MoneyTalk@SET27May2018หุ้นเด่น&กลยุทธ์ฝ่ากิเลสหุ้น
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 27, 2018 8:01 pm
Moneytalk at SET 27/5/61
ช่วงที่ 2 “กลยุทธ์ฝ่าความร้อนรุ่มของกิเลสจากหุ้น”
แขกรับเชิญ 1. คุณ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย 2. คุณ ชาย มโนภาส 3. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผู้ดำเนินรายการ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
Intro อ.เสน่ห์
ยามหุ้นขึ้น ระรื่นยิ้ม อิ่มเอมจิต ยามหุ้นลง ปลงชีวิต คิดหงอยเหงา
เดี๋ยวร้อนรุ่ม เดี๋ยวกลุ้มใจ ไม่บรรเทา กิเลสเร้า เข้าหรือถอย คอยพะวง
ฟังหลัก คิดจิตสบาย ได้คลายหยุด กลยุทธ์ ฝ่าร้อนรุ่ม หรือลุ่มหลง
กิเลสหุ้น วุ่นวาย ไม่มั่นคง ได้ยืนยง ลงทุนยาว เข้าตำรา
คุณดนัย ใจยึดมั่น จันทร์เจ้าฉาย รู้ความหมาย ใช้ชีวิต จิตหรรษา
ไวท์โอเชียน เขียนให้อ่าน ผ่านสายตา มีธรรมา ในหัวใจ ไร้เงินทอน
คุณชาย โก้ มโนมาส มาดสุขุม นายกหนุ่ม ไทยวีไอ ไม่หยุดหย่อน
เลือกหุ้นดี ซีจีเด่น เป็นขั้นตอน ไม่รุ่มร้อน ช้อนหุ้นชัวร์ ไม่กลัวช้า
ดร.นิเวศน์ เหมวชิร วรากร ไม่เคยคลอน หลักวีไอ ใช้ฟันฝ่า
หลบรุ่มร้อน อย่างไร ใช้วิชา รู้รักษา ตัวรอด เป็นยอดดี
ดร.ไพบูลย์ บ้านหมุนบ่อย อยากปล่อยของ ให้มุมมอง การลงทุน หุ้นวิถี
ทันกิเลส ทันโลภา มาราวี เตรียมพร้อมพลี เมื่อความตาย หมายมาเยือน
Intro อ.ไพบูลย์
จากการสอนหนังสือมา 30 ปี ทั้งเมืองนอกและเมืองไทย วิชาการทั้งหลาย
ที่ไปสร้างความเจริญความมั่งคั่งต่างๆ คิดว่าวิชาที่มีสาระน้อยที่สุด คือ บริหารธุรกิจ
และในวิชาบริหารธุรกิจ ที่สร้างกิเลสทางลบมากสุด คือวิชาการเงิน
เพราะเป็นตัวเลขเดิมไม่ได้สร้างอะไรเพิ่ม แต่ไปคิดให้มันพองออก
และในวิชาการเงิน วิชาที่แย่ที่สุด คือ การลงทุนในหุ้น
เมื่อก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นจะมีแต่กิเลส หุ้นขึ้น อยากให้ขึ้นอีก โลภ ถ้าขายไปก่อนก็ โกรธ หุ้นตกก็โกรธ
สัมมนาวันนี้จึงเป็นแนวทางจะทำอย่างไรให้เดินทางในสายที่สงบเย็นได้
กิเลสคืออะไร?
คุณดนัย กิเลส คือ ความไม่พอใจในสิ่งที่มี ความไม่ยินดีในสิ่งที่ได้
ภาษาธรรมะ กิเลสแปลว่าธรรมที่เป็นเครื่องเศร้าหมอง มี 16 ตัว
เป็นสิ่งที่เกิดกับตัวกับใจเราแล้วรู้สึกไม่พอ ไม่สบายใจ ตรงกันข้ามกับธรรมะอยู่ข้อหนึ่งคือ
จงพอใจในสิ่งที่มี จงยินดีในสิ่งที่ได้
อยากให้ลองสังเกตว่าตัวเราเองอยู่ตรงไหน….
ถ้าเราพอใจ สภาวะที่เกิดข้างนอกจะไม่กระทบกับเราเท่าไร ใจเราจะไม่แกว่งขึ้นแกว่งลง
ลองสังเกตใจในวันที่หุ้นขึ้นลงมากๆ เป็นการทำงานของกิเลส แสดงว่าเราฝากชีวิตฝากหัวใจไว้กับข้างนอก
ถ้าไม่ได้เอาใจของเราไว้กับตัวเราเอง ปัจจัยภายนอกเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ยากที่สุด
ทุกวงการเกิดเรื่องราวตลอดเวลา อย่างเรื่องลบที่เกิดขึ้นในวงการศาสนา
สิ่งที่เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ที่ทำให้พระไม่เป็นพระมี 2 ข้อ คือ สตรี กับ สตางค์ แต่เบื้องหลังก็คือ กิเลส นั่นเอง
กิเลสที่เกี่ยวกับหุ้นมีอะไรบ้าง?
คุณชาย มีเซียนหุ้นท่านหนึ่งเคยบอกไว้ว่า นักลงทุนหุ้นมีความสุขยาก
เวลาได้กำไรมา แสนนึง ก็ไม่มีความสุขอยากได้สองแสน
นักลงทุนจะมีความสุขได้ คือ ดาวเคราะห์ในจักรวาลต้องเรียงตัวมาเส้นเดียวกัน
คือ ซื้อได้จุดต่ำสุด ขายได้จุดสูงสสุด พอขายแล้วก็ต้องให้หุ้นลงไป จะได้ซื้อได้อีก
ซึ่งความจริงยากที่จะทำได้
มีคำพูดของ ชาลี มังเกอร์บอกว่า ความโลภไม่ได้เป็นตัวขับเคลื่อนโลภใบนี้
แต่กิเลสที่ผลักดันโลกใบนี้ที่แท้จริงคือ ความอิจฉา
ซึ่งก็อีกคำกล่าวหนึ่งว่า สนามหญ้าหน้าบ้านคนอื่น มักเขียวกว่าของตนเอง
ผลงานของคนอื่นดูน่าอิจฉาไปหมด เห็นรายชือคนอื่นติดผู้ถือหุ้นใหญ่ เห็นโพสต์โชว์พอร์ตในหน้าเฟซบุ๊ค
คนที่เห็นก็ใจร้อนรุ่นคนอื่นกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์แต่เราขาดทุน
มีคำกล่าวว่า ถ้าท่านหาความสุขในปัจจุบันไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะหาความสุขได้ในอนาคต
เพราะความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ปัจจุบัน ไม่ใช่ต้องพอร์ตสิบล้านพันล้านแล้วจึงจะมีความสุข ความสุขอยู่ที่ความเป็นปกติของจิต
ขณะที่นั่งฟังสัมมนาอยู่นี้จิตเป็นปกติ แต่พอตลาดหุ้นเปิดจิตก็ไม่ปกติ
หรือมีคนขับรถปาดหน้าก็ไม่ปกติ หรือสามีกลับบ้านช้าก็จิตฟุ้งซ่าน เพราะเอาใจไปยึดกับสิ่งภายนอก
ประวัติคนที่ประสบความสำเร็จมากมายในโลก ล่าสุดได้ดูซีรีย์พระเจ้าหลุยส์ที่ 14
อยู่พระราชวังแวร์ซายสวยงามโอ่อ่าแต่ไม่ได้มีความสุข ต้องหวาดระแวงตลอดเวลา
มันไม่ได้เกี่ยวว่ามีเงินมากจะมีความสุข ไม่ต้องรอมีพอร์ตเป็นพันล้านจึงมีความสุข บางทีจุดที่ไปถึงไม่ใช่เส้นชัย
การลงทุนจะมีความสุขต้องมีธรรมะประกอบด้วย ต้องมีสติ ต้องมีสมาธิ
ลองค้นหาคำว่า Mindfulness มีหลายคอร์สของฝรั่งมากหมายที่สอนเรื่องเหล่านี้
หรือองค์กรหลายแห่ง เช่น google ก็มีห้องให้พนักงานนั่งสมาธิ
หรืออย่าง MBA ของมหาวิทยาลัย จอร์จทาวน์ หรือ NYU ก็ให้ความสำคัญ
มีบทความใน Harvard Business Review เขียนถึงว่า ทำไม มหาวิทยาลัย NYU จึงสอนสมาธิในคอร์ส
อยากฝากว่า ว่าเรื่องเหล่านี้สำคัญ การลงทุน,การปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกัน เพื่อความสุขที่แท้จริง
ดร.นิเวศน์ เสริมว่า ตั้งแต่เป็นลูกศิษย์ Richard Dawkins ได้ปฏิบัติความคิดใหม่
มีหนังสือดังชื่อว่า selfish gene ใจความในหนังสือบอกว่า ที่จริงแล้ว พวกเราไม่ได้ เป็นเจ้าของชีวิตเราเอง
คนที่เป็นเจ้าของชีวิตคือ คุณ gene แต่เราเป็นเครื่องมือที่จะพา gene เอาตัวรอด
และเผยแพร่เผ่าพันธ์ให้มีโอกาสรอดสูงสุด และ คุณ gene จะสร้างตัวเอง วิวัฒนาการไปเรื่อย
ทำให้มี คุณสมบัติบางอย่าง เช่น สัตว์ทุกชนิดจะต้องมีความโลภ ไม่เช่นนั้นสัตว์ตัวนั้นจะตายไปหมด
สัตว์ที่ต้องอยู่ได้คือมีความโลภ รวมถึงความกลัวก็ต้องมี ถ้ามีแต่ความโลภอย่างเดียวก็ตายไปหมดแล้ว
ดังนั้นจะไม่ให้คนโลภทำไม่ได้ เพราะคุณ gene เป็นผู้สั่งให้เราทำ
ดังนั้นจึงป่วยการที่จะให้ลดความโลภลงไป ทุกคนถูกใส่ไว้แล้ว
คนหนึ่งอาจมีความโลภ 10 หน่วย อีกคนอาจมีความโลภ 12 หน่วย ทุกคนมีความโลภทั้งนั้นแตกต่างกันไม่มาก
ความกลัวก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีเจอเสือมาก็ตายหมดแล้ว
นอกจากนั้น อารมณ์ความใคร่ คนที่ไม่มีความใคร่ตายหมดแล้ว ต้องเข้าใจตรงนี้
หน้าที่เราคือ เอาคุณ gene ให้รอดให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะสูญพันธ์หมด
บางคนมุ่งไปที่เรื่องบางอย่างมากเกินไปอันตรายมาก ต้องมีหลายๆอย่างกระจายความเสี่ยง
กระจายความโลภออกไป บางคนเล่นหุ้นอยากได้มากๆเร็วๆ ต้องใช้มาร์จิ้น ต้องใช้ DW หรือ future เยอะๆ
ฝากไว้ว่าถ้าโลภเกินไปหรือหนักเกินไปก็อาจจะตายได้
คุณดนัย มีข้อมูลเรื่องมนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์มี 2 สาย
ยีนส์สายที่มีความเห็นแก่ตัวอยู่ไม่ได้ ยีนส์ที่มีความเกื้อกูล เอื้อเฟื้อจะอยู่ได้
เคยศึกษาหนังสือของ ชาลส์ ดาร์วิน ชื่อ The origin of species
มีสายที่อยู่รอดได้จะมีความโดดเด่นอยู่ข้อหนึ่งคือ adaptability ความสามารถในการปรับตัวเอง
ซึ่งมนุษย์มียีนส์หลายตัวและมีสัญชาตญาณบางอย่าง โดยเฉพาะ แกนกลางสมองเหมือนกัน เดรัชฉาน
แต่มนุษย์เป็นสัตว์สายพันธ์เดียวที่ตัวตั้งตรง
ซึ่งจากการวิจัยในทางสมอง แพทย์วิจัยพบว่า อะมิกดาล่า(แกนกลางสมอง)
คือส่วนที่มีความกลัว ความโลภ ซึ่งมนุษย์ที่มีการฝึกเจริญสติ อามิดาล่าจะเล็กลง
และนิวรอนที่เป็นตัวเชื่อมกับสมองที่รับความเจ็บปวดจะตัดหมดเลย
เคยได้กราบพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ไปผ่าฟันคุดทีเดียว 4 ซี่ โดยไม่ใช้ยาชาอะไรเลย
พระอาจารย์นิ่งเฉย แต่หมอฟันผู้ผ่าตัดกลับสั่น เป็นผลของคนที่ฝึกสติ
ประเด็นคือ เราจะพัฒนาเป็นแบบนั้นไหม หรือจะคงสภาพไว้เหมือนเดิม
วิชา mindfulness มหาวิทยาลัยฝรั่งมีให้เรียน online ด้วย ประเทศเรากำลังผลักดัน
มีที่เกษมบัณฑิต และ ม.รังสิต เรียกว่า mindfulness 5.0 มาจาก
แผนแม่บทคุณธรรมแห่งชาติฉบับที่ 1 ปี 59-79 เป็นคุณสมบัติ 4 ประการ
ตามรอยพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา
จึงตั้งชื่อเล่นว่า 4.0 + 1 คือความรับผิดชอบด้วยเป็น 5.0
ซึ่งเชื่อว่าถ้าคนมีคุณสมบัติเหล่านี้ ทั้งคนไทยและตลาดหุ้นไทยจะเจริญแน่นอน
คุณสมบัติหุ้นที่กระตุ้นคนให้มีกิเลสเป็นอย่างไร?
คุณชาย หุ้นไม่ได้เป็นกิเลส แต่จิตของนักลงทุนที่ไปซื้อหุ้นเป็นกิเลส
หลายครั้งตลาดก็ทำให้เห็นแล้วว่า ความจริง กับสิ่งที่คิดไม่เหมือนกัน
ทุกวันนี้มีคนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมาก มองอะไรเหมือนจะสวยหรูทุกอย่าง
เคยทำงานในบริษัท หัวหน้าบอกว่าจะเติบโต 20% พนักงานโวยวายกันว่าทำได้ยาก
แต่นักลงทุนรุ่นใหม่มาก็หวังโต 50% โตมากมาย ซึ่งไม่ได้ง่าย มี margin มีเครื่องมือ leverage มากมาย
บางเครื่องมือมีไว้บริหารความเสี่ยง แต่นักลงทุนไปใช้ผิดๆ
ถ้าอยากลงทุนแล้วรวยเร็วๆ ได้หลายเด้งในไม่กี่ปี เป็นความเสี่ยงมาก
มีเรื่องเล่าจากไบรอันเชสกี้ ว่า ครั้งหนึ่งบนโต๊ะสนทนา
Jeff Bezos เคยถาม Warren Buffettว่า “คุณรวยอันดับ 2 ของโลก
แต่พูดหลักการลงทุนหุ้นเป็นเรื่องที่ฟังแล้วง่าย แต่คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคุณ”
Buffett ตอบว่า “เพราะคนส่วนใหญ่อยากรวยเร็ว ทนที่จะรวยช้าๆไม่ได้”
เคยเล่นเกมตู้รถแข่ง มันจะมีเกียร์ High กับ Low ซึ่งถ้าใส่เกียร์ High ตลอดไม่มีทางถึงเส้นชัย
เพราะจะมีโค้ง มีอุปสรรค แต่นักลงทุนหลายคนกลับใส่เกียร์ High ตลอด
ซึ่งก็เหมือนกับการลงทุน อย่าให้กิเลส ความต้องการรวยเร็วๆครอบงำ
ถ้าทุกคนได้ผลตอบแทน 5 เด้งกันหมด ก็จะไม่มีใครรวย ชีวิตจริงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ดร.นิเวศน์ ขอพูดต่อเรื่อง ยีนส์
ยีนส์ มีการปรับตัวมีพฤติกรรมมานานแล้ว แต่เปลี่ยนช้ามาก ทุกวันนี้ก็เหมือนสมัยหมื่นกว่าปีที่แล้ว
ประเด็นคือ ยีนส์เปลี่ยนช้ามาก แต่สังคมเปลี่ยนไปเร็ว ยีนส์ทุกวันนี้ไม่เหมาะกับคนยุคใหม่
เช่น ยีนส์บอกว่าต้องกลัวเมื่อเจอสิ่งอันตราย สมัยก่อนก็คือถ้าเจอเสือก็ต้องหนีเลย
คนที่มัวแต่คิดมากก็โดนเสือกินก่อน ถ้าเปรียบเป็นตลาดหุ้นคือ หุ้นตกก็ให้รีบขายเลย
คนเหล่านี้รอดตาย แต่ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้อาจจะไม่เหมาะแล้ว
คนที่ panic เมื่อหุ้นตกแล้วขายทันทีอาจจะไม่รอด แต่คนที่คิดหนักอาจจะรอดแทน เพราะทำตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่
เห็นด้วยตามที่คุณดนัยบอก ว่าจิตที่ฝึกแล้ว สามารถช่วยได้ สามารถฝืนลดความโลภ ในยามที่คนโลภกันหมด
ลดความกลัว ในยามที่ทุกคนกลัวกันหมด แต่จะเป็นคนส่วนน้อย ไม่ใช่ทุกคนคนฝึกได้กันหมดเพราะ ยีนส์คือเจ้านาย เราคือผู้ปฏิบัติ
ถ้าเราเป็นคนเก่ง เราก็จะบอกยีนส์ได้ว่า ใจเย็นๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาขายหุ้น
นี่คือเวลาซื้อหุ้น พยายามฝึกให้ทำในสิ่งที่เหมาะสม แต่ไม่ได้ทำตามยีนส์
สมัยนี้เราไม่ต้องคอยสู้กับเสือแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวแบบเดิม และก็ไม่ต้องโลภเหมือนเดิม
คนที่มีเป็นพันล้านก็อาจไม่ได้เผยแพร่เผ่าพันธ์ได้มากขึ้น เพราะมันเป็นส่วนเกินแล้ว ยุคนี้ต้องใจเย็นๆ ใช้เหตุใช้ผล
อ.ไพบูลย์ สรุปว่า ธรรมชาติคนจะมียีนส์ที่มีความกลัว หุ้นตกก็รีบขายก่อน
เราต้อง ฝึกสติให้รู้ว่าเวลาคนอื่นขาย อย่าไปขายตามเขา ต้องสู้กับยีนส์แล้วทำตรงกันข้าม
เมื่อหุ้นตกก็อย่าเพิ่งรีบขาย พิจารณาและหาจังหวะซื้อ
เวลาหุ้นตกทำอย่างไร? จะผ่านความรู้สึกอย่างไร?
ดร.ไพบูลย์ อย่างแรกอย่าให้เมียรู้ว่าขาดทุนหุ้น กำไรบอกได้ ขาดทุนให้บอกนิดหน่อย (ในใจเหลือนิดหน่อย)
อย่าให้เขาเข้ามาร่วมในการตัดสินใจของเรา การควบคุมยีนส์ การตัดสินใจของเขาและเราอาจไม่เหมือนกัน
อย่างที่สอง เวลาหุ้นตกหลายคนคิดว่าแย่แล้ว เมื่อเช้าได้ดูคลิป
เด็กผู้ชายไม่มีแขนไม่มีขา เวลาไปไหน ต้องพลิกหมุนตัวไป มีความสุขไม่ต้องลงทุนก็ได้
สิ่งที่ควรทำเมื่อหุ้นตกก็ดูว่าคนอื่นเป็นอย่างไร ดูที่เราโชคดียังได้ลงทุนหุ้น
ได้มาฟังสัมมนา แต่คนมากมายไม่มีโอกาส เวลาสอนนักศึกษาจะบอกว่าเวลารู้สึกว่าชีวิตแย่
ให้ลองไปบ้านเด็กปัญญาอ่อนและพิการแถวรามอินทรา เขายังสู้ชีวิตได้เลย
แต่เรา มีแขนขาครบ มีปัญญาลงทุน มีปัญหาหนักหนาอย่างไรก็สามารถเริ่มใหม่ได้
เรื่องที่เราขาดทุนหุ้นเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว เงินไม่ใช่ชีวิต หุ้นไม่ใช่ชีวิต อย่างอื่นถึงเป็นชีวิต
ผู้ปฏิบัติธรรมลงทุนได้ไหม? เล่นหุ้นแล้วไปปฏิธรรมดีไหม?
คุณดนัย คิดว่าไม่ขัดแย้งกัน พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสห้ามไว้
สิ่งที่ตรัสห้ามไว้เช่น ค้าขายอาวุธ อบายมุข ซึ่งส่วนใหญ่ตลาดหลักทรัพยบ้านเราก็คัดบริษัทที่ดี ส่งเสริมสังคม
เวลาลงทุนหุ้นก็ดูใจว่า พอง หรือแฟบไปไหม ใจขึ้นใจตก คือไม่ดี
เป้าหมายสุดท้ายเราต้องการความสุข อย่าปล่อยให้ความสุขขึ้นกับผลลัพธ์ที่แสดงขึ้นมาต่อวัน
ให้ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับคุณค่า หน้าที่เราคือรักษาใจให้เป็นปกติและมีความสุข
วอรเรน บัฟเฟตต์ เป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชม แม้ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่เชื่อว่ามีความเป็นพุทธมาก
ใช้ชีวิตสันโดษ สมถะ รู้จักแบ่งปันเพราะเขาเอาไปหมดไม่ได้อยู่แล้ว
เป็นแรงบันดาลใจให้กับบิล เกตต์ และบิล เกตต์ ก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับซัคเคอร์เบิร์คต่อ
ความสุขไม่ได้เพิ่มขึ้นจากสิ่งที่เขามี ซึ่งต้นแบบที่ชัดเจนที่สุดคือพระพุทธเจ้าทรงเริ่มจากการมีทุกอย่าง
เป็นเจ้าชายมีความร่ำรวย ไปสู่ความไม่มี แต่พวกเราจากไม่มี อยากจะมี ซึ่งปลายทางสุดท้ายคือไม่มีอยู่ดี
ดังนั้นระหว่างทางอย่าให้ใจของเราเด้งขึ้นเด้งลงมากไป
เวลาหุ้นขึ้นควรทำใจอย่างไร เวลาหุ้นลงควรทำใจอย่างไรจึงไม่ร้อนรุ่นจากกิเลส
คุณชาย เวลาลงทุนในหุ้น สังเกต เมื่อไรที่สุขจนเหิมใจนั่นผิดแล้ว เมื่อไรที่เศร้าจนหมองใจผิดแล้ว
ขอให้มีสติตามรู้อารมณ์ของเราตลอดในการลงทุน จิตใจเป็นอย่างไร มีความสุข มีความโลภไหม
ถ้ามีสติตลอดจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของใจ อารมณ์ดีเดี๋ยวก็หายไป อารมณ์ไม่ดีเดี๋ยวก็หายไป
จะเห็นว่าความสุขจากหุ้นขึ้นไม่แน่นอน เสียใจจากหุ้นลงก็ไม่แน่นอน
ส่วนตัว คุณแม่เสียเมื่อสิบปีที่แล้ว ก็เสียใจ แต่ความเสียใจหายไปแล้ว
เคยกำไรหุ้น 5 เด้งในเวลาไม่นาน แต่ความดีใจก็หายไปแล้ว
ท่านยังจำความเสียใจที่เลิกกับแฟนคนแรกได้ไหม จะเอาอารมณ์นั้นกลับมาไม่ได้แล้ว
จะดีใจหรือเสียใจเราทำอะไรไม่ได้ อย่าไปสนใจมันมาก รับรู้ไปเรื่อย ดูไปเรื่อย
สุดท้ายเราจะไม่สนใจมัน อยู่กับปัจจุบันไปเรื่อยเราก็จะพบความสุขที่แท้จริง
ให้มีสติอยู่เสมอ จะมีปัญญาตามมา จะช่วยให้ความสุขในชีวิตง่ายขึ้น ไม่ขึ้นกับสิ่งภายนอกเหมือนแต่ก่อน
ไม่ต้องเป็นความสุขที่มีข้อแม้ อยากให้ลองทำดู
สรุปปิดท้าย
คุณดนัย วันนี้ได้คีย์เวิร์ดสำคัญจากหลายท่าน อยากเลือกคีย์เวิร์ดที่ได้จากอ.นิเวศน์ ให้เราฝืนใจ
ที่เวลาให้คนอื่นขายกันเราต้องรอก่อน ในการปฏิบัติ สมองจะทำให้เราคิด แต่จิตจะทำให้เรารู้
ถ้าเราอยู่กับจิตเราบ่อยๆ จิตเราจะเหนือกว่าสิ่งที่เป็นกระแสที่กำลังเกิดขึ้น
คือ อย่าไหลไปตามกิเลส ทำตัวเป็นศิลาในน้ำเชี่ยว คนอื่นจะทำอะไรก็ทำไป แต่เราต้องอดทนได้
การฝืนใจเป็นการตัดภพตัดชาติ
ภาษาอังกฤษเรียกว่า the road less travel ถ้าเราเลือกไปในเส้นทางที่คนสัญจรน้อยกว่า
ผลลัพธ์ต่างแน่นอน การฝืนใจเป็นการปฏิบัติขั้นปรมัต บุคคลธรรมดาไม่ได้
เราจะฝ่าความร้อนรุ่มของกิเลสได้
อ.ไพบูลย์ รายการ money talk มีวัตถุประสงค์ให้ความรู้กับเราในทุกด้าน
ทั้งการลงทุนก็ลงทุนให้ดี ประสบความสำเร็จ ยิ่งเราประสบความสำเร็จก็ยิ่งห่างจากคนเฉลี่ยออกไป
ซึ่งสัมมนาอย่างวันนี้ก็อยากให้เป็นประโยชน์ให้ช่องว่างตรงนั้นแคบลง
ช่วงที่ 1 ทางพี่อมร จะเป็นผู้สรุปให้นะครับ
ขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.เสน่ห์ อ.นิเวศน์ หมอเค น้องเมย์ พี่นุช พี่แป๋ม น้องคิม และstaff ทุกท่านที่ผมอาจไม่ได้ทราบชื่อ
ขอบพระคุณแขกรับเชิญ ผู้บริหารทั้ง 4 บริษัท, พี่ชาย, คุณดนัย และผู้สนับสนุนทุกท่านครับ
ช่วงที่ 2 “กลยุทธ์ฝ่าความร้อนรุ่มของกิเลสจากหุ้น”
แขกรับเชิญ 1. คุณ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย 2. คุณ ชาย มโนภาส 3. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผู้ดำเนินรายการ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
Intro อ.เสน่ห์
ยามหุ้นขึ้น ระรื่นยิ้ม อิ่มเอมจิต ยามหุ้นลง ปลงชีวิต คิดหงอยเหงา
เดี๋ยวร้อนรุ่ม เดี๋ยวกลุ้มใจ ไม่บรรเทา กิเลสเร้า เข้าหรือถอย คอยพะวง
ฟังหลัก คิดจิตสบาย ได้คลายหยุด กลยุทธ์ ฝ่าร้อนรุ่ม หรือลุ่มหลง
กิเลสหุ้น วุ่นวาย ไม่มั่นคง ได้ยืนยง ลงทุนยาว เข้าตำรา
คุณดนัย ใจยึดมั่น จันทร์เจ้าฉาย รู้ความหมาย ใช้ชีวิต จิตหรรษา
ไวท์โอเชียน เขียนให้อ่าน ผ่านสายตา มีธรรมา ในหัวใจ ไร้เงินทอน
คุณชาย โก้ มโนมาส มาดสุขุม นายกหนุ่ม ไทยวีไอ ไม่หยุดหย่อน
เลือกหุ้นดี ซีจีเด่น เป็นขั้นตอน ไม่รุ่มร้อน ช้อนหุ้นชัวร์ ไม่กลัวช้า
ดร.นิเวศน์ เหมวชิร วรากร ไม่เคยคลอน หลักวีไอ ใช้ฟันฝ่า
หลบรุ่มร้อน อย่างไร ใช้วิชา รู้รักษา ตัวรอด เป็นยอดดี
ดร.ไพบูลย์ บ้านหมุนบ่อย อยากปล่อยของ ให้มุมมอง การลงทุน หุ้นวิถี
ทันกิเลส ทันโลภา มาราวี เตรียมพร้อมพลี เมื่อความตาย หมายมาเยือน
Intro อ.ไพบูลย์
จากการสอนหนังสือมา 30 ปี ทั้งเมืองนอกและเมืองไทย วิชาการทั้งหลาย
ที่ไปสร้างความเจริญความมั่งคั่งต่างๆ คิดว่าวิชาที่มีสาระน้อยที่สุด คือ บริหารธุรกิจ
และในวิชาบริหารธุรกิจ ที่สร้างกิเลสทางลบมากสุด คือวิชาการเงิน
เพราะเป็นตัวเลขเดิมไม่ได้สร้างอะไรเพิ่ม แต่ไปคิดให้มันพองออก
และในวิชาการเงิน วิชาที่แย่ที่สุด คือ การลงทุนในหุ้น
เมื่อก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นจะมีแต่กิเลส หุ้นขึ้น อยากให้ขึ้นอีก โลภ ถ้าขายไปก่อนก็ โกรธ หุ้นตกก็โกรธ
สัมมนาวันนี้จึงเป็นแนวทางจะทำอย่างไรให้เดินทางในสายที่สงบเย็นได้
กิเลสคืออะไร?
คุณดนัย กิเลส คือ ความไม่พอใจในสิ่งที่มี ความไม่ยินดีในสิ่งที่ได้
ภาษาธรรมะ กิเลสแปลว่าธรรมที่เป็นเครื่องเศร้าหมอง มี 16 ตัว
เป็นสิ่งที่เกิดกับตัวกับใจเราแล้วรู้สึกไม่พอ ไม่สบายใจ ตรงกันข้ามกับธรรมะอยู่ข้อหนึ่งคือ
จงพอใจในสิ่งที่มี จงยินดีในสิ่งที่ได้
อยากให้ลองสังเกตว่าตัวเราเองอยู่ตรงไหน….
ถ้าเราพอใจ สภาวะที่เกิดข้างนอกจะไม่กระทบกับเราเท่าไร ใจเราจะไม่แกว่งขึ้นแกว่งลง
ลองสังเกตใจในวันที่หุ้นขึ้นลงมากๆ เป็นการทำงานของกิเลส แสดงว่าเราฝากชีวิตฝากหัวใจไว้กับข้างนอก
ถ้าไม่ได้เอาใจของเราไว้กับตัวเราเอง ปัจจัยภายนอกเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ยากที่สุด
ทุกวงการเกิดเรื่องราวตลอดเวลา อย่างเรื่องลบที่เกิดขึ้นในวงการศาสนา
สิ่งที่เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ที่ทำให้พระไม่เป็นพระมี 2 ข้อ คือ สตรี กับ สตางค์ แต่เบื้องหลังก็คือ กิเลส นั่นเอง
กิเลสที่เกี่ยวกับหุ้นมีอะไรบ้าง?
คุณชาย มีเซียนหุ้นท่านหนึ่งเคยบอกไว้ว่า นักลงทุนหุ้นมีความสุขยาก
เวลาได้กำไรมา แสนนึง ก็ไม่มีความสุขอยากได้สองแสน
นักลงทุนจะมีความสุขได้ คือ ดาวเคราะห์ในจักรวาลต้องเรียงตัวมาเส้นเดียวกัน
คือ ซื้อได้จุดต่ำสุด ขายได้จุดสูงสสุด พอขายแล้วก็ต้องให้หุ้นลงไป จะได้ซื้อได้อีก
ซึ่งความจริงยากที่จะทำได้
มีคำพูดของ ชาลี มังเกอร์บอกว่า ความโลภไม่ได้เป็นตัวขับเคลื่อนโลภใบนี้
แต่กิเลสที่ผลักดันโลกใบนี้ที่แท้จริงคือ ความอิจฉา
ซึ่งก็อีกคำกล่าวหนึ่งว่า สนามหญ้าหน้าบ้านคนอื่น มักเขียวกว่าของตนเอง
ผลงานของคนอื่นดูน่าอิจฉาไปหมด เห็นรายชือคนอื่นติดผู้ถือหุ้นใหญ่ เห็นโพสต์โชว์พอร์ตในหน้าเฟซบุ๊ค
คนที่เห็นก็ใจร้อนรุ่นคนอื่นกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์แต่เราขาดทุน
มีคำกล่าวว่า ถ้าท่านหาความสุขในปัจจุบันไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะหาความสุขได้ในอนาคต
เพราะความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ปัจจุบัน ไม่ใช่ต้องพอร์ตสิบล้านพันล้านแล้วจึงจะมีความสุข ความสุขอยู่ที่ความเป็นปกติของจิต
ขณะที่นั่งฟังสัมมนาอยู่นี้จิตเป็นปกติ แต่พอตลาดหุ้นเปิดจิตก็ไม่ปกติ
หรือมีคนขับรถปาดหน้าก็ไม่ปกติ หรือสามีกลับบ้านช้าก็จิตฟุ้งซ่าน เพราะเอาใจไปยึดกับสิ่งภายนอก
ประวัติคนที่ประสบความสำเร็จมากมายในโลก ล่าสุดได้ดูซีรีย์พระเจ้าหลุยส์ที่ 14
อยู่พระราชวังแวร์ซายสวยงามโอ่อ่าแต่ไม่ได้มีความสุข ต้องหวาดระแวงตลอดเวลา
มันไม่ได้เกี่ยวว่ามีเงินมากจะมีความสุข ไม่ต้องรอมีพอร์ตเป็นพันล้านจึงมีความสุข บางทีจุดที่ไปถึงไม่ใช่เส้นชัย
การลงทุนจะมีความสุขต้องมีธรรมะประกอบด้วย ต้องมีสติ ต้องมีสมาธิ
ลองค้นหาคำว่า Mindfulness มีหลายคอร์สของฝรั่งมากหมายที่สอนเรื่องเหล่านี้
หรือองค์กรหลายแห่ง เช่น google ก็มีห้องให้พนักงานนั่งสมาธิ
หรืออย่าง MBA ของมหาวิทยาลัย จอร์จทาวน์ หรือ NYU ก็ให้ความสำคัญ
มีบทความใน Harvard Business Review เขียนถึงว่า ทำไม มหาวิทยาลัย NYU จึงสอนสมาธิในคอร์ส
อยากฝากว่า ว่าเรื่องเหล่านี้สำคัญ การลงทุน,การปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกัน เพื่อความสุขที่แท้จริง
ดร.นิเวศน์ เสริมว่า ตั้งแต่เป็นลูกศิษย์ Richard Dawkins ได้ปฏิบัติความคิดใหม่
มีหนังสือดังชื่อว่า selfish gene ใจความในหนังสือบอกว่า ที่จริงแล้ว พวกเราไม่ได้ เป็นเจ้าของชีวิตเราเอง
คนที่เป็นเจ้าของชีวิตคือ คุณ gene แต่เราเป็นเครื่องมือที่จะพา gene เอาตัวรอด
และเผยแพร่เผ่าพันธ์ให้มีโอกาสรอดสูงสุด และ คุณ gene จะสร้างตัวเอง วิวัฒนาการไปเรื่อย
ทำให้มี คุณสมบัติบางอย่าง เช่น สัตว์ทุกชนิดจะต้องมีความโลภ ไม่เช่นนั้นสัตว์ตัวนั้นจะตายไปหมด
สัตว์ที่ต้องอยู่ได้คือมีความโลภ รวมถึงความกลัวก็ต้องมี ถ้ามีแต่ความโลภอย่างเดียวก็ตายไปหมดแล้ว
ดังนั้นจะไม่ให้คนโลภทำไม่ได้ เพราะคุณ gene เป็นผู้สั่งให้เราทำ
ดังนั้นจึงป่วยการที่จะให้ลดความโลภลงไป ทุกคนถูกใส่ไว้แล้ว
คนหนึ่งอาจมีความโลภ 10 หน่วย อีกคนอาจมีความโลภ 12 หน่วย ทุกคนมีความโลภทั้งนั้นแตกต่างกันไม่มาก
ความกลัวก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีเจอเสือมาก็ตายหมดแล้ว
นอกจากนั้น อารมณ์ความใคร่ คนที่ไม่มีความใคร่ตายหมดแล้ว ต้องเข้าใจตรงนี้
หน้าที่เราคือ เอาคุณ gene ให้รอดให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะสูญพันธ์หมด
บางคนมุ่งไปที่เรื่องบางอย่างมากเกินไปอันตรายมาก ต้องมีหลายๆอย่างกระจายความเสี่ยง
กระจายความโลภออกไป บางคนเล่นหุ้นอยากได้มากๆเร็วๆ ต้องใช้มาร์จิ้น ต้องใช้ DW หรือ future เยอะๆ
ฝากไว้ว่าถ้าโลภเกินไปหรือหนักเกินไปก็อาจจะตายได้
คุณดนัย มีข้อมูลเรื่องมนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์มี 2 สาย
ยีนส์สายที่มีความเห็นแก่ตัวอยู่ไม่ได้ ยีนส์ที่มีความเกื้อกูล เอื้อเฟื้อจะอยู่ได้
เคยศึกษาหนังสือของ ชาลส์ ดาร์วิน ชื่อ The origin of species
มีสายที่อยู่รอดได้จะมีความโดดเด่นอยู่ข้อหนึ่งคือ adaptability ความสามารถในการปรับตัวเอง
ซึ่งมนุษย์มียีนส์หลายตัวและมีสัญชาตญาณบางอย่าง โดยเฉพาะ แกนกลางสมองเหมือนกัน เดรัชฉาน
แต่มนุษย์เป็นสัตว์สายพันธ์เดียวที่ตัวตั้งตรง
ซึ่งจากการวิจัยในทางสมอง แพทย์วิจัยพบว่า อะมิกดาล่า(แกนกลางสมอง)
คือส่วนที่มีความกลัว ความโลภ ซึ่งมนุษย์ที่มีการฝึกเจริญสติ อามิดาล่าจะเล็กลง
และนิวรอนที่เป็นตัวเชื่อมกับสมองที่รับความเจ็บปวดจะตัดหมดเลย
เคยได้กราบพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ไปผ่าฟันคุดทีเดียว 4 ซี่ โดยไม่ใช้ยาชาอะไรเลย
พระอาจารย์นิ่งเฉย แต่หมอฟันผู้ผ่าตัดกลับสั่น เป็นผลของคนที่ฝึกสติ
ประเด็นคือ เราจะพัฒนาเป็นแบบนั้นไหม หรือจะคงสภาพไว้เหมือนเดิม
วิชา mindfulness มหาวิทยาลัยฝรั่งมีให้เรียน online ด้วย ประเทศเรากำลังผลักดัน
มีที่เกษมบัณฑิต และ ม.รังสิต เรียกว่า mindfulness 5.0 มาจาก
แผนแม่บทคุณธรรมแห่งชาติฉบับที่ 1 ปี 59-79 เป็นคุณสมบัติ 4 ประการ
ตามรอยพ่อหลวงรัชกาลที่ 9 พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา
จึงตั้งชื่อเล่นว่า 4.0 + 1 คือความรับผิดชอบด้วยเป็น 5.0
ซึ่งเชื่อว่าถ้าคนมีคุณสมบัติเหล่านี้ ทั้งคนไทยและตลาดหุ้นไทยจะเจริญแน่นอน
คุณสมบัติหุ้นที่กระตุ้นคนให้มีกิเลสเป็นอย่างไร?
คุณชาย หุ้นไม่ได้เป็นกิเลส แต่จิตของนักลงทุนที่ไปซื้อหุ้นเป็นกิเลส
หลายครั้งตลาดก็ทำให้เห็นแล้วว่า ความจริง กับสิ่งที่คิดไม่เหมือนกัน
ทุกวันนี้มีคนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมาก มองอะไรเหมือนจะสวยหรูทุกอย่าง
เคยทำงานในบริษัท หัวหน้าบอกว่าจะเติบโต 20% พนักงานโวยวายกันว่าทำได้ยาก
แต่นักลงทุนรุ่นใหม่มาก็หวังโต 50% โตมากมาย ซึ่งไม่ได้ง่าย มี margin มีเครื่องมือ leverage มากมาย
บางเครื่องมือมีไว้บริหารความเสี่ยง แต่นักลงทุนไปใช้ผิดๆ
ถ้าอยากลงทุนแล้วรวยเร็วๆ ได้หลายเด้งในไม่กี่ปี เป็นความเสี่ยงมาก
มีเรื่องเล่าจากไบรอันเชสกี้ ว่า ครั้งหนึ่งบนโต๊ะสนทนา
Jeff Bezos เคยถาม Warren Buffettว่า “คุณรวยอันดับ 2 ของโลก
แต่พูดหลักการลงทุนหุ้นเป็นเรื่องที่ฟังแล้วง่าย แต่คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคุณ”
Buffett ตอบว่า “เพราะคนส่วนใหญ่อยากรวยเร็ว ทนที่จะรวยช้าๆไม่ได้”
เคยเล่นเกมตู้รถแข่ง มันจะมีเกียร์ High กับ Low ซึ่งถ้าใส่เกียร์ High ตลอดไม่มีทางถึงเส้นชัย
เพราะจะมีโค้ง มีอุปสรรค แต่นักลงทุนหลายคนกลับใส่เกียร์ High ตลอด
ซึ่งก็เหมือนกับการลงทุน อย่าให้กิเลส ความต้องการรวยเร็วๆครอบงำ
ถ้าทุกคนได้ผลตอบแทน 5 เด้งกันหมด ก็จะไม่มีใครรวย ชีวิตจริงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ดร.นิเวศน์ ขอพูดต่อเรื่อง ยีนส์
ยีนส์ มีการปรับตัวมีพฤติกรรมมานานแล้ว แต่เปลี่ยนช้ามาก ทุกวันนี้ก็เหมือนสมัยหมื่นกว่าปีที่แล้ว
ประเด็นคือ ยีนส์เปลี่ยนช้ามาก แต่สังคมเปลี่ยนไปเร็ว ยีนส์ทุกวันนี้ไม่เหมาะกับคนยุคใหม่
เช่น ยีนส์บอกว่าต้องกลัวเมื่อเจอสิ่งอันตราย สมัยก่อนก็คือถ้าเจอเสือก็ต้องหนีเลย
คนที่มัวแต่คิดมากก็โดนเสือกินก่อน ถ้าเปรียบเป็นตลาดหุ้นคือ หุ้นตกก็ให้รีบขายเลย
คนเหล่านี้รอดตาย แต่ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้อาจจะไม่เหมาะแล้ว
คนที่ panic เมื่อหุ้นตกแล้วขายทันทีอาจจะไม่รอด แต่คนที่คิดหนักอาจจะรอดแทน เพราะทำตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่
เห็นด้วยตามที่คุณดนัยบอก ว่าจิตที่ฝึกแล้ว สามารถช่วยได้ สามารถฝืนลดความโลภ ในยามที่คนโลภกันหมด
ลดความกลัว ในยามที่ทุกคนกลัวกันหมด แต่จะเป็นคนส่วนน้อย ไม่ใช่ทุกคนคนฝึกได้กันหมดเพราะ ยีนส์คือเจ้านาย เราคือผู้ปฏิบัติ
ถ้าเราเป็นคนเก่ง เราก็จะบอกยีนส์ได้ว่า ใจเย็นๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาขายหุ้น
นี่คือเวลาซื้อหุ้น พยายามฝึกให้ทำในสิ่งที่เหมาะสม แต่ไม่ได้ทำตามยีนส์
สมัยนี้เราไม่ต้องคอยสู้กับเสือแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวแบบเดิม และก็ไม่ต้องโลภเหมือนเดิม
คนที่มีเป็นพันล้านก็อาจไม่ได้เผยแพร่เผ่าพันธ์ได้มากขึ้น เพราะมันเป็นส่วนเกินแล้ว ยุคนี้ต้องใจเย็นๆ ใช้เหตุใช้ผล
อ.ไพบูลย์ สรุปว่า ธรรมชาติคนจะมียีนส์ที่มีความกลัว หุ้นตกก็รีบขายก่อน
เราต้อง ฝึกสติให้รู้ว่าเวลาคนอื่นขาย อย่าไปขายตามเขา ต้องสู้กับยีนส์แล้วทำตรงกันข้าม
เมื่อหุ้นตกก็อย่าเพิ่งรีบขาย พิจารณาและหาจังหวะซื้อ
เวลาหุ้นตกทำอย่างไร? จะผ่านความรู้สึกอย่างไร?
ดร.ไพบูลย์ อย่างแรกอย่าให้เมียรู้ว่าขาดทุนหุ้น กำไรบอกได้ ขาดทุนให้บอกนิดหน่อย (ในใจเหลือนิดหน่อย)
อย่าให้เขาเข้ามาร่วมในการตัดสินใจของเรา การควบคุมยีนส์ การตัดสินใจของเขาและเราอาจไม่เหมือนกัน
อย่างที่สอง เวลาหุ้นตกหลายคนคิดว่าแย่แล้ว เมื่อเช้าได้ดูคลิป
เด็กผู้ชายไม่มีแขนไม่มีขา เวลาไปไหน ต้องพลิกหมุนตัวไป มีความสุขไม่ต้องลงทุนก็ได้
สิ่งที่ควรทำเมื่อหุ้นตกก็ดูว่าคนอื่นเป็นอย่างไร ดูที่เราโชคดียังได้ลงทุนหุ้น
ได้มาฟังสัมมนา แต่คนมากมายไม่มีโอกาส เวลาสอนนักศึกษาจะบอกว่าเวลารู้สึกว่าชีวิตแย่
ให้ลองไปบ้านเด็กปัญญาอ่อนและพิการแถวรามอินทรา เขายังสู้ชีวิตได้เลย
แต่เรา มีแขนขาครบ มีปัญญาลงทุน มีปัญหาหนักหนาอย่างไรก็สามารถเริ่มใหม่ได้
เรื่องที่เราขาดทุนหุ้นเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว เงินไม่ใช่ชีวิต หุ้นไม่ใช่ชีวิต อย่างอื่นถึงเป็นชีวิต
ผู้ปฏิบัติธรรมลงทุนได้ไหม? เล่นหุ้นแล้วไปปฏิธรรมดีไหม?
คุณดนัย คิดว่าไม่ขัดแย้งกัน พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสห้ามไว้
สิ่งที่ตรัสห้ามไว้เช่น ค้าขายอาวุธ อบายมุข ซึ่งส่วนใหญ่ตลาดหลักทรัพยบ้านเราก็คัดบริษัทที่ดี ส่งเสริมสังคม
เวลาลงทุนหุ้นก็ดูใจว่า พอง หรือแฟบไปไหม ใจขึ้นใจตก คือไม่ดี
เป้าหมายสุดท้ายเราต้องการความสุข อย่าปล่อยให้ความสุขขึ้นกับผลลัพธ์ที่แสดงขึ้นมาต่อวัน
ให้ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับคุณค่า หน้าที่เราคือรักษาใจให้เป็นปกติและมีความสุข
วอรเรน บัฟเฟตต์ เป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชม แม้ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่เชื่อว่ามีความเป็นพุทธมาก
ใช้ชีวิตสันโดษ สมถะ รู้จักแบ่งปันเพราะเขาเอาไปหมดไม่ได้อยู่แล้ว
เป็นแรงบันดาลใจให้กับบิล เกตต์ และบิล เกตต์ ก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับซัคเคอร์เบิร์คต่อ
ความสุขไม่ได้เพิ่มขึ้นจากสิ่งที่เขามี ซึ่งต้นแบบที่ชัดเจนที่สุดคือพระพุทธเจ้าทรงเริ่มจากการมีทุกอย่าง
เป็นเจ้าชายมีความร่ำรวย ไปสู่ความไม่มี แต่พวกเราจากไม่มี อยากจะมี ซึ่งปลายทางสุดท้ายคือไม่มีอยู่ดี
ดังนั้นระหว่างทางอย่าให้ใจของเราเด้งขึ้นเด้งลงมากไป
เวลาหุ้นขึ้นควรทำใจอย่างไร เวลาหุ้นลงควรทำใจอย่างไรจึงไม่ร้อนรุ่นจากกิเลส
คุณชาย เวลาลงทุนในหุ้น สังเกต เมื่อไรที่สุขจนเหิมใจนั่นผิดแล้ว เมื่อไรที่เศร้าจนหมองใจผิดแล้ว
ขอให้มีสติตามรู้อารมณ์ของเราตลอดในการลงทุน จิตใจเป็นอย่างไร มีความสุข มีความโลภไหม
ถ้ามีสติตลอดจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของใจ อารมณ์ดีเดี๋ยวก็หายไป อารมณ์ไม่ดีเดี๋ยวก็หายไป
จะเห็นว่าความสุขจากหุ้นขึ้นไม่แน่นอน เสียใจจากหุ้นลงก็ไม่แน่นอน
ส่วนตัว คุณแม่เสียเมื่อสิบปีที่แล้ว ก็เสียใจ แต่ความเสียใจหายไปแล้ว
เคยกำไรหุ้น 5 เด้งในเวลาไม่นาน แต่ความดีใจก็หายไปแล้ว
ท่านยังจำความเสียใจที่เลิกกับแฟนคนแรกได้ไหม จะเอาอารมณ์นั้นกลับมาไม่ได้แล้ว
จะดีใจหรือเสียใจเราทำอะไรไม่ได้ อย่าไปสนใจมันมาก รับรู้ไปเรื่อย ดูไปเรื่อย
สุดท้ายเราจะไม่สนใจมัน อยู่กับปัจจุบันไปเรื่อยเราก็จะพบความสุขที่แท้จริง
ให้มีสติอยู่เสมอ จะมีปัญญาตามมา จะช่วยให้ความสุขในชีวิตง่ายขึ้น ไม่ขึ้นกับสิ่งภายนอกเหมือนแต่ก่อน
ไม่ต้องเป็นความสุขที่มีข้อแม้ อยากให้ลองทำดู
สรุปปิดท้าย
คุณดนัย วันนี้ได้คีย์เวิร์ดสำคัญจากหลายท่าน อยากเลือกคีย์เวิร์ดที่ได้จากอ.นิเวศน์ ให้เราฝืนใจ
ที่เวลาให้คนอื่นขายกันเราต้องรอก่อน ในการปฏิบัติ สมองจะทำให้เราคิด แต่จิตจะทำให้เรารู้
ถ้าเราอยู่กับจิตเราบ่อยๆ จิตเราจะเหนือกว่าสิ่งที่เป็นกระแสที่กำลังเกิดขึ้น
คือ อย่าไหลไปตามกิเลส ทำตัวเป็นศิลาในน้ำเชี่ยว คนอื่นจะทำอะไรก็ทำไป แต่เราต้องอดทนได้
การฝืนใจเป็นการตัดภพตัดชาติ
ภาษาอังกฤษเรียกว่า the road less travel ถ้าเราเลือกไปในเส้นทางที่คนสัญจรน้อยกว่า
ผลลัพธ์ต่างแน่นอน การฝืนใจเป็นการปฏิบัติขั้นปรมัต บุคคลธรรมดาไม่ได้
เราจะฝ่าความร้อนรุ่มของกิเลสได้
อ.ไพบูลย์ รายการ money talk มีวัตถุประสงค์ให้ความรู้กับเราในทุกด้าน
ทั้งการลงทุนก็ลงทุนให้ดี ประสบความสำเร็จ ยิ่งเราประสบความสำเร็จก็ยิ่งห่างจากคนเฉลี่ยออกไป
ซึ่งสัมมนาอย่างวันนี้ก็อยากให้เป็นประโยชน์ให้ช่องว่างตรงนั้นแคบลง
ช่วงที่ 1 ทางพี่อมร จะเป็นผู้สรุปให้นะครับ
ขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.เสน่ห์ อ.นิเวศน์ หมอเค น้องเมย์ พี่นุช พี่แป๋ม น้องคิม และstaff ทุกท่านที่ผมอาจไม่ได้ทราบชื่อ
ขอบพระคุณแขกรับเชิญ ผู้บริหารทั้ง 4 บริษัท, พี่ชาย, คุณดนัย และผู้สนับสนุนทุกท่านครับ