MoneyTalk@SET19Sep15หุ้นใหม่ipo&เป้าหมายชีวิตพิชิตการลงทุน
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 20, 2015 2:09 am
MoneyTalk@SET19Sep15
ช่วงที่ 2 สัมมนาหัวข้อ “เป้าหมายชีวิต พิชิตการลงทุน”
1) คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย ผู้เสนอแนวคิด White Ocean
2) คุณพีรนาถ โชควัฒนา นักลงทุนเน้นคุณค่าอาวุโส
3) คุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข นักเขียนนักลงทุนเน้นคุณค่า
4) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
ทำไมชีวิตต้องมีเป้าหมาย?
- คุณดนัย ต้องถามว่าอะไรคือเป้าหมายสูงสุดก่อนออกจากโลกใบนี้?
เราทุกคนต้องตาย ถ้าเราเห็นความจริง จะตอบได้ว่าอะไรคือเป้าหมาย ?
อยากได้อยากมีอยากเป็น คือ ของชั่วคราว โลกทรัพย์หรือโลกียะทรัพย์
เวลาไปโรงแรม check out เราต้องคืนอะไรบ้าง? คืนทุกอย่าง
เช่นกัน เวลาที่ checkout ออกจากโลกใบนี้ ต้องคืนอะไรบ้าง?
ของที่สะสมทุกอย่างไม่ใช่ของของเรา รวมถึงลมหายใจสุดท้ายก็ต้องคืนด้วย
จึงตั้งคำถามทิ้งไว้ว่าเราจะตั้งเป้าหมายอย่างไร?
- คุณพรชัย ถ้าเราเกิดมาเหมือนเรามา check in ในโลก
ถ้าเราตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าวันหนึ่งต้อง checkout เราควรอยู่อย่างมีคุณค่า
เพราะเรารู้ว่าเวลามีจำกัด การอยู่แบบมีคุณค่า ไม่ใช่อยู่แบบงงๆ
ถ้าตื่นออกจากบ้านมารอรถเมล์ แต่ไม่รู้ขึ้นฝั่งไหน ขึ้นสายไหน
หรืออยากกินอาหาร แต่ไม่รู้ว่าอยากกินประเภทไหน ก็จะทำมั่วๆไป
ชีวิตมีช่วงเรียน เติบโต ทำงาน ถ้ามีเป้าหมายจะใช้ชีวิตแบบมีคุณค่า
- คุณพีรนาถ เป็นหัวข้อที่หนักใจ
ที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กชีวิตมีเป้าหมายมาโดยตลอด ทำให้รู้ว่าเราจะไปที่ไหน
ช่วงนี้รู้สึกเป้าหมายไม่ชัดเจน เหมือนกับจุดที่เราไม่ได้ลำบาก ไม่รู้จะตั้งเป้าหมายทำอะไรต่อ
สมัยเรียน มศ.3 ที่กรุงเทพคริสเตียน ไม่เคยมีเป้าหมายเลย
เรียนไม่เก่ง สอบได้ตรีโกณ 2 คะแนนจาก 100 พวกคิดเลขในใจก็ไม่เป็น
สอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนตัวเองไม่ได้ ตอนนั้นพ่อแม่จะส่งไปเมืองนอก
จึงเป็นครั้งแรกที่จะต้องสอบเข้าเตรียมให้ได้ แล้วก็ทำได้เพราะมีเป้าหมาย
พอเข้าไปได้ก็เริ่ม paranoid(วิตกไปไกล) ว่า ตอน entrance จะเข้าไม่ได้
ต้องโดนส่งไปเรียนต่างประเทศอีก จึงตั้งใจจะสอบเทียบให้ได้ จนได้ วิศวะจุฬาฯ
ซึ่งสอบได้ที่ 494 จาก 500 คน จึงเกิดความกลัวว่าจะเรียนไม่จบอีก
ที่ตอนนั้นตั้งเป้าหมายว่าจะเรียนให้ได้เกียรตินิยม คิดว่าตั้งเป้าหมายสูงๆไว้ก่อน
อย่างน้อยไปไม่ถึงก็ไม่เป็นไร ได้พยายามทำเต็มที่
กล้าบอกว่าไม่ได้เป็นคนเก่ง แค่เป็นคนมีความพยายาม กับมีเป้าหมายแน่ชัดว่าต้องการอะไร
- ดร.นิเวศน์ อาจจะเคยมีเป้าหมายสักครั้งหนึ่ง ตอนปี 40 ที่มีวิกฤติเศรษฐกิจ
ตอนนั้นตั้งเป้าหมายจะเป็นนักวิชาการที่บุกเบิก VI
ตอนนั้นตลาดหุ้นตกลงมามาก เป็นจังหวะที่เมืองไทยต้องเปลี่ยน
หลักการ vi ก็มีอยู่นานแต่ไม่ได้มีคนสนใจ
คิดย้อนที่ผ่านมาก็ตั้งแค่ว่าบ่ายนี้จะกินชาเขียว ปีนี้จะไปทำอะไร
อยากจะมีเงินเก็บมากขึ้น อยากเจริญขึ้น อยากดีขึ้นทุกปี
ซึ่งทุกปีชีวิตก็ดีขึ้นทุกปี มีแค่ไม่กี่ปีที่มีแย่ลงบ้าง
เช่น ปีที่เกิดวิกฤติ เงินน้อยลง ลำบากขึ้น
ไม่เคยตั้งเป้าหมายไกลๆ หรือเป้าหมายที่จะรวย
ตอนหลังมาอ่านชีวิตหลายคน อย่าง สตีฟ จ๊อบ บิล เกตต์
ชีวิตเขาไม่เคยมีเป้าหมาย แอปเปิ้ล ไมโครซอฟต์ไม่มีเป้าหมาย
ถ้ามีเป้าหมายเมื่อไรแสดงว่าตายแล้ว นวัตกรรม สิ่งใหม่ๆของโลกไม่เคยมีใครเจอ
อย่าง มาร์ค ซัคเคิลเบิร์ก เป็นคนหงึมๆ ฝรั่งไม่สนใจ
เขาทำ facebook ขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่าตัวเองไม่ popular
- คุณพรชัย เสริมมองอีกอย่างว่า เป้าหมายมีที่เป็นเป้าหมายละเอียด กับ กว้างๆ
บิลเกตต์ หรือ สตีฟจ๊อบ มีเป้าหมายคือทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ แล้วให้มันพาไป
มีคนถามว่าอยากทำกิจการส่วนตัวเริ่มจากตรงไหน? เริ่มจากลงมือทำ
ทำไปก่อน แล้วมันจะมีทางไปต่อเอง
อย่าง อเมซอน ทีแรกขายหนังสืออย่างเดียว แล้วโอกาสเปิดกว้าง
ก็ทำอย่างอื่นอีกเยอะแยะ มีขาย cloud อะไรต่างๆอีก
เราเริ่มทำไปก่อน รายละเอียดไม่เจาะลึก แล้วเราอาจจะเห็นเอง
เหมือนอย่าง อ.นิเวศน์ก็บอกว่าชีวิตต้องดีขึ้นทุกปี
เป้าหมายทำให้เราโฟกัสว่าเวลา 24 ชม. สมองที่มีจะใช้เวลากับเรื่องอะไร
จะใช้ชีวิตไปแบบไม่มีรูปแบบ ขึ้นกับจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา
คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะทำหลายอย่างเยอะแยะไปหมด
อย่าง อ.เสน่ห์ ให้ความสำคัญกับการเป็นวิทยากร คือเรารู้ว่าเน้นอะไร ทำตรงนั้นให้ดี
บางครั้งเราบอกไม่มีเป้าหมาย แต่ไม่จริงเสมอไป
ทุกครั้งเราทำ เคยสำรวจไหม ว่าเราคิดวิเคราะห์แล้วมันใช่ หรือเป็นเป้าหมายที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ถ้าเรียนได้ดีเราก็ต้องไปเรียนหมอ ทันตะ เป็นเป้าหมายที่อัตโนมัติ โดยสังคมหล่อหลอม
ไม่เชื่อว่าคนไม่มีเป้าหมาย ประเด็นคือ เป้าหมายที่คิดวิเคราะห์แล้ว
หรือเป็นเป้าหมายลวง ซึ่งทิศทางที่เหมือนมีแต่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ
อย่างคุณพีรนาถ มีความกลัวเรียนไม่จบ มีแรงกผลักดันมหาศาล ที่ทำให้เรียนดี
การตั้งเป้าหมายเป็นศิลปะ ต้องชัดเจน วัดผลได้จะได้รู้ว่าเข้าใกล้ขึ้นหรือเปล่า
มีหลายด้าน การเงิน สุขภาพ ความสัมพันธ์ การงาน ทางธรรม
บางครั้ง focus เงินมากจนลืมด้านอื่น
เคยไหมมีเป้าหมายจะตั้งใจเรียน หรือปีใหม่อยากทำอะไร แต่ผ่านไปไม่นานก็ลืมไม่ได้ทำแล้ว
คนแค่ 10% ทำได้ตามที่คิด 90% ล้มเหลว
เพราะ ตั้งเป้าหมายที่ไม่เป็นจริง ยากเกิน ตั้งเยอะเกินไป
กว้างมากจนไม่สามารถติดตามความคืบหน้า ต้องวัดผลได้
ถ้าเปรียบเทียบเรื่องเป้าหมายเป็นตะเกียบ ต้องเป็นคู่
เป้าหมายเป็นตะเกียบข้างเดียว ต้องหาอีกข้างหนึ่ง คือวินัย
ถ้ามีเป้าหมายไม่มีวินัย มีข้างเดียวจะไม่สามารถทำอะไรได้ ถ้ามี 2 อย่างพร้อมกันก็จะคีบได้
คนไทย เน้นเชิงปริมาณเยอะ เน้นเชิงคุณภาพน้อย
อย่างคนเขียนหนังสือชอบบอกเขียนหนังสือมากี่เล่ม เขียนมากี่บทความ
ถ้าดูอย่างฝรั่ง Michael porter เขียน ทั้งชีวิตแค่ 4-5 เล่ม
การที่ตั้งเป้าหมาย ต้องดูว่าเป็นจุดที่สำคัญหรือเปล่า
บางทีไปยึดกับตัวเลข ว่าต้องเขียนบทความทุกวัน
สำคัญกับเราแต่สำคัญกับโลกหรือเปล่า เป็น ego ของเราคนเดียว
อย่างไปค้นหาชื่อตัวเองใน google เจอ 2,000 รายการ หรือเคยเขียน 200 บทความ
มีใครแคร์ มีความหมายอะไรกับโลก? มีอะไรที่ทำให้ชีวิตคนเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้?
ตัวอย่างในต่างประเทศ อ. ฟิลิป คอตเลอร์ ที่เป็นปรมาจารย์ด้านการตลาด
เทียบกับ อ.ไมเคิล พอร์ตเตอร์ ปรมาจารย์ด้านกลยุทธ์
อ.พอร์ตเตอร์ ออกหนังสือปีแรก 1980 หลังจากนั้นก็มีออกหนังสือใหม่มาบ้าง นานๆเขียนบทความที
แต่อ.คอตเลอร์ออกทุกปี ซึ่ง review หลังๆมันแย่ลงเรื่อยๆ
เพราะคนอ่านคาดหวังสูง อ่านแล้วรู้สึกไม่มีอะไร
คนเราไปเน้นปริมาณมากเกินไป จนตัวเราเองเสื่อมถอย
ไม่ใช่ทำสิ่งที่เป็นแก่น ซึ่งส่งผลอะไรให้กับคนอื่น
- คุณดนัย ในฐานะที่ทำงานเกี่ยวกับไมโครซอฟต์มา 3 ปี
ไม่ใช่บิล เกตต์ไม่มีเป้าหมาย บุคคลที่ประสบความสำเร็จจะตั้งเป้าหมายได้เร็วและชัดเจน
เขาเรียนฮาร์เวิร์ด 2 ปี แล้วเขาบอกไม่อนุญาตให้มหาวิทยาลัยขโมยเวลาเขาอีกต่อไป
เขาไม่จำเป็นต้องเอาความรู้มือสองมายัดใส่หัวเขา
เป้าหมายฝันเห็นโลกใบนี้มีคอมพิวเตอร์ในที่ทำงานทุกแห่ง บนโต๊ะทุกแห่ง บ้านทุกหลัง
มันคุยกันได้ ง่ายต่อการใช้ 30 ปีก่อนคอมพิวเตอร์ไม่ได้หน้าตาแบบนี้
เขากล้าฝัน คิดไกลใฝ่สูง ประสบความสำเร็จ
ตั้งเป้าหมายใหญ่ขนาดนั้นคนก็หัวเราะเยาะ
เขาไปขอโรงรถของพ่อ ไปเหลือบเห็นหน้าต่างเพื่อนบ้าน เป็นที่มาของ window
เขารู้แล้วว่าเขาทำเพื่ออะไร ให้ประโยชน์กับคนทั้งโลก เป็นกฏแรงดึงดูดที่ทำให้เขารวยประสบความสำเร็จ
ส่วนสตีฟ จ๊อบ โชคดีกว่าบิลเกต์อีก เขาเรียนต่อไม่ได้ พ่อแม่บุญธรรมไม่มีเงินจ่ายให้เรียน
เขาจึงลาออก ช่วงเวลา 6 เดือนที่เขาเรียน เขารู้วิชาที่ชอบที่สุดคือ วิชาประดิษฐ์ตัวอักษร
เขารู้ว่ารักอะไร และเลือกทำสิ่งที่รัก ถ้าเราทำงานแบบไม่มี ego จะมีพลังมาก
เขาเดินกลับไปที่บริษัทที่ตัวเองตั้งและโดนไล่ออกได้
ในประเทศไทย เราดูใครเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ พระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็น idol ของคนทั้งโลก
ทรงตั้งเป้าหมายเมื่ออายุราว 20 ต้นๆ เป้าหมายของท่านยิ่งใหญ่มาก
เราจะครองแผ่นดินโดยทำ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่เหมือนที่คุณเวบบอกว่าเป็นตะเกียบต้องมีวินัย ประกาศและได้ทำด้วย
ตัวอย่างอีกท่าน ประสูติและตั้งเป้าหมายเลยคือ พระพุทธเจ้า
ท่านประสูติและประกาศเป้าว่าเกิดมาทำไม
ประกาศว่าชาตินี้เป็นชาติที่เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุด เป็นเลิศที่สุด ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา การเกิดไม่มีอีกต่อไป
เป้าหมายส่วนตัวได้แรงบันดาลใจจากงานศพคุณพ่อ
เมื่อ 8 ปีก่อน ซึ่งท่านไม่ได้เป็นคนที่สำคัญในสังคม ไม่มียศฐาบันดาศักดิ์
แต่คุณพ่อเป็นคนน่ารัก ให้ความสุขกับคน ซึ่งงานศพคุณพ่อ
คนมาร่วมเป็นพัน มาด้วยความเสียดาย ซึ่งบางคนมาร้องห่มร้องไห้ต้องคอยปลอบ
ที่ประทับใจได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พวงมาลาไว้หน้าหีบศพ ได้รับเชิญกระแสรับสั่ง
ขอให้คุณดนัยอย่าทำงานหนักมากเกินไป ถนอมสุขภาพ จะได้ดูแลประเทศชาติต่อไป
ทำให้เราเห็นว่า ความดีไม่มีวันศูนย์ แม้เราจะไม่ได้มีตำแหน่ง ยศฐาบรรดาศักดิ์
แต่ มีความอิ่มเอมใจที่เราได้
ถ้ามีคำจารึกหนึ่งคำ ที่อธิบายหนึ่งประโยคว่าเขาเป็นคนอย่างไร นั่นควรจะเป็นเป้าหมายของเรา
- ดร.นิเวศน์ ถ้ามีงานของตัวเองอยากให้เขียนจารึกไว้ว่า The greatest father and husband of the world
- คุณพีรนาถ คิดย้อนดู เป้าหมายเกิดจากวิกฤติ ไม่มีที่เรียน กลัวว่าจะเรียนไม่จบ
เราตั้งเป้าหมายเกียรตินิยมเหรียญทอง โดยไม่เคยบอกใครเลย
ไม่อยากให้ใครคาดหวัง เพราะจะกดดันไม่เป็นตัวเรา
เริ่มบอกที่บ้านเมื่อเรียนจบปี 4 เทอม 1 ซึ่งค่อนข้างน่าจะทำได้แล้ว
ซึ่งเกรดที่เรียนได้มีทุกเกรด เป็นคนธรรมดาที่ใช้ความพยายาม
เช่น วิชาเทอโมไดนามิกส์ ซึ่งเรียนไม่รู้เรื่อง อ.ก็สอนไม่ได้สนใจ
แต่ถ้าเป้าหมายเราใหญ่พอ การที่เราเอาแต่ว่า อาจารย์ ก็ไม่ได้อะไร
ซึ่งเราก็เข้าไปหาอาจารย์ ซึ่งเราก็ได้เรียนรู้และรู้สึกดีกับเขา
พอมีอุปสรรคมาก็ต้องถามว่าจะ react กับอุปสรรคนั้นอย่างไร
เราต้องเข้าหาสิ่งที่เราไม่ชอบบ่อยๆ เราก็จะทำได้
ส่วนตัวมีเป้าหมายมากมายในชีวิตที่ทำไม่สำเร็จ
เช่น ตั้งเป้าหมายจะไปญี่ปุ่น จะต้องพูดภาษาญี่ปุ่นได้ ซึ่งไม่เคยสำเร็จ
เราไม่ได้อยากมันได้จริงๆ ต่างกับเพื่อนที่จบปริญญาตรี แล้วจะไปเรียนโทที่ญี่ปุ่น
เขาก็ทำกันได้ปีเดียว เพราะจำเป็นกับชีวิตเขา
สมัยก่อนตอนเรียนจบแล้วทำงานไม่ต้องใช้เงินเดือน ซื้อหุ้นอะไรก็ถูกหมด
ก็หยิ่งผยอง ใช้ margin ใช้ OD ปี 40 เกิดวิกฤติก็เจ๊ง หมดตัว
เพื่อนที่ลงทุนรุ่นเดียวกัน ก็หายหมดเลย หมดตัวแบบเงินเดือนไม่พอจ่ายดอกเบี้ย
ทำให้เกิดการตัดสินใจครั้งต่อไป
ถ้ายอมแพ้ก็ทำงานใช้หนี้ไปเรื่อยๆ แต่เราคิดว่าต้องเอาคืน
ซึ่งถ้าใช้วิธีการทำเหมือนเดิมก็ได้ผลเหมือนเดิม
ทุกเสาร์อาทิตย์ไม่ออกไปไหน เปิดหนังสือพิมพ์ ดู pe, pbv หาหุ้น
มาซื้อ cd ข้อมูลย้อนหลัง มาตลาดหลักทรัพย์ดูข้อมูลบ้าง หนังสือหุ้นสมัยนั้นยังไม่มี
เมื่อก่อน มีคนมาบอกเราเชื่อเราก็ซื้อ ตอนนี้เราก็มีเป้าหมายชัดขึ้น จะไม่ทำผิดแบบเดิม
เป้าหมายตอนนั้นชัดเจนว่าจะสร้างตัวกลับมาจากการลงทุน
ช่วงนั้นซื้ออะไรไปก็มี tender ออกไป ก็มีเงินหมุนเวียน
หลังๆเป้าหมายที่ตั้งมันลอยๆ เพราะเราไม่ได้ใส่ความพยายามอย่างเพียงพอให้ไปถึงสิ่งที่เราต้องการ
- ดร.นิเวศน์ สตีฟ จ๊อบ เขาไม่เคยเห็นภาพปัจจุบันของแอปเปิล
ไม่ได้คิดว่าบริษัทจะเป็นอย่างไร เขาพูดสุนทรพจน์ที่แสตมป์ฟอร์ด ชีวิตเหมือนต่อจุด
การเขียนอักษรไม่เคยคิดว่าจะมาใช้ แต่ทำเพราะชอบ
สิ่งที่ทำมันบังเอิญต่อมาเป็นรูปร่างที่เห็น กำลังคิดว่าชีวิตตัวเองก็คล้ายๆกัน
คือทำๆไป พอถึงอายุ 50 ก็ไม่ค่อยได้ต่อจุดแล้ว
จะแนะนำคนอื่น ต้องวางเป้าอย่างไร เพื่อพิชิตการลงทุน?
- ดร.นิเวศน์ ตั้งเป้าน้อยหน่อย แต่ให้ดีขึ้นทุกปี
ถ้าขาดทุนอยู่ก็หาเรื่องอื่นมาชดเชย เช่น จีบแฟนสำเร็จ
มีความคิดง่ายๆว่าถ้าปีหนึ่งดีขึ้นนิดหน่อย แล้วทำให้มันไม่ตกต่ำลง
ทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเรื่อยๆ ชีวิตก็พาไปโชคชะตา
- คุณพรชัย ขอพูดเรื่องตะเกียบต่อ ฟังคุณพีรนาถตรงกับเรื่องที่จะพูด
หลายคนมีเป้าหมาย อาจจะเป็นเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เงิน
แต่ถ้าเราแค่ตั้งเป้าหมาย เราทำไม่ได้
เป้าหมายที่ดี ต้องมีเหตุผลที่ยิ่งใหญ่พอ ว่าทำไมต้องทำให้สำเร็จ
ชีวิตจะดีขึ้นอย่างไร ไม่สำเร็จ ชีวิตจะแย่ลงอย่างไร
ถ้ามีวินัย ไม่มีเป้าหมายจะเหมือนวิ่งผิดทิศ มันต้องคู่กัน
วินัยเป็นเรื่องยาก เหตุผลต้องยิ่งใหญ่พอ
ชีวิตคนเรามีหลายช่วง ถ้าเรายังปากกัดตีนถีบ ไม่มีเป้าหมายไม่ได้ ต้องทำให้ได้ พรุ่งนี้ต้องมีกิน
ต้องพยายามไม่ใช่ slow life ถ้ายังอยู่ในเฟสการอยู่รอด หรือทำตัวเองให้มั่นใจ
ถ้าเรา slow life ชีวิตจะ low life เอาให้ผ่านช่วงอยู่รอดกับมั่นคงก่อน
ตอนนี้ชีวิตก็ไม่มีเป้าหมาย ตอนนี้ขอมีความสุขในทุกสถานการณ์
สิ่งที่อยากได้อยากมี ก็มีแล้ว เพราะไม่ได้ต้องการเยอะ
ตอนที่อยู่ในระดับอยู่รอดกับชีวิตมั่นคงไม่ได้ มันต้องมีเงิน ดูแลคนอื่นได้
ชีวิตเป็นเฟส อย่าไปใช้ชีวิตตามคำคม มันมีข้อยกเว้น
อย่างที่อ.นิเวศน์บอกว่า สตีฟจ๊อบประดิษฐ์อักษร คนสำเร็จ มีสิ่งสำเร็จกับสิ่งที่เค้าทำ กับสิ่งที่มันเกิดขึ้นเอง
อย่าง IBM กับ Microsoft ซึ่งตอนนั้น IBM forecast ว่า pc ไม่ได้ดีมาก
เลยไม่ได้แคร์ว่าใครจะทำ สุดท้าย power ไปอยู่ที่ microsoft
บางอย่างบิลเกตต์ทำ บางอย่าง IBM ทำ
ชีวิตคนเรามัน อย่างอ.นิเวศน์เจ๊งเป็นโชคดีก็ได้ โชคร้ายก็ได้
เป็นบทที่โลกเขียนให้เรา เราทำอะไรไม่ได้
อีกส่วนที่สำคัญกว่าคือ เราจะเขียนบทต่ออย่างไร
ถ้าเจ๊งแล้วเลิกก็หมดตัว อย่างคุณพีรนาถถ้าเลิกก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่
สิ่งที่เกิดกับเรา บทที่โลกเขียนให้เรา
ไปตีโพยตีพายเปล่าประโยชน์ควรใช้สมองและเวลาที่มีน้อยๆ ไปโฟกัสให้ถูกเรื่อง
บทที่เขียนให้ตัวเองเล่น เขียนอย่างไร
คนอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน มีไม่กี่คนที่โดดเด่นประสบความสำเร็จ
แต่ต้องใช้ความคิด อย่างบิลเกตต์ถ้าทำ microsoft ไม่สำเร็จ ก็เรียนต่อเพราะเขา drop ได้
เป้าหมายเป็นดาบสองคม อย่างแรกเป็นทิศทาง แต่มองอีกมุมเป็นกรอบ
ถ้าเรามีทิศทางชัดเจนเกินไปจนไปทางนั้นอย่างเดียวจนละเลยสิ่งรอบข้าง
อย่างสตีฟจ๊อบอาจจะไม่เรียนประดิษฐ์อักษร บริษัทที่เจ๊งทั้งหลายเพราะมีทิศทางเดียวเกินไป
อย่าลืมมองสิ่งรอบข้างที่เกิดขึ้น อาจเป็นจุดหนึ่งที่เวลามาต่อแล้วลงตัวสวยงาม
สตีฟจ๊อบบอกไม่เคยมองไปข้างหน้าต่อจุดได้
แต่ต่อจุดจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว มองย้อนกลับมา
เราต้องมีความศรัทธาและมีความพยายาม
ความศรัทธาที่ไม่มีความพยายามกำกับ เป็นศรัทธาโง่ๆ ความฝันลมๆแร้งๆ
ความพยายามที่ไม่มีความศรัทธา เป็นความพยายามที่ขาดความมั่นใจ
ขาดพลัง ขาดความโฟกัส ขาดชีวิตชีวา ความสุข
ความพยายามอย่างหนักหน่วงขาดเราต้องมีศรัทธากำกับ
แล้วสุดท้ายถ้าชีวิตเราโชคร้ายเกินไป ชีวิตเราควรจะดี
- ดร.ไพบูลย์ อยากตอบคำถามที่คุณดนัยถามว่าจะสลักคำว่าอะไรที่โลง คำตอบคือไม่มี
เพราะศพไม่ได้ตั้ง ร่างกายก็บริจาค และตายไปก็ไม่ได้อะไร อย่าไปคิดเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของลูกเมีย
ตายไปแล้วก็จบ เราเป็นส่วนน้อยมากในโลก
- คุณดนัย อยากขอพูดถึงสตีฟ จ๊อบในความยิ่งใหญ่
เขาเป็นอเมริกันที่เป็นพุทธ และเขาเป็นมะเร็ง
พระพุทธเจ้าสอนให้เราอยู่กับความจริง มรณานุสติ
ไม่มีประโยชน์อะไรที่ทำให้เขาเป็นคนรวยที่สุดที่อยู่ในสุสาน
แต่ขอเป็นคนธรรมดาที่ทำทุกวันให้ยิ่งใหญ่ที่สุด
อย่างในเมืองไทย คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อต้องธนบุรี ประกอบรถยนต์
คุณเล็ก มีคำพูดบอกว่าวันนี้เป็นวันที่มีคุณค่าที่สุด
เพราะได้สละชีวิต 1 วันเป็นค่าทดแทนไปแล้ว
slow life ไม่ใช่ไม่ทำอะไร
ถ้าเทียบกับคนยุคนี้ส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิต เร่งรีบ ใช้ชีวิตตามแนวรถไฟฟ้า
ดูมือถือ ดู คอม ไปพร้อมกัน แต่ slow life มีเวลาอ่านหนังสือ สังเกตคนรอบข้าง
การตั้งเป้าหมายแบบวิถีพุทธ พระพุทธเจ้าบอกมี 3 ระดับ
ระดับแรก ชีวิตปัจจุบัน ชีวิตทางโลกทำให้ดีที่สุด มีอาชีพดี การงานดี ฐานะดี คื
อประโยชน์แบบปัจจุบัน โลกทรัพย์ โลกียะทรัพย์
ถัดมา ถ้าเราเชื่อบาปบุญคุณโทษ เวรกรรม ชาติต่อไปจะมีความดีตามมาด้วย
และสุดท้าย ทำอย่างไรไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
อ.เสน่ห์ สรุปปิดท้าย
แต่ละคนมีเป้าหมายไม่เหมือนกันในชีวิต
เป้าหมายสำคัญคือพิชิตการลงทุนบนเส้นทางที่สุจริต
ชีวิตต้องทำประโยชน์ให้คนอื่นด้วย
เราโชคดีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ 7.2 พันล้านคน
เราน่าจะเป็นคนหนึ่งที่ทำประโยชน์ไม่ใช่เป็นขยะมนุษย์
การลงทุนก็ควรเป็นการลงทุนที่มีความภาคภูมิใจ
ทำแล้วประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง มิใช่การลงทุนแบบทุจริต
ครั้งที่แล้วเดินทางไปต่างประเทศ กลับมายังป่วยอยู่ไว้ช่วงที่ 1 จะมาโพสต์ต่อพรุ่งนี้ครับ
ขอบพระคุณอ.ไพบูลย์,พิธีกร,วิทยากร, ทีมงาน money talk และผู้สนับสนุนทุกท่าน
ข้อมูลแชร์เพื่อแบ่งปันความรู้ หากผิดพลาดอย่างไรขออภัยด้วยครับ ช่วยแก้ไข เสริมเพิ่มเติมได้เลยครับ
Money talk at SET ครั้งต่อไป เสาร์ที่ 17 ตุลาคม เปิดจองเสาร์ที่ 10 ตุลาคม
หัวข้อ 1 MBA ประตูสู่ความสำเร็จ จริงหรือ?
แขกรับเชิญ คุณวรวุฒิ อุ่นใจ กจก.COL, คุณพยนต์ พงศาวรี fund manager บลจ.ทหารไทย
รศ.พ.ต.ต.ดร.ดนุวศิน เจริญ เป็นรองคณบดี นิด้า business school และดร.นิเวศน์
อ.ไพบูลย์ กับ อ.เสน่ห์ ดำเนินรายการ
หัวข้อ 2 เลือกหุ้นจัดพอร์ตแบบมืออาชีพ เป็นหัวข้อสำคัญ ไม่ใช่แค่เน้น stock selction อย่างเดียว
แขกรับเชิญ ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กจก.บลจ.ทหารไทย, คุณวิน พรหมแพทย์ cio บลจ.cimb,
คุณประภาส ตัณพิบูลย์ cio บลจ.กรุงศรีฯ ปัจจุบันลาออกแล้ว กำลังตั้งบริษัทใหม่ และ ดร.นิเวศน์
ดร.ไพบูลย์, อ.เสน่ห์ ดำเนินรายการ
ช่วงที่ 2 สัมมนาหัวข้อ “เป้าหมายชีวิต พิชิตการลงทุน”
1) คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย ผู้เสนอแนวคิด White Ocean
2) คุณพีรนาถ โชควัฒนา นักลงทุนเน้นคุณค่าอาวุโส
3) คุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข นักเขียนนักลงทุนเน้นคุณค่า
4) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
ทำไมชีวิตต้องมีเป้าหมาย?
- คุณดนัย ต้องถามว่าอะไรคือเป้าหมายสูงสุดก่อนออกจากโลกใบนี้?
เราทุกคนต้องตาย ถ้าเราเห็นความจริง จะตอบได้ว่าอะไรคือเป้าหมาย ?
อยากได้อยากมีอยากเป็น คือ ของชั่วคราว โลกทรัพย์หรือโลกียะทรัพย์
เวลาไปโรงแรม check out เราต้องคืนอะไรบ้าง? คืนทุกอย่าง
เช่นกัน เวลาที่ checkout ออกจากโลกใบนี้ ต้องคืนอะไรบ้าง?
ของที่สะสมทุกอย่างไม่ใช่ของของเรา รวมถึงลมหายใจสุดท้ายก็ต้องคืนด้วย
จึงตั้งคำถามทิ้งไว้ว่าเราจะตั้งเป้าหมายอย่างไร?
- คุณพรชัย ถ้าเราเกิดมาเหมือนเรามา check in ในโลก
ถ้าเราตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าวันหนึ่งต้อง checkout เราควรอยู่อย่างมีคุณค่า
เพราะเรารู้ว่าเวลามีจำกัด การอยู่แบบมีคุณค่า ไม่ใช่อยู่แบบงงๆ
ถ้าตื่นออกจากบ้านมารอรถเมล์ แต่ไม่รู้ขึ้นฝั่งไหน ขึ้นสายไหน
หรืออยากกินอาหาร แต่ไม่รู้ว่าอยากกินประเภทไหน ก็จะทำมั่วๆไป
ชีวิตมีช่วงเรียน เติบโต ทำงาน ถ้ามีเป้าหมายจะใช้ชีวิตแบบมีคุณค่า
- คุณพีรนาถ เป็นหัวข้อที่หนักใจ
ที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กชีวิตมีเป้าหมายมาโดยตลอด ทำให้รู้ว่าเราจะไปที่ไหน
ช่วงนี้รู้สึกเป้าหมายไม่ชัดเจน เหมือนกับจุดที่เราไม่ได้ลำบาก ไม่รู้จะตั้งเป้าหมายทำอะไรต่อ
สมัยเรียน มศ.3 ที่กรุงเทพคริสเตียน ไม่เคยมีเป้าหมายเลย
เรียนไม่เก่ง สอบได้ตรีโกณ 2 คะแนนจาก 100 พวกคิดเลขในใจก็ไม่เป็น
สอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนตัวเองไม่ได้ ตอนนั้นพ่อแม่จะส่งไปเมืองนอก
จึงเป็นครั้งแรกที่จะต้องสอบเข้าเตรียมให้ได้ แล้วก็ทำได้เพราะมีเป้าหมาย
พอเข้าไปได้ก็เริ่ม paranoid(วิตกไปไกล) ว่า ตอน entrance จะเข้าไม่ได้
ต้องโดนส่งไปเรียนต่างประเทศอีก จึงตั้งใจจะสอบเทียบให้ได้ จนได้ วิศวะจุฬาฯ
ซึ่งสอบได้ที่ 494 จาก 500 คน จึงเกิดความกลัวว่าจะเรียนไม่จบอีก
ที่ตอนนั้นตั้งเป้าหมายว่าจะเรียนให้ได้เกียรตินิยม คิดว่าตั้งเป้าหมายสูงๆไว้ก่อน
อย่างน้อยไปไม่ถึงก็ไม่เป็นไร ได้พยายามทำเต็มที่
กล้าบอกว่าไม่ได้เป็นคนเก่ง แค่เป็นคนมีความพยายาม กับมีเป้าหมายแน่ชัดว่าต้องการอะไร
- ดร.นิเวศน์ อาจจะเคยมีเป้าหมายสักครั้งหนึ่ง ตอนปี 40 ที่มีวิกฤติเศรษฐกิจ
ตอนนั้นตั้งเป้าหมายจะเป็นนักวิชาการที่บุกเบิก VI
ตอนนั้นตลาดหุ้นตกลงมามาก เป็นจังหวะที่เมืองไทยต้องเปลี่ยน
หลักการ vi ก็มีอยู่นานแต่ไม่ได้มีคนสนใจ
คิดย้อนที่ผ่านมาก็ตั้งแค่ว่าบ่ายนี้จะกินชาเขียว ปีนี้จะไปทำอะไร
อยากจะมีเงินเก็บมากขึ้น อยากเจริญขึ้น อยากดีขึ้นทุกปี
ซึ่งทุกปีชีวิตก็ดีขึ้นทุกปี มีแค่ไม่กี่ปีที่มีแย่ลงบ้าง
เช่น ปีที่เกิดวิกฤติ เงินน้อยลง ลำบากขึ้น
ไม่เคยตั้งเป้าหมายไกลๆ หรือเป้าหมายที่จะรวย
ตอนหลังมาอ่านชีวิตหลายคน อย่าง สตีฟ จ๊อบ บิล เกตต์
ชีวิตเขาไม่เคยมีเป้าหมาย แอปเปิ้ล ไมโครซอฟต์ไม่มีเป้าหมาย
ถ้ามีเป้าหมายเมื่อไรแสดงว่าตายแล้ว นวัตกรรม สิ่งใหม่ๆของโลกไม่เคยมีใครเจอ
อย่าง มาร์ค ซัคเคิลเบิร์ก เป็นคนหงึมๆ ฝรั่งไม่สนใจ
เขาทำ facebook ขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่าตัวเองไม่ popular
- คุณพรชัย เสริมมองอีกอย่างว่า เป้าหมายมีที่เป็นเป้าหมายละเอียด กับ กว้างๆ
บิลเกตต์ หรือ สตีฟจ๊อบ มีเป้าหมายคือทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ แล้วให้มันพาไป
มีคนถามว่าอยากทำกิจการส่วนตัวเริ่มจากตรงไหน? เริ่มจากลงมือทำ
ทำไปก่อน แล้วมันจะมีทางไปต่อเอง
อย่าง อเมซอน ทีแรกขายหนังสืออย่างเดียว แล้วโอกาสเปิดกว้าง
ก็ทำอย่างอื่นอีกเยอะแยะ มีขาย cloud อะไรต่างๆอีก
เราเริ่มทำไปก่อน รายละเอียดไม่เจาะลึก แล้วเราอาจจะเห็นเอง
เหมือนอย่าง อ.นิเวศน์ก็บอกว่าชีวิตต้องดีขึ้นทุกปี
เป้าหมายทำให้เราโฟกัสว่าเวลา 24 ชม. สมองที่มีจะใช้เวลากับเรื่องอะไร
จะใช้ชีวิตไปแบบไม่มีรูปแบบ ขึ้นกับจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา
คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะทำหลายอย่างเยอะแยะไปหมด
อย่าง อ.เสน่ห์ ให้ความสำคัญกับการเป็นวิทยากร คือเรารู้ว่าเน้นอะไร ทำตรงนั้นให้ดี
บางครั้งเราบอกไม่มีเป้าหมาย แต่ไม่จริงเสมอไป
ทุกครั้งเราทำ เคยสำรวจไหม ว่าเราคิดวิเคราะห์แล้วมันใช่ หรือเป็นเป้าหมายที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ถ้าเรียนได้ดีเราก็ต้องไปเรียนหมอ ทันตะ เป็นเป้าหมายที่อัตโนมัติ โดยสังคมหล่อหลอม
ไม่เชื่อว่าคนไม่มีเป้าหมาย ประเด็นคือ เป้าหมายที่คิดวิเคราะห์แล้ว
หรือเป็นเป้าหมายลวง ซึ่งทิศทางที่เหมือนมีแต่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ
อย่างคุณพีรนาถ มีความกลัวเรียนไม่จบ มีแรงกผลักดันมหาศาล ที่ทำให้เรียนดี
การตั้งเป้าหมายเป็นศิลปะ ต้องชัดเจน วัดผลได้จะได้รู้ว่าเข้าใกล้ขึ้นหรือเปล่า
มีหลายด้าน การเงิน สุขภาพ ความสัมพันธ์ การงาน ทางธรรม
บางครั้ง focus เงินมากจนลืมด้านอื่น
เคยไหมมีเป้าหมายจะตั้งใจเรียน หรือปีใหม่อยากทำอะไร แต่ผ่านไปไม่นานก็ลืมไม่ได้ทำแล้ว
คนแค่ 10% ทำได้ตามที่คิด 90% ล้มเหลว
เพราะ ตั้งเป้าหมายที่ไม่เป็นจริง ยากเกิน ตั้งเยอะเกินไป
กว้างมากจนไม่สามารถติดตามความคืบหน้า ต้องวัดผลได้
ถ้าเปรียบเทียบเรื่องเป้าหมายเป็นตะเกียบ ต้องเป็นคู่
เป้าหมายเป็นตะเกียบข้างเดียว ต้องหาอีกข้างหนึ่ง คือวินัย
ถ้ามีเป้าหมายไม่มีวินัย มีข้างเดียวจะไม่สามารถทำอะไรได้ ถ้ามี 2 อย่างพร้อมกันก็จะคีบได้
คนไทย เน้นเชิงปริมาณเยอะ เน้นเชิงคุณภาพน้อย
อย่างคนเขียนหนังสือชอบบอกเขียนหนังสือมากี่เล่ม เขียนมากี่บทความ
ถ้าดูอย่างฝรั่ง Michael porter เขียน ทั้งชีวิตแค่ 4-5 เล่ม
การที่ตั้งเป้าหมาย ต้องดูว่าเป็นจุดที่สำคัญหรือเปล่า
บางทีไปยึดกับตัวเลข ว่าต้องเขียนบทความทุกวัน
สำคัญกับเราแต่สำคัญกับโลกหรือเปล่า เป็น ego ของเราคนเดียว
อย่างไปค้นหาชื่อตัวเองใน google เจอ 2,000 รายการ หรือเคยเขียน 200 บทความ
มีใครแคร์ มีความหมายอะไรกับโลก? มีอะไรที่ทำให้ชีวิตคนเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้?
ตัวอย่างในต่างประเทศ อ. ฟิลิป คอตเลอร์ ที่เป็นปรมาจารย์ด้านการตลาด
เทียบกับ อ.ไมเคิล พอร์ตเตอร์ ปรมาจารย์ด้านกลยุทธ์
อ.พอร์ตเตอร์ ออกหนังสือปีแรก 1980 หลังจากนั้นก็มีออกหนังสือใหม่มาบ้าง นานๆเขียนบทความที
แต่อ.คอตเลอร์ออกทุกปี ซึ่ง review หลังๆมันแย่ลงเรื่อยๆ
เพราะคนอ่านคาดหวังสูง อ่านแล้วรู้สึกไม่มีอะไร
คนเราไปเน้นปริมาณมากเกินไป จนตัวเราเองเสื่อมถอย
ไม่ใช่ทำสิ่งที่เป็นแก่น ซึ่งส่งผลอะไรให้กับคนอื่น
- คุณดนัย ในฐานะที่ทำงานเกี่ยวกับไมโครซอฟต์มา 3 ปี
ไม่ใช่บิล เกตต์ไม่มีเป้าหมาย บุคคลที่ประสบความสำเร็จจะตั้งเป้าหมายได้เร็วและชัดเจน
เขาเรียนฮาร์เวิร์ด 2 ปี แล้วเขาบอกไม่อนุญาตให้มหาวิทยาลัยขโมยเวลาเขาอีกต่อไป
เขาไม่จำเป็นต้องเอาความรู้มือสองมายัดใส่หัวเขา
เป้าหมายฝันเห็นโลกใบนี้มีคอมพิวเตอร์ในที่ทำงานทุกแห่ง บนโต๊ะทุกแห่ง บ้านทุกหลัง
มันคุยกันได้ ง่ายต่อการใช้ 30 ปีก่อนคอมพิวเตอร์ไม่ได้หน้าตาแบบนี้
เขากล้าฝัน คิดไกลใฝ่สูง ประสบความสำเร็จ
ตั้งเป้าหมายใหญ่ขนาดนั้นคนก็หัวเราะเยาะ
เขาไปขอโรงรถของพ่อ ไปเหลือบเห็นหน้าต่างเพื่อนบ้าน เป็นที่มาของ window
เขารู้แล้วว่าเขาทำเพื่ออะไร ให้ประโยชน์กับคนทั้งโลก เป็นกฏแรงดึงดูดที่ทำให้เขารวยประสบความสำเร็จ
ส่วนสตีฟ จ๊อบ โชคดีกว่าบิลเกต์อีก เขาเรียนต่อไม่ได้ พ่อแม่บุญธรรมไม่มีเงินจ่ายให้เรียน
เขาจึงลาออก ช่วงเวลา 6 เดือนที่เขาเรียน เขารู้วิชาที่ชอบที่สุดคือ วิชาประดิษฐ์ตัวอักษร
เขารู้ว่ารักอะไร และเลือกทำสิ่งที่รัก ถ้าเราทำงานแบบไม่มี ego จะมีพลังมาก
เขาเดินกลับไปที่บริษัทที่ตัวเองตั้งและโดนไล่ออกได้
ในประเทศไทย เราดูใครเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ พระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็น idol ของคนทั้งโลก
ทรงตั้งเป้าหมายเมื่ออายุราว 20 ต้นๆ เป้าหมายของท่านยิ่งใหญ่มาก
เราจะครองแผ่นดินโดยทำ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่เหมือนที่คุณเวบบอกว่าเป็นตะเกียบต้องมีวินัย ประกาศและได้ทำด้วย
ตัวอย่างอีกท่าน ประสูติและตั้งเป้าหมายเลยคือ พระพุทธเจ้า
ท่านประสูติและประกาศเป้าว่าเกิดมาทำไม
ประกาศว่าชาตินี้เป็นชาติที่เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุด เป็นเลิศที่สุด ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา การเกิดไม่มีอีกต่อไป
เป้าหมายส่วนตัวได้แรงบันดาลใจจากงานศพคุณพ่อ
เมื่อ 8 ปีก่อน ซึ่งท่านไม่ได้เป็นคนที่สำคัญในสังคม ไม่มียศฐาบันดาศักดิ์
แต่คุณพ่อเป็นคนน่ารัก ให้ความสุขกับคน ซึ่งงานศพคุณพ่อ
คนมาร่วมเป็นพัน มาด้วยความเสียดาย ซึ่งบางคนมาร้องห่มร้องไห้ต้องคอยปลอบ
ที่ประทับใจได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พวงมาลาไว้หน้าหีบศพ ได้รับเชิญกระแสรับสั่ง
ขอให้คุณดนัยอย่าทำงานหนักมากเกินไป ถนอมสุขภาพ จะได้ดูแลประเทศชาติต่อไป
ทำให้เราเห็นว่า ความดีไม่มีวันศูนย์ แม้เราจะไม่ได้มีตำแหน่ง ยศฐาบรรดาศักดิ์
แต่ มีความอิ่มเอมใจที่เราได้
ถ้ามีคำจารึกหนึ่งคำ ที่อธิบายหนึ่งประโยคว่าเขาเป็นคนอย่างไร นั่นควรจะเป็นเป้าหมายของเรา
- ดร.นิเวศน์ ถ้ามีงานของตัวเองอยากให้เขียนจารึกไว้ว่า The greatest father and husband of the world
- คุณพีรนาถ คิดย้อนดู เป้าหมายเกิดจากวิกฤติ ไม่มีที่เรียน กลัวว่าจะเรียนไม่จบ
เราตั้งเป้าหมายเกียรตินิยมเหรียญทอง โดยไม่เคยบอกใครเลย
ไม่อยากให้ใครคาดหวัง เพราะจะกดดันไม่เป็นตัวเรา
เริ่มบอกที่บ้านเมื่อเรียนจบปี 4 เทอม 1 ซึ่งค่อนข้างน่าจะทำได้แล้ว
ซึ่งเกรดที่เรียนได้มีทุกเกรด เป็นคนธรรมดาที่ใช้ความพยายาม
เช่น วิชาเทอโมไดนามิกส์ ซึ่งเรียนไม่รู้เรื่อง อ.ก็สอนไม่ได้สนใจ
แต่ถ้าเป้าหมายเราใหญ่พอ การที่เราเอาแต่ว่า อาจารย์ ก็ไม่ได้อะไร
ซึ่งเราก็เข้าไปหาอาจารย์ ซึ่งเราก็ได้เรียนรู้และรู้สึกดีกับเขา
พอมีอุปสรรคมาก็ต้องถามว่าจะ react กับอุปสรรคนั้นอย่างไร
เราต้องเข้าหาสิ่งที่เราไม่ชอบบ่อยๆ เราก็จะทำได้
ส่วนตัวมีเป้าหมายมากมายในชีวิตที่ทำไม่สำเร็จ
เช่น ตั้งเป้าหมายจะไปญี่ปุ่น จะต้องพูดภาษาญี่ปุ่นได้ ซึ่งไม่เคยสำเร็จ
เราไม่ได้อยากมันได้จริงๆ ต่างกับเพื่อนที่จบปริญญาตรี แล้วจะไปเรียนโทที่ญี่ปุ่น
เขาก็ทำกันได้ปีเดียว เพราะจำเป็นกับชีวิตเขา
สมัยก่อนตอนเรียนจบแล้วทำงานไม่ต้องใช้เงินเดือน ซื้อหุ้นอะไรก็ถูกหมด
ก็หยิ่งผยอง ใช้ margin ใช้ OD ปี 40 เกิดวิกฤติก็เจ๊ง หมดตัว
เพื่อนที่ลงทุนรุ่นเดียวกัน ก็หายหมดเลย หมดตัวแบบเงินเดือนไม่พอจ่ายดอกเบี้ย
ทำให้เกิดการตัดสินใจครั้งต่อไป
ถ้ายอมแพ้ก็ทำงานใช้หนี้ไปเรื่อยๆ แต่เราคิดว่าต้องเอาคืน
ซึ่งถ้าใช้วิธีการทำเหมือนเดิมก็ได้ผลเหมือนเดิม
ทุกเสาร์อาทิตย์ไม่ออกไปไหน เปิดหนังสือพิมพ์ ดู pe, pbv หาหุ้น
มาซื้อ cd ข้อมูลย้อนหลัง มาตลาดหลักทรัพย์ดูข้อมูลบ้าง หนังสือหุ้นสมัยนั้นยังไม่มี
เมื่อก่อน มีคนมาบอกเราเชื่อเราก็ซื้อ ตอนนี้เราก็มีเป้าหมายชัดขึ้น จะไม่ทำผิดแบบเดิม
เป้าหมายตอนนั้นชัดเจนว่าจะสร้างตัวกลับมาจากการลงทุน
ช่วงนั้นซื้ออะไรไปก็มี tender ออกไป ก็มีเงินหมุนเวียน
หลังๆเป้าหมายที่ตั้งมันลอยๆ เพราะเราไม่ได้ใส่ความพยายามอย่างเพียงพอให้ไปถึงสิ่งที่เราต้องการ
- ดร.นิเวศน์ สตีฟ จ๊อบ เขาไม่เคยเห็นภาพปัจจุบันของแอปเปิล
ไม่ได้คิดว่าบริษัทจะเป็นอย่างไร เขาพูดสุนทรพจน์ที่แสตมป์ฟอร์ด ชีวิตเหมือนต่อจุด
การเขียนอักษรไม่เคยคิดว่าจะมาใช้ แต่ทำเพราะชอบ
สิ่งที่ทำมันบังเอิญต่อมาเป็นรูปร่างที่เห็น กำลังคิดว่าชีวิตตัวเองก็คล้ายๆกัน
คือทำๆไป พอถึงอายุ 50 ก็ไม่ค่อยได้ต่อจุดแล้ว
จะแนะนำคนอื่น ต้องวางเป้าอย่างไร เพื่อพิชิตการลงทุน?
- ดร.นิเวศน์ ตั้งเป้าน้อยหน่อย แต่ให้ดีขึ้นทุกปี
ถ้าขาดทุนอยู่ก็หาเรื่องอื่นมาชดเชย เช่น จีบแฟนสำเร็จ
มีความคิดง่ายๆว่าถ้าปีหนึ่งดีขึ้นนิดหน่อย แล้วทำให้มันไม่ตกต่ำลง
ทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเรื่อยๆ ชีวิตก็พาไปโชคชะตา
- คุณพรชัย ขอพูดเรื่องตะเกียบต่อ ฟังคุณพีรนาถตรงกับเรื่องที่จะพูด
หลายคนมีเป้าหมาย อาจจะเป็นเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เงิน
แต่ถ้าเราแค่ตั้งเป้าหมาย เราทำไม่ได้
เป้าหมายที่ดี ต้องมีเหตุผลที่ยิ่งใหญ่พอ ว่าทำไมต้องทำให้สำเร็จ
ชีวิตจะดีขึ้นอย่างไร ไม่สำเร็จ ชีวิตจะแย่ลงอย่างไร
ถ้ามีวินัย ไม่มีเป้าหมายจะเหมือนวิ่งผิดทิศ มันต้องคู่กัน
วินัยเป็นเรื่องยาก เหตุผลต้องยิ่งใหญ่พอ
ชีวิตคนเรามีหลายช่วง ถ้าเรายังปากกัดตีนถีบ ไม่มีเป้าหมายไม่ได้ ต้องทำให้ได้ พรุ่งนี้ต้องมีกิน
ต้องพยายามไม่ใช่ slow life ถ้ายังอยู่ในเฟสการอยู่รอด หรือทำตัวเองให้มั่นใจ
ถ้าเรา slow life ชีวิตจะ low life เอาให้ผ่านช่วงอยู่รอดกับมั่นคงก่อน
ตอนนี้ชีวิตก็ไม่มีเป้าหมาย ตอนนี้ขอมีความสุขในทุกสถานการณ์
สิ่งที่อยากได้อยากมี ก็มีแล้ว เพราะไม่ได้ต้องการเยอะ
ตอนที่อยู่ในระดับอยู่รอดกับชีวิตมั่นคงไม่ได้ มันต้องมีเงิน ดูแลคนอื่นได้
ชีวิตเป็นเฟส อย่าไปใช้ชีวิตตามคำคม มันมีข้อยกเว้น
อย่างที่อ.นิเวศน์บอกว่า สตีฟจ๊อบประดิษฐ์อักษร คนสำเร็จ มีสิ่งสำเร็จกับสิ่งที่เค้าทำ กับสิ่งที่มันเกิดขึ้นเอง
อย่าง IBM กับ Microsoft ซึ่งตอนนั้น IBM forecast ว่า pc ไม่ได้ดีมาก
เลยไม่ได้แคร์ว่าใครจะทำ สุดท้าย power ไปอยู่ที่ microsoft
บางอย่างบิลเกตต์ทำ บางอย่าง IBM ทำ
ชีวิตคนเรามัน อย่างอ.นิเวศน์เจ๊งเป็นโชคดีก็ได้ โชคร้ายก็ได้
เป็นบทที่โลกเขียนให้เรา เราทำอะไรไม่ได้
อีกส่วนที่สำคัญกว่าคือ เราจะเขียนบทต่ออย่างไร
ถ้าเจ๊งแล้วเลิกก็หมดตัว อย่างคุณพีรนาถถ้าเลิกก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่
สิ่งที่เกิดกับเรา บทที่โลกเขียนให้เรา
ไปตีโพยตีพายเปล่าประโยชน์ควรใช้สมองและเวลาที่มีน้อยๆ ไปโฟกัสให้ถูกเรื่อง
บทที่เขียนให้ตัวเองเล่น เขียนอย่างไร
คนอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน มีไม่กี่คนที่โดดเด่นประสบความสำเร็จ
แต่ต้องใช้ความคิด อย่างบิลเกตต์ถ้าทำ microsoft ไม่สำเร็จ ก็เรียนต่อเพราะเขา drop ได้
เป้าหมายเป็นดาบสองคม อย่างแรกเป็นทิศทาง แต่มองอีกมุมเป็นกรอบ
ถ้าเรามีทิศทางชัดเจนเกินไปจนไปทางนั้นอย่างเดียวจนละเลยสิ่งรอบข้าง
อย่างสตีฟจ๊อบอาจจะไม่เรียนประดิษฐ์อักษร บริษัทที่เจ๊งทั้งหลายเพราะมีทิศทางเดียวเกินไป
อย่าลืมมองสิ่งรอบข้างที่เกิดขึ้น อาจเป็นจุดหนึ่งที่เวลามาต่อแล้วลงตัวสวยงาม
สตีฟจ๊อบบอกไม่เคยมองไปข้างหน้าต่อจุดได้
แต่ต่อจุดจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว มองย้อนกลับมา
เราต้องมีความศรัทธาและมีความพยายาม
ความศรัทธาที่ไม่มีความพยายามกำกับ เป็นศรัทธาโง่ๆ ความฝันลมๆแร้งๆ
ความพยายามที่ไม่มีความศรัทธา เป็นความพยายามที่ขาดความมั่นใจ
ขาดพลัง ขาดความโฟกัส ขาดชีวิตชีวา ความสุข
ความพยายามอย่างหนักหน่วงขาดเราต้องมีศรัทธากำกับ
แล้วสุดท้ายถ้าชีวิตเราโชคร้ายเกินไป ชีวิตเราควรจะดี
- ดร.ไพบูลย์ อยากตอบคำถามที่คุณดนัยถามว่าจะสลักคำว่าอะไรที่โลง คำตอบคือไม่มี
เพราะศพไม่ได้ตั้ง ร่างกายก็บริจาค และตายไปก็ไม่ได้อะไร อย่าไปคิดเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของลูกเมีย
ตายไปแล้วก็จบ เราเป็นส่วนน้อยมากในโลก
- คุณดนัย อยากขอพูดถึงสตีฟ จ๊อบในความยิ่งใหญ่
เขาเป็นอเมริกันที่เป็นพุทธ และเขาเป็นมะเร็ง
พระพุทธเจ้าสอนให้เราอยู่กับความจริง มรณานุสติ
ไม่มีประโยชน์อะไรที่ทำให้เขาเป็นคนรวยที่สุดที่อยู่ในสุสาน
แต่ขอเป็นคนธรรมดาที่ทำทุกวันให้ยิ่งใหญ่ที่สุด
อย่างในเมืองไทย คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อต้องธนบุรี ประกอบรถยนต์
คุณเล็ก มีคำพูดบอกว่าวันนี้เป็นวันที่มีคุณค่าที่สุด
เพราะได้สละชีวิต 1 วันเป็นค่าทดแทนไปแล้ว
slow life ไม่ใช่ไม่ทำอะไร
ถ้าเทียบกับคนยุคนี้ส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิต เร่งรีบ ใช้ชีวิตตามแนวรถไฟฟ้า
ดูมือถือ ดู คอม ไปพร้อมกัน แต่ slow life มีเวลาอ่านหนังสือ สังเกตคนรอบข้าง
การตั้งเป้าหมายแบบวิถีพุทธ พระพุทธเจ้าบอกมี 3 ระดับ
ระดับแรก ชีวิตปัจจุบัน ชีวิตทางโลกทำให้ดีที่สุด มีอาชีพดี การงานดี ฐานะดี คื
อประโยชน์แบบปัจจุบัน โลกทรัพย์ โลกียะทรัพย์
ถัดมา ถ้าเราเชื่อบาปบุญคุณโทษ เวรกรรม ชาติต่อไปจะมีความดีตามมาด้วย
และสุดท้าย ทำอย่างไรไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
อ.เสน่ห์ สรุปปิดท้าย
แต่ละคนมีเป้าหมายไม่เหมือนกันในชีวิต
เป้าหมายสำคัญคือพิชิตการลงทุนบนเส้นทางที่สุจริต
ชีวิตต้องทำประโยชน์ให้คนอื่นด้วย
เราโชคดีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ 7.2 พันล้านคน
เราน่าจะเป็นคนหนึ่งที่ทำประโยชน์ไม่ใช่เป็นขยะมนุษย์
การลงทุนก็ควรเป็นการลงทุนที่มีความภาคภูมิใจ
ทำแล้วประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง มิใช่การลงทุนแบบทุจริต
ครั้งที่แล้วเดินทางไปต่างประเทศ กลับมายังป่วยอยู่ไว้ช่วงที่ 1 จะมาโพสต์ต่อพรุ่งนี้ครับ
ขอบพระคุณอ.ไพบูลย์,พิธีกร,วิทยากร, ทีมงาน money talk และผู้สนับสนุนทุกท่าน
ข้อมูลแชร์เพื่อแบ่งปันความรู้ หากผิดพลาดอย่างไรขออภัยด้วยครับ ช่วยแก้ไข เสริมเพิ่มเติมได้เลยครับ
Money talk at SET ครั้งต่อไป เสาร์ที่ 17 ตุลาคม เปิดจองเสาร์ที่ 10 ตุลาคม
หัวข้อ 1 MBA ประตูสู่ความสำเร็จ จริงหรือ?
แขกรับเชิญ คุณวรวุฒิ อุ่นใจ กจก.COL, คุณพยนต์ พงศาวรี fund manager บลจ.ทหารไทย
รศ.พ.ต.ต.ดร.ดนุวศิน เจริญ เป็นรองคณบดี นิด้า business school และดร.นิเวศน์
อ.ไพบูลย์ กับ อ.เสน่ห์ ดำเนินรายการ
หัวข้อ 2 เลือกหุ้นจัดพอร์ตแบบมืออาชีพ เป็นหัวข้อสำคัญ ไม่ใช่แค่เน้น stock selction อย่างเดียว
แขกรับเชิญ ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กจก.บลจ.ทหารไทย, คุณวิน พรหมแพทย์ cio บลจ.cimb,
คุณประภาส ตัณพิบูลย์ cio บลจ.กรุงศรีฯ ปัจจุบันลาออกแล้ว กำลังตั้งบริษัทใหม่ และ ดร.นิเวศน์
ดร.ไพบูลย์, อ.เสน่ห์ ดำเนินรายการ