Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ผมเห็นในทีวี อ่านข่าว เห็นเขาพูดกันบ่อยกันจังคำว่า "พื้นฐาน"
เลยอยากถามเพื่อนๆหน่อยครับให้คำจำกัดความของ พื้นฐาน ยังไร
ปัจจัย อะไรบ้างที่จะทำให้ "พื้นฐานเปลี่ยน"

เข้ามาแชร์กันครับ

พฤติกรรมของลูกค้าครับ

การดำเนินธุรกิจครับ

-ส่วนแบ่งตลาดลดลง
-รายได้จากสินค้าหลักเปลี่ยนไปเป็นตัวอื่น

รอคนมาต่อครับ

อะไรที่กระทบ ฐาน topline หรือ bottom line , เกิดจาก internal หรือ external factor

ในระดับที่มีนัย ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่คนมอง ว่าอะไรคือมีนัย

ซึ่งมี time factor เข้ามาเกี่ยวอีกว่า เป็นการกระทบระยะสั้น กลาง ยาว ถาวร

อันนี้ก็แล้วแต่คน

พื้นฐาน - ปัจจัยพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจ ที่ทำให้ธุรกิจมีผลกำไร ผลกำไรเติบโต และเติบโตอย่างยั่งยืน

พื้นฐานเปลี่ยน - หมายถึงปัจจัยพื้นฐานที่ว่า "เปลี่ยนไป" ทำให้ธุรกิจ มีผลกำไรลดลง หรือขาดทุน

ปัจจัยที่ทำให้พื้นฐานเปลี่ยน - ก็น่าจะเป็นสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ
เช่น คู่แข่ง กฏหมาย วัตถุดิบ สินค้าทดแทน ผู้ส่งมอบ พฤติกรรมลูกค้า
รวมถึงสภาพแวดล้อมในบริษัทเองเช่น พนักงาน นโยบายของบริษัท
และอื่นๆ อีกมากมาย

ผมเข้าใจว่า...
มีสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินธุรกิจ
จนถึงขั้นที่ทำให้รายได้และกำไรต่างไปจากเดิมอย่างมีนัยยะครับ

ตัวผมเข้าใจว่า...

พื้นฐาน ก็คือ สิ่งที่ธุรกิจหรือบริษัทเป็นอยู่ในตอนนี้ ทั้งโครงสร้างธุรกิจ โครงสร้างการหารายได้ โครงสร้างการทำกำไร โครงสร้างเงินลงทุน และทุกๆสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบริษัท

พื้นฐานเปลี่ยน ก็คือ สิ่งต่างๆที่ธุรกิจหรือบริษัทมีได้เปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อนหน้านี้ ก็คือการที่พื้นฐานเปลี่ยนนั่นเอง มีทั้งพื้นฐานเปลี่ยนทั้งที่ส่งผลให้บริษัทดีขึ้น และพื้นฐานเปลี่ยนที่ส่งผลให้บริษัทแย่ลง

พื้นฐาน = ทุกสิ่งอย่างที่บริษัทตั้งแต่ post it ยันบุคคลที่เป็นทรัพยากร หรือแม้แจ่ชื่อเสียงที่สั่งสมมา
อันจะนำพาไปสู่ความก้าวหน้าของบริษัทนั้นๆ

พื้นฐานเปลี่ยน = การเปลี่ยนแปลงใดๆอันจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทเปลี่ยนไป
อันจะส่งผลต่อความสามารถในการกำไรของบริษัทให้มีอัตราการเพิ่มขึ้น
หรือลดลงจากเดิม

คิดเห็นส่วนตัวครับ อยากลองแชร์ >o< !!!

Five force เปลี่ยนรึเปล่าครับ เช่น มีสินค้าทดแทน, เสีย market share, บริษัทเปลี่ยนไปทำธุรกิจใหม่แทนของเดิม เป็นต้น

สำหรับผม
พื้นฐานเปลี่ยน = สูญเสีย ความสามารถที่ได้เปรียบ(Competitive Advantages) อย่างมาก และไม่สามารถกลับมาแบบเดิมอีก
ปัจจัยอะไรบ้าง = มีได้ตั้งแต่การบริหาร, 5 forces, Megatrends ...

เอ่อ ผมว่าราคาต่ำกว่า แพงกว่า ปัจจัยพื้นฐาน นี่งง กว่าสุดๆคับ
เพราะบางเรื่อง ไม่สามารถ ตีราคาออกมาได้
เช่น ใบอนุญาตรถบรรทุกขนของตอนไหนก็ได้ ของบางบ.
ความสามารถ ผบห
ทำเลยุทธศาสตร์
(หรือมันอาจจะตีราคาได้ แต่เราด้อยปัญญาเอง)


ยิ่งอ่านหนังสือ หุ้น ทุมอโฮ่ เรื่อง penny stock
แล้วยิ่งงวย ตกลงถูกกว่าปัจจัยพื้นฐาน
พี่จะไม่เมตตาผม หน่อยหรือ ว่าพี่เทียบกะอะไร

เครื่องมือสำหรับช่วยวิเคราะห์พื้นฐาน อย่างถึงกึ๋น




http://www.amazon.com/gp/product/068484 ... 4G278MFZ61 http://www.amazon.com/Competitive-Advan ... gy_b_img_b http://www.amazon.com/On-Competition-Mi ... 0875847951




ย่อที่สุด เหลือแค่นี้
http://www.strategy4u.com/assessment_to ... opup.shtml

เครื่อมือ "วิเคราะ์ห์พื้นฐาน" สุขภาพคน สำหรับหมอ: SOAP





ในเชิงธุรกิจ หรือการวิเิคระห์กิจการ เปรียบเทียบกับหมอดูคนไข้
Subjective = Qualitative Data รวบรวมข้อมูลเชิงอธิบาย/เชิงคุณภาพ จากการสังเกตและสอบถาม หาข้อมูลที่เป็นเชิงคุณภาพ ความรู้สึก ความพอใจ
Objective = Quantitative Data รวบรวมเชิงตัวเลข/เชิงปริมาณ ข้อมูลที่ตรวจวัดออกเป็นตัวเลขชัดๆ แต่ละกิจการเน้นต่างกัน เพราะจุดเป็นจุดตายไม่เหมือนกัน
Assessment = วิเคราะห์ข้อมูลข้างต้น เพื่อดูว่ากิจการป่วยไข่อย่างไร หรืออาการปกติดีและยังโตต่อได้ดี
Plan = เยียวยาอย่างไร จะให้ยาอย่างไร ถ้าเป็นนักบริหาร จะทำอย่างไรกับธุรกิจต่อ ถ้าเป็นนักลงทุน จะตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขาย รอเฝ้าดู หรือหนีไปดีกว่า[/color]

เครื่องมือ ที่เพิ่งได้รับการยอมรับแพร่หลายเมื่อราว 10 กว่าปีมานี้
ดูความสมดุลย์ทั้งภายในกิจการและนอกกิจการ แล้วให้คะแนนวัดผล แล้วนำมาเขียนเป็นแผนที่ยุทธศาสตร์เพื่อการแข่งขันได้
จึงเรียกว่า Balance Score Card

ขนาดเรื่องของ "คน" เมื่อก่อนแทบจะมองเป็นเครื่องจักร ถึงขั้นมีการแนะนำว่า อยากรุ่ง ต้องรู้จักเรียนรู้ "อูฐ หมา ปลา ควาย" เป็นอย่างไร
เครื่องมือนี้ก็ดูด้วย ในฐานะกลไกที่ช่วยผลักดันกิจการ โดยอยู่ในส่วนของ L&G (learning & Growth)


หลักการทั่วไป






แต่ละด้าน ต้องวัด มีน้ำหนัก ให้คะแนนผลการวัด มีการทบทวนปรับปรุงแก้ไข
ที่เป็น Subjective คือเชิงปริมาณ พยายามวัดให้เป็นเชิงตัวเลข เหมือนเราให้คะแนนความดีความงาม จะช่วยให้มองภาพ และเปรียบเทียบ "พื้นฐานกิจการ" ได้ดีขึ้น







ที่บอกว่า "นำมาเขียนเป็นแผนที่ยุทธศาสตร์เพื่อการแข่งขันได้" จะได้ไม่เพ้อฝัน
ตัวอย่างทั่วไป


ตัวอย่างลึกไปอีกหน่อย


ตัวอย่าง Stray Map จริงที่ไม่ใช่ธุรกิจ แต่เป็นของ FBI!


ตัวอย่างในเชิงธุรกิจ




แต่นักลงทุน เราคงดูได้ไม่ครบ เรื่องที่เป็น พื้นฐานเป็น "ภายในกิจการ"
แค่มุมองด้า่นการเงิน, ด้านลูกค้า ที่เป็นผลงานออกสู่สายตาหาชน ก็จะรู้ได้มาก
ด้านกระบวนการภายใน/กระบวนการผลิต และ การเรียนรู้/การเติบโต อาจหาข้อมูลได้ยากหรือไม่ได้เลย (เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ทำหน้าที่บริหารไว้คอยปรับปรุงในฐานะเป็นส่วน support ให้ผลออกมาด้า่นการเงิน, ด้านลูกค้า)

น่าจะเหมือนพวกโทรทัศน์ขาวดำ จอตู้ปลา ที่ถูกเข้ามาแทนที่ด้วย LCD จอแบน มังครับ

การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก
ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของกิจการหนึ่ง ๆ ทั้งด้านบวกและลบ
โดยที่ผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใหม่นั้นเป็นไปอย่างถาวร (ไม่เปลี่ยนกลับเมื่อเวลาเปลี่ยนไป)

ผมว่าพื้นฐานมันเปลี่ยนตลอดเวลาไปตามเหตุปัจจัย ตามกฎไตรลักษณ์ กิจการดีก็ไม่ได้ดีตลอดไป กิจการเน่าก็ไม่ได้เน่าตลอดไปเช่นกัน เพียงแต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยสังเกต และยอมรับความจริงข้อนี้ครับ ไปยึดของไม่เทียงว่าเทียงมันก็ทุกข์ใจกันไป

ผมว่าช่วงหลังๆ เวลาหุ้นตก มีคนอ้างคำว่าพื้นฐานเปลี่ยนกันบ่อยมากๆ กับเหตุการณ์ต่างที่เข้ามากระทบธุรกิจ (วีไอ เริ่มมีจำนวนเยอะขึ้น หุหุหุ)

เราคงต้องดูกันให้ดีๆว่าพื้นฐานมันเปลี่ยนจริงหรือเปล่า หรือแค่เหตุร้ายชั่วคราวแล้วตื่นตูมกันไปเอง (ซึ่งกรณีหลัง เป็นเวลาที่จะซื้อหุ้นเพิ่มนะครับ ไม่ใช่ขายทิ้งหนีตาย)

ส่วนสำหรับผม พื้นฐานเปลี่ยนหรือเปล่า คงต้องดูที่ ความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน หรือ DCA นั่นแหละ ว่ามันยัง"ยั่งยืน"ดีอยู่ไหม ซึ่งก็คงต้องประเมินจากfive force modelอีกทีครับ

ธุรกิจที่ดีจริง พื้นฐานมันคงไม่เปลี่นกันทุกเดือนหรือทุกปีหรอกครับ

ขอแชร์บ้างครับ เอาเป็นมุมมองของชีวิตส่วนตัวบ้างครับ

ก่อนหน้ามีครอบครัวผมกับแฟนก็คบกันมานานครับ เป็นพนักงานบริษัททั้งคู่ รายได้ก็พอใช้ได้ตามพื้นฐานพนักงานในบริษัทใหญ่ๆทั่วไป พอคบกันได้สักพักก็อยากจะแต่งงานมีครอบครัวครับ แต่คำนวนไปมาดูแล้ว รายได้กับค่าใช้จ่ายมันยังไม่สัมพันธ์กัน คือยังกินอยู่กันได้ไม่สบายเท่าไร (หรือรายได้กับค่าใช้จ่ายพอดีกันเกินหว่า ) ยิ่งคิดถึงตอนจะมีลูกและตอนที่พ่อแม่เราต้องเกษียณแล้ว ว่าต้องใช้จ่ายอย่างไรก็ไม่พอแน่ๆ ตอนนั้นก็เป็นช่วงสูญญากาศเลยครับ แฟนไม่ยอมแต่งงานด้วย

ผมตัดสินใจออกมาทำธุรกิจเองครับ ตามความถนัดและความชอบส่วนตัว ก็ไปได้ค่อนข้างดี ดูแล้วมีอนาคต ความเป็นอยู่ก็น่าจะดีขึ้น ดูแล้วดูแลแฟนได้แน่ หรือถ้าต้องมีเจ้าตัวเล็ก ก็ยังน่าจะเอาอยู่ คราวนี้ขอแฟนแต่งงานแล้ว OK ครับ

ผมมองว่าน่าจะคล้ายกับเรื่อง "พื้นฐานเปลี่ยน" ของการลงทุนครับ ปัจจัยอะไรก็ตามที่จะทำให้กระทบกับ "รายได้" หรือ "ความมั่งคั่ง" ในอนาคตระยะยาวของกิจการ นั่นก็ถือว่าเป็นการทำให้พื้นฐานเปลี่ยนครับ ถ้าดีขึ้นเราก็ "แต่งงานด้วย" แต่ถ้าไม่ดีขึ้น ตัวใครตัวมันหรือเปล่าครับ

dome@perth เขียน:ผมเห็นในทีวี อ่านข่าว เห็นเขาพูดกันบ่อยกันจังคำว่า "พื้นฐาน"
เลยอยากถามเพื่อนๆหน่อยครับให้คำจำกัดความของ พื้นฐาน ยังไร
ปัจจัย อะไรบ้างที่จะทำให้ "พื้นฐานเปลี่ยน"

เข้ามาแชร์กันครับ

รอฟังท่านโดมมาตอบคำถามครับ

ขอบคุณสำหรับทุกคำนิยาม คำจำกัดความ และ ความหมาย ทุกๆประโยคครับ

สำหรับผม "พื้นฐาน" ผมเข้าใจและแบ่งออกเป็น

๑. พื้นฐานทางโครงสร้างทางธุรกิจ หรือ Business Model หมายถึงลักษณะ หรือ ประเภทของการทำธุรกิจ
พื้นฐานทางโครงสร้างเปลี่ยน นั่นก็หมายความว่า business model เปลี่ยนไป ยกตัวอย่างเช่น ก่อนหน้าบริษัททำธุรกิจรถโดยสาร NGV แล้วเปลี่ยนมาขายเครื่องสำอางค์เป็นหลัก หรือ บริษัทก่อนหน้านี้รับเหมา
ติดตั้งระบบการสื่อสารเป็นรายได้หลัก แล้วเปลี่ยนมาเอาดีกับการขยายการให้บริการบรอดแบนด์เป็นหลัก เป็นต้น

๒. พื้นฐานทางการเงิน หมายถึง โครงสร้างทางการเงิน เงินทุน หนี้สิน กระแสเงินสด สภาพคล่อง ดอกเบี้ยเงินกู้ etc.
พื้นฐานทางการเงินเปลี่ยน เช่น การเพิ่มทุน การแปลงหนี้เป็นทุน การปลดหนี้เงินกู้ การยืดหนี้ กระแสเงินสดและสภาพคล่องดีขึ้น หรือ แย่ลง เป็นต้น
พื้นฐานทางการเงินผมรวมถึง ความสามารถในการเติบโตของยอดขาย และความสามารถในการทำกำไร
ซึ่งจะส่งผลถึงพื้นฐานทางการเงินด้วย

๓. พื้นฐานทางโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่และอำนาจการบริหาร
หากมีการเปลี่ยนแปลง นั่นก็หมายความว่ารูปแบบและนโยบายการบริหารก็อาจจะเปลี่ยนไปได้

๔. พื้นฐานทางการตลาด ซึ่งประกอบไปด้วย P ทั้ง 4 Product Price Promotion and Place
หลายๆครั้งจะเห็นบริษัทเปลี่ยนแปลง
-product mix - เช่น ไทยประกันชีวิต ออกกรมทัณฑ์คลุ้มครองแบบใหม่ไม่เป็นมะเร็งมีคืนเงิน, jas เริ่มให้บริการ FTTH เป็นต้น
-ปรับราคาขาย (price) - เช่น CCP ขอปรับราคาขายอิฐมวลเบาจากภาวะดีมานด์ สูงกว่าซัพพลายด์ CPF ลดราคาขายไก่ตามซีซั่นและตามสภาวะไก่ล้นตลาด หรือขอขึ้นราคาในสภาวะขาดแคลน หรือต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้น
-กระหน่ำ promotion - DTAC AIS TRUE ออกโปรโมชั่น 3G หลายๆรูปแบบ
- เปลี่ยนแปลงยกย้ายตลาด (place) การทำธุรกิจ - MINT รุกตลาดโรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ ในต่างประเทศมากขึ้น

๕. พื้นฐานทางความอุตสาหกรรม หรือ เทรนด์ ของอุตสาหรรมนั้นๆ
หลายๆอุตสาหกรรม เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เพราะเป็นเมกกะเทรนด์
บางอุตสาหกรรมแย่ลง เพราะเป็นธุรกิจตะวันตกดิน

ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า พื้นฐานเปลี่ยน มันไม่ใช่อะไรที่พูขึ้นมาลอยๆ หรือ มันไม่ได้ หมายถึงเฉพาะ ในทางที่แย่ลง มันต้องชี้ให้เห็นว่ามันเปลี่ยนในจุดใด กระทบภาพรวมมากน้อยขนาดไหน

เราเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า ควรพิจารณาและวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้ แล้วค่อยให้คำตอบว่า หุ้นนั้น "พื้นฐานเปลี่ยน"

dome@perth เขียน: เราเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า ควรพิจารณาและวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้ แล้วค่อยให้คำตอบว่า หุ้นนั้น "พื้นฐานเปลี่ยน"

ตอนนี้เวลาในไทย ตีหนึ่งยี่สิบครับ
คุ้มค่าที่รอท่านโดม ณ กรุงเพิร์ท มาตอบ ขอบคุณมากครับ

ความสำคัญของพื้นฐานเปลี่ยนแปลงน่าจะวัดได้จากความยั่งยืนของความได้เปรียบในการแข่งขันหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่น
ธุรกิจของรถไฟฟ้าจากเดิมที่ขาดทุนมาโดยตลอด เปลี่ยนมาเป็นกำไร ซึ่งคาดว่าจะเปลี่ยนแบบถาวรคือจะไม่กลับไปขาดทุนอีกเลยในช่วงเวลาที่ได้รับสัมปทาน ซึ่งหากเปรียบกับธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีสูงเช่น ธุรกิจอินเทอร์เนต ซึ่งยากต่อการทำนายว่าจะมีเทคโนโลยีใหม่มาแข่งขันเมื่อไร หรือความได้เปรียบจากการวางสายสื่อสารไว้แล้วจะสิ้นสุดเมื่อไรแล้ว การเปลี่ยนแปลงในธุรกิจรถไฟฟ้าน่าสนใจกว่ามาก

หรือหากเปรียบเทียบระหว่างความเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากการเปลี่ยนทีมบริหาร เช่นบริษัทนักร้อง กับการเพิ่มขึ้นของทางเดินรถไฟฟ้า และการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า การเพิ่มขึ้นของความน่าสนใจในสื่อโฆษณาบนรถไฟฟ้า ผมคงให้น้ำหนักกับความเปลี่ยนแปลงจากการเพิ่มขึ้นของสิ่งที่ถูกทำลายได้ยากมากกว่า

ขอบคุณ พี่โดม มากครับ ขอแบบนี้อีกเรื่อยๆเลยนะครับ

ตั้ง.....แล้วตอบ.....(ช่วยกันตอบ หลากมุมมอง หลายความเห็น)

พื้นฐานเปลี่ยนเป็นไปได้ทั้งดีขึ้นหรือแย่ลง ส่วนตัวผมจะสังเกตหาพื้นฐานที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแต่ Mr. Market ยังไม่รับรู้ จากการศึกษาตลาดหุ้นในอเมริกาตั้งแต่ปี 1880-2008 พบว่ากว่า 95% ของหุ้นที่ขึ้นหลายเด้ง บางตัวเป็นสิบเด้ง ในช่วงเวลาไม่กี่ปี เกิดจากพื้นฐานที่เปลี่ยนไป ซึ่งสังเกตได้ไม่ยากนัก ได้แก่
1) New Products: แอปเปิล กำไรโตแรงมากจากสินค้าใหม่ตระกูล I (IPAD, IPHONE, IPOD)
2) New Companies: น่าจะหมายถึงบริษัทที่เกิดใหม่อย่าง Google, Microsoft, AOL, Yahoo, CISCO หรือแม้กระทั้งบริษัทที่เปลี่ยนธุรกิจใหม่ เช่น Charles Schwap เปลี่ยนจาก traditional broker เป็น online broker
3) New Industry Conditions: supply shortages, increasing demand, price increases เช่น หุ้นเรือ หุ้น film และ ... (ใครมี idea ดี ๆ มาแชร์กันได้ครับ)
4) New Management: อันนี้ที่จริงแล้วดูยาก ขอผ่าน

ทั้งนี้ ต้องดูว่าการที่กำไรบริษัทโตขึ้นมา มีความยั่งยืนหรือไม่ Durable Competitite Advantage ยังแข็งแรงหรือเสื่อมลง Industry Conditions เปลี่ยนไปหรือยัง เช่น New supply coming up, price decreases

สิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่เราสามารถสังเกตได้ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า การไปซื้อของในตลาดนัด การไปเที่ยวต่างจังหวัด การเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ การอ่านหนังสือพิมพ์ เช่น ประชาชาติธุรกิจ ที่มักมีบทความเกี่ยวกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ฯลฯ

หุ้นดี ๆ มีอยู่รอบกายเรา อยู่ที่ว่าเรามองเห็นหรือเปล่า หลายครั้งโอกาสผ่านหน้าเราไป สิ่งที่เราต้องทำเพียงแค่สังเกตและมองเห็นมัน (Peter Lynch พูดประมาณนี้)

เยี่ยมครับ เข้าใจง่ายด้วย

ปล. หางเครื่องมาอีกแล้ว ครับ ท่าน ฮาๆๆๆ

dome@perth เขียน:ขอบคุณสำหรับทุกคำนิยาม คำจำกัดความ และ ความหมาย ทุกๆประโยคครับ

สำหรับผม "พื้นฐาน" ผมเข้าใจและแบ่งออกเป็น

๑. พื้นฐานทางโครงสร้างทางธุรกิจ หรือ Business Model หมายถึงลักษณะ หรือ ประเภทของการทำธุรกิจ
พื้นฐานทางโครงสร้างเปลี่ยน นั่นก็หมายความว่า business model เปลี่ยนไป ยกตัวอย่างเช่น ก่อนหน้าบริษัททำธุรกิจรถโดยสาร NGV แล้วเปลี่ยนมาขายเครื่องสำอางค์เป็นหลัก หรือ บริษัทก่อนหน้านี้รับเหมา
ติดตั้งระบบการสื่อสารเป็นรายได้หลัก แล้วเปลี่ยนมาเอาดีกับการขยายการให้บริการบรอดแบนด์เป็นหลัก เป็นต้น

๒. พื้นฐานทางการเงิน หมายถึง โครงสร้างทางการเงิน เงินทุน หนี้สิน กระแสเงินสด สภาพคล่อง ดอกเบี้ยเงินกู้ etc.
พื้นฐานทางการเงินเปลี่ยน เช่น การเพิ่มทุน การแปลงหนี้เป็นทุน การปลดหนี้เงินกู้ การยืดหนี้ กระแสเงินสดและสภาพคล่องดีขึ้น หรือ แย่ลง เป็นต้น
พื้นฐานทางการเงินผมรวมถึง ความสามารถในการเติบโตของยอดขาย และความสามารถในการทำกำไร
ซึ่งจะส่งผลถึงพื้นฐานทางการเงินด้วย

๓. พื้นฐานทางโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่และอำนาจการบริหาร
หากมีการเปลี่ยนแปลง นั่นก็หมายความว่ารูปแบบและนโยบายการบริหารก็อาจจะเปลี่ยนไปได้

๔. พื้นฐานทางการตลาด ซึ่งประกอบไปด้วย P ทั้ง 4 Product Price Promotion and Place
หลายๆครั้งจะเห็นบริษัทเปลี่ยนแปลง
-product mix - เช่น ไทยประกันชีวิต ออกกรมทัณฑ์คลุ้มครองแบบใหม่ไม่เป็นมะเร็งมีคืนเงิน, jas เริ่มให้บริการ FTTH เป็นต้น
-ปรับราคาขาย (price) - เช่น CCP ขอปรับราคาขายอิฐมวลเบาจากภาวะดีมานด์ สูงกว่าซัพพลายด์ CPF ลดราคาขายไก่ตามซีซั่นและตามสภาวะไก่ล้นตลาด หรือขอขึ้นราคาในสภาวะขาดแคลน หรือต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้น
-กระหน่ำ promotion - DTAC AIS TRUE ออกโปรโมชั่น 3G หลายๆรูปแบบ
- เปลี่ยนแปลงยกย้ายตลาด (place) การทำธุรกิจ - MINT รุกตลาดโรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ ในต่างประเทศมากขึ้น

๕. พื้นฐานทางความอุตสาหกรรม หรือ เทรนด์ ของอุตสาหรรมนั้นๆ
หลายๆอุตสาหกรรม เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เพราะเป็นเมกกะเทรนด์
บางอุตสาหกรรมแย่ลง เพราะเป็นธุรกิจตะวันตกดิน

ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า พื้นฐานเปลี่ยน มันไม่ใช่อะไรที่พูขึ้นมาลอยๆ หรือ มันไม่ได้ หมายถึงเฉพาะ ในทางที่แย่ลง มันต้องชี้ให้เห็นว่ามันเปลี่ยนในจุดใด กระทบภาพรวมมากน้อยขนาดไหน

เราเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า ควรพิจารณาและวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้ แล้วค่อยให้คำตอบว่า หุ้นนั้น "พื้นฐานเปลี่ยน"

ขอถามต่อได้มั้ยครับว่า ถ้าสมมติพื้นฐานเปลี่ยน เราควรให้น้ำหนักที่ส่วนไหนเท่าไร

แบบว่า ถ้าอันนี้เปลี่ยน เกิดผลกระทบแน่ อันนี้เปลี่ยน ไม่กระทบหรอก นิดหน่อย ชั่วคราว

แล้วถ้าปัจจัยทางคุณภาพเปลี่ยน จะส่งผลต่อการ valuation ยังไงครับ เพราะตรงนี้ประเมินเป็นตัวเลขยากอ่ะครับ

ขอบคุณครับ

เป็นกระทู้ที่ พื้นฐานน่านสนใจครับ ขอลงชื่อไว้ด้วยคน