9 คำสารภาพและ 13 บทเรียนที่ผมได้รับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 16, 2013 9:54 am
ผมเริ่มเข้ามาลงทุนจริงจัง ตั้งแต่เดือนมกราคม 2554 จากเหตุการณ์หุ้นตกช่วงพฤษภาคม-กันยายน 2556 (SET จาก 1640 มาที่ 12xx) ทำให้พอร์ตผมติดลบทันที 30% และความมั่งคั่งที่ผมเพียรสร้างมา 2-3 ปี กำไรที่สะสมมาหายหมดเกลี้ยง แถมยังกินทุนเข้ามาอีกพอสมควร สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากความผิดพลาดครั้งนี้ ขอรวบยอด สรุปเป็นความคิดเป็นข้อๆตามนี้ครับ
9 คำสารภาพ
1. ซื้อของแพง เพียงหวังว่าจะไปขายที่แพงๆกว่า - ซื้อหุ้นมีการประเมินมูลค่าคร่าวๆ ให้พีอีสูงๆ โดยคิดว่าตลาดไปปรับตัวปรับพีอีแล้ว และมันจะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป การซื้อหุ้นพี่อีต่ำเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ถ้ารอก็คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้ซื้อแน่ๆ กระทิงตัวใหญ่มาแล้ว ภาพทุกอย่างสวยหรูหมด ยังไงสิ้นปีก็ 1700 แน่นอน ทั้งๆที่รู้ว่ามันแพง over value รู้ว่าราคาที่ซื้อนั้นไม่มี mos แต่ความโลภมันก็บังตา เชื่อลึกๆว่าเรายังจะสามารถไปขายมันในราคาที่แพงกว่าได้ ลมบูรพามาแล้ว ทำไมไม่โดดใส่ (ฮา) หนักกว่านั้นบางตัวแทบไม่ได้ประเมินมูลค่าเลย แค่ดูทรงว่ามันมาแน่ แค่นี้ก็ซัดเลย
2. กลัวตกรถ – รีบประเมินมูลค่า หรือประเมินมูลค่าโดยอิงกับพื้นฐานน้อยลงเรื่อยๆ แต่ให้น้ำหนักกับตัวเร่งที่เป็นสตอรี่, ข่าวต่างๆ, การเข้าซื้อของเซียนของขาใหญ่, การออก warrant, การจ่ายปันผล, แตกพาร์ และแรงเชียร์แรงบิ้วในห้องไลน์ เวปบอร์ด เฟสบุ๊ค ต่างๆ บางตัวต้องรีบซื้อเพราะกลัวตกรถมากๆ
3. คิดว่าตัวเองแน่ – ด้วยความมั่นใจที่ถูกสร้างมาตลอด 2-3 ปีที่เราถูกมากกว่าผิด ขายหมูบ่อย ถึงซื้อควายแต่ก็รู้ตัวเร็วไหวตัวหนีทัน ทำให้ปีแรกๆของการลงทุน ผลตอบแทนค่อนข้างดี ความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเพิ่มเงินเข้ามาเรื่อยๆ และมาพีคที่สุดก็ตอนก่อนตลาด crash ถมเงินเข้าไปเต็มพิกัด แถมยืมแม่ยืมน้ามาอีก และแล้วหายนะก็มาเยือน ความจริงก็คือความจริง เหอๆ
4. แยกประเภทหุ้นไม่ออก – หุ้นที่ตัวเองซื้อคิดว่าเป็นหุ้นเติบโต แท้จริงแล้วดันเป็นหุ้นวัฎจักร บางตัวรู้ว่าเป็นหุ้นวัฎจักร แต่ไม่เข้าใจ nature ของมัน ดันไปซื้อตอนพีอีต่ำ ใช้วีธีวิเคราะห์แบบหุ้นเติบโต กลายเป็นว่าช่วงกำไรพีคสุด พีอีต่ำสุดเป็นการจบรอบของมัน สรุปก็ดอยไปตามระเบียบ!!
5. เล่นหุ้นตามเซียน – ข่าวว่าบิ๊กเนมท่านนั้น ท่านนี้เข้าถือหุ้น ซื้อตามแบบไม่ดูตามม้าตาเรือ บอกตัวเองว่า แค่เก็งกำไร หาค่าขนม กินคำเล็ก แต่ขอกินบ่อยๆ และยังไงก็คิดว่าตัวเองหนีทัน แต่ตลาดไม่เคยปรานีใคร สุดท้ายก็อยู่เป็นคนสุดท้าย ต้องล้างชาม
6. ดูจอมากเกินไป ดู streaming กด refresh แทบจะทุกนาที - นอกจากจะเสียเวลาทำมาหากินมากๆแล้ว ยังเสียสมาธิ เสียแผน จิตใจฟุ้งซ่าน ชอบตัดสินใจโง่ๆ ทำอะไรโง่ๆแบบไม่ได้คิดจากการเปิดดูหน้าจอบ่อยๆและนานๆ (ผมว่าเก็บดวงตาของเราไว้ดูก้อนเมฆ ดูท้องฟ้าดีกว่านะครับ)
7. ออกนอกขอบเขตความรู้ของตัวเอง ขาดวินัย อยู่เฉยๆนั่งทับมือตังเองไม่เป็น –เล่นหุ้นที่ตัวเองไม่ถนัด ประเมินมูลค่าหุ้นไม่ได้ valuation ไม่เป็นก็เข้าซื้อ เพราะเหตุผลที่ไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเติบโตของกำไรในกิจการนั้น
8. เล่นหุ้นใช้ความโลภนำ ลืมเหตุลืมผล อย่างที่เค้าบอกว่าเราต้องเสียค่าเทอมบ้าง แต่ก็ไม่นึกว่ามันจะมากมายมหาศาลขนาดนี้
9. เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าลงทุนแล้วไม่มีความสุข – กินอิ่มแต่นอนไม่หลับ ทุกข์ใจจากการขาดทุน ทุกข์ใจจากเงินที่เคยได้มาแล้วมันก็หนีไปเที่ยว ทุกข์ใจจากการเห็นเงินจำนวนเงินที่เคยมีอยู่ ค่อยๆลดลงเรื่อยๆ ทรมานมากๆ ไม่โดนเองไม่มีทางรู้
13 บทเรียนที่ผมได้รับ
1. การมองโลกในแง่ดีเป็นสิ่งที่ดี แต่การมองโลกในแง่ร้ายบ้างก็น่าจะช่วยให้เราลงทุนโดยไม่คาดหวังเกินความเป็นจริง และมีโอกาสเจ็บตัวน้อยลงได้
2. ซื้อหุ้นต้องใจเย็นๆ ถึงเย็นมากๆ อย่ากลัวตกรถ เพราะรถมีออกตลอดเวลา แต่เราควรกลัวที่จะขึ้นรถผิดคันมากกว่า อันนี้ฟังเซียนมาหลายที ก็เพิ่งเข้าใจวันนี้เองครับ
3. อย่าคิดว่าตัวเองแน่!! แถวนี้....เถื่อน บอกตรงๆนะ ถ้าไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้ ต้องถามตัวเองว่าเราแน่แค่ไหนที่จะไปกินเงินคนอื่นเค้า เราควรรู้จักถ่อมเนื้อถ่อมตัวบ้าง เผื่อนายตลาดจะเห็นใจ
4. การ switch หุ้นในช่วงเวลาที่หุ้นตก ราคาไหลลงรุนแรง เป็นเรื่องเสี่ยงมาก เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะตกไปถึงเมื่อไร หรือจะเด้งเมื่อไร ทำให้เปอร์เซ็นต์อัพไซค์ที่เราคำนวณไว้ไม่นิ่ง ไม่เสถียร รอให้มีดปักสนิท หรือไม่แกว่งมาก ค่อยๆคิด ก็น่าจะทัน และที่สำคัญการตัดสินใจต้องใช้เหตุใช้ผลนำเท่านั้น ไม่ใช้ความโลภ ทำทุกอย่างตามแผน
5. อย่าไล่ราคา แต่ถ้าจะไล่จริงๆก็ไม่ควรเกิน mos ที่คำนวณไว้ ถ้าเกินแล้วก็ควรหยุด มีสติหน่อยครับพี่ อย่าโลภ!
6. ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่าถอดใจ อย่าหนีออกจากตลาดไปเลย เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว จากที่เราขาดทุนชั่วคราว จะกลายเป็นขาดทุนถาวรจริงๆ game over
7. ตอนที่เรากลัวสุดๆ อาจจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อหุ้น เช่นเดียวกันเวลาที่เรามีความสุขสุดๆกับราคาหุ้นของเราที่พุ่งกระฉูด นั่นก็อาจเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการขายหุ้นก็ได้ หัดดูใจตัวเอง สังเกตใจตัวเองให้เป็น
8. ถ้าเรารู้ว่าจะตายที่ไหน เราก็อย่าไปที่นั่น ถ้าเรารู้ว่ามันเป็นขี้ ก็อย่าเอานิ้วไปจิ้มดูด เช่นนี้แล้ว เราก็ปกป้องเงินต้นของเราได้ เรื่องนี้มันจริงซะยิ่งกว่าเสียอีก
9. อย่างไรก็ตาม ทองกับขี้ บางทีสีมันก็คล้ายๆกัน อันนี้ต้องแยกแยะ ฝึกดูกันให้ดีๆ คิดให้ดีๆ คิดให้แตก คิดถูกรวย คิดผิดก็จน
10. ถ้าเรารู้ว่าข้างหน้าจะมีพายุ เราจะออกเรือไปทำไม รู้ทั้งรู้ว่าฝนตกหนัก จะขี่จักรยานฝ่าฝนไปทำไม สุดท้ายก็ถึงที่หมายช้า ตัวเปียก อ่อนล้า ไม่สบาย การที่เราเห็นหุ้นราคาแพงอยู่เต็มตลาด เริ่มหาหุ้นถูกยากขึ้น เจอเพื่อนนักลงทุนหน้าใหม่ๆทุกวัน เพื่อนบางคนที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน ก็โทรมาปรึกษาเรื่องหุ้น ทั้งหลายทั้งปวง เราก็น่าจะอนุมานได้ว่าพายุใหญ่กำลังจะมา ฝนกำลังจะตกหนัก อย่าหลอกตัวเองและพยายามหัดอยู่เฉยๆให้เป็น
11. เราไม่ต้องตีทุกลูกที่วิ่งเข้ามาหาเราก็ได้ บางทีเกมบางเกมมันก็ไม่ใช่เกมส์ของเรา มือไม่ถึงก็ต้องตัดใจ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่า ถ้าพี่คนนี้เข้า ราคามันต้องวิ่งแน่ๆ
12. การลงทุนต้องเป็นสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข มีความสนุก กินอิ่มนอนหลับ เราทำมันด้วยความรัก ความศรัทธา รื่นรมย์ไปกับมันตลอดกระบวนการ ถ้าไม่เป็นไปตามนี้แล้ว ก็น่าจะมีอะไรบางอย่างที่ผิดแน่ๆ
13. การลงทุนควรเป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต เราอาจผิดพลาด เสียค่าเทอมไปมากมาย สุดท้ายแล้วมันก็น่าจะผ่านไป เวลาเราหันกลับมามองแล้วก็คงนึกขำในสิ่งที่เรามากังวลหรือทุกข์ใจในวันนี้ นอกจากนี้แล้ว ตลอดเส้นทางของการลงทุน เราก็ยังได้เรียนรู้ตลอดเวลา ผ่านรอบนี้ไปแล้ว ผมก็เชื่อว่า เราก็น่าจะ up level ขึ้นไปอีกขั้น
ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบนะครับ เป็นกำลังใจให้ทุกท่านผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปได้ ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีความสุขกับการลงทุนครับผม (เครดิตบทเรียนทั้งหลายจากประสบการณ์ส่วนตัว การอ่านจากโซเชียลมีเดีย เวปไทยวีไอ คำคมต่างๆจากการฟังเซียนตามงานสัมมนาและการพูดคุยกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆนักลงทุนทั้งหลาย ผมมิได้เอ่ยนาม แต่ก็ขอขอบคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้จากใจจริงครับ)
9 คำสารภาพ
1. ซื้อของแพง เพียงหวังว่าจะไปขายที่แพงๆกว่า - ซื้อหุ้นมีการประเมินมูลค่าคร่าวๆ ให้พีอีสูงๆ โดยคิดว่าตลาดไปปรับตัวปรับพีอีแล้ว และมันจะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป การซื้อหุ้นพี่อีต่ำเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ถ้ารอก็คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้ซื้อแน่ๆ กระทิงตัวใหญ่มาแล้ว ภาพทุกอย่างสวยหรูหมด ยังไงสิ้นปีก็ 1700 แน่นอน ทั้งๆที่รู้ว่ามันแพง over value รู้ว่าราคาที่ซื้อนั้นไม่มี mos แต่ความโลภมันก็บังตา เชื่อลึกๆว่าเรายังจะสามารถไปขายมันในราคาที่แพงกว่าได้ ลมบูรพามาแล้ว ทำไมไม่โดดใส่ (ฮา) หนักกว่านั้นบางตัวแทบไม่ได้ประเมินมูลค่าเลย แค่ดูทรงว่ามันมาแน่ แค่นี้ก็ซัดเลย
2. กลัวตกรถ – รีบประเมินมูลค่า หรือประเมินมูลค่าโดยอิงกับพื้นฐานน้อยลงเรื่อยๆ แต่ให้น้ำหนักกับตัวเร่งที่เป็นสตอรี่, ข่าวต่างๆ, การเข้าซื้อของเซียนของขาใหญ่, การออก warrant, การจ่ายปันผล, แตกพาร์ และแรงเชียร์แรงบิ้วในห้องไลน์ เวปบอร์ด เฟสบุ๊ค ต่างๆ บางตัวต้องรีบซื้อเพราะกลัวตกรถมากๆ
3. คิดว่าตัวเองแน่ – ด้วยความมั่นใจที่ถูกสร้างมาตลอด 2-3 ปีที่เราถูกมากกว่าผิด ขายหมูบ่อย ถึงซื้อควายแต่ก็รู้ตัวเร็วไหวตัวหนีทัน ทำให้ปีแรกๆของการลงทุน ผลตอบแทนค่อนข้างดี ความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเพิ่มเงินเข้ามาเรื่อยๆ และมาพีคที่สุดก็ตอนก่อนตลาด crash ถมเงินเข้าไปเต็มพิกัด แถมยืมแม่ยืมน้ามาอีก และแล้วหายนะก็มาเยือน ความจริงก็คือความจริง เหอๆ
4. แยกประเภทหุ้นไม่ออก – หุ้นที่ตัวเองซื้อคิดว่าเป็นหุ้นเติบโต แท้จริงแล้วดันเป็นหุ้นวัฎจักร บางตัวรู้ว่าเป็นหุ้นวัฎจักร แต่ไม่เข้าใจ nature ของมัน ดันไปซื้อตอนพีอีต่ำ ใช้วีธีวิเคราะห์แบบหุ้นเติบโต กลายเป็นว่าช่วงกำไรพีคสุด พีอีต่ำสุดเป็นการจบรอบของมัน สรุปก็ดอยไปตามระเบียบ!!
5. เล่นหุ้นตามเซียน – ข่าวว่าบิ๊กเนมท่านนั้น ท่านนี้เข้าถือหุ้น ซื้อตามแบบไม่ดูตามม้าตาเรือ บอกตัวเองว่า แค่เก็งกำไร หาค่าขนม กินคำเล็ก แต่ขอกินบ่อยๆ และยังไงก็คิดว่าตัวเองหนีทัน แต่ตลาดไม่เคยปรานีใคร สุดท้ายก็อยู่เป็นคนสุดท้าย ต้องล้างชาม
6. ดูจอมากเกินไป ดู streaming กด refresh แทบจะทุกนาที - นอกจากจะเสียเวลาทำมาหากินมากๆแล้ว ยังเสียสมาธิ เสียแผน จิตใจฟุ้งซ่าน ชอบตัดสินใจโง่ๆ ทำอะไรโง่ๆแบบไม่ได้คิดจากการเปิดดูหน้าจอบ่อยๆและนานๆ (ผมว่าเก็บดวงตาของเราไว้ดูก้อนเมฆ ดูท้องฟ้าดีกว่านะครับ)
7. ออกนอกขอบเขตความรู้ของตัวเอง ขาดวินัย อยู่เฉยๆนั่งทับมือตังเองไม่เป็น –เล่นหุ้นที่ตัวเองไม่ถนัด ประเมินมูลค่าหุ้นไม่ได้ valuation ไม่เป็นก็เข้าซื้อ เพราะเหตุผลที่ไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเติบโตของกำไรในกิจการนั้น
8. เล่นหุ้นใช้ความโลภนำ ลืมเหตุลืมผล อย่างที่เค้าบอกว่าเราต้องเสียค่าเทอมบ้าง แต่ก็ไม่นึกว่ามันจะมากมายมหาศาลขนาดนี้
9. เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าลงทุนแล้วไม่มีความสุข – กินอิ่มแต่นอนไม่หลับ ทุกข์ใจจากการขาดทุน ทุกข์ใจจากเงินที่เคยได้มาแล้วมันก็หนีไปเที่ยว ทุกข์ใจจากการเห็นเงินจำนวนเงินที่เคยมีอยู่ ค่อยๆลดลงเรื่อยๆ ทรมานมากๆ ไม่โดนเองไม่มีทางรู้
13 บทเรียนที่ผมได้รับ
1. การมองโลกในแง่ดีเป็นสิ่งที่ดี แต่การมองโลกในแง่ร้ายบ้างก็น่าจะช่วยให้เราลงทุนโดยไม่คาดหวังเกินความเป็นจริง และมีโอกาสเจ็บตัวน้อยลงได้
2. ซื้อหุ้นต้องใจเย็นๆ ถึงเย็นมากๆ อย่ากลัวตกรถ เพราะรถมีออกตลอดเวลา แต่เราควรกลัวที่จะขึ้นรถผิดคันมากกว่า อันนี้ฟังเซียนมาหลายที ก็เพิ่งเข้าใจวันนี้เองครับ
3. อย่าคิดว่าตัวเองแน่!! แถวนี้....เถื่อน บอกตรงๆนะ ถ้าไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้ ต้องถามตัวเองว่าเราแน่แค่ไหนที่จะไปกินเงินคนอื่นเค้า เราควรรู้จักถ่อมเนื้อถ่อมตัวบ้าง เผื่อนายตลาดจะเห็นใจ
4. การ switch หุ้นในช่วงเวลาที่หุ้นตก ราคาไหลลงรุนแรง เป็นเรื่องเสี่ยงมาก เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะตกไปถึงเมื่อไร หรือจะเด้งเมื่อไร ทำให้เปอร์เซ็นต์อัพไซค์ที่เราคำนวณไว้ไม่นิ่ง ไม่เสถียร รอให้มีดปักสนิท หรือไม่แกว่งมาก ค่อยๆคิด ก็น่าจะทัน และที่สำคัญการตัดสินใจต้องใช้เหตุใช้ผลนำเท่านั้น ไม่ใช้ความโลภ ทำทุกอย่างตามแผน
5. อย่าไล่ราคา แต่ถ้าจะไล่จริงๆก็ไม่ควรเกิน mos ที่คำนวณไว้ ถ้าเกินแล้วก็ควรหยุด มีสติหน่อยครับพี่ อย่าโลภ!
6. ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่าถอดใจ อย่าหนีออกจากตลาดไปเลย เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว จากที่เราขาดทุนชั่วคราว จะกลายเป็นขาดทุนถาวรจริงๆ game over
7. ตอนที่เรากลัวสุดๆ อาจจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อหุ้น เช่นเดียวกันเวลาที่เรามีความสุขสุดๆกับราคาหุ้นของเราที่พุ่งกระฉูด นั่นก็อาจเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการขายหุ้นก็ได้ หัดดูใจตัวเอง สังเกตใจตัวเองให้เป็น
8. ถ้าเรารู้ว่าจะตายที่ไหน เราก็อย่าไปที่นั่น ถ้าเรารู้ว่ามันเป็นขี้ ก็อย่าเอานิ้วไปจิ้มดูด เช่นนี้แล้ว เราก็ปกป้องเงินต้นของเราได้ เรื่องนี้มันจริงซะยิ่งกว่าเสียอีก
9. อย่างไรก็ตาม ทองกับขี้ บางทีสีมันก็คล้ายๆกัน อันนี้ต้องแยกแยะ ฝึกดูกันให้ดีๆ คิดให้ดีๆ คิดให้แตก คิดถูกรวย คิดผิดก็จน
10. ถ้าเรารู้ว่าข้างหน้าจะมีพายุ เราจะออกเรือไปทำไม รู้ทั้งรู้ว่าฝนตกหนัก จะขี่จักรยานฝ่าฝนไปทำไม สุดท้ายก็ถึงที่หมายช้า ตัวเปียก อ่อนล้า ไม่สบาย การที่เราเห็นหุ้นราคาแพงอยู่เต็มตลาด เริ่มหาหุ้นถูกยากขึ้น เจอเพื่อนนักลงทุนหน้าใหม่ๆทุกวัน เพื่อนบางคนที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน ก็โทรมาปรึกษาเรื่องหุ้น ทั้งหลายทั้งปวง เราก็น่าจะอนุมานได้ว่าพายุใหญ่กำลังจะมา ฝนกำลังจะตกหนัก อย่าหลอกตัวเองและพยายามหัดอยู่เฉยๆให้เป็น
11. เราไม่ต้องตีทุกลูกที่วิ่งเข้ามาหาเราก็ได้ บางทีเกมบางเกมมันก็ไม่ใช่เกมส์ของเรา มือไม่ถึงก็ต้องตัดใจ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่า ถ้าพี่คนนี้เข้า ราคามันต้องวิ่งแน่ๆ
12. การลงทุนต้องเป็นสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข มีความสนุก กินอิ่มนอนหลับ เราทำมันด้วยความรัก ความศรัทธา รื่นรมย์ไปกับมันตลอดกระบวนการ ถ้าไม่เป็นไปตามนี้แล้ว ก็น่าจะมีอะไรบางอย่างที่ผิดแน่ๆ
13. การลงทุนควรเป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต เราอาจผิดพลาด เสียค่าเทอมไปมากมาย สุดท้ายแล้วมันก็น่าจะผ่านไป เวลาเราหันกลับมามองแล้วก็คงนึกขำในสิ่งที่เรามากังวลหรือทุกข์ใจในวันนี้ นอกจากนี้แล้ว ตลอดเส้นทางของการลงทุน เราก็ยังได้เรียนรู้ตลอดเวลา ผ่านรอบนี้ไปแล้ว ผมก็เชื่อว่า เราก็น่าจะ up level ขึ้นไปอีกขั้น
ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบนะครับ เป็นกำลังใจให้ทุกท่านผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปได้ ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีความสุขกับการลงทุนครับผม (เครดิตบทเรียนทั้งหลายจากประสบการณ์ส่วนตัว การอ่านจากโซเชียลมีเดีย เวปไทยวีไอ คำคมต่างๆจากการฟังเซียนตามงานสัมมนาและการพูดคุยกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆนักลงทุนทั้งหลาย ผมมิได้เอ่ยนาม แต่ก็ขอขอบคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้จากใจจริงครับ)