Investor ผมคือหนึ่งหน่วยในสังคม
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 23, 2010 8:49 pm
สังคมได้อะไร
ให้คิดก็เหมือนจะต้องตอบว่าไม่ได้อะไร
แต่ก่อนอื่น การลงทุนแบบเน้นคุณค่า คือ การลงทุนโดยมองคุณค่าหรือมูลค่าให้ออก
และตามประสบการณ์ที่ผมมองเห็น VI ก็ถูกใช้ไป 2 ทาง
1. ลงทุน VI ระยะสั้น คือ นักลงทุนที่มองมูลค่าออก แล้วดูว่าสิ่งนี้มูลค่าถูก แล้วคาดว่าราคาจะขึ้นก็ซื้อ ถ้าแพงราคาจะลงก็ขาย ซึ่งการกำไร ก็น่าจะโฟกัสไปที่ส่วนต่างราคา รวมถึงความรวดเร็วที่จะทำกำไรได้ บางครั้งผมก็มักคิดว่า ดูเหมือนการเก็งกำไรแบบเน้นคุณค่า(คำว่าการลงทุน มันดูมั่นคงกว่าเยอะใครๆก็อยากใช้คำนี้) เพราะถ้าอ้างอิงตามหนังสือที่เป็นที่ยอมรับดูเงื่อนไขจะเข้าหมวดการเก็งกำไรมากกว่า
2. ลงทุน VI ระยะยาว คือ นักลงทุนที่มองมูลค่าออก และมองยาวขึ้นว่า มูลค่านั้นในระยะยาวจะเป็นอย่างไร ทั้งจากการเติบโต ความต้องการของสังคม เมื่อคิดว่าเหมาะสมก็ลงทุน และถือการลงทุนนั้นในระยะยาวหลายๆปี ซึ่งการกำไร ก็น่าจะโฟกัสไปที่ผลตอบแทนที่จะได้รับก็จะเป็นเงินปันผลซึ่งได้รับจากการกำไรที่การลงทุนที่ถือนั้นไปปฏิบัติต่อสังคมจริงและก่อส่วนต่างที่เป็นกำไร กระแสเงินสด ซึ่งเป็นรายได้ที่แท้จริงและผ่านกระบวนการต่างๆทางสังคม
และตัวความเห็นที่จะเขียนต่อ จะเป็นส่วนของ ข้อ 2 ลงทุน VI ระยะยาว
สังคมมองมาอย่างไร
สังคมที่สัมผัสได้ น่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนจริงใจ เพื่อน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนเที่ยว คนบ้านใกล้กัน คนรู้จัก คนที่เราต้องติดต่อด้วย และสังคมโดยรวม ก็น่าจะเป็น คนกรุงเทพ คนเชียงใหม่ คนไทย คนจีน คนทั้งโลก
ครั้งหนึ่ง ได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกคนมีเงินพอสมควร ซึ่งคนนี้ก็มักจะได้คำพูดจากสังคมที่สัมผัสได้ว่า มึงรวยว่ะ น่าอิจฉาว่ะ ไม่ต้องทำอะไรก็มีเงินใช้แล้ว พ่อมึงนี่เก่ง(ทำงานเก่งทำเงินได้ดี)ว่ะ พ่อมึงรวยเนอะ มึงนี่รวยเพราะพ่อ ก็เลยถามว่าพอมึงได้ยิน “มึงนี่รวยเพราะพ่อ” (ด้วยความอิจฉาเล็กๆ หรือรู้สึกว่ามึงแม้งโชคดีว่ะ) มึงรู้สึกยังไงว่ะ มันตอบว่า พวกมึงซวยเอง (โอ้คำตอบชอบมาก) ถามว่าให้พวกมึงมีพ่อที่รวยเก่ง เหมือนพ่อกูเอามั้ย (คิดว่า คนมากกว่า90-95% ก็น่าจะอยากมีบ้านรวย พ่อรวยนะ) ตอนแรกๆก็รู้สึกกับคำพูดพวกนี้แต่ตอนนี้ไม่แล้ว
ต่อมาบังเอิญได้อยู่ในการสนทนาระหว่าง คุณเริ่มมี กับ คุณช่วยเหลือ เรื่องก็คือว่า คุณเริ่มมี เริ่มมีอาการจิตตก คือคุณเริ่มมี เพิ่งจะเรียนจบมาได้ไม่กี่ปี และบังเอิญ คุณเริ่มมี มีการลงทุน น่าจะเกี่ยวกับตลาดหุ้น เค้าเล่าว่า เค้าลงทุนในตลาดหุ้นมาหลายปีแล้วเหมือนกัน จากบื้อๆเป็นเข้าใจมากขึ้น จนมาถึงวันนี้เค้ามีรายได้จากเงินปันผล และบางทีก็จะมาจากส่วนต่างกำไร แล้วตัวเค้าก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเขาจะสามารถหาพอเลี้ยงตัวเองได้ในระยะยาว แต่ด้วยว่าความรู้สึกต่างๆที่วิ่งเข้ามาจากสังคมที่สัมผัสได้นั้นช่างงงงวย และหนักหน่วง ตัวคุณเริ่มมี จึงเริ่มรู้สึกว่าตัวเค้าจะมีปัญหากับสังคมรึไม่ เริ่มจากครอบครัว ตอนเริ่มแรกครอบครัวก็ไม่เห็นด้วยด้วยเหตุผลต่างๆที่ต่างได้รับรู้เกี่ยวกับหุ้น จนคุณเริ่มมี สามารถทำผลตอบแทนได้ต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นทีละน้อย ซึ่งก็ใช้เวลาหลายปีจนครอบครัวมองเห็นเข้าใจ และคิดว่าพอจะเป็นไปได้ ปัญหาส่วนนี้จึงเบาบางลง แต่หาจบแค่นี้ไม่ ญาติ คนใกล้บ้าน คนรู้จัก อ่าวทำไมไม่ไปเรียนต่อ เล่นหุ้นจะรอดเหรอ และอื่นๆอีกมาก และวันนึงคุณเริ่มมี หลังจากจิตตกได้สักพัก ก็มีโอกาสคุยกับคุณช่วยเหลือทางโทรศัพท์ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตอนเรียน เริ่มมีจึงเริ่มเล่าเรื่อง และอยู่ๆคุณช่วยเหลือจึงนัดให้ออกมาเจอ เริ่มมีถามเจอทำไมมีอะไรรึเปล่า ช่วยเหลือจึงบอกว่าให้ออกมาคุยกัน เค้าเรียนจิตวิทยาอยู่อยากคุยดูเผื่อว่าจะช่วยอะไรได้ ไม่กี่วันหลังจากนั้น เค้าสองคนก็เจอกัน ในร้านกาแฟบรรยากาศดีๆแห่งหนึ่ง คุณช่วยเหลือจึงเริ่มถาม อ่าวเป็นไงบ้าง เริ่มมี จึงเริ่มเล่าไปเรื่อยๆ ดูๆไปคุณเริ่มมีพูดอยู่ฝ่ายเดียว คุณช่วยเหลือ ตอบบ้าง ถามบ้างแบบสั้นๆ แล้วเริ่มมีก็เริ่มพูดน้อยลงๆๆ จนจบ รวมๆ เกือบชั่วโมงมั้ง เริ่มมี หัวเราะเล็กๆ แล้วพูดว่า ดูเหมือนตัวเค้าพูดอยู่ซะฝ่ายเดียว อืมแต่กลับรู้สึกดีแฮะ คุณช่วยเหลือเริ่มพูด ก็คือว่า ใช้เงินทำงานได้ หาเงินได้โดยไม่ต้องทำงาน เลยไม่มีงานอะไรทำ และก็หาได้ตกเดือนละไม่แพ้คนที่เพิ่งจบปริญญาโทแบบทั่วไป แต่กังวลเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในสังคม การยอมรับ ใช่มั้ย เริ่มมีตอบ อืม พรางคิดว่า พูดตั้งเป็นชั่วโมงตกลงเนื้อหาก็ประมาณแค่นี้เนอะ
คุณช่วยเหลือ เริ่มพูดต่อ “คุณเริ่มมี คุณรู้มั้ยว่าจริงๆแล้ว ชีวิตแบบคุณคือชีวิตที่แทบทุกคนอิจฉา อยากเป็น อยากมี” คุณเริ่มมีนั่งนิ่ง อึ้ง พรางคิด เออว่ะ เออว่ะ เออว่ะ จริงๆ เออว่ะ คุณช่วยเหลือ พูดต่อ ลองคิดดูสิ คนที่มาทำงาน 5 วัน ต่อสัปดาห์ทั่วไป ได้เดือนละ 25,000 บาท กับคุณที่สามารถทำเงินได้ 30,000 บาท โดยที่ไม่ต้องทำงานหนักเท่า ถ้าเลือกได้ก็น่าจะตอบแทนได้เลยว่า คนส่วนใหญ่มากๆ จะต้องเลือกมีเงินโดยไม่ต้องทำงาน หรือทำงานน้อยๆ สบายๆ จะยกเว้นแค่กรณีเดียว คือ คนที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก คุณเริ่มมี นั่งนิ่ง อึ้งต่อ เออว่ะ
คุณเริ่มมีจิตเริ่มหายตก เริ่มพูดว่า เออเนอะ สมมุติ มีคนที่ทำงานในสังคมได้เงินเดือนละ 25000 บาท มาบอกให้ผมไปทำงานข้างนอกสิ ซึ่งสมมุติว่าได้เงินเดือน 25000 บาท ด้วยทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ แต่ไม่สิตามวุฒิ ปริญญาตรี เริ่มงาน อาจจะได้ 15000 บาทด้วยซ้ำ ต่อให้ได้ 25000 บาท ทำงานทุกวัน แต่ผมไม่ต้องทำทุกวันได้ 30000 บาท นั่นอาจจะแปลว่าทางหรือวิธีที่ผมทำอยู่น่าสนใจกว่า และถ้าผมไปทำงานตำแหน่งเค้าก็อาจทำได้ไม่ดีเท่าหรืทำได้ดีกว่า หรือถ้าเค้ามาทำแบบผมก็อาจจะทำได้ หรือทำไม่ได้ก็ได้ งั้นดูๆไป วิธีของผมนั้นดูดีกว่าแล้ว แล้วผมควรจะเชื่อสังคมและทำตามสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในสังคมคิดว่าถูกหรือไม่ เออว่ะ
คุณเริ่มมี คิดต่อ และพูดว่า แปลว่าตอนนี้ ตัวเค้าคิดผิดอยู่ใช่มั้ยเนี่ย ทำให้รู้สึก ข้อดี กลายเป็นข้อเสีย คุณกลายเป็นโทษ ประโยชน์กลายเป็นภัย พร้อมกับพูดว่า เข้าใจแล้ว เราจะไม่ถูกหรือผิด จากความเห็นชอบจากผู้อื่นว่าถูกหรือผิด แต่เราจะถูกหรือผิด จากเหตุผลที่ถูกต้องและความเป็นจริง
Ok อันนี้เข้าใจแล้ว แล้วทำไงดีกับสังคมล่ะ
ให้คิดก็เหมือนจะต้องตอบว่าไม่ได้อะไร
แต่ก่อนอื่น การลงทุนแบบเน้นคุณค่า คือ การลงทุนโดยมองคุณค่าหรือมูลค่าให้ออก
และตามประสบการณ์ที่ผมมองเห็น VI ก็ถูกใช้ไป 2 ทาง
1. ลงทุน VI ระยะสั้น คือ นักลงทุนที่มองมูลค่าออก แล้วดูว่าสิ่งนี้มูลค่าถูก แล้วคาดว่าราคาจะขึ้นก็ซื้อ ถ้าแพงราคาจะลงก็ขาย ซึ่งการกำไร ก็น่าจะโฟกัสไปที่ส่วนต่างราคา รวมถึงความรวดเร็วที่จะทำกำไรได้ บางครั้งผมก็มักคิดว่า ดูเหมือนการเก็งกำไรแบบเน้นคุณค่า(คำว่าการลงทุน มันดูมั่นคงกว่าเยอะใครๆก็อยากใช้คำนี้) เพราะถ้าอ้างอิงตามหนังสือที่เป็นที่ยอมรับดูเงื่อนไขจะเข้าหมวดการเก็งกำไรมากกว่า
2. ลงทุน VI ระยะยาว คือ นักลงทุนที่มองมูลค่าออก และมองยาวขึ้นว่า มูลค่านั้นในระยะยาวจะเป็นอย่างไร ทั้งจากการเติบโต ความต้องการของสังคม เมื่อคิดว่าเหมาะสมก็ลงทุน และถือการลงทุนนั้นในระยะยาวหลายๆปี ซึ่งการกำไร ก็น่าจะโฟกัสไปที่ผลตอบแทนที่จะได้รับก็จะเป็นเงินปันผลซึ่งได้รับจากการกำไรที่การลงทุนที่ถือนั้นไปปฏิบัติต่อสังคมจริงและก่อส่วนต่างที่เป็นกำไร กระแสเงินสด ซึ่งเป็นรายได้ที่แท้จริงและผ่านกระบวนการต่างๆทางสังคม
และตัวความเห็นที่จะเขียนต่อ จะเป็นส่วนของ ข้อ 2 ลงทุน VI ระยะยาว
สังคมมองมาอย่างไร
สังคมที่สัมผัสได้ น่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนจริงใจ เพื่อน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนเที่ยว คนบ้านใกล้กัน คนรู้จัก คนที่เราต้องติดต่อด้วย และสังคมโดยรวม ก็น่าจะเป็น คนกรุงเทพ คนเชียงใหม่ คนไทย คนจีน คนทั้งโลก
ครั้งหนึ่ง ได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกคนมีเงินพอสมควร ซึ่งคนนี้ก็มักจะได้คำพูดจากสังคมที่สัมผัสได้ว่า มึงรวยว่ะ น่าอิจฉาว่ะ ไม่ต้องทำอะไรก็มีเงินใช้แล้ว พ่อมึงนี่เก่ง(ทำงานเก่งทำเงินได้ดี)ว่ะ พ่อมึงรวยเนอะ มึงนี่รวยเพราะพ่อ ก็เลยถามว่าพอมึงได้ยิน “มึงนี่รวยเพราะพ่อ” (ด้วยความอิจฉาเล็กๆ หรือรู้สึกว่ามึงแม้งโชคดีว่ะ) มึงรู้สึกยังไงว่ะ มันตอบว่า พวกมึงซวยเอง (โอ้คำตอบชอบมาก) ถามว่าให้พวกมึงมีพ่อที่รวยเก่ง เหมือนพ่อกูเอามั้ย (คิดว่า คนมากกว่า90-95% ก็น่าจะอยากมีบ้านรวย พ่อรวยนะ) ตอนแรกๆก็รู้สึกกับคำพูดพวกนี้แต่ตอนนี้ไม่แล้ว
ต่อมาบังเอิญได้อยู่ในการสนทนาระหว่าง คุณเริ่มมี กับ คุณช่วยเหลือ เรื่องก็คือว่า คุณเริ่มมี เริ่มมีอาการจิตตก คือคุณเริ่มมี เพิ่งจะเรียนจบมาได้ไม่กี่ปี และบังเอิญ คุณเริ่มมี มีการลงทุน น่าจะเกี่ยวกับตลาดหุ้น เค้าเล่าว่า เค้าลงทุนในตลาดหุ้นมาหลายปีแล้วเหมือนกัน จากบื้อๆเป็นเข้าใจมากขึ้น จนมาถึงวันนี้เค้ามีรายได้จากเงินปันผล และบางทีก็จะมาจากส่วนต่างกำไร แล้วตัวเค้าก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเขาจะสามารถหาพอเลี้ยงตัวเองได้ในระยะยาว แต่ด้วยว่าความรู้สึกต่างๆที่วิ่งเข้ามาจากสังคมที่สัมผัสได้นั้นช่างงงงวย และหนักหน่วง ตัวคุณเริ่มมี จึงเริ่มรู้สึกว่าตัวเค้าจะมีปัญหากับสังคมรึไม่ เริ่มจากครอบครัว ตอนเริ่มแรกครอบครัวก็ไม่เห็นด้วยด้วยเหตุผลต่างๆที่ต่างได้รับรู้เกี่ยวกับหุ้น จนคุณเริ่มมี สามารถทำผลตอบแทนได้ต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นทีละน้อย ซึ่งก็ใช้เวลาหลายปีจนครอบครัวมองเห็นเข้าใจ และคิดว่าพอจะเป็นไปได้ ปัญหาส่วนนี้จึงเบาบางลง แต่หาจบแค่นี้ไม่ ญาติ คนใกล้บ้าน คนรู้จัก อ่าวทำไมไม่ไปเรียนต่อ เล่นหุ้นจะรอดเหรอ และอื่นๆอีกมาก และวันนึงคุณเริ่มมี หลังจากจิตตกได้สักพัก ก็มีโอกาสคุยกับคุณช่วยเหลือทางโทรศัพท์ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตอนเรียน เริ่มมีจึงเริ่มเล่าเรื่อง และอยู่ๆคุณช่วยเหลือจึงนัดให้ออกมาเจอ เริ่มมีถามเจอทำไมมีอะไรรึเปล่า ช่วยเหลือจึงบอกว่าให้ออกมาคุยกัน เค้าเรียนจิตวิทยาอยู่อยากคุยดูเผื่อว่าจะช่วยอะไรได้ ไม่กี่วันหลังจากนั้น เค้าสองคนก็เจอกัน ในร้านกาแฟบรรยากาศดีๆแห่งหนึ่ง คุณช่วยเหลือจึงเริ่มถาม อ่าวเป็นไงบ้าง เริ่มมี จึงเริ่มเล่าไปเรื่อยๆ ดูๆไปคุณเริ่มมีพูดอยู่ฝ่ายเดียว คุณช่วยเหลือ ตอบบ้าง ถามบ้างแบบสั้นๆ แล้วเริ่มมีก็เริ่มพูดน้อยลงๆๆ จนจบ รวมๆ เกือบชั่วโมงมั้ง เริ่มมี หัวเราะเล็กๆ แล้วพูดว่า ดูเหมือนตัวเค้าพูดอยู่ซะฝ่ายเดียว อืมแต่กลับรู้สึกดีแฮะ คุณช่วยเหลือเริ่มพูด ก็คือว่า ใช้เงินทำงานได้ หาเงินได้โดยไม่ต้องทำงาน เลยไม่มีงานอะไรทำ และก็หาได้ตกเดือนละไม่แพ้คนที่เพิ่งจบปริญญาโทแบบทั่วไป แต่กังวลเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในสังคม การยอมรับ ใช่มั้ย เริ่มมีตอบ อืม พรางคิดว่า พูดตั้งเป็นชั่วโมงตกลงเนื้อหาก็ประมาณแค่นี้เนอะ
คุณช่วยเหลือ เริ่มพูดต่อ “คุณเริ่มมี คุณรู้มั้ยว่าจริงๆแล้ว ชีวิตแบบคุณคือชีวิตที่แทบทุกคนอิจฉา อยากเป็น อยากมี” คุณเริ่มมีนั่งนิ่ง อึ้ง พรางคิด เออว่ะ เออว่ะ เออว่ะ จริงๆ เออว่ะ คุณช่วยเหลือ พูดต่อ ลองคิดดูสิ คนที่มาทำงาน 5 วัน ต่อสัปดาห์ทั่วไป ได้เดือนละ 25,000 บาท กับคุณที่สามารถทำเงินได้ 30,000 บาท โดยที่ไม่ต้องทำงานหนักเท่า ถ้าเลือกได้ก็น่าจะตอบแทนได้เลยว่า คนส่วนใหญ่มากๆ จะต้องเลือกมีเงินโดยไม่ต้องทำงาน หรือทำงานน้อยๆ สบายๆ จะยกเว้นแค่กรณีเดียว คือ คนที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก คุณเริ่มมี นั่งนิ่ง อึ้งต่อ เออว่ะ
คุณเริ่มมีจิตเริ่มหายตก เริ่มพูดว่า เออเนอะ สมมุติ มีคนที่ทำงานในสังคมได้เงินเดือนละ 25000 บาท มาบอกให้ผมไปทำงานข้างนอกสิ ซึ่งสมมุติว่าได้เงินเดือน 25000 บาท ด้วยทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ แต่ไม่สิตามวุฒิ ปริญญาตรี เริ่มงาน อาจจะได้ 15000 บาทด้วยซ้ำ ต่อให้ได้ 25000 บาท ทำงานทุกวัน แต่ผมไม่ต้องทำทุกวันได้ 30000 บาท นั่นอาจจะแปลว่าทางหรือวิธีที่ผมทำอยู่น่าสนใจกว่า และถ้าผมไปทำงานตำแหน่งเค้าก็อาจทำได้ไม่ดีเท่าหรืทำได้ดีกว่า หรือถ้าเค้ามาทำแบบผมก็อาจจะทำได้ หรือทำไม่ได้ก็ได้ งั้นดูๆไป วิธีของผมนั้นดูดีกว่าแล้ว แล้วผมควรจะเชื่อสังคมและทำตามสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในสังคมคิดว่าถูกหรือไม่ เออว่ะ
คุณเริ่มมี คิดต่อ และพูดว่า แปลว่าตอนนี้ ตัวเค้าคิดผิดอยู่ใช่มั้ยเนี่ย ทำให้รู้สึก ข้อดี กลายเป็นข้อเสีย คุณกลายเป็นโทษ ประโยชน์กลายเป็นภัย พร้อมกับพูดว่า เข้าใจแล้ว เราจะไม่ถูกหรือผิด จากความเห็นชอบจากผู้อื่นว่าถูกหรือผิด แต่เราจะถูกหรือผิด จากเหตุผลที่ถูกต้องและความเป็นจริง
Ok อันนี้เข้าใจแล้ว แล้วทำไงดีกับสังคมล่ะ