หน้า 1 จากทั้งหมด 1

งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 23, 2009 11:21 pm
โดย noooon010
มาสรุปให้ฟังคร่าวๆครับ
(ขออนุญาติพี่เค้าแล้วนะครับ น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุนมากๆนะครับ )
http://dekisugi.net/2009/10/06/0236-2/

0236: หัวข้อสัมมนา 1001ii @ B2S Chidlomข้อคิดย่อยๆ

- พอลงทุนในตลาดนานๆ ความคิดในการลงทุนของเราก็จะเปลี่ยน
จะเห็นได้จาก VI หลายคนเริ่มสนใจ market สนใจ fund flow , technical

(ผมขอเติมเอง) ... อย่าลืม review ว่า philosophy ดังกล่าว เหมาะสมกับเราแค่ไหนนะครับ

- GURU ของ ทั้งฝั่ง fundamental & technical หรือแม้แต่ speculator ก็มีหลากหลาย ดังนั้นจะเกิดปัญหาว่า เชื่อใครดีเอ่ย  

fundamental

- บางคนบอกว่า ซื้อเมื่อราคาต่ำสุดๆ(เมื่อไหร่อ่ะ อันนี้ผมคิดว่าเป็นศิลปะนะครับ)
- และบางคนบอกว่า แบ่งเงินเป็นกี่ % ของ maney wealth ถ้า อายุ30 -40 ปี
ลงหุ้น 80% >>> ถ้า market crash / มี surprise ท่านจะ manage อย่างไร  
- ไม่ขายไม่ขาดทุน / ถือยาวอย่างเดียว  >>>ถูก หรือ ผิด    

ดังนั้น ก็ถึงกระบวนการคิดในการเลือก philosophy ให้เหมาะสมครับ

การซื้อตามข่าว

พี่เค้าแนะนำว่า ถ้าข่าวมันเป็นความเท็จ ไม่เป็นตามข่าว
เราควร cut loss (เพราะเหตุผลที่เราซื้อ เพราะตามข่าว แต่มันเป็นข่าวลวง)

แนวคิดการลงทุน

การลงทุนของเรา ยึดหลักอะไรบ้างครับ

- fundamental
- technical
- fund flow
- speculator
ฯลฯ

ความเห็นของผม(นุ่น) ก็คือ เลือกในสิ่งที่เหมาะกับเราครับ
และผมอ่านจาก winning habits & trend following ที่ผม post ในกระทู้ของผมนะครับ

http://board.viknowhow.com/index.php?topic=347.30

เลือก philosophy ที่เหมาะกับเรา
แนวคิดคือ style การลงทุน(philosophy) ที่เหมาะกับตัวเรา ต้องเป็นแนวความคิดที่เรานำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้เหมาะสม เช่นถ้าไม่ว่างเฝ้าจอ

เราก็จะไม่ค่อย day trade เพราะเราไม่สามารถดูราคาหุ้นในแต่ละวินาทีได้ทัน

และ strategy ที่เราใช้ ก็ควรไปในทางเดียวกัน
มีตัวอย่างครับ

nokia ผลิตมือถือหลายรุ่น 1 2 3 4 ---- n
แต่ละรุ่นก็มี หลายแบบ ดังนั้น เค้าก็ต้องคิด + มีต้นทุนการผลิตในแต่ละรุ่นค่อนข้างมากกว่า apple ที่เลือกที่จะทำรุ่นเดียว คือ iphone ครับ

มาถึงหลัก 7 ข้อครับ

7 aspects of investing style

1. scope หุ้นที่เราเลือกลงทุน


เช่น Warren Buffett เลือกลงทุนแต่หุ้น grade A+
หรือบางคนเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นที่อยู๋ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูง เช่นบริษัทยา(ในต่างประเทศ)

2. diversification

ต้อง diversify การลงทุนของเราไหม เมื่อไหร่ ทำไม

3. target
เช่น ขายเมื่อ over value
หรือบางคนขายเมื่อ หุ้นขึ้นมา 1 เด้งแล้ว(ใช้ราคาเป็นตัวกำหนด)

หรือบางคนขายเพราะมีหุ้นตัวอื่นน่าสนใจกว่า

4.จดไม่ทันครับ    :oops:

5. เวลาซื้อหุ้น แล้วมันไม่เป็นแบบที่คิด เช่นราคาตกลงไป เรามีวิธี manage อย่างไร

เช่น ซื้อหุ้นแล้ว ราคาตกไป 5% >> cut loss ทันที
บางคนราคาตกไป ซื้อถัว
บางคนรอมีดปักพื้น แล้วซื้อ

ฯลฯ(เลือกสิ่งที่เหามะกับคุณครับ)



6. Assett allocation

อายุของเราเท่าไหร่
ถือหุ้นกี่ส่วน ถือกองทุนกี่ส่วน รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน

7. position sizing

น้ำหนักในการลงทุนของเราในแต่ละครั้ง

ถ้ามั่นใจในหุ้นนี้มาก เราซื้อเยอะแค่ไหนของ port

ถ้าตีแตก แล้วซื้อแค่ 100 หุ้น แล้วกำไรจะมากกว่า คนที่ซื้อเยอะๆ แต่กำไร 20% ไหม

ตัวอย่างการ apply แนวคิดทั้ง 7 นี้

- Warren Buffett เลือกเฉพาะหุ้น grade A+
ดังนั้นจึงซื้อหุ้นจำนวนมาก เพราะหุ้นที่ซื้อเป็น Grade A+
ซื้อแล้วถือยาวๆได้ เพราะราคาหุ้นจะสะท้อนราคาที่แท้จริงในระยะยาว

และเพราะหุ้นเป็น grade A+ ดังนั้นเมื่อราคาลง จึงซื้อเพิ่ม เพราะเป็นการ discount หุ้น grade A+

ดังนั้น ไม่ควร diversify แต่ควร focus investing

Sir John Templeton

ลงทุนเมื่อ USA เข้าสู่ยุคสงคราม
คนไม่ค่อยซื้อหุ้น+หุ้นบางตัวราคาตกต่ำมากๆ

ดังนั้น เค้าเลือกหุ้น turn around 104 ตัว

ผลออกมาปรากฏว่า ถือไป 4 ปี
ขาดทุน 4-5 ตัว

นอกนั้นกำไรหลายเด้ง

เนื่องจากถือหุ้น turn around(ไม่ใช่หุ้น grade A)
จึงไม่ถือยาว
และต้อง diversify

Well Known Style

1.Day trade


- ซื้อเช้า ขายบ่าย ไม่นำหุ้นกลับบ้าน
(แต่ day trade ที่เก่งๆ ก็ไม่ได้ซื้อทุกวันนะครับ/นุ่น)

- ต้องมีเวลา ต้องเฝ้าหุ้นได้
- ต้อง cut loss เป็น
บางคน cut loss ที่ 2%

- ต้องเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงเท่านั้น
- ไม่ diversify เพราะตามหุ้นไม่ทัน ดังนั้นตามราคาหุ้นแค่ 1-3 ตัวในวันนั้นก็พอ

2. Swing Trading

- ระยะเวลาการลงทุน 1 สัปดาห์ - 6 เดือน
- ตาม ข่าว + สัญญานทางเทคนิค
- cut loss ได้ไม่เร็ว ดังนั้นต้องมีวิธีลด risk
เช่นซื้อหุ้นหลายตัว (diversify) ต้องพยายามหาหุ้นให้เจอเยอะที่สุด

+ take โอกาสหลายครั้ง เช่น ซื้อหุ้น 7 - 8 ครั้ง ไม่ได้ซื้อวันเดียว

- ข้อดี เล่นหุ้นได้เกือบทุกประเภท แม้แต่หุ้นปั่น

3. Fundamental Investment


- ซื้อหุ้นพื้นฐานดี ซึ่งขึ้นกับว่า เราเลือกดูปัจจัยอะไร งบการเงิน, business model ฯลฯ

- ควรถือยาว เพราะราคาหุ้นจะสะท้อนราคาที่แท้จริงในระยะยาว ส่วนยาวแค่ไหน ก็แล้วแต่บุคคล

- ซื้อหุ้น grade อะไร(ผู้ลงทุนต้องแบ่งเกรดเอง)

Grade A >>> ไม่ต้อง diversify
Grade Bถึง C  >>> ควร diversify

4. Passive Investing

- เหมือนซื้อขายแบบ ETF/กบข.
เลือกลงทุน แล้วปล่อยให้ราคาหุ้นเป็นไปตามระยะเวลา โดยถือหุ้นเพื่อนำผลตอบแทนที่ได้ไปใช้ในยามเกษียน

ดังนั้นต้อง diversify
และใจต้องนิ่ง ไม่ถอนหุ้นออกมาก่อนเมื่อมีข่าวฯ
เพราะในที่สุด อัตราเงินเฟ้อ จะทำให้บริษัทที่เราลงทุนปรับราคาสินค้า

ดังนั้นผลกำไรของบริษัทจะสู้กับเงินเฟ้อได้ครับ

จบเท่านี้ครับ
มีความสุขกับการลงทุนนะครับผม   :D

งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 23, 2009 11:47 pm
โดย << New >>
ขอบคุณครับพี่นุ่น

งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 24, 2009 12:38 am
โดย Juninho
ขอบคุณครับ

งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 24, 2009 1:38 am
โดย vi_tal signs
โอ ... ขอบคุณครับ

สำหรับแนวคิด   :oops:

งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 24, 2009 8:51 am
โดย Possible
ขอบคุณครับ  :bow:

งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 24, 2009 1:27 pm
โดย chanon
ขอบคุณครับ

งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 24, 2009 7:56 pm
โดย ส.สลึง
โอ้.. ขอบคุณครับ :D
เสียดายจัง วันนั้นงานเข้าพอดีครับ เลยไปไม่ทัน :evil:
แต่ก็ติดตามผลงานทางตัวหนังสือของคุณโจ๊กอยู่ตลอดครับ :wink:

งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 25, 2009 9:39 am
โดย spooner
ขอบคุณครับ ไม่ได้ไปเหมือนกัน
มีคนมาสรุปให้ฟังดีจังเลย

งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 25, 2009 10:28 am
โดย K-invest
ขอบคุณมากครับ

งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 25, 2009 12:19 pm
โดย bigsby111
ขอบคุณครับ :D

งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 25, 2009 5:03 pm
โดย chut
อ่านแล้วผมยังงงๆ จับประเด็นไม่ค่อยได้
ประมาณว่า การลงทุนมีหลายแนว ซึ่งแต่ละแนวมี key success factors ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องมีพฤติกรรมเหมือนคนอื่น เพียงแค่ต้องรู้ว่าตนเองถนัดสไตล์ไหน และไม่ไปตามคนอื่นที่สไตล์ไม่เหมือนเรา อย่างนั้นหรือเปล่าครับ พี่นุ่น

ขอบคุณมากครับที่ช่วยนำมาเล่าสู่กันฟัง   :)

งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 26, 2009 9:55 am
โดย Tyrion
ขอบคุณมากๆ นะครับ  :D

งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 26, 2009 12:17 pm
โดย Saran
ขอบคุณมากครับ สำหรับความรู้ดีๆ ที่นำมาแบ่งปันกัน

งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 26, 2009 4:13 pm
โดย Prof.sur
สรุปสั้นๆ เป็นหัวข้อได้ใจความ มีคุณค่าง่ายต่อการเอาไปใช้มากๆครับ

คาราวะทั้ง จขกท. และพี่สุมาอี้ครับ  :bow:

งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 26, 2009 4:25 pm
โดย noooon010
[quote="chut"]อ่านแล้วผมยังงงๆ จับประเด็นไม่ค่อยได้
ประมาณว่า การลงทุนมีหลายแนว ซึ่งแต่ละแนวมี key success factors ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องมีพฤติกรรมเหมือนคนอื่น เพียงแค่ต้องรู้ว่าตนเองถนัดสไตล์ไหน และไม่ไปตามคนอื่นที่สไตล์ไม่เหมือนเรา อย่างนั้นหรือเปล่าครับ พี่นุ่น

ขอบคุณมากครับที่ช่วยนำมาเล่าสู่กันฟัง

งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 26, 2009 5:07 pm
โดย ake3004
Thanks kab.I was there and asking many many question.

hope every attendants do not boring na kab.