หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: เสาร์ มี.ค. 24, 2012 9:51 pm
โดย zephyr
ตั้งแต่ผมเริ่มลงทุนมาเมื่อปี 2004 ผมก็อ่านหนังสือในแนว VI มาตลอด
เริ่มจากของ ดร. และของคนอื่นๆ มาตลอด รวมถึงในเว็บนี้ด้วย

และผมก็เห็นหลายๆท่านทราบว่าเวลาที่จะซื้อหุ้นนั้น มี MOS เท่าไร

แต่ผมขอสารภาพว่า ตั้งแต่เริ่มลงทุนจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ผมไม่เคยทราบเลยว่าหุ้นที่ผมซื้อมี MOS หรือไม่

PTT เป็นตัวแรกที่ผมซื้อและได้ capital gain มาบ้าง แต่ก็แค่คิดว่ายังไง PTT มันก็โต เลยซื้อ
SCC ถือมาอยู่ปีกว่าก็ขายไปที่ราคาเดิม ได้แต่ปันผล ในใจลึกๆก็นึกเหมือนกันว่าไม่จะโตไปกว่านี้ยากนะ
CPALL ซื้อตั้งแต่ยังเป็น CP7-11 ถือยาวมาก ก็ไม่คิดว่ามี MoS แต่คิดว่ามันน่าจะโตและราคามา unlock ตอนขาย Lotus ที่จีนและผมก็ขายหมูไปแล้วเมื่อปีที่แล้ว เพราะคิดว่า PE มันสูงมากไปเมื่อเทียบกับ Growth
Hmpro ก็ซื้อนานมาก ถือไป 2-3 ปีแรกนี่แทบไม่มี capital gain และก็ขายไปปีที่แล้วเหมือนกัน ตอนซื้อก็ไม่รู้ว่ามี MOS เท่าไร เพราะเคยลองคิด DCF ก็เหมือนไม่มี MoS แต่ที่ซื้อเพราะว่ามันจะเปิดสาขาไปเรื่อยๆ น่าจะโต ที่ขายเพราะหุ้นมันไดลูทกำไรเหลือเกิน แจกหุ้นปันผลเยอะจน PE สูงเชียว

บางช่วงก็โลภไปซื้อบริษัทที่เป็น cycle ผลปรากฎว่าเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะไม่ได้ตามราคา commodities เลยกลับมาเล่นสายหลักคือธุรกิจที่น่าจะมี growth แบบคาดการได้

Makro กับ PTTEP ที่เคยซื้อก็เพราะราคามันตกลงไปมากตอนวิกฤต subprime เลยได้ gain มาตัวละเด้ง ตอนปีก่อนโน้น แต่ก็ขายไปแล้ว เพราะ PTTEP ราคามันเริ่มขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันแล้ว ส่วน Makro ก็ขายหมูไปเพราะคิดว่าไม่น่าจะโตเร็ว ที่ไหนได้ถ้าถือไว้ปีนี้จะได้อีก 2 เด้ง 555

แม้กระทั่งปัจจุบัน ผมก็ไม่เคยรู้เลยว่าหุ้นที่ผมซื้อมันมี MOS เท่าไร พูดง่ายๆคิดว่าตัวเองไม่เคยซื้อหุ้นราคาถูกเลย แต่เน้นมองภาพในอนาคตมากกว่าว่าบริษัทจะมี growth หรือไม่


ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็แค่บ่นๆนะครับ เพียงแต่ผมก็คิดว่าแค่การหาหุ้นที่มี MOS เนี่ยผมยังหาไม่เป็นเลย มันเลยทำให้ไม่สามารถตีแตกได้ กำไรที่ได้เลยไม่ค่อยเป็นกอบเป็นกำครับ

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 1:15 am
โดย sakkaphan
ขอบคุณที่จุดประเด็นครับ

ว่าแต่ว่า ผมกำลัง งง กับคำว่า"เพียงแต่ผมก็คิดว่าแค่การหาหุ้นที่มี MOS เนี่ยผมยังหาไม่เป็นเลย มันเลยทำให้ไม่สามารถตีแตกได้ กำไรที่ได้เลยไม่ค่อยเป็นกอบเป็นกำครับ"

คือ คุณzephyr คิดว่า การหาmos ไม่ได้จะทำให้ตีแตกไม่ได้?? ฟังแล้วก็งงนิดนึงว่า คำว่า mos เนี่ย definition ของคุณ คืออะไรเหรอครับ

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 1:27 am
โดย nut776
คุณคือลูกผู้ชายตัวจริง

ผมล่ะเบื่อมาก เอะอะ ก็ mos
บางทีกลายเป็นคำพูดโก้ๆ
ผมไม่เคยพูดเลย
เพราะ ถ้ายังหา fair price ไม่ได้ mos ไม่เกิดแน่นอน
ต่อให้หาได้จะชัวร์ได้อย่างไร
ปัจจุบัน ผมเลย มองdownside เป็นหลัก
แล้วค่อยพยายามหา risk vs reward

บางทีถ้าผมเก่งกว่านี้ สักวันผมอาจจะเปลี่ยนคำพูด หรือตรรกะคิดใหม่ได้

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 1:30 am
โดย nighthawks
ผมว่า MOS มันขึ้นอยู่กับ หุ้นแต่ละประเภทด้วยนะครับ
ในความคิดของผม ยิ่งหุ้นที่ มีปัจจัยที่คาดเดาได้ยากมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องมี MOS สูงครับ
เช่นถ้าหุ้นที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือ บ.ที่สินค้าคาดเดา demand supply ได้ลำบาก, กำไรผันผวนสูง
แบบนี้เราอาจจะต้องให้ MOS กับมันมากๆหน่อย

แต่ถ้าหุ้นที่ชัดเจนขึ้นมา เช่น ขายของที่ทุกคนต้องกินต้องใช้ market share โตเรื่อยๆ หรือโมเดลธุรกิจชนะคู่แข่งขาดลอย อย่างเช่น 7-11 แบบนี้ เราอาจจะตั้ง MOS ให้มันมากๆ ไม่ได้ (ถึงได้ มันก็มักจะไม่ค่อยลงมาให้ซื้อซักเท่าไหร่)

DCF ผมทำของทั้ง Hmpro และ Makro มา ก็ไม่เคยเห็นราคาที่มี MOS เกิน 10% ขายกันอยู่เลยครับ - -
ปล. เพิ่งมาทำ ช่วงปีสองปีที่ผ่านมานะครับ

(หรือผมจะประมาณว่ามันโตน้อยไปนะ :( )

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 1:35 am
โดย Skyforever
จากประโยคของ Buffett ด้านล่าง คิดว่าตอนที่ Buffett ซื้อที่ Fair price มี MOS แค่ไหนครับ
It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price.
Warren Buffett
MOS ของหลายๆคนอาจจะหมายถึงการที่ราคาหุ้นในปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี หรือราคาหุ้นปัจจุบันมูลค่าต่ำกว่าเงินสดของบริษัท หรือราคาหุ้นปัจจุบันต่ำกว่าการคำนวณมูลค่าจาก P/E หรือ DCF ในปัจจุบัน
Graham’s margin of safety is the difference between a stock’s price and its intrinsic value
แต่สำหรับผมแล้ว MOS ยังหมายถึงว่าราคาหุ้นในปัจจุบันยังต่ำกว่ามูลค่าในอนาคตด้วย บริษัทที่มีความแน่นอนสูงว่าอนาคตจะเติบโตขึ้นแน่นอนในระยะยาวย่อมสร้างความมั่นใจให้เราได้ว่าถึงแม้วันนี้เราจะซื้อไม่ถูก แต่ราคานี้ในอนาคตย่อมถูกแน่นอน อาจจะอีก 1 ปี 3 ปี 5 ปี 10 ปี หรือมากกว่านั้น ซึ่งความแน่นอนของการเติบโตในระยะยาวเป็น MOS ที่สำคัญที่สุดสำหรับผม และเวลาจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับผมอีกด้วย :D
Time is the friend of the wonderful company, the enemy of the mediocre.
Warren Buffett
If a business does well, the stock eventually follows.
Warren Buffett

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 2:09 am
โดย nighthawks
Skyforever เขียน:จากประโยคของ Buffett ด้านล่าง คิดว่าตอนที่ Buffett ซื้อที่ Fair price มี MOS แค่ไหนครับ
It's far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price.
Warren Buffett
MOS ของหลายๆคนอาจจะหมายถึงการที่ราคาหุ้นในปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี หรือราคาหุ้นปัจจุบันมูลค่าต่ำกว่าเงินสดของบริษัท หรือราคาหุ้นปัจจุบันต่ำกว่าการคำนวณมูลค่าจาก P/E หรือ DCF ในปัจจุบัน
Graham’s margin of safety is the difference between a stock’s price and its intrinsic value
แต่สำหรับผมแล้ว MOS ยังหมายถึงว่าราคาหุ้นในปัจจุบันยังต่ำกว่ามูลค่าในอนาคตด้วย บริษัทที่มีความแน่นอนสูงว่าอนาคตจะเติบโตขึ้นแน่นอนในระยะยาวย่อมสร้างความมั่นใจให้เราได้ว่าถึงแม้วันนี้เราจะซื้อไม่ถูก แต่ราคานี้ในอนาคตย่อมถูกแน่นอน อาจจะอีก 1 ปี 3 ปี 5 ปี 10 ปี หรือมากกว่านั้น ซึ่งความแน่นอนของการเติบโตในระยะยาวเป็น MOS ที่สำคัญที่สุดสำหรับผม และเวลาจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับผมอีกด้วย :D
Time is the friend of the wonderful company, the enemy of the mediocre.
Warren Buffett
If a business does well, the stock eventually follows.
Warren Buffett
เอาจริงๆ เวลาคิด DCF มันก็คือ เอามูลค่า ใน อนาคตมา discount นะครับ
ตามที่ผมเข้าใจ MOS สำหรับ DCF มันเป็นส่วนเผื่อความปลอดภัยสำหรับ ความไม่แน่นอน ของ earning ที่จะโตขึ้นๆไปในอนาคต ระยะยาวที่เรา discount มาอะครับ

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 7:57 am
โดย Skyforever
nviorst เขียน:เอาจริงๆ เวลาคิด DCF มันก็คือ เอามูลค่า ใน อนาคตมา discount นะครับ
ตามที่ผมเข้าใจ MOS สำหรับ DCF มันเป็นส่วนเผื่อความปลอดภัยสำหรับ ความไม่แน่นอน ของ earning ที่จะโตขึ้นๆไปในอนาคต ระยะยาวที่เรา discount มาอะครับ
มีบริษัทอยู่ 3 บริษัท
บริษัท A คิดว่าอนาคตเติบโต 20% แต่มีความแน่นอนการเติบโตเพียง 50%
บริษัท B คิดว่าอนาคตเติบโต 20% แต่มีความแน่นอนการเติบโต 70%
บริษัท C คิดว่าอนาคตเติบโต 20% แต่มีความแน่นอนการเติบโต 90%

หากทุกบริษัทมีต้นทุนของเงินทุนเท่าๆกัน หากเราให้การเติบโตเท่าๆกัน เราอาจจะคำนวณ DCF ออกมาได้ค่าใกล้เคียงกัน หากคำนวณ DCF ได้ราคาที่ 10 บาท การซื้อบริษัท C ที่ราคา 10 หรือ 11 บาท ย่อมปลอดภัยกว่าการซื้อบริษัท A ที่ราคา 7 บาทครับ

การคำนวณ DCF เป็นศาสตร์ แต่การพิจารณาว่าธุรกิจมีความแน่นอนของการเติบโตมากน้อยเพียงไรเป็นศิลป์ ต่างคนต่างมุมมอง ขึ้นอยู่กับว่าเราเข้าใจธุรกิจนั้นๆถูกต้องแค่ไหนครับ

สิ่งที่ผมจะบอกคือ การมองปัจจัยคุณภาพนั้นสำคัญ ความแน่นอนของธุรกิจนั้นสำคัญกว่าการแค่ดูว่าราคาหุ้นปัจจุบันต่ำกว่าราคาที่คำนวณได้มากน้อยแค่ไหนครับ

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 8:06 am
โดย picatos
ในมุมมองผม MOS คือ เวลาที่กิจการไม่เป็นอย่างที่คิด เวลาที่เลวร้าย เรายังทีเบาะรองรับอะไรเหลืออยู่บ้าง

ดังนั้น MOS ผมจะไม่ค่อยคิดว่าอนาคตจะโตได้เท่าไหร่ แต่จะดูว่าสิ่งที่อดีตกับปัจจุบันทำได้ และคิดว่าจะทำได้ชัวร์ๆ ในอนาคตทำได้เท่าไหร่ มาคิด MOS

สำหรับผม หุ้นที่ไม่มี MOS นี่ซื้อได้ครับ ถ้ายังมี upside แต่ผมจะซื้อในเชิงเก็งกำไรซะมากกว่า จะไม่ซื้อลงทุน และไม่กล้าซื้อในสัดส่วนเยอะๆ

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 9:24 am
โดย harikung
สำหรับผม mosของผมคือผลตอบแทนที่ผมคาดหวังครับ พูดง่ายๆก็คือupsideนั่นแหล่ะ โดยผมจะลองทำการประมาณกำไรคร่าวๆว่าอีก3-5ปีกำไรน่าจะเติบโตเป็นเท่า โดยเวลาประมาณการผมก็จะประมาณแบบconservative(เพื่อเป็นmosอีกชั้นหนึ่ง) เช่น ถ้าผบห.หรือโบรคให้บริษัทเติบโตปีละ15% ผมก็จะใช้สัก10-12% แบบนี้เป็นต้น

ปล.peผมก็ใช้แบบconservativeนะครับ ผมเน้นความปลอดภัยของเงินต้นเป็นหลัก ซึ่งผมเชื่อว่าผมลงทุนแบบนี้ผมแพ้ยากครับ

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 10:14 am
โดย Tibular
ถ้าเรารู้ว่า "มูลค่าของธุรกิจ" คืออะไร

สำหรับในตลาดหุ้น
ราคาหุ้นในตลาด ก็คือสิ่งที่สะท้อนมูลค่าของธุรกิจ
ณ.มุมมองขณะนั้นๆ ของนักลงทุน นั่นคือนักลงทุนในตลาดหุ้น
เป็นผู้กำหนดราคาหุ้น หลังจากราคา IPO (ซึ่งก็เป็นราคาที่กำหนด
โดย FA และเจ้าของบริษัท รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ)

หน้าที่ของนักลงทุนในตลาดหุ้น คือดูว่าราคาที่กำหนดมานั้น
เหมาะสมกับมูลค่าของธุรกิจนั้นๆหรือไม่ และมันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
ได้อีกไหม ผลตอบแทนของธุรกิจนั้นๆเป็นอย่างไร

เราต้องแบ่งแยกให้ออกถ้าเราเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น
ว่าผลตอบแทนของเรา และความมั่งคั่งของเราจะมาจากสองส่วน

คือ

ผลตอบแทนจากตัวบริษัทที่เราถือหุ้น และผลตอบแทนในราคาหุ้นจากตลาด
ซึ่งทั้งสองส่วนมีความสัมพันธ์กัน ถ้าเราเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น

สำหรับนักลงทุนนอกตลาด หรือเป็นเจ้าของ หรือผู้ร่วมลงทุน ผลตอบแทนเค้า
จะมีเพียงส่วนที่ได้จากบริษัท ไม่ว่าการแบ่งกำไรกัน อำนาจในการบริหาร
ตำแหน่งหน้าที่ ฐานะทางสังคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้น ที่ลงทุน
ในตลาดหุ้นอย่างเดียวเป็นอาชีพนั้นไม่มี

เพราะฉะนั้น สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นอย่างเดียว อย่าหลงว่าซื้อหุ้นแล้วจะมีความเป็นเจ้าของธุรกิจ
นอกจากเสียแต่ว่า คุณซื้อหุ้นมากจนสามารถเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สามารถเข้าไปนั่งบริหาร หรือมีส่วนร่วม
ในการบริหารงาน

คุณที่อยู่วงนอก ผลตอบแทนคุณมาจากสองส่วน และไม่ได้มีอำนาจอะไรเป็นพิเศษ
ถึงจะมีสิทธิตามกฏหมาย แต่โดยพฤตินัยแล้วไม่สามารถทำอะไรได้มากมาย
แม้คุณจะไปพูดเป็นสาระมากมาย ในการประชุมผู้ถือหุ้น มีความรู้มากมาย
ผู้บริหารอาจจะไม่ได้ฟังคุณเลยก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นอย่าหลงจนเกินไป

เกมของนักลงทุนวงนอก จึงเป็นอีกแบบ นั่นคือ เราต้องให้ความสนใจถึงข้อมูลของบริษัท การเติบโต การลงทุน การเงิน
ธรรมภิบาลของผู้บริหาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะทำให้เราประเมินมูลค่าของธุรกิจนั้นๆได้ โดยความสำคัญของ
ข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผย และไม่เปิดเผย (อันนี้ก็แล้วแต่ว่าได้มาอย่างถูกต้องไหม) เราจะต้องติดตาม ใส่ใจ
ซึ่งปัจจุบันนี้ ได้รับความเอาใจใส่โดย กลต. และทางตลาดหลักทรัพย์ รัฐบาล อย่างมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากๆ
ถ้าบริษัทที่เราลงทุนเติบโต มีปันผลมากขึ้น อันนี้เป็นผลตอบแทนอย่างเดียวที่เราได้รับจากบริษัท
สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้น (วงนอก) และเป็นผลตอบแทนส่วนแรก

ผลตอบแทนส่วนที่สองจะสะท้อนออกมาในรูปของราคาหุ้นในตลาดหุ้น
นักลงทุนในตลาดหุ้น ใช้ประโยชน์จากราคาในตลาดหุ้น การซื้อหรือขาย ก็เพื่อผลตอบแทน
ที่เหมาะสมกับความเสี่ยง

เพื่อการนี้จึงจำเป็นต้องสามารถประเมิน "มูลค่าของธุรกิจ" ได้อย่างเหมาะสม
และเพื่อความปลอดภัยจากการแกว่งตัว หรือวิเคราะห์ผิดพลาด เราจะเผื่อส่วนต่าง
เพื่อความปลอดภัย หรือ MoS ที่เหมาะสมไว้อีกชั้นนึงอีกด้วย ส่วนต่างเพื่อความปลอดภัยนี้
ในความหมายเดิมแรกสุด จะเป็นความแตกต่าง ของราคาหุ้น กับมูลค่าของบริษัท
แต่ถึงเราเผื่อ MoS ไว้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะปลอดภัยจากการแกว่งตัวของราคาหุ้น
ได้ เพราะบางทีราคาหุ้นอาจต่ำกว่าราคาที่เราซื้ออย่างมากมายได้เสมอ ไม่มีใครรับประกัน
ว่าถ้าเรามี MoS ไว้ไม่ว่าจะเท่าไหร่ 10-20-50% ก็ใช่ว่าจะรอดจากการตกต่ำของตลาด
ในช่วงตลาดหมี ซึ่งกินระยะเวลาเท่าไหร่นั้น บอกได้ยาก

ระหว่างนั้น ผลตอบแทนของนักลงทุนในตลาดหุ้น จะมาจากเงินปันผลของกิจการเพียงอย่างเดียว
ซึ่งอันตรายมากสำหรับ นักลงทุนในตลาดหุ้น ที่ทำเป็นอาชีพ นอกเสียจากว่าเค้าจะมีบริษัทที่ดี
และไม่ตกต่ำ มีเงินสดเพียงพอ ที่จะจ่ายปันผลให้เค้า และมีหุ้นจำนวนมากพอ เพื่อได้เงินปันผลที่มากพอ
และเค้ามีเงินสำรอง เป็นค่าใช้จ่ายได้ไม่ต่ำกว่า 3 ปี

เราต้องระวังคำพูดที่ว่า "ผมซื้อบริษัท ไม่ใช่ซื้อหุ้น ตลาดจะปิดไป 3-5 ปีก็ไม่เดือนร้อน" อันนี้อันตราย
ถ้าผู้พูดทำงานอย่างอื่นด้วยเค้าย่อมพูดได้ หรือเค้าเป็นนักลงทุนที่มีความมั่งคั่งอยู่แล้ว แต่ถ้า
เป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นที่ ลงทุนเป็นอาชีพ และมีเงินหน้าตักไม่เยอะพอ จะต้องกลัว และบริหารจัดการให้ดี

MoS เอง ก็มาจากสามระดับ ซึ่งเกี่ยวพันกับการประเมินมูลค่าทางบัญชี ความสามารถในการทำกำไร
และการเติบโต การที่จะกำหนดราคาซื้อหุ้นให้มี MoS ที่เราพอใจ คงจะเป็นศาสตร์และศิลป์ของนักลงทุนแต่ละคน

สำหรับนักเก็งกำไร ผลตอบแทนเค้าจะมาจากส่วนเดียว คือเรื่องราคาในตลาดเป็นสำคัญ
การแกว่งตัวของตลาดเป็นสิ่งที่ทำกำไรให้เค้าได้มากมาย เครื่องมือที่ใช้ก็จะหนักไปในทาง
การดูกราฟราคาย้อนหลัง อารมณ์ตลาด ข่าวดี ข่าวร้าย วอลุ่ม โน่นนี่ สุดแต่ว่า เครื่องมือเหล่านั้น
จะสามารถบอกแนวโน้มอะไรให้เค้าได้บ้าง ตราบเท่าที่มีคนเชื่อในเครื่องมือเหล่านี้

ถ้าเรารักจะเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น (วงนอก) เราต้อง ประเมิน "มูลค่าของธุรกิจ" ให้ได้
และต้องซื้อหุ้นในราคาที่มี "MoS" และถือหุ้นนั้นให้ยาวพอที่จะแสดงศักยภาพ อย่างน้อยก็ 3 ปีขึ้นไป

เพื่อรับผลตอบแทนส่วนแรก คือปันผล (ถ้ามี)
และผลตอบแทนส่วนที่สอง ราคาที่เพิ่มขึ้นในตลาด (ถ้าหุ้นขึ้นตามมุมมองนักลงทุนในตลาด ที่สะท้อนข้อมูลข่าวสารต่างๆของบริษัทแล้ว)

ความมั่งคั่งของเราจะมาจากสองส่วนนี้เสมอ

สำหรับนักลงทุนอาชีพในตลาดหุ้น ต้องมีกำลังเงินมากพอสมควร ที่จะอยู่ในเกมนี้
และต้องระมัดระวังเสมอ และพึงระลึกว่า คุณได้เสียสละอะไรหลายๆอย่างไปบ้าง
แต่นี่เป็นวิถีชีวิตที่คุณเลือก ขอให้ประสบความสำเร็จ

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 10:38 am
โดย sakkaphan
อืมมม รู้สึกว่าคำว่า margin of safety นี่จะมีต้นกำเนิดมาจากแกรแฮมใช่มั้ยครับ ถ้าเข้าใจไม่ผิดจริงๆแล้ว mos ที่เป็นฉบับ original นี่น่าจะหมายถึงการเข้าซื้อบริษัทในราคาที่แม้แต่ถ้าบริษัทเจ๊ง ทรัพย์สิน-หนี้สินที่ได้จากการขายทอดตลาด ก็ยังทำให้มีกำไรได้

ผมเข้าใจว่า mos original มันเป็นแบบนี้นะครับ แต่คงเอามาประยุกต์ใช้กันตามความหมายของตน ซื้อเผื่อบริษัทไม่โต หรือเผื่อโตไม่ตามที่คิดอะไรแบบนี้

ดังนั้น ถ้า mos ตามความหมายที่ผมมเข้าใจเนี่ย เป็นแบบ mos original ละก็.... ผมก็ไม่เคยซื้อเพราะmos เลยครับ :D และผมก็ไม่คิดว่า การหาmos ไม่ได้ จะทำให้ตีแตกไม่ได้ด้วย แต่ถ้าเป็น mos แบบความหมายที่ 2 อันนี้ก็ใช้อยู่คัรบ (งงไปหมดแล้ว mos มีหลายdefinitionเหลือเกิน)

มีอีกประเด็นที่ผมอยากพูด

คือผมเห็นว่า บางครั้ง ผมเห็นคนพูดว่า ราคาลงมาเยอะแล้ว ซื้อที่ราคามี mos .....แม้แต่ในบริษัทที่พื้นฐานเปลี่ยนอย่างกู่ไม่กลับ คือ ผมว่า mos เนี่ย มันต้องเกิดจากการคำนวณที่ถูกต้องแล้วว่า (สำหรับบริษัทที่พื้นฐานเปลี่ยน) หากบริษัทเจ๊งจริง สินทรัพย์ที่ได้จากการขายทอดตลาด-หนี้สินแล้ว คุณก็ยังได้กำไร

ซึ่งถ้าเป็นกรณีนี้ ก็ต้องวิเคราะห์สินทพรัพย์ให้ถ้วนถี่ เพราะสินทรัพย์หมุนเวียนอาจจะปล่อยง่าย แต่สินทรัพย์ถาวรต่างๆ อาจติดเรื่องสภาพคล่อง ดังนั้นจึงอาจจะต้องคิด ทรัพย์สินหมุนเวียน-หนี้สิน ก่อน แล้วค่อยดูสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนทีหลัง แถมบางครั้ง สินทรัพย์ถาวรเหล่านี้อาจปล่อยได้ยาก หรืออาจไม่มีใครต้องการเลย เช่น kodak สมมติพอ kodak จะเจ๊ง คุณดูตัวเลขในบัญชีแล้วเห็นว่ามี mos จึงเข้าไปซื้อ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถามหน่อยครับว่าสินทรัพย์ถาวรอย่างเช่น เครื่องจักรที่เอาไว้ทำฟิล์ม เนี่ย จะขายได้หรือไม่?? เพราะโลกเรากล้องมันเปลี่ยนเป็นdigitalกันหมดแล้ว

คือต้องดูความเป็นไปได้ว่าถ้าเจ๊งจริงแล้ว สินทรัพย์พวกนี้ต้องขายได้จริงๆนะ มีคนต้องการนะ หรือไม่ก็ต้องดูความเป็นไปได้ว่าบริษัทมีโอกาสturnaround หรือไม่ และต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนและมีความเป็นไปได้(สูง) รองรับ

บางครั้งคนเราเข้าไปซื้อที่ราคาต่ำๆแล้วบอกว่ามี mos ทั้งที่อาจมองไม่เห็นความเป็นไปได้เหล่านี้รองรับเลย ผมว่าถ้าเป็นแบบนี้ ซื้อหวย ก็มีmos ครับ

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 1:52 pm
โดย nut776
ตำรามันแต่งไว้นานแล้ว
แกรม คงตั้งใจแค่ให้หลักคิด
แต่ปัจจุบัน ความรู้มันdynamic ไปมาก
ทำให้ เหมือนพูดภาษาเดียวกัน แต่เข้าใจไม่เหมือนกัน

แต่ส่วนตัวผมยืนยันเหมือนเดิม
ว่า ต้องหา fair price ก่อนจะระยะยาว หรือสั้น ก็แล้วแต่คน
จึงจะหา mos ได้
เหมือนที่เซียนชอบพูด ต้องได้กำไรตั้งแต่ซื้อ

แต่เอาส่วนตัวปัญญาจะหา fair price ยังไม่ค่อยจะมี
mos สำหรับผมเลยยิ่งโคตรยาก
คนโง่ๆอย่างผมเลยต้องค่อยๆหาวิธีการที่ปลอดภัยเหมาะกับความรู้ความสามารถ

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 3:41 pm
โดย Saran
การที่จะบอกว่าซื้อหุ้นที่มี MOS มากหรือน้อย ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าจะหา fair value ด้วยวิธีใดนะครับ

หากคุณประมาณการเติบโตของบริษัทและกำหนด discount rate ได้ค่อนข้าง conversative มากพอ
และยิ่งถ้าเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจมีรายได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ MOS ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

กลับกัน หากไปหาค่า fair value ของหุ้น commodity อย่างเช่นใช้วิธี replacement cost อย่างนี้ควรมี MOS กำหนดไว้
ให้สูงหน่อย เพราะราคาของหุ้นกลุ่มนี้ผันผวนสูงมาก และมีความเป็นไปได้ที่ cycle มันยังไม่กลับมาเป็นขาขึ้นอย่างที่คิดอีก

ที่ผ่านมา fair value ที่ผมคำนวณดูท่าทางจะ conversative กว่าตลาดเยอะเหมือนกัน ตัวที่คิดว่า over value แล้วก็ยังขึ้นต่อไปอีก
ทำให้ผมกลับมานั่งคิดเหมือนกันว่า ผมคิดอะไรผิดไปหรือป่าว

แต่พอมาคิดอีกที อย่างน้อย ขายหมูเป็นประจำ ก็ยังดีกว่าไปได้ควายกลับมาบ่อยล่ะน่ะ 55

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 4:32 pm
โดย zephyr
sakkaphan เขียน: คือ คุณzephyr คิดว่า การหาmos ไม่ได้จะทำให้ตีแตกไม่ได้?? ฟังแล้วก็งงนิดนึงว่า คำว่า mos เนี่ย definition ของคุณ คืออะไรเหรอครับ
MoS ที่ผมเข้าใจ คือผลต่างระหว่างราคาปัจจุบันและมูลค่าของบริษัทครับ

ประเด็นก็คือ สำหรับผมการหามูลค่าของบริษัทนั้นทำได้ยากมาก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงของราคาก็ยังไม่ทราบเลย
เช่น ผมพยายามหามูลค่าของบริษัทที่พอจะคาดการแนวโน้มได้อย่างเช่น CPALL และ HMPRO โดยใช้วิธีการ DCF ผมก็พบว่ามันมีตัวแปรมากมาย และหากแทนตัวเลขแบบกลางๆกึ่ง conservative แล้ว ก็พบว่า CPALL และ HMPRO นั้น แทบไม่มี MoS เลย และสำหรับหุ้นบางตัวผมแทบหาข้อมูลที่จะนำมาคิด DCF ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

สมัยนั้นผมพอจะมีมุมมองทางบวกกับอนาคตของหุ้นโมเดิร์นเทรดครับ เลยตัดสินใจซื้อ ซึ่ง P/E ก็ไม่ได้ต่ำนะครับ

ดังนั้นเมื่อหาไม่มั่นใจในการประมาณมูลค่าของบริษัท ทำให้ผมไม่ทราบได้ว่าราคาปัจจุบันมีส่วนลดหรือไม่
ด้วยสาเหตุนี้ เวลาซื้อจึงไม่ค่อยมั่นใจนัก และไม่กล้าที่จะตีแตก หรือทุ่มเงินส่วนมากในพอร์ทลงในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งครับ
ดังนั้นผมจะลงทุนโดยมีหุ้นในพอร์ทประมาณ 5-6 ตัวเสมอ

ส่วนหุ้น cycle นะตอนนั้นที่ซื้อเพราะโลภเกินความรู้ครับ ไม่ได้ประเมินมูลค่าเลย แค่ลุ้นราคา commodities และผลประกอบการผมขาดทุนหุ้น commo ทุกตัวครับ :oops: หลังจากนั้นไม่พยายามเข้าไปแตะอีกเลย เพราะรู้ว่าเราคงเอาดีทางนี้ไม่ได้

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 8:03 pm
โดย Belffet
ลองฝึกทำจากบริษัทที่งบการเงินไม่ซับซ้อนมากดูก่อนดีมั๊ยครับ

ที่ลองยกตัวอย่างมา เช่น PTT, SCC, CPALL แต่ละตัวบิ๊กๆทั้งนั้น งบการเงินซับซ้อนมากมาย การวิเคราะห์ให้ออกมาเป็นมูลค่าของบริษัทก็ย่อมยากเป็นเงาตามตัวนะครับ

ลองมองไปที่บริษัทที่งบการเงินไม่ซับซ้อนมาก ขออนุญาตยกตัวอย่าง เช่น TIW, WG, NBC

พวกนี้งบอ่านง่าย เข้าใจง่าย 56-1 ไม่ยาวมาก

แบบนี้ก็หามูลค่าได้ง่ายขึ้นนะครับ

ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเถอะครับ รอผมด้วย :)

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 9:06 pm
โดย zephyr
ขออนุญาตอ้างข้อความของดร.นิเวศน์ในวันนี้นะครับ พอดีรู้สึกเหมือนจะเกี่ยวข้องกับ MoS อยู่เหมือนกัน :o

"ประเด็นสำคัญที่ตามมาก็คือ อะไรคือ “ราคาที่สมเหตุผล” นี่เป็นเรื่องยากหรืออาจจะยากยิ่งกว่าการกำหนดว่าบริษัทอยู่ใน Megatrend และเป็น “ผู้ชนะ” หรือไม่? เหตุผลก็คือ หุ้นที่อิงกับกระแสแนวโน้มใหญ่นั้น มักจะเติบโตไปได้ต่อเนื่องยาวนานตราบที่เขายังมีความสามารถสูงอยู่ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ บริษัทที่ “กำลังชนะ” นั้น Profit Margin หรือกำไรต่อยอดขายมักจะมาทีหลัง ในขณะที่ช่วงแรก ๆ ของการเติบโต ผลกำไรจะไม่สูงมากเนื่องจากบริษัทจะเน้นไปที่การเพิ่มยอดขายมากกว่าที่จะทำกำไร ดังนั้น ในช่วงที่บริษัทยังโตเร็ว ผลกำไรอาจจะไม่สูงมาก นี่ทำให้ค่า PE อาจจะดูสูงและทำให้ราคาหุ้นดูไม่สมเหตุผลโดยเฉพาะในสายตาของ Value Investor ที่เน้นหุ้นถูกเป็นหลัก วิธีที่ดีกว่าก็คือ การดู “ศักยภาพ” ว่า บริษัทน่าจะสามารถเติบโตมียอดขายถึงระดับไหนและมันน่าจะมีกำไรเท่าไรเมื่อถึงจุดนั้น โดยกำไรนั้นจะต้องคำนวณจาก Profit Margin ที่เหมาะสม ซึ่งนั่นจะทำให้เราสามารถคำนวณหากำไรและราคาหุ้นที่เหมาะสมในอนาคตได้ จากนั้นจึงมาดูว่าราคาในปัจจุบันนั้นเหมาะสมหรือไม่"

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 10:18 pm
โดย Tsar
ผมไม่รู้ว่าหุ้นที่ผมซื้อ มันมี MOS คิดเป็นตัวเลขมากน้อยแค่ไหน
ผมรู้แต่ว่า ณ ขณะที่ผมซื้อ หุ้นมีMOS หรือไม่มีMOS
:8)

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 10:47 pm
โดย sakkaphan
zephyr เขียน:
sakkaphan เขียน: คือ คุณzephyr คิดว่า การหาmos ไม่ได้จะทำให้ตีแตกไม่ได้?? ฟังแล้วก็งงนิดนึงว่า คำว่า mos เนี่ย definition ของคุณ คืออะไรเหรอครับ
MoS ที่ผมเข้าใจ คือผลต่างระหว่างราคาปัจจุบันและมูลค่าของบริษัทครับ

ประเด็นก็คือ สำหรับผมการหามูลค่าของบริษัทนั้นทำได้ยากมาก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงของราคาก็ยังไม่ทราบเลย
เช่น ผมพยายามหามูลค่าของบริษัทที่พอจะคาดการแนวโน้มได้อย่างเช่น CPALL และ HMPRO โดยใช้วิธีการ DCF ผมก็พบว่ามันมีตัวแปรมากมาย และหากแทนตัวเลขแบบกลางๆกึ่ง conservative แล้ว ก็พบว่า CPALL และ HMPRO นั้น แทบไม่มี MoS เลย และสำหรับหุ้นบางตัวผมแทบหาข้อมูลที่จะนำมาคิด DCF ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

สมัยนั้นผมพอจะมีมุมมองทางบวกกับอนาคตของหุ้นโมเดิร์นเทรดครับ เลยตัดสินใจซื้อ ซึ่ง P/E ก็ไม่ได้ต่ำนะครับ

ดังนั้นเมื่อหาไม่มั่นใจในการประมาณมูลค่าของบริษัท ทำให้ผมไม่ทราบได้ว่าราคาปัจจุบันมีส่วนลดหรือไม่
ด้วยสาเหตุนี้ เวลาซื้อจึงไม่ค่อยมั่นใจนัก และไม่กล้าที่จะตีแตก หรือทุ่มเงินส่วนมากในพอร์ทลงในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งครับ
ดังนั้นผมจะลงทุนโดยมีหุ้นในพอร์ทประมาณ 5-6 ตัวเสมอ

ส่วนหุ้น cycle นะตอนนั้นที่ซื้อเพราะโลภเกินความรู้ครับ ไม่ได้ประเมินมูลค่าเลย แค่ลุ้นราคา commodities และผลประกอบการผมขาดทุนหุ้น commo ทุกตัวครับ :oops: หลังจากนั้นไม่พยายามเข้าไปแตะอีกเลย เพราะรู้ว่าเราคงเอาดีทางนี้ไม่ได้

คุณ zephyr จุดประเด็นทำให้ผมลองมาคิดดูจริงๆว่า ที่ผ่านมา ผมซื้อหุ้นยังไง เอาหุ้นตัวที่ผมคิดว่าผมคิดถูกนะครับ...

ผมพบว่า ผมไม่ได้ดูmos เลยครับ คือ เหมือนไม่สนใจด้วยซ้ำว่าmosคืออะไร ผมรู้แต่ว่า บริษัทที่ผมมั่นใจมากๆนี่ ความมั่นใจของผมมาพื้นความรู้ที่ผมมี เป็นเรื่องของกลยุทธ์เรื่องการบริหารงาน+บริหารคน ซึ่งผมได้ความรู้ด้านนี้จากที่ร่ำเรียนมา+ประสบการณ์ที่อาจารย์ผู้มีประสบการณ์ถ่ายทอดถึงกลยุทธ์ในการบริหารทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว เมื่อผมศึกษาบริษัทนั้นดูแล้วพบว่าผมได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาอย่างเต็มที่ และมั่นใจมาก พอเห็น ณ ตอนนั้น pe ในsetยังเป็นpeที่คิดจากปีเก่ามั้งครับ เขียนอยู่ว่าpe18ถ้าจำไม่ผิด แต่ผมforward pe ปีนั้นได้pe10 คือถ้าเห็นหุ้นตัวอื่นเป็นยังงี้ผมอาจจะไม่สนใจบอกว่าแพงไปแล้ว แต่กับหุ้นที่ได้ใช้ความรู้ไปแทบหมดตักผมตื่นเต้นมากที่เห็นpeแค่นี้ เพราะผมรู้ว่ามันจะไปได้ไกลกว่านี้มาก และเข้าซื้ออย่างไม่ลังเล โดยไม่ได้ทำdcf หรือการvaluationยากๆใดๆทั้งสิ้น

ผมว่า ผมเข้าใจคำว่า circle of competence จริงๆก็ตอนนั้นแหละ กลายเป็นว่าสำหรับผม ธุรกิจหนึ่งๆจะถูกหรือแพง จะดีหรือไม่ดี จะตีแตกหรือเปล่า อยู่ที่พื้นความรู้ที่คุณมี

เพราะยังงี้ผมเลยบอกว่า ผมไม่เชื่อครับว่าหากเราหาmosไม่ได้แล้วจะตีแตกไม่ได้

เอ๊ะะ หรือที่ผมพูดมามันคือmos??บอกแล้วผมมึนฮ่าๆๆ เอาเป็นว่าผมซื้อเพราะ margin of safety OF MY KNOWLEDGE แล้วกันครับ

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 8:54 am
โดย 1154
MOS = instinc value – market price

http://vihybrid.wordpress.com/2012/02/23/qoi2-mos/

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 10:37 am
โดย magicbank
เอาง่ายๆสำหรับคนที่ไม่ถนัดหาราคาในอนาคต ก็ยังมีวิธีได้ Mos มาอีกวิธี คือเข้าลงทุนเมื่อกิจการประสบปัญหาชั่วคราว

เชื่อว่าทุกคนคงมีหุ้นที่วิเคราะไว้แล้วว่าพื้นฐานดีน่าลงทุนแต่แพงเกินไปอยู่จำนวนนึงในใจ เพียงแต่ต้องรอจังหวะในการลงทุนที่ดีเท่านั้น

ผมว่าไม่เป็นปัญหานักเพราะนักลงทุนในนี้ส่วนมากถือหุ้นตัวนึงยาวเป็นปีๆอยู่แล้ว และเชื่อว่าเกือบทุกปีย่อมมีจังหวะที่ดีเกิดกับหุ้นคุณภาพสูงๆอยู่บ้าง ปีที่แล้วผมก็ได้มาตัวนึง มองที่คุณภาพอาจจะถือได้ 6-7 ปีด้วยซ้ำ เชื่อเถอะว่าคุ้มแก่การรอคอย แต่สำคัญคือ ต้องเป็นกิจการที่ประสบปัญหา"ชั่วคราว"จริงๆเท่านั้น

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 10:14 pm
โดย chukieat30
ผมว่า mos เปรียบได้กับ เวลาคุณไปเดินเลือกซื้อของมือสอง

ถ้าคุณไม่รู้ราคากลาง ราคาที่เ้ค้าเล่น

คุณก้หัวแบะกลับมา เป็นเพราะสาเหตุเดียวเลยคือ คุณไม่มีความรู้ในสิ่งที่ซื้อดีพอ

ผมชอบบทความเรื่องของมือสองของท่านอาจารย์

ผมคนนึงที่จะไม่ยอมหัวแบะกลับมาแน่นอน ถ้าต้องซื้อของมือสอง

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 11:30 pm
โดย xavi
ผมคิดว่า MOS และ Fair Price เป็นสิ่งที่หายากมากๆครับ
เพราะขนาดเราเป็นพนักงานบริษัทของตัวเองทำการ Forecast แค่ยอดขายของบริษัทนั้นยังทำได้ยาก
แทบไม่มีปีไหนที่ทำได้ตรงเลย ทำนายได้ใกล้เคียงได้ก็นับว่าเก่งแล้ว
ปัจจัยง่ายๆแค่เรื่องการแข่งขันทางด้านราคาในอุตสาหกรรมเราเองก็กระทบกับยอดขายต่อปีของบริษัทเรามากแล้ว

พอต้องมาหา MOS เอง เพื่อการซื้อหุ้น หลายๆครั้งพอกลัวความเสี่ยงก็มักจะคำนวนให้ Conservative ไว้ก่อน เช่น ให้ยอดขายในปีหลังๆ Growth น้อยๆ หรือเผื่อ WACC สูงเป็นต้น เพื่อให้ได้ Fair Price มาใช้ในการซื้อขายหุ้น
ข้อเสียที่เห็นก็คือในบางครั้งต้องขายหุ้นไปหลายตัวเพราะราคาในตลาดเกิน Fair Price ที่ได้เผื่อไว้แล้ว
แต่ราคาในตลาดก็ยังขึ้นไปอีก จนบางครั้งผมรู้สึกได้เลยว่าหุ้นบางตัวนั้น MOS น้อยมากๆ แต่เป็นเพราะ Sentiment ของตลาดในช่วงนั้นพาเอาราคาขึ้นไปได้อีกเยอะ

ตอนนี้ก็เลยใช้ MOS ช่วยแค่เลือกหุ้นคร่าวๆเท่านั้นว่าไม่ได้แพงจนเกินไป แต่จะใช้วิธีหลักคือเลือกหุ้นจากอุตสาหกรรมที่ดี ตาม Mega Trend ที่คิดเอง แล้วก็ดูว่าบริษัทที่เราเลือกนั้นต้องมี Competitive Advantage ที่เหนือกว่าคู่แข่ง เพื่อให้เอาชนะได้ในระยะยาวครับ

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 28, 2012 12:06 am
โดย ayethebing
จะหา Margin of safety ได้ต้องตีมูลค่าของกิจการเป็น

การหามูลค่ากิจการเป็น ต้องเข้าใจลึกซึ้งถึงงบกระแสเงินสด งบดุลและงบกำไรขาดทุน รวมถึงหมายเหตุประกอบงบ ที่บอกถึงปัจจุบันและอดีต รวมถึงเข้าใจถึงธุรกิจในอนาคต (ฟอร์ม 56-1 เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี) ซึ่งพอทำให้เราได้อย่างมีความเชื่อมั่นระดับหนึ่งว่า มีหลักการและเหตุผลรองรับ

การหามูลค่ากิจการให้ใกล้เคียงจึงเป็นเรื่องยากและใช้เวลามากสำหรับหลายๆ ท่าน โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ๆ ที่มีลักษณะธุรกิจ conglomerate อย่าง ปตท หรือ ปูนซีเมนต์ หรือธุรกิจที่มีบริษัทในเครือมากๆ ทำธุรกิจหลากหลาย เช่น อินโดรามา

สำหรับบริษัทเล็กๆ ดีๆ หรือ บริษัทใหญ่ที่มีโมเดลการทำธุรกิจแบบเดียว เป็นบริษัทที่อยู่ในขอบเขตของความสามารถที่นักลงทุนสมัครเล่นมือใหม่ (อย่างผม) มีปัญญาจะวิเคราะห์และหามูลค่ากิจการที่แท้จริงได้ เราก็พอมีเทคนิคเช่น

1. มีคนรู้จักทำงานอยู่ที่บริษัทนั้น ใช้ความหน้าด้านถามเอา
2. ใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทนั้นเป็นประจำ สังเกตุการเติบโตโดยใช้ตัวเองและร้านค้าที่ซื้ออยู่เป็นประจำเป็นหลัก
3. อ่านข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ธุรกิจ

หลังจากที่เอางบมานั่งแงะ แกะ และลองทำ dcf หา wacc อะไรเสร็จได้มูลค่าที่แท้จริงต่อหุ้น ถ้ารู้มากเชื่อมั่นมาก ราคาหุ้นจะน้อยกว่า มูลค่าที่แท้จริงก็น้อยได้ ถ้ารู้น้อยมั่นใจน้อยก็ต้องมี margin of safety มากหน่อย

ทั้งซื้อและขาย กระบวนการเดียวกันครับ

ส่วนหุ้นใหญ่ที่วิเคราะห์ได้ยาก ผมใช้กฎหัวแม่โป้งง่ายๆ ว่า PE ประมาณ 8-9 ซื้อ PE 11-12 ขาย เท่าที่ทำมาก็โอเคนะครับ เพียงแต่อดทนรอนานกันหน่อยกว่าจะซื้อ หรือขายกัน ปีๆ นึงอาจซื้อขายได้แค่คร้ังเดียวเท่านั้น

ส่วนหุ้นที่เป็น commodity ถ้าคุณไม่รู้วัฎจักรของมันอย่างถ่องแท้ อย่าไปยุ่งกับมันเลยดีกว่าครับ

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 28, 2012 8:23 am
โดย คลายเครียด
ถ้า mos ย่อมาจาก


Margin Of Satisfaction


คุณก็ได้ทำตาม mos แล้วครับ

ผม ทำตาม mos ของตัวเองมาตลอด
เพราะไม่รู้ว่า margin of safety ของคนอื่นคือเท่าไร


:mrgreen: :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 30, 2012 6:56 pm
โดย dr1
โอว...
ท่านอาจารย์คลายเครียด จ้าวสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง
มาให้แนวทางเลยครับ

กระผมเองศิษย์อนุบาลแห่งสำนักเซียนเต่า
ได้กระทำคลายเครียดเมทตอด
กะหุ้นพีอีห้าสิบ ไปเรียบร้อยวันก่อนแล้ว
ตามที่คำภีร์สำนักใด้ให้แนวทางไว้ครับ

อยากเรียนถามว่า
ตอนนี้นิ้วชี้ตลาดไปเกินสิบโหลแล้ว
ควรเริ่มกินดีหมีละยัง?
(ขออภัยเล่นมากไปนอกห้องนั่งเล่นนะครับ)

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 01, 2012 5:27 pm
โดย pak
แม้ผมจะมีมุมมองที่อาจไม่ถูกต้องนัก แต่ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยนะครับ

สำหรับมุมมองของผม ผมอยากเป็นนักลงทุนระยะยาว
หรืออาจจะพอพูดได้ว่า ผมอยากเป็นเจ้าของกิจการที่ดีเยี่ยม(ในอนาคต)
และผมต้องตอบเองให้ได้ว่า...
"ถ้ามันน่าจะดี มันจะดีได้เพราะอะไร?"

คำว่า "ความเป็นเจ้าของกิจการ" นี่เอง
มันจึงทำให้ผมนึกถึงเรื่องต่างๆมากมาย เช่น...
1) เงินลงทุนเพื่อก่อตั้งกิจการนั้น
2) ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ
3) การได้มาซึ่งองค์ความรู้ และสิ่งต่างๆที่จะใช้ในการประกอบกิจการ
4) ลูกค้าของบริษัทฯ
5) คู่แข่งของบริษัทฯ
6) Vision, Mission และ Stretegy ที่บริษัทฯเลือกใช้

หลายครั้งที่ผมมักจะคิดว่า...
"ถ้าผมต้องการสร้างธุรกิจ(ที่ผมคิดว่าดีเยี่ยม)แบบนี้ขึ้นมาด้วยตนเอง ผมจะต้องมี Start up Cost ซักเท่าไหร่?"
ผมจะต้องใช้ทุนซักเท่าไหร่? (ในการสร้าง Brand, ในการหาลูกค้า และการสร้างชื่อเสียงหรือความมั่นใจให้กับลูกค้า)
และหลายๆครั้ง ผมมักถามตัวเองว่า กิจการประเภทนี้น่าจะมีคุณค่า หรือค่าความนิยม(Goodwill) สักเท่าไหร่?

ถ้าให้ผมซื้อบริษัทฯที่ดี...ผมคงมีเงินน้อยไป เพราะของดี ส่วนใหญ่มักจะมีราคาแพง
ดังนั้น "อนาคต" คือ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผม
ผมมีเพื่อนที่ดีที่สุดในการลงทุนเพียง 2 คน คือ...
"สมมุติฐาน(ในแง่มุมของคนทำธุรกิจ)" และ "เวลา"

ผมสร้างตัวเองให้โต 10 เท่า หรือมีหลายได้เป็นพันล้าน หมื่นล้านไม่ได้อย่างแน่นอน
แต่บริษัทฯในตลาดฯ สามารถทำแทนเราได้ครับ
...ผมคิดแบบนั้นนะ

สำหรับเรื่องราคาหุ้น
ง่ายๆผมก็แค่ประมาณการรายได้ในอนาคต, ประมาณกำไร, ประมาณการ PE ที่เหมาะสม แล้วคำนวณหา Fair Price
ง่ายๆเท่านั้นเอง เท่าที่ความรู้ผมจะพึงมี

หลายๆคนอ่านถึงบรรทัดนี้แล้ว คงจะส่ายหัวว่า...
"ลงทุนมาก็นาน ทำไมถึงยังจมปลักอยู่กะลา"
แต่ผมเลือกที่จะลงทุนในมุมมองของ "ความรัก, ความเชื่อมั่น และความรู้สึกของการเป็นเจ้าของกิจการ"
แม้มันจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่มันเป็นวิธีการลงทุนที่ทำให้ผมมีความสุขครับ

วันข้ามวัน คืนข้ามคืน ในการเฝ้ามองกิจการของตนเอง
พระเครื่อง...บางคนมองเป็นสิ่งของบูชา บางคนมองเป็นของสะสม หรืออาจมองแค่เพียงการเก็งกำไร
การเช่าพระเครื่อง ก็มี mos ครับ แต่มันอธิบายยาก
เพราะมากกว่าเรื่องราคา มันก้าวข้ามผ่านไปสู่เรื่องของจิตใตไปเสียแล้ว

มุมเล็กๆในการแสดงความเห็นที่ไม่ฉลาดนัก แต่จริงใจ
คงไม่ว่ากันนะครับ ^ ^

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 01, 2012 6:36 pm
โดย YEAN
ส่วนตัวผมคิดว่า mos คือส่วนเผื่อความปลอดภัยจากความเสี่ยงใดๆ ดังนั้นการจะมี mos ต้องคำนวณราคาจากสินทรัพย์หรือศักยภาพในการทำกำไรในปัจจุบัน โดยไม่นำเรื่องการเติบโตในอนาคตมาคิด ดังนั้นการคำนวณ dcf แล้วบอกว่ามี mos จึงไม่ถูกต้องนัก น่าจะบอกว่ามี upside ถึงจะถูก แต่การซื้อกิจการที่ fair price จากการคำนวณมูลค่าพื้นฐานจากสินทรัพย์หรือศักยภาพในการทำกำไรในปัจจุบัน ของหุ้นเติบโตก็น่าจะมี mos จากศักยภาพในการเติบโตของหุ้นนั้นครับ

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 02, 2012 7:55 am
โดย คลายเครียด
dr1 เขียน:กระผมเองศิษย์อนุบาลแห่งสำนักเซียนเต่า
ได้กระทำคลายเครียดเมทตอด
กะหุ้นพีอีห้าสิบ ไปเรียบร้อยวันก่อนแล้ว
ตามที่คำภีร์สำนักใด้ให้แนวทางไว้ครับ

อยากเรียนถามว่า
ตอนนี้นิ้วชี้ตลาดไปเกินสิบโหลแล้ว
ควรเริ่มกินดีหมีละยัง?
(ขออภัยเล่นมากไปนอกห้องนั่งเล่นนะครับ)

ยินดีด้วยครับ ที่ถือหุ้นไม่มีต้นทุนเอาไว้
ต่อให้มันพีอีหกสิบ ก็นั่งผิวปากรอดูค่า อี วิ่งตามค่า พี ที่ขึ้นไปยืนรอล่วงหน้าให้ทัน

สำหรับราคาหุ้นตอนนี้
ผมขายสุทธิ มากกว่าซื้อสุทธิครับ

คงไม่จับไปหักลบกัน แบบที่พวกกูรู้ชอบทำกัน
แล้วบอกว่า ต่างชาติเหลือหุ้นจะขาย อยูเท่านั้นเท่านี้

ที่จริงมีแต่
คนที่ขายสุทธิทั่้งหมดบวกมูลค่าหู้นคงเหลือในพอร์ต บวกเงินปันผลรับ
มากกว่าซื้อสุทธิทั้งหมดเท่านั้น
ที่ได้กำไรไปจากตลาดหุ้น

หุ้นเซเว่นตัวเดียว ดร.นิเวศน์ น่าจะขายสทุธิ มากกว่าซื้อสุทธิสิบเท่า !!!!!

:mrgreen: :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen: :mrgreen:

Re: เรื่องของ MOS ของผม

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 02, 2012 9:27 pm
โดย untrataro25
mos มีจริงไหม แต่ละคน ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมได้ไม่เท่ากัน
mos แบบเป๊ะๆไม่น่ามี ถ้ามีควรเป็นอยู่ในช่วงระหว่างมากกว่าเช่น 40-55% อะไรแบบนี้มั้งครับ