หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!!

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 03, 2010 8:23 am
โดย picklife
เพื่อนๆพี่ๆจะทำอย่างไรครับ

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!!

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!!

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 03, 2010 9:05 am
โดย laohanant
จ่ายเท่าเดิมอยู่แล้ว ก็ทำเพิ่มครับ

อุ่นใจมากขึ้นเมื่อนึกถึงคนข้างหลังเรา  :D

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!!

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 03, 2010 9:11 am
โดย picklife
ช่วยกันโหวตนะครับ เพราะตัวนี้ผมมองว่าผมกับรายได้ของกลุ่มประกันเลยทีเดียว
แต่จะมากหรือน้อยก็ต้องลองดูผลโหวตกันดูครับ

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!!

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 03, 2010 10:10 am
โดย Warantact
มีช๊อย ปกติขายประกันอยู่ และกำลังจะไปขายคนที่คิดว่าจะทำเพิ่ม
ไหมครับ?

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!!

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 03, 2010 12:04 pm
โดย picklife
Warantact เขียน:มีช๊อย ปกติขายประกันอยู่ และกำลังจะไปขายคนที่คิดว่าจะทำเพิ่ม
ไหมครับ?
ใครขายประกันครับ อยากคุยด้วยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
อยากถาม2เรื่องครับ

1.คนที่ทำประกันเต็มวงเงิน1แสนพอดี มีประมาณกี่%ของทั้งหมดครับ
2.มูลค่ากรรมธรรม์ของกลุ่มนี้คิดเป็นประมาณกี่%ครับ

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!!

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 03, 2010 2:22 pm
โดย Warantact
เด๋วถามให้นะ บ้านผมทำประกันมาสามชั่วคนแล้ว
ขอไปคุ้ยข้อมูลหน่อย

ถ้าคร่าวๆนะครับ คนรวยจะทำเกินแสนไปมาก ส่วนชนชั้นกลางจะทำไว้หักภาษีนิดหน่อย

คนจน น่าทำที่สุดแต่ไม่ยอมทำ 5555

กี่% ไม่รู้หรอกครับ แต่รายใหญ่ๆไม่กี่รายจ่ายเบี้ยเยอะกว่ารายเล็กเป็นกองทัพ
ดูแลง่ายกว่าด้วย

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!!

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 03, 2010 3:24 pm
โดย Coca-Cola
ความคุ้มค่า...

ระหว่างการทำประกันผ่าน
1.  ธนาคาร  เช่นกสิกร, กรุงเทพ, ไทยพาณิชย์ เป็นต้น
2.  สถานบันประกันทั่วๆไป  เช่น AIA, อลิอัน, กรุงเทพประกันภัย เป็นต้น

ทั้ง 2 กลุ่ม เมื่อเราจ่ายเบี้ยประกันในจำนวนที่เท่ากัน  ถ้ามองความคุ้มค่าของผลตอบแทนต่เรา  เราควรจะทำที่ไหนดีครับ  และอย่างไร

ใครมีตัวเลขมาแชร์บ้าง

ปล. พอดีว่าผมก็เห็นสมควรที่ตัวผมจะทำนะครับ  แต่ก็ติดที่ว่าไม่ค่อยใส่ใจศึกษาข้อมูลเปรียบเทียบเหล่านี้เลย เห็นที่ไรก็เวียนเฮดอะ

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!!

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 03, 2010 3:41 pm
โดย Warantact
อันนี้เอามาเปิดเผยแบบเป็นผลเสียกับอาชีพที่บ้านเลยนะครับ

ซื้อกับแบงค์คุ้มกว่าครับ

ในแง่ผลตอบแทนรวม เพราะแบงค์ไม่ต้องจ่ายคอมมิชชั่นให้ตัวแทน ผมตอบแทนจะได้เต็มๆ โดยทั่วไปถ้าคุ้มครองเท่ากัน เบี้ยจะถูกกว่า ถ้าคุณไม่โดนอะไรแบงค์คุ้มกว่าครับ


แต่ถ้าโดนขึ้นมา แบงค์ไม่ดูแลให้ครับ ทำเอง เคลมเอง ทุกอย่าง
ตัวแทน ถ้าไม่ดีก็ไม่ดูแลให้เช่นกัน

มีเพียงตัวแทนดีเท่านั้นที่จะดูแลให้ทุกอย่าง


สรุป ถ้าตัวแทนดี ก็ควรซื้อกับตัวแทน ส่วนที่เป็นพรีเมียมก็ถือเป็นค่าบริการไป
แต่กว่าจะรู้ว่าตัวแทนไหนดีไม่ดีก็ตอนจะตายนู่น 5555

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!!

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 03, 2010 5:06 pm
โดย picklife
Warantact เขียน:เด๋วถามให้นะ บ้านผมทำประกันมาสามชั่วคนแล้ว
ขอไปคุ้ยข้อมูลหน่อย

ถ้าคร่าวๆนะครับ คนรวยจะทำเกินแสนไปมาก ส่วนชนชั้นกลางจะทำไว้หักภาษีนิดหน่อย

คนจน น่าทำที่สุดแต่ไม่ยอมทำ 5555

กี่% ไม่รู้หรอกครับ แต่รายใหญ่ๆไม่กี่รายจ่ายเบี้ยเยอะกว่ารายเล็กเป็นกองทัพ
ดูแลง่ายกว่าด้วย
ขอบคุณมากๆครับ ผมลองวิเคราะห์ดูนะครับ
ขั้นที่1 ลองจัดกลุ่มใหม่ดู
ทำประกันเพิ่มอีก1แสน 8%
ไม่แน่ใจ 1+12=16%
ไม่ทำเพิ่มอีกแล้ว 8+24+44/2=54%
ไม่เคยทำ 44/2=22%

ขั้นที่2 ลองเอาส่วนไม่เคยทำออก แล้วปรับ%ใหม่
ทำประกันเพิ่มอีก1แสน 8/0.78=10%
ไม่แน่ใจ 16/0.78=21%
ไม่ทำเพิ่มอีกแล้ว 54/0.78=69%

ขั้นที่3 ลองใส่มูลค่าน้ำหนักของการทำประกัน
ทำประกันเพิ่มอีก1แสน 10%*100,000=10,000
ไม่แน่ใจ 21%*50,000=10,500
ไม่ทำเพิ่มอีกแล้ว 69%*10,000=6,900
รวมมูลค่าประกันเดิม27,400

ขั้นที่4 ให้การเติบโต
ทำประกันเพิ่มอีก1แสน 10,000*2.0=20,000
ไม่แน่ใจ 10,500*1.5=15,750
ไม่ทำเพิ่มอีกแล้ว 6,900*1.0=6,900
รวมมูลค่าประกันที่โตแล้ว42,650

ขั้นที่4 สรุปกลุ่มประกันชีวิตรายบุคคลโต
(42,650/27,400-1)*100=55.6%

ขั้นที่5 สรุปบริษัทประกันโต
สัดส่วนรายได้กรรมธรรม์รายบุคคล
(ผมจำไม่ได้T^T เอากลมๆก่อนนะครับ 80% ขอเดาก่อนแล้วค่อยมาปรับตัวเลขกันทีเดียวหลักจากได้ข้อมูลจากน้องWarantact หรือพี่ท่านอื่นๆนะครับ)
80%*55.6% =44%

ถ้าสมมุติตัวเลขนี้ถูกต้อง(ขอโพสตั้งเป็นตุ๊กตาไว้ก่อนนะครับ แล้วค่อยมาปรับกันอีกที)

จะสามารถสรุปได้ว่า กรรมธรรม์น่าจะโตจากสาเหตุปรับลดหย่อนภาษี44%
ซึ่งรวมกับการเติบโตรวมของกลุ่มที่15% ดังนั้นรายได้จะโต44+15=59%
ซึ่งไม่รวมกรณีแย่งมาร์เกตแชร์ ซึ่งหุ้นประกันชีวิต2ตัวในตลาดสามารถแย่งมาร์เกตแชร์ได้เรื่อยๆ ถ้าเอากลมๆของสองตัวนี้ น่าจะแย่งได้ปีละ10%ของยอดเดิม

ดังนั้นรายได้ที่เติ่มโตหลังจากรวมทุกสิ่งทุดอย่างแล้วคือ
59*1.1=65% จบครับ......

ที่เหลือนั่งรอตัวเลขและคำวิจารณ์จากพี่ๆกันครับ:bow:

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!!

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 03, 2010 5:59 pm
โดย Warantact
ขึ้นกับฐานลูกค้าด้วยครับ

ถ้าของเดิมใครจ่ายเบี้ยอยู่แสนนึงแล้ว พวกนี้ร้อยละ80-90จะซื้อเพิ่มครับ
ด้วยเหตุผลทางภาษีล้วนๆ

พวกรายเล็กๆไม่ซื้อครับ
บริษัทที่ได้ประโยชน์มากคือ AIA ครับ เพราะรายใหญ่ส่วนมากทำที่นี่

อันดับสองไทยประกันนี่ เต็มไปด้วยรายเล็กๆ ยิบๆ ไม่ค่อยโดนอะไร


แบงค์นี่ไม่รู้แฮะ

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!!

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 04, 2010 8:17 am
โดย picklife
Warantact เขียน:ขึ้นกับฐานลูกค้าด้วยครับ

ถ้าของเดิมใครจ่ายเบี้ยอยู่แสนนึงแล้ว พวกนี้ร้อยละ80-90จะซื้อเพิ่มครับ
ด้วยเหตุผลทางภาษีล้วนๆ

พวกรายเล็กๆไม่ซื้อครับ
บริษัทที่ได้ประโยชน์มากคือ AIA ครับ เพราะรายใหญ่ส่วนมากทำที่นี่

อันดับสองไทยประกันนี่ เต็มไปด้วยรายเล็กๆ ยิบๆ ไม่ค่อยโดนอะไร


แบงค์นี่ไม่รู้แฮะ
ขอบคุณครับ แต่AIAโดนแย่งมาร์เกตแชร์ๆเลยนิครับ ถ้ารวมปัยยลบและบวกอาจจะโตน้อยกว่าตัวอื่นๆ

งั้นคนที่ทำประกันเต็มวงเงินลดหย่อนภาษีมีประมาณกี่%ของคนทั้งหมดหรอครับ

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!!

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 04, 2010 1:07 pm
โดย navapon
จุดประสงค์หลักที่ทำประกัน
ผมมองเป็นข้อๆตามนําหนักมากไปน้อย ดังนี้ครับ

1 คือเพื่อลดหย่อนภาษี ทีนี้จะทำมากเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับฐานภาษีและรายได้ของแต่ละคนแน่ๆครับ

2 มีประกันก็ดี เจ็บป่วยรักษาใน รพ.เอกชน ได้โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยเพราะประกันออกให้ และผมว่าอย่างไรเสีย รพ.เอกชนก็มีมาตฐานการวินิจฉัยและรักษาที่ดีกว่า รพ.ของรัฐครับ เพราะของรัฐมักเน้นประหยัดงบ รพ.ไว้ก่อนจะตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษอะไรที่ค่าใช้จ่ายสูง ถ้าไม่ค่อยจำเป็นจริงๆก็ไม่ค่อยตรวจให้คนไข้ถ้าไม่สงสัยจริงๆ ต่างกับเอกชนเขาตรวจให้เลยเพราะ ตรวจแล้วเขาได้สตางค์ ตอนจ่ายยาก็แบบเดียวกัน รพ.เอกชนก็มีแนวโน้มจ่ายยาที่ high กว่าของ รพ รัฐมาก
อีกอย่างครับ คนป่วยบ่อยจะรู้สึกว่าทำประกันแล้วคุ้มค่ามากครับ แต่คนไม่ค่อยป่วยจะมองตรงกันข้าม แต่เรื่องความเจ็บป่วยไม่มีใครรู้ล่วงหน้านะครับว่ามันจะมาเมื่อไหร่ มีประกันไว้ก็อุ่นใจครับ ยิ่งเป็นโรคร้ายแรงเช่นเป็น มะรงมะเร็งขื้นมา ผมเห็นคนรวยอายุมากบางคนอยากทำประกันชีวิตแต่เขาไม่รับทำให้มีเยอะนะครับ ดังนั้นถ้าทำไว้เนิ่นๆ ตอนแก่ตัวลงจะมีหลักประกันนะครับ

3 ได้ดอกเบี้ยดีกว่าฝากแบงค์นิดหน่อย ด้านความมั่นคงปลอดภัยของเงินต้นว่าจะสูญหรือไม่ก็คงอยู่ที่การเลือกบริษัทประกันที่จะทำนะครับ

(สำหรับคำถามตามโพล ตัวผมเองตอบข้อ 1 ครับ)

ทำอย่างไรให้ IRR ของประกันชีวิตสูงขึ้นเกิน 20%

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 05, 2010 10:32 pm
โดย ottothan
ก่อนอื่น ขอออกตัวก่อนนะครับว่า ไม่ได้คิดมาหากินกับเพื่อนๆในบอร์ดนี้ เอาว่าที่เข้ามาเขียน เพราะต้องการแชร์ประสบการณ์กันมากกว่า

อย่างที่รู้ๆ ถ้ามองในมุม investment การประกันชีวิตเป็นการลงทุนที่ IRR ต่ำมาก ยกเว้นซื้อวันนี้ ตายพรุ่งนี้ จุดประสงค์ของผลิตภัณฑ์คือการคุ้มครองความเสี่ยงมากกว่า (Human asset protection) ส่วนเรื่องเงินออมตอนเกษียณ ผมว่าทุกคนคงมีแนวทางของตัวเอง ประกันอาจเป็นตัวเลือกหนึ่ง ในการจัดสัดส่วนการออม ผลตอบแทนที่แน่นอนในอนาคต จึงเป็นการวางแผนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ได้

การลดหย่อนภาษีจึงเป็นนโยบายที่นำมาใช้ให้เกิดการออมระยะยาวมากขึ้น โดยเฉพาะผู้มีฐานภาษีสูงๆ ปกติถ้ารวมผลตอบแทนในเรื่องภาษี ที่ผมเคยทำ IRR ไว้ก็มีของ gain first ให้ประมาณ 7% (ฐานภาษี 37%) น่าจะดีที่สุดในตลาด เพราะ return ใช้ได้ ระยะโครงการสั้น แต่ IRR จะต่ำกว่านี้เหลือ 3-5% ถ้าฐานภาษีลดลงเหลือ 20-30%  ลองคิดดูว่าถ้าอัตราผลตอบแทนพอๆกับเงินเฟ้อ เพื่อนๆคงพูดว่า ไม่น่าจูงใจเท่าไหร่ (ไม่เอาเรื่องความคุ้มครองมาคิดนะ)

ก็เลยเป็นโจทย์ให้ผมทำการบ้าน หาจุดแตกต่างที่สามารถทำประกัน ลดหย่อนภาษีให้ได้ IRR ที่สูงขึ้น เพราะการไปนำเสนอเพื่อนผมทำได้ยาก เพราะไอ้หมอนี่เรียนการเงินมา ยังไงก็ไม่ซื้อ เพราะคำนวณ IRR ของทุกแบบประกันออกมาไม่น่าจูงใจ อีกทั้งบริษัทที่ทำงานอยู่ก็ให้ความคุ้มครองเต็มที่ ลูกเมียไม่มี พ่อแม่เสียไปหมดแล้ว เงินออมมีเป็นล้าน ลงทุนในหุ้น LTF ได้กำไรดีกว่าเห็นๆ

ในที่สุดก็ได้วิธีทำให้ IRR ได้ 21.37% (ต่อปี) ภายใต้เงื่อนไขการลดหย่อนที่ฐานภาษี 37% + ผลตอบแทนในระยะ 9 ปี ซื่งผมคิดว่าสูงมาก และไม่มีความเสี่ยง เพื่อนเอามาคิดตามไอเดียของผม ก็ OK ทำประกันกับผม ถึงแม้จะไม่ได้มากนัก เพราะมีซื้อไว้กับคนอื่นบ้างแล้ว แต่ก็ดีใจที่ได้หาโอกาส และสร้างแนวทางที่แตกต่างให้กับตัวเอง

ถามว่า ถ้าฐานภาษีต่ำกว่านี้จะได้ IRR เท่าไหร่ เคยคำนวณไว้อยู่ที่ 14.84% สำหรับฐานภาษี 30% และประมาณ 6% สำหรับฐานภาษี 20%

ถ้าใครสนใจ อยากรู้ว่าทำอย่างไร คุยกันหลังไมค์นะครับ แนะนำให้ได้และรับรองว่าถูกต้องตามระเบียบกรมสรรพากร เพราะผมเอาไปลดหย่อนมาแล้ว

Re: ทำอย่างไรให้ IRR ของประกันชีวิตสูงขึ้นเกิน 20%

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 06, 2010 8:18 am
โดย picklife
[quote="ottothan"]ก่อนอื่น ขอออกตัวก่อนนะครับว่า ไม่ได้คิดมาหากินกับเพื่อนๆในบอร์ดนี้ เอาว่าที่เข้ามาเขียน เพราะต้องการแชร์ประสบการณ์กันมากกว่า

อย่างที่รู้ๆ ถ้ามองในมุม investment การประกันชีวิตเป็นการลงทุนที่ IRR ต่ำมาก ยกเว้นซื้อวันนี้ ตายพรุ่งนี้ จุดประสงค์ของผลิตภัณฑ์คือการคุ้มครองความเสี่ยงมากกว่า (Human asset protection) ส่วนเรื่องเงินออมตอนเกษียณ ผมว่าทุกคนคงมีแนวทางของตัวเอง ประกันอาจเป็นตัวเลือกหนึ่ง ในการจัดสัดส่วนการออม ผลตอบแทนที่แน่นอนในอนาคต จึงเป็นการวางแผนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ได้

การลดหย่อนภาษีจึงเป็นนโยบายที่นำมาใช้ให้เกิดการออมระยะยาวมากขึ้น โดยเฉพาะผู้มีฐานภาษีสูงๆ ปกติถ้ารวมผลตอบแทนในเรื่องภาษี ที่ผมเคยทำ IRR ไว้ก็มีของ gain first ให้ประมาณ 7% (ฐานภาษี 37%) น่าจะดีที่สุดในตลาด เพราะ return ใช้ได้ ระยะโครงการสั้น แต่ IRR จะต่ำกว่านี้เหลือ 3-5% ถ้าฐานภาษีลดลงเหลือ 20-30%

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!!

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 06, 2010 8:20 am
โดย picklife
รบกวนพี่ ottothan แสดงวิธีคำนวนตรงนี้เลยได้ไหมครับ ผมสนใจมากครับ แต่ช่วยๆกันคิด เพราะได้ได้รีเทินเท่านั้นจริงผมว่าคนสนใจเยอะมากครับ :D

ปล.เอาเป็นตัวเลขคร่าวๆก็ได้นะครับในกรณีกลัวว่าลูกค้าจะรู้ค่ากรรมธรรม์

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!!

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 06, 2010 8:41 am
โดย Warantact
-__-a บ้านผมก็ขายประกันแต่ผมว่านั่นมันสูงไปนะ
ถ้าแบบประกันธรรมดา ไม่ว่าแบบไหนก็ 2-4% เท่ากันหมดหละ

ส่วนไอประหยัดภาษีนั่นของแถม

ซื้อแล้วตายภายในปีนั้น แบบจ่ายเบี้ยน้อยสุดผลตอบแทนจะมากสุด

ถ้าวงเงินการลดหย่อนประกันชีวิต!!! เพิ่มจาก1แสนเป็น2แสน!!!

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 07, 2010 12:21 am
โดย ottothan
โดยปกติ คนขายประกันจะเอาตัวเลข % เงินคืน เทียบกับทุนประกัน ในแง่การลงทุนมันเอามาคิดไม่ได้ เช่นแบบคืนทุก 3 ปีแรก 5% แล้วขึ้นเป็น 7% เป็น 10% เขาก็เอาเงินเรามาทยอยคืนให้ทั้งนั้นแหละครับ อัตราส่วนเบี้ยต่อทุนมันสูง ทีนี้ IRR มันต่ำ เพราะ return มันกว่าจะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็รอกันจนปิดเล่ม 10 ปี 20 ปี ทุกแบบ CASH VALUE หรือ CASH FLOW ปีแรกๆหายหมด พอระยะเวลามันทอดยาว FV มันโตช้า พอทอนกลับไปเป็น PV ค่ามันก็เหลือนิดเดียว IRR มันถึงต่ำ ถ้าไม่มีเรื่องภาษีเข้ามาช่วย ดันยังไงก็ไม่ถึง 10%

ดังนั้น ประกันไม่ใช่สินค้าเพื่อการลงทุน ถ้าจะลงทุนต้องทำให้เกิด CF กลับมาเร็วที่สุด พอบวกกับการลดหย่อนภาษี ทำให้ % return ขึ้นมาสูง IRR ก็สูงตาม ไม่ใช่ทุกแบบที่ทำได้ ดังนั้นผมจึงเน้นไปในแบบที่ผมถนัด ศึกษามาเป็นอย่างดี ทำได้ถึงทำครับ

ฟังแล้วอาจจะงงๆ ขอคุยหลังไมค์ดีกว่าครับ แล้วเดี๋ยวผมส่ง calculation sheet ไปให้ดู เป็น result นะครับ ถ้าจะถามที่มาที่ไปว่าเรื่องแบบต้อง present กันอีกยาว (ที่ลงไม่ได้ เพราะเคยโดนรุ่นพี่ตำหนิว่าเวลาขายประกัน อย่าไปคุยเรื่อง IRR เพราะมันไม่เกี่ยวกันอย่าไปพูด เพราะมันไม่ใช่ประโยชน์หลักของสินค้า ขายประกัน ให้เน้นเรื่องเงินออม เรื่องสวัสดิการ เดี๋ยวโดนเล่นงานเอา)