Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

พี่ๆว่าถ้าความรู้การลงทุน การเข้าถึงข้อมูล การพัฒนาความรู้ด้านการลงทุนเพิ่มมากๆเรื่อยๆ ยุคทองของวีไอจะมีสิทธิ์จบไปแล้วตลอดกาลมั้ยครับ ตลาดจะค่อยๆเข้าใกล้เคียงความมีประสิทธิภาพมากขึ้น นักลงทุนจะมีความรู้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ การหาหุ้น Undervalue อาจจะทำได้ยากขึ้น ทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยๆแล้วจะเท่าๆหรือใกล้เคียงตลาดมั้ยครับ อยากทราบความเห็นครับ

ผมว่าตลาดเมกาก็เกิดก่อนเรามานานมาก
ปู่ก็ยังทำกำไรได้อย่างดีนี่ครับ อย่ากังวลไปเลยครับ

คับ ก็คงลำบากขึ้นหน่อย แต่นักลงทุน VI ในตลาดพัฒนาแล้วอย่างอเมริกาก็ยังสามารถอยู่ได้

ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยบริษัทจะน้อยกว่าเยอะ แต่แนวการลงทุนอิงพื้นฐานอย่าง VI ก็ยังสามารถประยุกต์ได้เสมอ
ถึงแม้ตลาดในไทยจะอิ่มตัว แต่บริษัทจดทะเบียนที่ขยายการลงทุนไปต่างประเทศก็ยังเติบโตได้ หรือแม้แต่กองทุนอสังหาฯ
กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ หรือกองทุนที่ลงทุนต่างประเทศเราก็ลงทุนได้ถ้าไม่สามารถออกไปลงทุนตลาดต่างประเทศได้โดยตรง
ก็ยังพอมีอยู่มาก ซึ่งถือว่ายุคนี้ ช่วงต่อจากนี้ เรามีเครื่องมือต่างๆให้ใช้ในการลงทุนเยอะขึ้นซึ่งเป็นข้อดีมาทดแทน ไม่ว่าข้อมูลข่าวสาร
กฏเกณฑ์ระเบียบที่โปร่งใส ความรับผิดชอบของบริษัทจดทะเบียน-บรรษัทภิบาล และที่สำคัญ โบรกเกอร์ก็เอาอกเอาใจเราในการให้บริการต่างๆ

ตลาดหุ้นไทยตอนนี้มีประสิทธิภาพในการซึมซับข่าวสารเร็วขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่มีประสิทธิภาพในการสะท้อนมูลค่าได้เร็วทันที นักลงทุน VI ที่ประเมินมูลค่า
และการเติบโต บนสมมุติฐานที่แตกต่าง และมีมุมมองที่เฉียบคม ก็ยังสามารถหาหุ้นลงทุนได้คับ แต่ต้องขยันขึ้นมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
และต้องเน้นไปที่การการกระจายความเสี่ยงให้มาก(มุมมองส่วนตัว) และการบริหารพอร์ต(Asset Allocation)ให้มากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ
รวมถึงมีการ Re-evaluate มูลค่าหุ้น และปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่เราลงทุนเป็นระยะๆเสมอๆ

เรียกได้ว่าต้องรอบคอบขึ้นกว่าเดิมเยอะสำหรับสภาวะตลาดหุ้นในปัจจุบันและต่อจากนี้ไป

ผมคิดว่าเรื่องจิตวิทยาการลงทุนจะเป็นปัจจัยหลักให้เกิดช่วงว่างที่เป็นโอกาสสำหรับชาว VI เสมอครับ

ถ้ายังมีธุรกิจที่ยังเติบโตได้ดีทุกๆ ปีไปเรื่อยๆ นักลงทุน VI ก็ไม่ตายหรอกครับ เพราะงั้นต้องเอาใจช่วยนักธุรกิจไทย กับเศรษฐกิจไทยนะครับ

ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด

จิตมนุษย์นั้นไซร้ ยากแท้ หยั่งถึง

แม้มึความรู้เท่ากัน แต่จิตใจมั่นคงต่างกัน ผลตอบแทนก็ต่างกัน

ความลังเล ความสงสัย ความไม่มั่นใจ ความโลภ ความอิจฉา ริษยา

ยังคงทำให้ตลาดไม่มีประสิทธิภาพไม่ว่ายุคสมัยใดครับ

ผมว่าหลักการลงทุนแนววีไอจุดสำคัญมี 2 จุด
1) การมองอนาคตได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง
2) ความสามารถในการจัดการจิตใจ ให้ไม่หวั่นไหวไปกับ ความผันผวนของตลาด

ข้อมูลที่มากขึ้น AI ตลอดจนเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะมีมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต อาจจะทำให้เรามองอนาคตของกิจการบางประเภทได้ง่ายขึ้น เห็นตรงกันได้มากขึ้น และทำให้ตลาดตรงส่วนนี้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตามยังมีกิจการอีกจำนวนมากที่ผมเชื่อว่าที่มีความซับซ้อนของกิจการ ซึ่งยากเกินกว่าความสามารถของปัญญาประดิษฐ์จะมองอนาคตออกได้อย่างถูกต้อง ยังคงต้องใช้ปัญญาของมนุษย์ที่ผ่านการฝึกฝน สั่งสม มาอย่างดีแล้ว ในการพิจารณา วิเคราะห์ และประมวลภาพอนาคตต่างๆ ออกมา ซึ่งสำหรับมนุษย์ที่มีการฝึกฝน สั่งสม มาดีแล้ว ผมเชื่อว่าน่าจะยังเป็นผู้ชนะต่อไปในอนาคต

ขอบคุณทุกๆคนครับ

ขอบคุณครับ

ต่อให้เราใช้หลักวิชาของปรมจารย์เบนจามิน เกรแฮม มาใช้โดยไม่เปลี่ยนแปลงเลยในระยะยาวแล้วมันก็ยังเป็นวิธีการลงทุนที่ชนะตลาดอยู่ดี แม้ว่าปรมจารย์จะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว

ส่วนตัวผมคิดว่า
ตลาดจะมีประสิทธิภาพเมื่อมนุษย์ความโลภ และ ความกลัวครับ คงเป็นยุคที่มีความสุขโดยไม่ต้องมีตลาด

ตราบใดที่คิดว่าตลาดมีประสิทธิภาพ
แล้วยังมีคนแพ้ตลาด
แสดงว่ายังมีคนชนะตลาดที่ยังหายใจอยู่ครับ

ปล. ไม่ได้คิดเองครับ มโนล้วนๆ

มีอีกประเด็นที่อยากให้มองครับ
คือการลงทุน แม้ได้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่า
แต่ถ้าความเสี่ยงหายไปครึ่งๆ
ผมว่า หลักการนี้ก็ยังดูน่าสนใจอยู่ครับ

แต่คนส่วนนึงไม่ได้คิดแบบนั้น
กลับมองว่าถ้านำหลักการ vi ไปใช้
ต้องได้รับผลตอบแทนแบบเลิศหรูอลัง