ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
gripen
Verified User
โพสต์: 276
ผู้ติดตาม: 0

ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ผมขอถามหน่อยน่ะครับว่า บริษัท CPF ถือเป็นหุ้นเติบโตหรือหุ้นโภคภัณฑ์ เพราะรายได้ของcpfมีสัดส่วนรายได้จากอาหารสัตว์40% ฟาร์ม40% อาหารคน20%

เนื่องจากนักลงทุนแนวvi ให้หลีกเลี่ยงแนวหุ้นโภคภัณฑ์ แต่ให้เน้นหุ้นแนวเติบโต ซึ่งจะปลอดภัยกว่าในการถือหุ้นระยะยาว

แต่ผมไปอ่านเจอวิสัยทัศน์ของผู้บริหารcpf มีบทความกล่าวไว้ว่า

ซีพีเอฟรุกใหญ่ ครองตลาดอาหารครึ่งโลก
Submitted by info on Thu, 2012-02-09 00:00
๐ ซีพีเอฟตั้งเป้าเป็นผู้นำโลกด้านอาหารครบวงจรใน 5 ปี
๐ กวาดตลาดลูกค้าครึ่งโลก
๐ เผยไต๋ซื้อกิจการในจีน- เวียดนาม ต่อยอดธุรกิจ
๐ รุกหนักเตรียมคนรองรับการเติบโต

เริ่มจากราคาหุ้นเคลื่อนไหวอย่างหวือหวาในช่วงต้นปี และปรากฎภาพการเข้าซื้อกิจการในจีนและเวียดนาม ฉายให้เห็นภาพชัดเจนของจังหวะก้าวครั้งใหญ่ของซีพีเอฟ เพื่อขึ้นไปสู่ผู้นำในธุรกิจอาหารครบวงจรใน 5 ปี

๐ กลยุทธ์ก้าวกระโดด

อดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ อธิบายและตอกย้ำกับ “ผู้จัดการ 360องศารายสัปดาห์” ว่าการควบรวมบริษัทต่างๆ ในประเทศนั้นมีความตั้งใจมานานแล้ว เพราะเป็นธุรกิจที่คล้ายกัน คืออยู่ในธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ (Farm) และอาหาร (Food)

ทั้งนี้ การซื้อ CPV ซึ่งเป็นธุรกิจเกษตรครบวงจรในเวียดนาม และ CPP เป็นบริษัทอาหารสัตว์ในจีน ที่อยู่ภายใต้บริษัทเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ฮ่องกง เพื่อทำธุรกิจในจีนและเวียดนาม เป็นการสร้างธุรกิจและขยายให้เติบโต เพราะทันทีที่ซื้อมาทำให้ธุรกิจของซีพีเอฟเติบโตทันทีถึง 50% ทั้งยอดขายและกำไร ซึ่งการซื้อ CPP ในต่างประเทศจะตอบโจทย์การเป็นครัวของโลกได้ชัดเจนมาก เพราะการซื้อธุรกิจในประเทศจีนซึ่งมีประชากร 1,300 ล้านคน และการซื้อธุรกิจในเวียดนามซึ่งมีประชากรถึง 90 ล้านคน เท่ากับว่าซีพีเอฟเข้าถึงผู้บริโภคทันที 1,400 ล้านคน

หลังการซื้อกิจการในสองประเทศนี้แล้ว ซีพีเอฟตั้งเป้ารายได้ว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละ 15% หรือมียอดขายเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เป็น 600,000 ล้านบาท ภายในช่วง 5 ปีนับจากนี้ โดยมั่นใจว่าปี 2555 นี้ จะมีรายได้ 320,000 - 330,000ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 50% จากปี 2554 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 210,000 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาสแรกของปีนี้จะเริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อกิจการในจีนและอินเดีย

“เพราะเราซื้อธุรกิจในประเทศนั้น ผลิตในประเทศนั้น และขายในประเทศนั้น ในขณะที่ยังมีอีก 10 ประเทศอยู่แล้ว เช่น อินเดีย รัสเซีย ตุรกี มาเลเซีย ไต้หวัน ลาว และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีฐานผู้บริโภคอีก 1,600 ล้านคน เท่ากับการครอบคลุมผู้บริโภคถึง 3,000 ล้านคน และในประเทศไทยยังผลิตเพื่อส่งไปขายอีก 40 ประเทศ ทั้งยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง รวมกันประมาณ 700 ล้านคน เมื่อประชากรโลกมีประมาณ 7,000 ล้านคน เท่ากับว่าซีพีเอฟครอบคลุมประชากรโลกถึงครึ่งหนึ่ง”

เมื่อซีพีเอฟมีวิสัยทัศน์การเป็นครัวของโลก อีกเรื่องซึ่งเป็นแนวทางหลักนอกจาก “การขยายพื้นที่” ยังมีแนวทาง “การสร้างมูลค่าเพิ่ม” หรือ Value Chain ตลอดมา ดังนั้น ธุรกิจที่มีอยู่ คือ อาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ทั้งสัตว์บกสัตว์น้ำ นำไปสู่ธุรกิจแปรรูปและธุรกิจอาหาร และการเริ่มไปสู่ธุรกิจค้าปลีกอาหาร เช่น ไก่ย่างห้าดาว และซีพีเฟรชมาร์ท

การที่ซีพีเอฟมองว่าธุรกิจอาหารมีความมั่นคง เพราะสังเกตได้จากโลกในทุกวันนี้ มีความหวั่นวิตกถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น ภาวะโลกร้อน การเพิ่มขึ้นของประชากรโลกจาก 7,000 ล้านคน เป็น 9,000 ล้านคนใน 10 ปีข้างหน้า การขยายตัวของเมืองของโรงงานทำให้พื้นที่เพาะปลูกน้อยลง รวมทั้ง น้ำมันราคาสูงขึ้นทำให้พื้นที่เพาะปลูกอาหารต้องนำไปปลูกพืชพลังงานทดแทน ทำให้ราคาอาหารสูงขึ้น ดังนั้น เมื่อซีพีเอฟอยู่ในธุรกิจอาหารจึงมั่นใจว่าค่อนข้างมั่นคง และที่ผ่านมาไม่ว่าเศรษฐกิจจะขึ้นหรือลง ไม่กระทบต่อธุรกิจของซีพีเอฟ เพราะคนต้องตัดรายจ่ายอย่างอื่นแต่ตัดรายจ่ายเรื่องอาหารไม่ได้เพราะมีความจำเป็น เช่น สถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา อาหารเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เป็นต้น

๐ การประหยัดจากขนาด

นอกจากนี้ ในเรื่อง Economy of scale ซีอีโอของซีพีเอฟย้ำว่า การควบรวมครั้งนี้เห็นได้ชัดเช่นกันว่า เมื่อธุรกิจขยายใหญ่ขึ้นถึงขนาดนั้นย่อมทำให้เกิด Economy of scale มากขึ้น เช่น

1. การจัดซื้อวัตถุดิบซึ่งเป็นการจัดซื้อรวม โรงงานอาหารสัตว์ที่มีอยู่ประมาณ 100 โรงงาน ซึ่งการซื้อธุรกิจในจีนมี 78 โรงงาน กับเวียดนาม 10 โรงงาน ในไทย 16 โรงงาน เมื่อรวมกันแล้วสามารถต่อรองด้วยเงื่อนไขจากจำนวน 100 โรงงาน หรือการซื้อวัตถุดิบ เช่น กากถั่วเหลืองจากยุโรป อเมริกา หรือบราซิล สามารถต่อรองค่าระวางเรือได้เพิ่มขึ้นจากเดิมอาจจะเพียง 1 ล้านตันเพิ่มเป็น 3 ล้านตันทำให้ต้นทุนการขนส่งต่ำลง นอกจากนี้ ยังมีการจัดซื้ออื่นๆ ที่มีการติดต่อระหว่างโรงงานต่อโรงงานทำให้ต้นทุนต่ำลงเช่นกัน

2. การวิจัยและพัฒนา สามารถรวมอยู่ด้วยกัน และสามารถนำผลของการวิจัยไปใช้กับประเทศต่างๆ ได้ แทนที่จะแยกซึ่งต้องใช้งบประมาณมหาศาล และ3. การบริหารจัดการกลางเมื่อทำร่วมกันแล้วทำให้เกิดการประหยัดต้นทุนด้านนี้ได้มาก นี่คือผลของการซินเนอร์จี่ และการที่บริษัทระดับโลกรวมกันเพื่อให้ได้ขนาดที่ใหญ่ระดับโลกทำให้การต่อรองของธุรกิจทำได้มากขึ้น

ดังนั้น การรวมกันจนมีขนาดของธุรกิจใหญ่ระดับโลกทำให้มีอำนาจในการต่อรองมากขึ้น ทำให้มีชื่อเสียงมากขึ้น สำหรับธุรกิจของซีพีเอฟในปัจจุบัน ด้วยการมีขนาดของธุรกิจใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลกในเรื่องของกุ้ง ในเรื่องของอาหารสัตว์ การเป็นอันดับสองของโลกในเรื่องของหมู การเป็นอันดับสามของโลกในเรื่องของไก่ เมื่อมีขนาดของธุรกิจใหญ่ในแง่ของนักลงทุนจะดึงดูดได้ ซึ่งในเรื่องของหุ้นซีพีเอฟช่วงหลังกองทุนต่างประเทศให้ความเชื่อถือมากขึ้น เพราะมีการถือหุ้นของกองทุนต่างประเทศถึง 20 กว่า% และกองทุนในประเทศ ประมาณ 10 % และผู้ถือหุ้นใหญ่กับผู้ถือหุ้นย่อยอีก 3 หมื่นกว่าราย

ในการเปลี่ยนจากการอยู่ในกลุ่มธุรกิจเกษตรเป็นธุรกิจอาหารในปี 2553 เพราะแนวโน้มสัดส่วนของรายได้มาจากธุรกิจอาหารมากกว่าธุรกิจเกษตร ซึ่งเดิมคนทั่วไปเข้าใจว่าซีพีเอฟอยู่ในธุรกิจอาหารสัตว์ แต่ในความเป็นจริงธุรกิจอาหารสัตว์เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะมีการทำธุรกิจเลี้ยงสัตว์ จนถึงการแปรรูปอาหาร เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกัน นอกจากนี้ การอยู่ในธุรกิจอาหารให้ PE สูงกว่าการอยู่ในธุรกิจอื่น เพราะธุรกิจเกษตรมีค่าเฉลี่ย PE อยู่ที่ 6-7 เท่า แต่ธุรกิจอาหารมีค่าเฉลี่ย PE อยู่ที่ 15-20 เท่า ซึ่งวันนี้ PE ของซีพีเอฟอยู่ที่ 15-16 เท่า

หลังการควบรวมธุรกิจพบว่าสัดส่วนรายได้ของซีพีเอฟเปลี่ยนแปลงไป แบ่งเป็น อาหารสัตว์ 54% เนื้อสัตว์ 33% อาหาร 13% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 37% - 45% - 18% ตามลำดับ ซึ่งต่อไปสัดส่วนธุรกิจกลุ่มเนื้อสัตว์และกลุ่มอาหารจะเพิ่มขึ้น และในที่สุดสัดส่วนรายได้จากกลุ่มอาหารจะมากที่สุดเพราะจะมีการสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกมาก แต่จะต้องใช้เวลา

เพราะเชื่อว่ามีความชำนาญมากพอในการเตรียมธุรกิจตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง สู่ปลายทาง ซึ่ง อันดับหนึ่งในเรื่องอาหารสัตว์คือ Cargill ในเรื่องไก่อันดับหนึ่งคือ Tyson Food,Inc. อันดับสองคือBrasil Foods SA หมูอันดับหนึ่งคือ Smithfield แต่เชื่อว่าด้วยขนาดของธุรกิจและขนาดของตลาดที่ซีพีเอฟขยายเข้าไปครอบคลุมเชื่อว่าจะทำให้ซีพีเอฟก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องใช้เวลา 5-10 ปี ก็จะสามารถก้าวสู่ผู้นำ เพราะบริษัทอื่นๆ ที่เป็นผู้นำอยู่ไม่ได้เข้าไปทำธุรกิจในจีน และอินเดีย ซึ่งมีประชากรมหาศาล และส่วนมากจะเป็นรายใหญ่ในอเมริกาทั้ง Tyson Food,Inc. และ Smithfield

ขณะที่ซีพีเอฟมีธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) และฟาร์มเลี้ยงสัตว์ (Farm) อยู่ในอันดับต้นๆ และแม้ว่าธุรกิจอาหาร (Food) ยังอยู่ในอันดับหลังๆ ของโลก แต่การอยู่อันดับท้ายๆ แต่ยังเห็นโอกาสที่จะสร้างการเติบโต และเพราะความมุ่งมั่นตั้งใจหรือป้าหมายคือความต้องการเป็นบริษัทระดับโลกจึงต้องมีการเปรียบเทียบตลอดเวลาเพื่อปรับปรุงและพัฒนาตัวเอง

ซีอีโอของซีพีเอฟยืนยันว่า ตามแนวทางของ “ธนินท์ เจียรวนนท์” คือการซื้อเทคโนโลยีระดับโลกมาใช้ ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของซีพีเอฟด้วย เพราะการจะมีนวัตกรรมและแทคโนโลยีได้เร็วที่สุดคือการซื้อ รองลงมาคือการวิจัยและพัฒนามาช่วยเสริมเพื่อเป็นการปรับประยุกต์เทคโนโลยีที่ซื้อมา และสุดท้ายของกระบวนการคือการสร้างนวัตกรรมด้วยบุคลากรทั้งหมดที่มีอยู่ช่วยกันหาจุดอ่อน หาจุดที่จะพัฒนาปรับปรุง หาจุดเพิ่มรายได้ และหาจุดลดต้นทุนต่อไป

๐ การสร้างคนรองรับเป้าหมาย

ความท้าทายในการบริหารคนก่อนหน้านี้มีการทำงานกับคนต่างประเทศอยู่แล้ว แต่เมื่อมีจีนและเวียดนามเข้ามาเพิ่มจึงต้องศึกษาวัฒนธรรมเพิ่มเติมเป็นส่วนแรก เพื่อให้เกิดความกลมกลืนกันมากขึ้น และส่วนที่สองคือความมุ่งหมายให้เกิดมาตรฐานเดียวกัน จึงต้องนำมาตรฐานที่วางไว้ไปใช้ให้เหมือนกัน

ในเรื่องทีมบริหารจัดการประเทศจีนเป็นคนจีน ส่วนประเทศอื่นๆ ผู้บริหารสูงสุดยังเป็นคนไทย แต่เป้าหมายในเรื่องของบุคลากรต้องการใช้คนท้องถิ่นให้มากที่สุดเพราะต้นทุนต่ำกว่า ในเรื่องของมาตรฐาน เช่น ภาวะผู้นำต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน จึงมีการชิญ “ดร.โนแอลเอ็ม. ทิชี่” ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมาจัดทำหลักสูตรการพัฒนาผู้นำ แต่เรื่องของการบริหารจัดการแต่ละท้องถิ่นอาจจะต่างกัน หรือเรื่องความเชี่ยวชาญในแต่ละสายธุรกิจจะมีมาตรฐานอยู่โดยในประเทศไทยมีศูนย์การเรียนรู้ซึ่งในต่างประเทศจะมีการนำไปประยุกต์เพราะการทำธุรกิจในเมืองร้อนกับเมืองหนาวอาจจะต่างกัน ต้องดูในแต่ละเรื่องว่าต้องการมาตรฐานในระดับไหน

สำหรับบุคลากรในต่างประเทศมีคนไทย 500 กว่าคน ตามปกติการจะไปเป็นผู้บริหารต้องผ่านการฝึกอบรมในประเทศและผ่านการโยกย้ายและทำงานที่สำคัญในหน้าที่ต่างๆ มาพอสมควรแล้ว จนมั่นใจว่ามีความรอบรู้มากพอที่จะส่งไปทำงานในต่างประเทศ ส่วนการถ่ายทอดวัฒนธรรมองค์กรไปในต่างประเทศ ผู้บริหารคนไทยจะต้องผ่าน 3 ขั้นตอนในการปลูกฝังวัฒนธรรมของซีพีเอฟคือ ขั้นแรกการรับรู้ จะได้จากการสื่อสารด้วยเครื่องมือต่างๆ เช่น แผ่นประชาสัมพันธ์ภายในองค์กร เป็นต้น ขั้นที่สองความเข้าใจ จะมีได้ต้องมีการแปลงเป็นพฤติกรรมที่สื่อว่าหมายถึงค่านิยมอะไร พฤติกรรมอะไรใช่อะไรไม่ใช่ และขั้นที่สามการยอมรับ ซึ่งมีเครื่องมือประเมินผล

ในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายต้องมีบุคลากรเป็นหลักสำคัญ ดังนั้น ซีพีเอฟจึงเน้นการสร้างบุคลากรให้อยู่ในวัฒนธรรมเดียวกันด้วยการกำหนดกรอบวัฒนธรรมหรือค่านิยมขององค์กรซึ่งเรียกว่า “CPF Way” ด้วยการสอนให้คนซีพีเอฟอยู่ในกรอบวัฒนธรรม 6 ประการ คือ 1. ต้องคำนึงถึง 3 ประโยชน์เพื่อความยั่งยืน ซึ่งมีความหมายว่าไม่ว่าจะทำอะไร เช่น ลงทุนในเรื่องใดๆ ต้องคิดถึงประโยชน์ของประเทศชาติ ประโยชน์ของประชาชน และประโยชน์ของบริษัท 2. ต้องมีความรวดเร็วในการทำงาน 3. ต้องทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย 4. ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง เพราะโลกเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน ผู้บริโภคเปลี่ยน คู่ค้าเปลี่ยน การแข่งขันเปลี่ยน สังคมและเศรษฐกิจเปลี่ยน 5. สรรค์สร้างนวัตกรรมเพื่อให้เกิดการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ และ6. ต้องเป็นคนดีมีคุณธรรม รู้จักเรื่องการตอบแทนบุญคุณ

เมื่อบุคลากรเข้ามาอยู่ในซีพีเอฟ สิ่งที่เน้นต่อไปคือการพัฒนาคนในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะประสิทธิภาพในการทำงานและความเป็นผู้นำ รวมทั้ง การให้คนเก่งคนดีได้ทำงานที่ท้าทายความสามารถอยู่เสมอ แต่ย้ำว่าการที่ซีพีเอฟสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เป็นเพราะขนาดของธุรกิจมีการเติบโต จึงเป็นโอกาสให้รับและสะสมคนเก่งคนดีเข้ามาเรื่อยๆ และยังต้องทำให้บุคลากรมีความสนุกกับการทำงาน แม้ว่าธุรกิจจะต้องมองเห็นช่องทางจำหน่าย ต้องมีเทคโนโลยี ต้องมีเงินทุน แต่สุดท้ายที่สุดคือต้องมีคนที่เหมาะสม เพราะการเติบโตของธุรกิจจะต้องมีคนเป็นผู้ขับเคลื่อน

สิ่งที่สำคัญมากในระยะต่อไปของซีพีเอฟ เนื่องจากการลงทุนใน 12 ประเทศ จะทำให้รายได้จากต่างประเทศมากกว่ารายได้จากในประเทศ ดังนั้น คนที่ทำงานใน 12ประเทศ จึงเป็นคนที่ขับเคลื่อนการเติบโตให้ซีพีเอฟมากกว่าคนในประเทศ และการใช้คนใน 12 ประเทศเป็นเรื่องที่ต้องมีการปรับตัว ซึ่งการใช้คนที่มีความหลากหลายในหลายประเทศและให้ทำงานอยู่ในกรอบวัฒนธรรมเดียวกันจึงเป็นความท้าทายของซีพีเอฟ จึงต้องสร้าง “โมเดล” ที่มีความสำเร็จในประเทศไทย และนำโมเดลนี้ไป “ต่อยอด” ในแต่ละประเทศ

ดังนั้น การบริหารจัดการคนที่มีความหลากหลายใน 12 ประเทศให้มีวัฒนธรรมหรือค่านิยมองค์กรในแบบเดียวกัน จึงต้องเริ่มด้วย “CPF Way” เป็นตัวขับเคลื่อนให้มีแนวความคิดเดียวกัน จากนั้น จึงใช้การบริหารจัดการด้วย Diversity & Inclusion โดยมีการออกนโยบายเพื่อให้คนต่างวัฒนธรรมต่างความคิดสามารถทำงานได้กลมกลืนกัน ซึ่งในอดีตมีการทำอยู่แล้ว แต่ปีนี้จะมุ่งเน้นให้ “เห็นผล” มากขึ้น คือจะมี “กิจกรรม” ให้ทำ มี “การติดตามผล” และมี “การประเมินผล”

โดยมีการเปรียบเทียบกับบริษัทชั้นนำในโลก เพื่อหาช่องทางในการพัฒนาต่อไป เพื่อให้การทำงานเป็นเนื้อเดียวกันให้ได้ รวมทั้ง การใช้บุคลากรในท้องถิ่น ซึ่งต้องเป็นคนเก่งคนดี ขณะที่ ผู้นำในท้องถิ่นซึ่งขณะนี้เป็นคนไทยต้องสามารถนำความเก่งมาใช้ให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร ซึ่งดีต่อองค์กรและต่อบุคลากรเองที่ต้องเติบโตต่อไปด้วย

อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเริ่มในเมืองไทยเมื่อปีที่แล้วเป็นปีแรกคือการทำแบบสำรวจความผูกพันของพนักงานต่อองค์กร ( Employee Engagement ) ทำให้เห็นช่องว่างซึ่งจะต้องเข้าไปเสริมสร้างให้พนักงานมีความผูกพันต่อองค์กรมากขึ้น สำหรับพนักงานของซีพีเอฟในปัจจุบันมีประมาณ 1 แสนคน แบ่งเป็นในเมืองไทย 6 หมื่นคน ต่างประเทศ 4 หมื่นคน โดยโมเดลนี้จะมีการนำไปใช้ในต่างประเทศด้วย เพื่อให้กลยุทธ์การสร้างคนสอดรับกับการเติบโตขององค์กร

มั่นใจ เบอร์ 1 Farm Feed Food โลกใน 5 ปี

อดิเรก ศรีประทักษ์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลกับ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์” ว่า ปัจจุบัน ซีพีเอฟทำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและธุรกิจอาหารครบวงจร แบ่งตามประเภทสินค้า แบ่งเป็น 3 ธุรกิจ คือ หนึ่ง-อาหารสัตว์ (Feed) สอง-การเลี้ยงสัตว์ (Farm) ทั้งเพาะพันธุ์ เลี้ยงเพื่อการค้า และแปรรูปเนื้อสัตว์พื้นฐาน สาม-อาหาร (Food) ประกอบด้วยการผลิตสินค้าเนื้อสัตว์กึ่งปรุงสุกและปรุงสุก และอาหารพร้อมรับประทาน

ถ้าคิดตามสายธุรกิจ แบ่งเป็น 2 สาย คือ สัตว์บก ประกอบด้วย ไก่ เป็ด หมู และสัตว์น้ำ ประกอบด้วย กุ้งและปลา

เทียบกับโลก อดิเรกให้ข้อมูลว่า ธุรกิจกุ้ง ปัจจุบันซีพีเอฟเป็นที่ 1 ของโลก

ธุรกิจอาหารสัตว์ ปัจจุบันเป็นที่ 2 ของโลก รองจาก Cargill บริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์ใหญ่ที่สุดในโลกของสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จึงยากจะตรวจสอบให้ชัดเจนว่า ใครเป็นที่ 1 หรือที่ 2

ธุรกิจหมู เป็นที่ 2 รองจาก Smithfield Food ซึ่งปี 2554 มีรายได้รวม 12.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์จากหมู ที่ “สร้างแบรนด์” จนมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Smithfield ECKRICH ARMOUR John Morrell เป็นต้น

ธุรกิจไก่ เป็นที่ 3 รองจาก Tyson Food Inc. จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็น 1 ใน 2 บริษัทผู้ผลิตไก่ เนื้อวัว และเนื้อหมู ใหญ่ที่สุดในโลกที่ได้รับการจัดอันดับใน FORTUNE 500 โดยข้อมูลเมื่อปี 2553 ทำรายได้รวมจากทั่วโลก 28.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในจำนวนนี้มีสัดส่วนจากธุรกิจไก่ 35%

และ Brasil Foods SA ซึ่งเกิดจากการควบรวมของ 2 บริษัทท้องถิ่น คือ Sadia SA กับ Perdigao Sa เมื่อปี 2552 ซึ่งปีที่แล้วทำรายได้ 10.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ มี 42 โรงงาน พนักงาน 119,000 คนทั่วโลก

“ในอนาคต ด้วยขนาดของธุรกิจและพื้นที่ ผมคิดว่าเราเป็นที่ 1 แน่นอน เพียงแต่อาจจะใช้เวลา 5-10 ปีข้างหน้า เหตุผลสำคัญ ก็คือ ส่วนใหญ่เขาเป็นที่ 1 ในอเมริกา เขาไม่ได้มาหากินในจีน หรืออินเดีย เหมือนอย่างเรา”

“ถ้าแยกตามประเภทสินค้า เราเป็นแชมป์ลำดับต้นๆ ของ Feed กับ Farm แต่ Food เรายังอยู่ท้าย ยังสู้เนสท์เล่ ยูนิลีเวอร์ เจนเนอรัล มิลส์ ไม่ได้เลย ฝรั่งเขาไปไกล แต่การที่เรายังไปไม่ไกลก็เป็นโอกาสที่จะสร้างการเติบโตได้อีกเยอะ” ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารซีพีเอฟ สรุป

เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่มี นับจากวันนี้ เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนแบบมีนัยสำคัญ หลังการควบรวมกับ CPP และ CPV

ผมก้อเลยงงๆ ไม่รู้ว่าแล้วตกลง CPF เป็นหุ้นแบบเติบโต ถือลงทุนระยะยาวได้ หรือ เป็นหุ้นแบบโภคภัณฑ์ ที่นักลงทุนแนวviควรหลีกเลี่ยง ถือนานไม่ได้
ปล่อยให้เงินทำงาน...$$$
gripen
Verified User
โพสต์: 276
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ปูเสื่อรอ.....ท่านมาแคลงความสงสัยครับ
ปล่อยให้เงินทำงาน...$$$
pat4310
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 733
ผู้ติดตาม: 1

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 3

โพสต์

โดยตัวธุกิจเขาขายสินค้าโภคภัณฑ์
แต่ใช้กลยุทธ์ธุรกิจแบบเน้นการเติบโต(growth strategy)ครับ

ถ้ายอมรับความผันผวนซึ่งเป็นธรรมชาติของสินค้าโภคภัณฑ์ได้ และเชื่อมั่นว่า growth strategy ที่เขาโม้ให้ฟังทำให้มูลค่าหุ้นที่แท้จริงสูงกว่าราคาหุ้นในกระดานมากๆ คุ้มกับต้นทุนเงินทุนและความเสี่ยงก็ลงทุนครับ
ลงทุนหุ้นดี มีการเติบโต ราคาไม่แพง เดี๋ยวก็รวย
miracle
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 18398
ผู้ติดตาม: 75

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 4

โพสต์

"...ถอยหนึ่งก้าว เพื่อเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง..."

ทุกอย่างมีขึ้นและต้องมีลง เมื่อถึงเวลาของมัน
ใจเย็นๆละครับ

:)
:)
gripen
Verified User
โพสต์: 276
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 5

โพสต์

แล้วท่านอื่นๆเห็นว่าอย่างไรบ้างครับ.....
ปล่อยให้เงินทำงาน...$$$
panwasit
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 430
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ไม่รู้นะว่าถูกเปล่า

ผมมองว่า อาหารสำเร็จรูป ให้มาร์อจิ้นสูง และแข็งแรงกว่าอาหารสดมาก

ซึ่งไม่ว่า ราคาอาหารจะขึ้นหรือลง CPF ย่อมได้เปรียบ ทั้งใหญ่ แล้วกระจายทั่วโลก(มั้ง)

อย่างราคาไก่ขึ้น ก็ได้กำไรมาก ราคาไก่ลง ก็เอาไปทำอาหารปรุงสุก ก็ยังได้อีก

อีกอย่าง ตอนนี้ ไม่ได้หวังเรื่อง กำไรจาก อาหารสัตย์ อาหารสด

แต่ผมเชื่อว่า อาหารสำเร็จ จะเป็นตัวทำให้กำไรแข็งแรงได้ และมีแนวโน้มเติบโต

แต่ก็แล้วแต่นะครับ
ปล ความเห็นส่วนตัว
sorawitch
Verified User
โพสต์: 152
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 7

โพสต์

คิดว่าไม่ใช่หุ้นโตเร็ว แต่เข้าใจว่ามีอิทธิพลในธุรกิจการเกษตรมากจนสามารถใช้อิทธิพลเพื่อเือื้อต่อการทำธุรกิจ

ทำให้รายย่อยอยู่ยาก ผูกขาดสินค้าเกษตรได้ไม่ยากสำหรับประเทศไทย

ส่วนเรื่องครัวโลก ผมว่าต้องดูอีกนาน
เราจะรวยแร้วววววววววว
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 1

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 8

โพสต์

Business Model ของ CPF ในอดีตและปัจจุบันก็ต่างกันแล้วครับ

แล้วไปเอาคำสอนที่ไหนครับว่า VI ให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่เป็นโภคภัณฑ์ หรือ commodities.

หุ้นทุกตัวย่อมมีคุณค่าของตัวมันเอง จะ under or over แล้วแต่ละคนประเมินในเวลานั้น ๆ

ดังนั้นคุณ gripen ลองประเมินดูครับว่า CPF จะยังเติบโตในระยะนี้อีกสามหรือห้าปีข้างหน้าได้หรือไม่ และที่ราคานี้ยอมรับได้หรือเปล่ากับการลงทุน
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
ภาพประจำตัวสมาชิก
anubist
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1373
ผู้ติดตาม: 7

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ผมมองว่าgrowthจากการทำM&A จากการปรับเปลี่ยนระบบซัฟพลายเชนจากธุรกิจที่ซื้อมา จากการปรับรูปแบบการขายสินค้าจากfeed:farm:food@40:40:20นี่คืออัตราส่วนของบ.ในปัจจุบัน แต่ถ้าดูเฉพาะไทยจะเป็น40:30:30ซึ่งเป็นโมเดลที่จะใช้ไปทั่วโลก สัดส่วนที่เปลี่ยนไปแค่10%แต่รายได้เปลี่ยนมหาศาลและเปลี่ยนแบบยั่งยืน
-เวียดนามประชากรมากกว่าไทย เจริญน้อยกว่าไทยนิดหน่อย(ประมาณไทยปี2520-2530คือเจริญแค่เมืองใหญ่) สังคมกำลังเปลี่ยนเข้าสู่สังคมเมืองแต่ใช้เวลาเปลี่ยนผ่านน้อยกว่า
-จีนประชากร ทำนองเดียวกันครับ
แต่2ประเทศนี้อัตราการบริโภคเนื้อสัตว์เริ่มสูงกว่าไทยแล้วนะครับ

อนาคตอาจไปอเมริกาใต้ แอฟริกา(ได้ยินแว่วๆว่าไปรัสเซียแล้ว)
ทุนน้อยและหลุดดอยแล้ว เย้ๆ
gripen
Verified User
โพสต์: 276
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 10

โพสต์

สงสัยหุ้นตัวนี้อาจจะเป็นลูกผสมได้หรือปล่าวครับ อาจจะเป็นโภคภัณฑ์และเติบโตไปในตัว เพราะถ้าบริษัททำได้อย่างที่พูดจริง จะลดความเป็นโภคภัณฑ์ได้มากพอสมควร เพราะกำไรจะนิ่งและมีความเสถียรขึ้น
ปล่อยให้เงินทำงาน...$$$
miracle
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 18398
ผู้ติดตาม: 75

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 11

โพสต์

สิ่งที่ต้องหาคือ ร้าน CP fresh Mart นั้น สามารถครองใจคนมากแค่ไหน
เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต่อยอด ทำให้มี Margin เพิ่มขึ้น

ส่วนที่ต้องหาเพิ่มเติมคือ
ราคาอาหารสัตว์กำลังเพิ่มขึ้น บริษัทสามารถจัดการได้อย่างไง
แล้วเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน สามารถดำเนินการทำ Heading ป้องกันมากน้อยแค่ไหน

แล้วผลกระทบในเรื่องของกุ้งที่โดนตัด GSP จาก ยุโรปกระทบไม่มากมาย แต่ก็โดนทางอ้้อมหรือเปล่า

อีกส่วนคือ ความสำเร็จในการจัดตั้งปุศสัตว์ที่เมืองจีน สำเร็จแล้วหรือยัง เพราะ10 ปีกว่าแล้วที่ CP เข้าไปบุกทะลวงในปัจจุบันควรที่บอกได้ว่าสำเร็จหรือล้มเหลวแล้ว

ส่วนสุดท้าย คือ ถ้าให้ดี คือ M&A บริษัทลูกที่มีมากมาย ให้จัดกลุ่มใหม่
:)
:)
kraikria
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1175
ผู้ติดตาม: 4

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 12

โพสต์

หุ้นโภคภัณฑ์ที่โตเรื่อยๆถือเป็นหุ้นเติบโตด้วยมั้ยครับ?

ถ้าการที่มีผู้บริหารที่เก่ง บวกกับกลยุทธ์การแข่งขันที่แข็งแกร่ง ทำให้ธุรกิจโตได้เรื่อยๆจนลบจุดด้อยของพื้นฐานของสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีขึ้นลงเป็นวัฐจักรไปได้ไหม?

ส่วนตัวผมคิดว่า CPF เปลี่ยน Business Model ชัดเจนครับ โดยหันมาเน้นเรื่อง Food อย่างจริงจังมากกว่าธุรกิจ Feed และ Farm ที่มีความเป็นสินค้าโภคภัณฑ์สูง การที่มาเน้นเรื่อง Food มีจุดเด่นตรงที่พฤติกรรมผู้บริโภคสมัยใหม่เริ่มเน้นอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น ประกอบกับ CPF เองก็พยายามคิดนวัตกรรมใหม่ในการผลิตอาหารให้ตรงตามความต้องการกับพฤติกรรมดังกล่าว เสริมกับความแข็งแกร่งในตลาดค้าปลีกที่สามารถกระจายสินค้าได้ทั่วถึงเข้าไปอีก (อันนี้คิดเฉพาะเมืองไทย) ยิ่งทำให้ธุรกิจอาหารโตเร็วมาก

ผมคิดว่าอุตสาหกรรมอาหารจะเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ไม่น่าแปลกใจที่ CPF จะยังโตได้อีก

ปล. ไม่เกี่ยวกับราคาหุ้นนะครับ ไม่ขอวิจารณ์ว่าถูกหรือแพง
ไม่ควรลงทุนอะไร ถ้าไม่รู้สึกสบายใจในสิ่งนั้น
yoko
Verified User
โพสต์: 4395
ผู้ติดตาม: 8

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 13

โพสต์

จากอดีตเขาเติบโตมาก สามบาทเป็นสามสิบกว่าบาท
สู่อนาคตเขาจะทำได้ดีหรือแย่กว่าเดิม?
poody
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 184
ผู้ติดตาม: 4

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 14

โพสต์

รอผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
[v]
Verified User
โพสต์: 1402
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 15

โพสต์

อ่านบทความของ ดร.นิเวศน์รึยังครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
siebelize
Verified User
โพสต์: 451
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 16

โพสต์

บริษัท CPF ถือเป็นหุ้นเติบโตหรือหุ้นโภคภัณฑ์


ใช้ Criteria อะไรในการจัดกลุ่มหรือครับ

แล้ว Criteria นั้นจะเหมือนกันทุกคนมั้ยครับ

แล้ว Criteria นั้นจะเปลี่ยนแปลงได้มั้ยครับ


ชักเริ่มสงสัยและสับสน.....ตัวเอง...... เหมือนกัน :B
ภาพประจำตัวสมาชิก
Saran
Verified User
โพสต์: 2377
ผู้ติดตาม: 4

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 17

โพสต์

รายได้ของ CPF มีสัดส่วนรายได้จากอาหารสัตว์ 40% ฟาร์ม 40% อาหารคน 20%
อนาคตบริษัทเน้นให้ความสำคัญกับธุรกิจอาหารสัตว์ กับอาหารคนมากขึ้น เนื่องจากมาร์จินสูงกว่า ควบคุมต้นทุนต่างๆได้ง่ายกว่า

ส่วนธุรกิจฟาร์มเป็นธุรกิจที่ลงทุนสูง(เลี้ยงจนกว่าจะขายได้)และขาดทุนหนักหายเกิดความเสียหายยกฟาร์ม เลยให้เกษตรกรเป็นคนทำ
แทนโดยบริษัทจะให้ความรู้ด้านการวางระบบ งานวิจัยต่างๆ รวมถึงการรับประกันราคารับซื้อ (ความเสี่ยงของเกษตรกรจะเหลืออยู่แค่
ต้นทุนเงินลงทุน กับความใส่ใจในการเลี้ยงจนกว่าจะขายได้)
หากมองจากห่วงโซ่ของธุรกิจแล้ว คงจะบอกได้ว่าใครเป็นคนที่ได้เค้กก้อนใหญ่สุดไปนะครับ

ส่วนการเติบโตนอกประเทศ
- ในประเทศกำลังพัฒนา ลงทุนตั้งโรงงานที่นั่น ธุรกิจ Food เน้นขายภายใต้แบรนด์ของตัวเอง
- ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เน้นธุรกิจ food พยายามซื้อแบรนด์อันดับต้นๆของประเทศนั้นๆในการขยายตลาด ไม่เน้นตั้งโรงงานผลิต

แน่นอนว่า cpf อาจเป็นหุ้นกลุ่ม commodity แต่เป็นแบบ light commodity ทำให้ความผันผวนมันน้อยกว่ากลุ่มพวก hard commodity ครับ
และบริษัทยังอยู่ในช่วงของการเติบโตอยู่ด้วย

ส่วนการจะลงทุนแบบถือสั้นหรือยาว มันอยู่ที่กลยุทธ์การลงทุนของแต่ละคนมากกว่าครับ
gripen
Verified User
โพสต์: 276
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 18

โพสต์

siebelize เขียน:
บริษัท CPF ถือเป็นหุ้นเติบโตหรือหุ้นโภคภัณฑ์


ใช้ Criteria อะไรในการจัดกลุ่มหรือครับ

แล้ว Criteria นั้นจะเหมือนกันทุกคนมั้ยครับ

แล้ว Criteria นั้นจะเปลี่ยนแปลงได้มั้ยครับ


ชักเริ่มสงสัยและสับสน.....ตัวเอง...... เหมือนกัน :B
อาการเดียวกับผมเลยครับ แต่ตอนนี้พอจะกระจ่างบ้างแล้วครับ ต้องขอบคุณพี่ๆแต่ละท่านที่ช่วยกันเข้ามาตอบน่ะครับ แล้วมีท่านอื่นๆแนะนำอีกบ้างไหมครับ ขอบคุณล่วงหน้าน่ะครับ
ปล่อยให้เงินทำงาน...$$$
ภาพประจำตัวสมาชิก
vim
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2770
ผู้ติดตาม: 25

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 19

โพสต์

Peter Lynch ที่เป็นหนึ่งในนักลงทุนเชิงคุณค่า ที่มีชื่อเสียงก็ลงทุนในบริษัทโภคภัณฑ์ เช่นธุรกิจยานยนต์

บริษัทโภคภัณฑ์ทุกๆบริษัทเองก็มีการเจริญเติบโตได้ แต่ที่ต้องเฝ้าระวังคืองบกำไร-ขาดทุนของแต่ละไตรมาสหรือแต่ละปีจะขึ้นอยู่กับราคาสินค้าตลอดจนถึง supply-demand ของสินค้านั้น ดังนั้นหากดูเพียงแค่งบกำไรขาดทุนแล้ว หากดูเผินๆอาจคิดว่าบริษัทมีการเติบโตสูงทั้งๆที่จริงๆแล้วกำไรส่วนนั้นอาจมาจากการที่ราคาสินค้าสูงขึ้นมาก หรือได้กำไรจากสต็อกสินค้า ซึ่งกำไรสองส่วนนี้ไม่ใช่กำไรที่ยั่งยืน

ถ้าเข้าใจถึงความผันผวนของราคาสินค้าและกำไร-ขาดทุนแล้ว การลงทุนในบริษัทจำพวกนี้โดยคำนึงถึงมูลค่าที่แท้จริงก็น่าจะสามารถจัดอยู่ในการลงทุนเชิงคุณค่าได้

CPF ในภายหลังกระทบจากความผันผวนของสินค้าโภคภัณฑ์น้อยลงมาก ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะการกระจายการลงทุนใน Food มากขึ้น ซึ่งกำไรขาดทุนจะชดเชยกับส่วนของ Feed และ Farm (เช่น ราคาไก่ตกทำให้กำไรของ Farm ลด แต่กลับส่งผลดีทำให้ต้นทุนของ Food ลดลง) ทว่าการเพิ่มสัดส่วน Food ก็ต้องระวังว่าอาจจะเกิดความเสี่ยงของหรือปัญหาทางอื่น เช่นประสิทธิภาพของธุรกิจใหม่ในหมวด Food ประสิทธิภาพของช่องทางการจำหน่ายอย่าง CP Fresh Mart รวมถึงความหลากหลายของสินค้าใน CP Food Market เป็นต้น
Vi IMrovised
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ii'8N
Verified User
โพสต์: 3682
ผู้ติดตาม: 7

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 20

โพสต์

มี paper เกี่ยวกับการ valuation หุ้น commo และ cyclical มาฝาก
ซึ่งเราส่วนใหญ่มักรู้จักหุ้นสองแบบกันดี (บางคนอาจเคยเจอฤทธิ์จนเข็ดมาแล้วก็ได้ :mrgreen: ) และ professor ก็เกริ่นนำไว้เหมือนกัน ว่าหุ้น commo และ cyclical มีลักษณะร่วมเหมือนกันคือ การขึ้นลงของราคาและการทำกำไรของกิจการเอาแน่ไม่ได้ ไปตาม macro


download มาตั้งแต่ปี 2009 (แป๊บเดียว 3 ปีเข้าไปแล้ว) อ่านมาหลายรอบ แต่ว่าการ valuation จะช่วยให้ประเมินมูลค่าแม่นยำขนาดไหน ยังไงก็เป็นการ "พยากรณ์" เรื่องของอนาคตที่ไม่แน่นอนจากตัวเลขอดีต ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี ว่าลักษณะแบบ "ผีเข้าผีออก" ของกิจการมันแบบนี้ เอาเข้าจริงจะเชื่อได้แค่ไหน ถ้าคำว่า "Cyclic" มันวนกับมาเป็น คาบ" ที่แน่นอน เป็น "Cycle" จริง เหมือนคลื่นไฟฟ้า คงหวานหมู VI เป็นแน่แท้ แต่ชีวิตจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น
!Aswath_Damodaran Ups and Downs Valuing Cyclical and Commodity Companies.zip
(573.37 KiB) ดาวน์โหลด 452 ครั้ง
(อันนี้เป็น paper ที่ไม่ได้ทำขาย ไม่ใช่หนังสือ หน้าตาอาจจึงดูทื่อๆ ไม่มีรูปแบบสวยๆ ตัวหนังสือสวยๆ
แต่ก็เชื่อว่า เรามองแบบบัญชี คือ "เนื้อหาสำคัญกว่ารูปแบบ")

ใครลองใช้แล้วประสบความสำเร็จเอามาเล่าต่อบ้าง




เอกสารข้างบน เป็นของ professor ชื่อดังด้าน valuation แห่ง stern มหา'ลัย top การเงินอยู่แถว wall street คนที่เขียน little book . valuation
http://www.amazon.com/Little-Book-Valua ... 1118004779
รูปภาพ

แวะไปดูเอกสารอื่นๆ ได้ที่ http://pages.stern.nyu.edu/~adamodar/
yakjabon
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 314
ผู้ติดตาม: 2

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 21

โพสต์

คิดแบบคนง่ายๆนะครับ .. อาหารพื้นฐานผลิตเท่าไหร่ก็ไม่พอ-ประชากรโลกก็เพิ่มขึ้น, อาหารไทย/เอเชียเป็นอาหารนิยมทั่วโลก, ช่องทางการจัดจำหน่าย/ลูกค้าเป็นเจ้าของ บริหารเอง และตัวธุรกิจช่องทางการจัดจำหน่ายก็พัฒนาและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ, tactic การ M&A ก็ไม่ต่างประสบการณ์เดิมที่เคยใช้กับ CPALL, บอร์ดกรรมการมีประสบการณ์ยาวนานและหลากหลายในธุรกิจที่เกื้อหนุนกัน, trend ในการต่อยอดธุรกิจอาหาร (อันนี้เหมือนกับที่หลายๆคนพูดแล้ว), market share ขนาดใหญ่, แหล่งผลิตอยู่ในพื้นที่เดียวกับแหล่งบริโภค (ไม่กระจุกความเสี่ยงไว้กับที่ใดที่หนึ่ง เช่น น้ำท่วมต้องปิดโรงงาน) ...

คร่าวๆ ไม่รวมวิเคราะห์งบการเงินตามแต่ละคนคิด ... ตามนั้น
Invincible MOS is knowing what you're doing
yakjabon
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 314
ผู้ติดตาม: 2

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 22

โพสต์

อีกอย่างธุรกิจอะไรที่มี brand .. ผมชอบครับ ^^ .. ถ้ามี secret sauce แต่คนทั่วไปจำไม่ได้ว่าของใคร สักวันก็จะมีคนอื่นเอาไปครับ
Invincible MOS is knowing what you're doing
ภาพประจำตัวสมาชิก
getkung
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 286
ผู้ติดตาม: 4

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 23

โพสต์

สองคนยลตามช่องครับ ข้อมูลเหมือนกันแต่มองต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะมนุษย์เป็นผู้ลงทุนไม่ใช่คอมพิวเตอร์
ซักวันหนึ่ง port จะโต๊ port จะโต
ภาพประจำตัวสมาชิก
siebelize
Verified User
โพสต์: 451
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 24

โพสต์

getkung เขียน:สองคนยลตามช่องครับ ข้อมูลเหมือนกันแต่มองต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะมนุษย์เป็นผู้ลงทุนไม่ใช่คอมพิวเตอร์
แม่นนนน


จริงๆแล้วจะจัดกลุ่มแบบไหน แล้วก็ต้องมีการ เฝ้าดู นิสัยมันด้วย ว่าประพฤติอยู่ในกลุ่มที่เราคิดไว้ตอนแรกรึเปล่า

ถ้าเปลี่ยนไปแล้วก็ ย้ายกลุ่ม

พวกที่เจ็บหนักที่สุดคือ ลงทุนแล้วหลอกตัวเองว่าหุ้นมันจะประพฤติตัวตามใจเราไปตลอดแหละครับ



แต่ผมแนะนำให้ หา Criterias ทางปริมาณให้ได้เยอะที่สุดแล้ว ใช้คอมช่วยในการตัดสินใจนะครับ
netirut
Verified User
โพสต์: 150
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 25

โพสต์

แมวสีไหนๆ ถ้ามันจับหนูได้ ก็ถือว่าเป็นแมวที่ดี

หุ้นแบบไหนๆ ถ้าระยะยาวมันเติบโตได้ ก็ถือว่ามันเป็นหุ้นเติบโตเช่นกัน
gripen
Verified User
โพสต์: 276
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 26

โพสต์

netirut เขียน:แมวสีไหนๆ ถ้ามันจับหนูได้ ก็ถือว่าเป็นแมวที่ดี

หุ้นแบบไหนๆ ถ้าระยะยาวมันเติบโตได้ ก็ถือว่ามันเป็นหุ้นเติบโตเช่นกัน
ประโยคนี้คุ้นๆน่ะครับ เหมือนท่านเจ้าสัวธนินท์พูดบ่อยๆ ขอบคุณทุกๆความคิดเห็นน่ะครับ
ปล่อยให้เงินทำงาน...$$$
gripen
Verified User
โพสต์: 276
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 27

โพสต์

[v] เขียน:อ่านบทความของ ดร.นิเวศน์รึยังครับ
ไม่ทราบว่าเรื่องอะไรครับที่ ดร.เขียน
ปล่อยให้เงินทำงาน...$$$
netirut
Verified User
โพสต์: 150
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 28

โพสต์

gripen เขียน:
netirut เขียน:แมวสีไหนๆ ถ้ามันจับหนูได้ ก็ถือว่าเป็นแมวที่ดี

หุ้นแบบไหนๆ ถ้าระยะยาวมันเติบโตได้ ก็ถือว่ามันเป็นหุ้นเติบโตเช่นกัน
ประโยคนี้คุ้นๆน่ะครับ เหมือนท่านเจ้าสัวธนินท์พูดบ่อยๆ ขอบคุณทุกๆความคิดเห็นน่ะครับ

จริงๆเป็นคำพูดของท่านประธานเหม๋าครับ เจ้าสัวก็คงยืมมาพูดเช่นกัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
อ่อนซ่อนศิลป์
Verified User
โพสต์: 274
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 29

โพสต์

netirut เขียน:
gripen เขียน:
netirut เขียน:แมวสีไหนๆ ถ้ามันจับหนูได้ ก็ถือว่าเป็นแมวที่ดี

หุ้นแบบไหนๆ ถ้าระยะยาวมันเติบโตได้ ก็ถือว่ามันเป็นหุ้นเติบโตเช่นกัน
ประโยคนี้คุ้นๆน่ะครับ เหมือนท่านเจ้าสัวธนินท์พูดบ่อยๆ ขอบคุณทุกๆความคิดเห็นน่ะครับ

จริงๆเป็นคำพูดของท่านประธานเหม๋าครับ เจ้าสัวก็คงยืมมาพูดเช่นกัน
นอกประเด็น คุ้นๆ เคยฟังผู้รู้ บอกว่าเป็น wording ของเติ้งเสี่ยวผิง นะครับ
ส่วนตัวคิดว่ากลุ่ม agro นั้นกึ่ง commodity เพราะต้นทุนที่สำคัญของ บ ส่วนใหญ่ขึ้นลงตาม demand supply เป็นหลัก ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง ปลาป่น และมันสำมปะหลัง และการกำหนดราคาของสินค้าก็ปรับขึ้นได้ยากในการส่งต้นทุนผ่านไปยัง ผบภ

แต่ บ ก็ยังใช้แผนเติบโตหลักด้วยวิธีการ เข้าซื้อกิจการ ใน ตปท ครับ
เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาคือของจริง
gripen
Verified User
โพสต์: 276
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชักเริ่มสงสัยและสับสน......

โพสต์ที่ 30

โพสต์

ขอพูดเรื่องราคานิดนึงน่ะครับ ว่าตอนนี้ดูไม่จีดจริงๆครับ เล่ะ......
ปล่อยให้เงินทำงาน...$$$
โพสต์โพสต์