Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

หุ้น PE 100 เท่า กล้าซื้อมั๊ย?

หลายคนจะตอบเป็นเสียงเดียวกัน
จะไปซื้อทำไม หุ้นดีดี PE ถูกๆเยอะแยะไป ทำไมไม่ซื้อ

ฟังดูแล้วคนที่ตอบนั้นน่าจะฉลาด เข้าใจเลือกสินค้าในตลาด

อาจจะมีบางคน จะตอบ กล้าซื้อซิครับ
น่าสนใจดีทีเดียว น่าฟัง วิธีคิดของคนกล้าซื้อ ว่าเขาคิดอย่างไร

เขามองเห็นอะไร ในหุ้นตัวนั้น

วิธีคิดของคนกล้าซื้อพอ งมๆซาวๆ เอาเนื้อ ทิ้งน้ำไป
แบบสั้นๆง่ายๆ ไม่ซับซ้อน
พอจับใจความได้ว่า...

วิธีคิด ราคาหุ้นตอนนี้ สมมุติ20บาท
กำไรต่อหุ้น ไตรมาส1 ที่ผ่านมา กำไรต่อหุ้น20สตางค์
(เอากำไรตั้ง หารด้วยจำนวนหุ้น ออกมาได้20สตางค์ต่อหุ้น)

นำเอาราคาหุ้น20บาาท มาหารด้วย 20สตางค์ กำไรต่อหุ้นนะปัจจุบัน
ก็จะได้ค่า PE 100 (20หารด้วย0.20=100)
คิดแบบบ้านๆ ถือซื้อและถือหุ้นตัวนี้ แบบเป็นเจ้าของกิจการ
หากกำไรอยู่เท่านี้ ต้องถือหุ้นกัน100ไตรมาส ถึงจะได้ทุนทรัพย์ที่ลงไป

ทำไมกล้าซื้อ คือคำถามง่าย

ซื้อเพราะเห็นศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมการประกอบกิจการและทิศทางธุรกิจ
ซื้อเพราะคิดว่า การขยายฐาน ขยายกำไรได้ในอนาคต
หุ้นบางบริษัทสามารถ ทำกำไรได้ติดต่อกัน ได้หลายๆปี

เมื่อหุ้นเติบโต กำไรเพิ่มขึ้น PEมันก็จะลดลง
จากPE 100เท่าในตอนนี้ อาจจะเหลือPE 10เท่าได้ หากให้เวลาสัก10ไตรมาส
ซึ่งหมายความว่า บริษัทนี้ต้องสร้างผลกำไร เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนให้ได้ว่า
ต้องเติบโตขึ้นเป็นพันเปอร์เซ็นต์ บนสมมุติฐานห้ามหยุดโต
ขยายธุรกิจทุกส่วน ของการจัดการ

จึงเป็นคำตอบ ของการกล้าซื้อหุ้นPE 100เท่า

__________________________________

ฟังนักวิเคราะห์พูดพีอีเท่านี้แบบนั้นแบบนี้ แนะนำขาย
เขาพูดถึงปัจจุบัน เขามองอนาคตของบริษัทนั้นยังไม่ออก
ว่ามันสามารถขับเคลื่อน เติบโต
ฟังแล้วเหมือนทรงคุณความรู้

แต่อยากจะบอกว่า คนที่พูด รู้แค่เห็นตอนปัจจุบัน
แต่ไม่รู้วิธีการคิด ถึงอนาคตต่อไป ของบริษัทฯหุ้น ที่มีPEสูงๆ

(การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดใช้วิจารณญาณก่อนการลงทุน)

PE. น้อย แต่มองไม่เห็นอนาคต ก็คงไม่ซื้อ หรืออาจจะเรียกได้ บ. PE น้อยถาวร
แต่ถ้า PE NA. เรามองเห็นอนาคต ที่สดใสกว่าวันนี้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ไม่กล้าซื้อครับ
เพราะ "อนาคต" คือสิ่งที่เราจ่าย

อ้ากกกก กดผิดครับพี่ปรัชญา

จะกดบวก ไปโดนลบ

ไม่กล้าครับ ผมเป็นคนขี้กลัวนะครับ ไม่อยากได้ ก็ไม่ต้องเสียครับ

มีความเห็นเหมือนคุณลูกหินข้างบนครับ ถือคติมาตลอดว่า กิจการดี ราคาที่ซื้อต้องดีด้วย
P/E 100 ผมปล่อยผ่านครับ ต่อให้มันขึ้นทะลุทลวงจริงๆ แต่เสียดายดีกว่าเสียวินัยครับ

เห็นด้วยกับคุณปรัชญา

หากท่านเป็นนลท. เน้นคุณค่า ท่านต้องอย่าลืมไปว่า

Price Pattern เป็นเรื่องการเคลื่อนไหวของราคาซึ่งไร้เหตุผลดังที่เราทุกคนทราบดี และการที่เราเป็นวีไอไม่พยายามวิเคราะห์ price pattern ด้วย technical ต่าง ๆ ก็เพราะสาเหตุนี้ นักวิเคราะห์เทคนิกที่เก่ง ๆ หลายท่านไม่ใช้พื้นฐานท่านให้เหตุผลว่าทุกอย่าง price in ใน price pattern หมดแล้ว

Margin of Safety คือการหาพื้นฐานของกิจการเป็นเรื่องที่เราใช้เหตุผลอย่างมากในการวิเคราะห์ ดังที่เรา ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ วีไอรู้กันดี

แต่การที่เรานำ

P/E = ไร้เหตุผล/มีเหตุผล = ? = จะกลายเป็นอะไรครับ

"ของแพงในวันนี้คือของถูกในอนาคต"
ยกมาจาก CPALL ซื้ัอ Makro เมื่อสองปีที่แล้ว
ยังจำได้ไหมครับ

ผมไม่กล้าซื้อครับเพราะผมรอได้ครับ

ถ้าคาดการณ์ได้แน่ๆว่าอีก 2-3 ปี E จะโตจนที่ P นี้จะกลายเป็น 10 เท่า ก็กล้าซื้อครับ

ในทางกลับกันที่ PE 10 ปัจจุบัน แต่คาดการณ์ E อนาคตไม่ได้นี่ ไม่กล้าซื้อครับ

ถ้า fw pe 100 คงคิดมากหน่อย

แต่ถ้า trailing pe 100 คงมีผลน้อยกว่าอะคับ เพราะเราคงเน้นstory ในอนาคต
หรือแผนธุรกิจข้างหน้ามากกว่า ยังไม่รวมว่าต้อง discountจำนวนปี เข้าไปด้วย

หุ้น turn around หรือ วัฏจักร มันก็ซื้อที่ trailing pe สูง หรือติดลบทั้งนั้น

น่าจะ case by case นะ ผมว่า

อีกอย่างมันขึ้นอยู่กับสไตล์ด้วย ว่า เล่นแบบไหน หวังreturn เท่าไหร่

ถ้า ประเมิน risk reward ไม่ได้ หรือไม่ถนัด ถอยออกมากะดีแล้วคับ




มั่วๆ ขำๆนะคับ

ผมขอเพิ่มอีกนิดเผื่อเอาไว้ PE สูงๆ นั้นอยู่บนความคาดหวังที่สูงของนักลงทุน
ถ้าหากบ. ไม่สามารถเติบโตตามที่นักลงทุนคาดหวังเพราะปัจจัยที่คาดไม่ถึง
คราวนี้แหละครับที่ผมเสียวและไม่กล้าซื้อหุ้นที่ PE เกินร้อย
แต่ผมไม่ได้บอกนะครับว่าหุ้นตัวนั้นๆดีหรือไม่ดี มีอนาคตหรือไม่

ถ้าโต 100เท่า ก็กล้าซื้อครับ

ถ้าเป็นหุ้นที่ศึกษาดูแล้วคิดว่าเตรียม turnaround ก็น่าสนใจครับ

ผมว่าขึ้นอยู่กับคุณภาพของ PE ถ้า PE ต่ำแต่ต่ำแบบเรื้อรังเพราะกิจการหมดอนาคต ก็คงไม่เลือกซื้อ
แต่ถ้าสูงแบบไร้พื้นฐาน ไร้ความก้าวหน้าทางธุรกิจในอนาคต ราคาหุ้นก็คงแพงเกินกว่าจะรับได้

มุมมองผม จากการเริ่มทำความเข้าใจในหลักการของ vi กับคนที่ลงทุนแบบ vi นะครับ
ผมมองว่าคนที่จะกล้าซื้อหุ้น pe 100 ตามหลักการ vi น่าจะมีอยู่ 2 แบบ คือ
1) คนที่มีเงินในพอร์ตมาก แบ่งมาลองดู หากผิดพลาดก็กระทบพอร์ทไม่มาก
หากถูกตัวก็จะได้เพิ่มผลตอบแทนของพอร์ทให้มากยิ่งขึ้น
2) คนที่พอร์ทยังมีเงินน้อยอยู่ แต่มั่นใจในตัว pe 100 ที่วิเคราะห์มาอย่างดี กล้าที่จะลง
แบบทุ่มไปเลย 80-90% ถ้าได้ก็พลิกชีวิต พลิกผลตอบแทนพอร์ทไปเลย ถ้าพลาดก็เจ็บ
แล้วสะสมทุนเอาใหม่(จึงต้องมั่นใจมากจริงๆ)

ส่วนคนที่พอร์ทเล็กๆแล้วก็ไม่รู้จักหุ้น pe 100 ตัวนี้ดีพอ เห็นคนอื่นซื้อว่าเป็นหุ้นดี
อนาคตกำไรโตแน่ ขอตามหน่อยสัก 10-30% ของพอร์ท อย่าไปยุ่งเลยครับ
เพราะถึงได้มาก็ทำให้พอร์ทโตได้ไม่เท่าไร แต่ถ้าเสียทีนี่ ช้ำใจไปหลายปีเลยนะครับ
(ผมขอเป็นกลุ่มนี้ดีกว่า ไม่ขอยุ่งถึงจะศึกษาหุ้นที่ pe 100 มาดีแล้วก็เถอะ หุหุหุ)
...^^)

ผมว่าน่าจะต้องดู Ratio อื่นๆประกอบครับถึงจะตัดสินใจได้ ความเห็นผมตามนี้ครับ (ผิดถูกไม่ว่ากันนะ ^^)

หุ้นโตเร็วที่กำลังจะ Break Even - ก่อนอื่นต้องวิเคราะห์ให้แน่ใจว่าบริษัทจะสามารถโตได้ ซึ่งหุ้นที่กำลัง Break Even ผมมองว่า Net Margin สามารถเพิ่มขึ้นอย่างเร็วทำให้กำไรสามารถโตได้แบบก้าวกระโดดหากยอดขายสามารถโตได้ โดยเราอาจจะดู P/BV EV/EBITDA และ EV/Sales ประกอบด้วยในเรื่องความถูกความแพง ส่วน Net Margin ที่เป็นไปได้อาจดูบริษัทที่โตแล้วและทำธุรกิจคล้ายๆกันมาประมาณ

หุ้น Cyclical - ถ้าซื้อในช่วง Down Cycle P/E 100 เท่าหรือพันเท่าก็ไม่แปลก น่าจะดู P/BV ประกอบและดูว่าบริษัทจะมีเงินสดเลี้ยงตัวเองไม๊ในช่วงนี้

หุ้น Turn Around - ถ้าวิเคราะห์ดีมากๆแล้วก็น่าจะซื้อได้ครับ เพราะ P/E 100 เป็นอดีต ไม่ใช่อนาคต

pe 100 มันสุดโต่งไปหน่อยครับ

มันฝากไว้อนาคตมากไป เป็นผม ผมจะไปหาดูหุ้นตัวอื่นก่อน

แล้วแต่มุมมองครับ ไม่มีผิดไม่มีถูกในตลาดหุ้น มีแต่กำไรกับขาดทุน

กำไรทั้งปี 100000 บาท (q แรกๆมีขาดทุน ต่อมาเริ่มฟื้น)

Market cap 10 ล้าน

ซื้อครับ

เห็นด้วยกับพี่ปรัชญาครับ

กระทู้โดนเต็มเลย.

ผมซื้อหุ้นตอนพีอี20กว่า ตอนนี้้ เกือบ100แล้ว แค่90กว่าๆ

แต่เพราะเราวิเคราะห์เองธุรกิจมีปัจจัยภายในประเทศเข้ากระทบแต่ไม่ได้มาจากในบริษัท

เพราะฉะนั้น ผมทำได้แค่รอ ครม. ชุดใหม่ เข้าจัดระบบในประเทศให้เข้าที่เข้าทาง ทุกอย่าง น่าจะไปได้สวย

ถามว่าผมกัวมั้ย ที่ต้องถือหุ้นแบบนี้. ผมตอบได้เลยว่ามั่นใจ เราศึกษาหุ้นมาพอตัวอย่างน้อยถ้าเกิดผิดพลาดไม่

เป็นตามคาดผมมีจุดออกครับ. แต่จุดแข็งที่ทุกคนชอบลืมคือความอดทน.

ซื้อรถเบนซ์ แต่ต้องจ่ายในราคา โรลสรอยส์ คงไม่กล้าครับ

แต่ถ้าซื้อรถยนต์ญี่ปุ่น ในราคาเบนซ์ เพื่อวันหน้า เตรียมเปลี่ยนเปฺน โรสสรอยส์ อันนี้คงต้องแล้วแต่มุมมองแต่ละท่านครับ

ดูที่ PE อย่างเดียวคงบอกอะไรทุกอย่างไม่ได้
ต้องดูที่บริบทด้วยครับ แล้วประเมินอนาคต อย่างที่หลายๆท่านบอก

ธุรกิจเปลี่ยน pe เปลี่ยน

เคาะมาแล้วครับ PE 44xเท่า แต่ PBV 1 นิดๆ
ลุ้นกำไรโดดปลายปี
ปล.มือใหม่

เป็นการ trade risk vs reward นะผมว่า คือ PE100 (หมายถึงเทียบ EPS ต่อปีนะครับ เพราะถ้า EPS ต่อไตรมาสก็คือ PE = 25) มันเห็นค่อนข้างชัดอยู่แล้วว่ามีความเสี่ยงสูง ... สมมุติ มีคนนำไข่มาขายฟองนึงราคา 1,000,000 บาทแล้วบอกว่าเนี่ยมันจะฟักเป็น ยูนิคอร์น ... คำถาม คุณกล้าซื้อมั้ย?

ก็อาจจะมีคนอยู่ประมาณ 3 ประะเภท:
- ประเภทที่ 1 : ไม่เอาอะ ไม่มีความรู้เรื่องพันธุกรรมหรือไข่อะไรก็ไม่รู้ ถ้ามันฟักออกมาเป็นลูกเจี๊ยบ แล้วใครจะมารับผิดชอบเงินล้านของฉัน
- ประเภทที่ 2 : เออ ... ลองเสี่ยงดูดีกว่า ก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรพวกนี้หรอกนะ แต่มันน่าลุ้น ถ้าเผื่อมันออกมาเป็นญุนิคอร์น เราคงกลายเป็นคนดังระดับโลกที่เป็นเจ้าของยูนิคอร์นนี้เป็นแน่
- ประเภทที่ 3 : ซื้อแน่นอน ฉันเป็นนักวิจัยพันธุกรรมข้ามสายพันธุ์แห่งองค์กรระดับชาติ มองแป๊บเดียวฉันก็รู้เลยว่าไข่ใบนี้ คือ ใบที่ถูกขโมยจากห้องแล๊ป ที่หลายๆประเทศกำลังสืบตามหาอยู่

แล้วถ้าคนที่ไข่มาขายตั้งราคาใหม่ในราคา 3 บาท ... คุณจะตอบเหมือนเดิมมั้ย?

100 เท่าแล้วโตไหมครับ ถ้าโต อนาคตก้ไม่ถึง 100เท่า

ใครซื้อ pttep ที่ trailing pe 100 ได้ 10 เด้ง >>>ลองถามพี่วิบูลย์

global ซื้อที่ trailing pe 80 ได้ 10เด้งถ้า ซื้อ w ได้ 30เด้ง >>>ลองถาม 1154

spcg ใครซื้อที่ trailingpe 1000 หรือติดลบ ก็ได้อย่างน้อย 2-3เด้ง



จากหนังสือ ดันโด บอกว่า ตลาดชอบความชัดเจน >>และมักให้ราคาที่ดีกับอะไรที่ชัดเจน หรือ อาจจะให้ราคาดีเกินไปด้วยซ้ำ
ดังนั้นให้ลงทุนกับอะไรที่ยังไม่แน่นอน แต่ถ้าคิดผิด ต้องเสียน้อย ถ้าคิดถูก ต้องได้เยอะมากๆ


คงแล้วแต่จริต +ความรู้ความสามารถ

ผมแค่ยกตัวอย่างเฉยๆ

ซื้อตอนpe 400 กว่า ปัจจุบัน pe ประมาณ 13 เหตุผลที่ซื้อเพราะอ่านข้อมูลบริษัทและทดลองใช้สินค้าแล้วเชื่อว่าบริษัทนี้จะมีผลการดำเนินงานที่ดีในอนาคต

ผมขอเล่าเคสในอดีตให้ฟังล่ะกัน
ตอนนั้น ยังมีบริษัทที่จดทะเบียนใช้ชื่อว่า TYong หรือธนายงอยู่
มีอยู่วันหนึ่ง Tyong ประกาศว่า ซื้อ บริษัท BTSC
วันนั้น PE ของ Tyong คือ NA คือ ไม่มีกำไร แล้วซื้อกิจการที่มีมูลค่ามหาศาล
สิ่งที่ทำคือเพิ่มทุนครั้งใหญ่มากๆ จนเกิดกรณีที่ใช้ชื่อว่า งูกินช้าง
ต่อมากิจการของ Tyong ก็ดีวันดีคืน และเปลี่ยนชื่อเป็น BTS จนถึงทุกวันนี้

ทำไมเคสนี้กล้าเสี่ยง เพราะ ตอนนั้นผมคิดว่า
tyong ซื้อ BTSC ที่ให้บริการรถไฟฟ้า BTS นั้นแล้วทำให้กิจการ Tyong ดีทันตา
แต่มีภาระที่น่ากลัวคือ หนี้สินที่เกิดขึ้น แต่ผมไม่กลัวหนี้เพราะ ตอนนั้น Tyong ใช้เครื่องมือคือ warrant และ หุ้นกู้แปลงสภาพ มาเป็นเครื่องมือในการเพิ่มทุน เพื่อจัดการหนี้สินในการซื้อครั้งนี้เกิดขึ้นนั้นเอง ในเมื่อ วางเดิมพันไว้กับอนาคต และอนาคตคือ BTS ที่กำลังดีวันดีคืน ในตอนนี้กำลังมีหนังเรื่อง รถไฟฟ้ามาหานะเธอ เปิดส่วนต่อขยายไปยังกรุงธนบุรี สร้างส่วนต่อขยายไปบางนา

เนี่ยคืออดีตที่เล่าได้ แต่ปัจจุบัน มันคือ BTS ต้องดูกันเอาเองล่ะกันครับ

อย่างคุณ nut776 ว่านะครับ

ในหน้าสรุปของ set/settrade เป็น trailing PE ซึ่งมีผลงานความล้มเหลวในอดีตผสมอยู่ด้วย แม้ว่ากิจการบางตัว จะ turnaround กลับมาแล้วก็ตาม แต่ตัวเลขยังตามมาหลอกหลอนได้
ทำให้หุ้นกิจการประเภทที่ turnaround เพราะผลงานความล้มเหลวจริง หรือสินค้า/บริการเป็น ประเภท cyclic กับ commodities ที่มีมีความผันผวนสูงมาก
แต่ก็ยังมีคนที่กล้าลงทุน อันนี้ไม่ได้นับที่เสี่ยงดวงนะครับ ลงทุนจริงๆ เพราะ PE เป็นกระจกส่องหลัง ที่เห็นอุบัติเหตุ หรือทางลุกท่วมด้วยเปลวไฟ แต่ข้างหน้า ก็อาจเป็นทางที่ราบเรียบสว่างไสวที่ขับพ้นมาแล้วก็ได้ และเกิดขึ้นจริงอยู่ประจำในตลาดหุ้นเรา แม้ว่าจะไม่เกิดกับทุกกิจการ ต้องไปสืบเสาะขุดรายละเอียดกันที่มาเองว่า พ้นเคราะห์ ฟื้นจริงหรือฟื้นเทียมๆ หลอกเม่า


ตัวอย่างสมมติ
หุ้นราคา 1 บาท ปีที่แล้วเคยขาดทุน EPS 1Q2013 + 2Q2013 + 3Q2013 + 4Q2013 = -0.1-0.2-0.3-0.5
PE = 1/-0.11 = N.A. เพราะตัวหารติดลบ

พอมา 1Q2013 มีการปรับตัวขนานใหญ่ กำไรดีดตัว EPS เป็น
EPS ที่ใช้คำนวณ 2Q2013 + 3Q2013 + 4Q2013 + 1Q2014 = -0.2-0.3-0.5+1.01
PE = 1/0.01 = 100

จะเห็นว่าแม้ 1Q มีกำไรสูงมาก ภาพตรงข้ามกับ 4Q2013 แต่อิทธิพลของความล้มเหลวเมื่อปีแล้ว 3 ไตรมาส ก็ทำให้ PE ดูน่ากลัวได้

เมื่อมีคนเห็นเริ่มมีกำไร เห็นสภาพกิจการโผล่พ้นน้ำ วันประกาศนั่นแหละ จ้าวตัวจริงคือผลประกอบการทำงาน และผบห. ออกข่าวดี ปรับ business model เปลี่ยนผู้บริหาร มี idea ใหม่ๆ เรื่อยๆ
เมื่อนักลงทุนมั่นใจแห่กันเข้ามา ตามด้วยนักเก็งกำไร ซึ่งไม่ว่าใครจะหลงผิด หรือเชื่อมั่นก็แล้วแต่
PE100 ก็จะน้อยไปแล้ว เพราะ P ราคาเพิ่มขึ้น แต่ E ตอนนั้นเท่าเดิม

เช่น ไม่กี่วันราคาค่อยๆ พุ่งไป จาก 1 เป็น 2 ตอนนี้ อย่าว่าช้างหรือไก่งวงบินว่อนเลย รถบรรทุกยังปลิว
PE = 2/0.01 = 200 !

เดือนถัดไป ราคายังไม่หยุด
PE = 2.75/0.01 = 275 !


แต่ PE จะค่อยๆ ลดลงเองอย่างฮวบฮาบในไตรมาสถัดๆ ไป ถ้ากิจการฟื้นจริง
จะเห็นตัวเลขลดลง เพียงรุ่งขึ้นข้ามวันประกาศผลประกอบการรอบถัดไป เพราะตัวเลขที่ใช้คำนวณ เริ่มเป็นค่าบวกมาก และทิ้งค่าลบมากของปีที่แล้วออกจากตัวหาร