัทพัฒนา e platform ของตัวเองแล้ว แต่ต้องมีการสื่อสารทำให้ลูกค้ารายย่อยเปลี่ยนพฤติกรรม
จากการซื้อที่เต๊นท์มาซื้อที่บริษัทแทน เช่น ผ่าน market place หรือ facebook ก็น่าสนใจ
เราจัดประมูล 365 วัน น่าจะรองรับความต้องการของลูกค้าได้ สามารถดู Live การประมูลได้
เชื่อว่าถ้าใครเคยประมูลเองจะพบว่าราคาถูกกว่าการไปซื้อจากที่อื่น
แต่บริษัทก็ยังต้อง balance ระหว่าง ลูกค้ารายเก่าที่เป็นเต๊นท์รถ และ end user
ปิดท้าย
การลงทุนมีความเสี่ยง ตัดสินใจให้ดีก่อนการลงทุน
กำไรเกิดจากท่าน ขาดทุนเกิดจากท่าน รายการให้ข้อมูลมีเวลาสั้นๆ ยังมีช่องทางอื่นๆ ศึกษาเพิ่มเติมให้ดีก่อน
ช่วงที่ 2 ทางพี่อมร จะเป็นผู้สรุปให้นะครับ ขอบคุณมากคร้าบ
__________________________________________________________
ข้อมูลที่จดหากมีคลาดเคลื่อนขออภัยไว้ด้วยครับ
สามารถดูรายการเต็มได้ใน Money channel และ Youtube ครับ
ขอบพระคุณ พี่หมอเค อ.เสน่ห์ และผู้บริหารทุกท่านที่สละเวลามาสัมภาษณ์และ
ให้ข้อมูลเพื่อประกอบการการลงทุนครับ
ขอบคุณอ.ไพบูลย์ อ.นิเวศน์ และทีมงาน Moneytalk ,ตลท.ทุกท่าน
ในการจัดงานสัมมนาให้ความรู้ครับ
Special thanks to คิม และทีมถ่ายทอดวันนี้ดูผ่าน FB Live ครับ
สัมมนาพิเศษ Moneytalk@MAI Forum 1ก.ค.61
โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ชั้น 22
งานเริ่มตั้งแต่สิบโมง ไม่ต้องจอง สัมมนาเริ่ม 16.00 น.
หัวข้อ 1 MAI เล็กดี รสโต จริงหรือ ดร.นิเวศน์,คุณโจลูกอีสาน
หัวข้อ 2 วิเคราะห์ เจาะหุ้นเด่น เทรนด์การลงทุนครึ่งปีหลัง ดร.วิศิษฐ์,คุณเทิดศักดิ์
ผู้ดำเนินรายการ อ.ไพบูลย์,อ.เสน่ห์
MoneyTalk@SETครั้งถัดไป>>14 ก.ค.61
หัวข้อ1 เจาะลึกหุ้นเด่น irpc,amatav,seafco,scn
หัวข้อ2 ทิศทางหุ้นไทยครึ่งปีหลัง คุณมนตรี,ดร.วิศิษฐ์,คุณกวี,ดร.นิเวศน์
เปิดจองเสาร์ 7 ก.ค.61