หน้า 4 จากทั้งหมด 30

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 11:17 am
โดย BABY TERMITE
newbie_12 เขียน:
จ๊ะอึ๋ย.... ดูผิดคับ

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 1:33 pm
โดย sattaya
naris เขียน:
พี่ก็ไปได้ไอเดียนี้จากผู้บริหารSiSที่เขามีระบบการจ่ายเงินให้พนักงานเป็นสองส่วนแรกคือเงินเดือนประจำ ที่ทางSiSจ่ายน้องกว่าคู่แข่งในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน
ส่วนที่สองคือ หน้าที่ความรับผิดชอบและผลงานในแต่ละเดือน/ไตรมาส/ปี ที่การให้คะแนนจะแตกต่างกันไปในแต่ละตำแหน่งครับ

โดยของพี่จะเอามาดัดแปลง(ขืนไปลดเงินเดือน พนักงานคงไม่พอใจเป็นแน่)
โดยเอาเงินที่จะให้พิเศษในสิ้นปี มาซอยเป็นจ่ายไตรมาสละครั้ง(และเพิ่มให้เขาเห็นว่าเราจ่ายเพิ่มนะ ไม่ได้ต้องการเอาเปรียบเขา)โดยมีการตรวจและให้คะแนนทุกๆเดือน จากการกำหนดรายละเอียดการให้คะแนนในแต่ละตำแหน่ง จากหน้าที่งานและเป้าที่เขาต้องรับผิดชอบ โดยมีทั้งคะแนนเป้ารวมยอดขายของร้าน30-50คะแนน(แล้วแต่ตำแหน่ง)และมีคะแนนภาพรวมของงานแต่ละทีม(ประมาณ30%)และที่เหลือเป็นความสัมพันธ์และความรับผิดชอบของตนเองครับ

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 1:59 pm
โดย naris
[quote="romee"]สวัสดีครับพี่นริศ

ปกติพี่เล่นพวก

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 3:10 pm
โดย ziannoom
ผมเด็ก มข เหมือนกันแต่เข้าเรียนตอนปี40 อ่ะ ส่วนตอนนี้ ไม่มีหุ้นสักตัว เมียไม่ให้ซื้อเอาไปปล่อยกู้ร้อยละสิบต่อเดือน พอสิ้นเดือนไปเก็บเงินกับเค้าแล้วสงสารอ่ะ ไม่มีเงินจะให้เรา คงรอให้เค้าจ่ายหมดก็เอาเงินไปซ์อหุ้นดีกว่า สบายใจกว่า

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 3:35 pm
โดย krisy
สวัสดีค่ะพี่นริศ

จะถามความเห็นว่า ก่อนจะลงทุนหุ้นสักตัว พี่นริศ ศึกษาข้อมูลละเอียดแค่ไหน ให้น้ำหนักอดีตเท่าไหร่ อนาคตเท่าไหร่
แล้วคิดว่ายอมรับความเสี่ยงของสิ่งที่ไม่รู้เท่าไหร่

กบคิดว่าข้อมูลอดีตดูไปมากๆไม่ได้บอกอนาคต เพราะงั้นมันน่าจะมีความพอดีพอใจอยู่ที่ไหนสักแห่ง
พอๆกับข้อมูลอนาคตที่ศึกษาละเอียดแค่ไหนก็ไม่มีวันได้ข้อมูลที่ถูก อย่างเก่งก็ใกล้เคียง อะไรๆก็ต้องคาดการณ์ทั้งนั้น ผู้บริหารมักจะ ปรับงบประมาณภายในทุกไตรมาส บางครั้งกบก็คิดว่าเราเป็นใครกันหนอ ที่จะคาดผลประกอบการณ์ล่วงหน้าได้เป็นปี

การลงทุนบางทีก็เป็นเรื่องของ risk/reward กบเข้าใจดีค่ะ เพียงแต่ก็อยากรู้ว่า คนที่ประสบความสำเร็จเนี่ย เค้ามีระดับความพอใจในข้อมูลแค่ไหนก่อนลงมือ (เพราะกบมีปัญหาตรงนี้มากมาก)

ขอบคุณมากค่ะพี่

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 10:41 pm
โดย naris
pump เขียน:คุณ naris คิดว่าแนวทาง Funds Flow  เหมาะกับตลาดหุ้นไทยไหมครับ

ปีที่แล้วหุ้นถูกแต่ Funds Flow  ไหลออกต่อเนื่อง

คุณ naris มีความเห็นอย่างไรครับ
พี่ไม่อาจไปวิเคราะห์ฟันธงกับสิ่งที่พี่ไม่รู้จริงได้ แต่ก่อนหน้านี้โดยส่วนตัวพี่เคยไปศึกษาเรียนรู้ทางด้านกราฟและแนวฟันโฟลว์พอคร่าวๆ แต่สุดท้ายพี่เลือกเอาแนวพื้นฐานเพราะแนวคำสอนของพระองค์...............โดยพี่ได้ยึดหลักคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงสอนเรื่อง"อิทัปปัจยตา" หรือคือ "ความที่สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี" หรือแปลเป็นภาษาบ้านๆคือ "มีผลเพราะมีเหตุ"

พี่เลยคิดว่า ถ้าพี่หาต้นเหตุของการลงทุนเจอจริงๆ ผลที่ได้ย่อมมาจากเหตุที่พี่สร้างไว้แน่นอน ขอยกตัวอย่างนิดหนึ่งนะครับ เช่นคุณหมอตรวจไข้ เจอคนปวดหัว ปวดตัวและแสบหลังอยู่บ่อยๆ และสอบถามบางอย่างเพิ่มเติม ก็อาจจะรู้ทันทีว่าคนนี้เป็นโรคอะไร......เพราะคุณหมอรู้เหตุที่เกิด............แต่ผมไปเจอแม่ค้าท่านหนึ่งที่ไม่รู้สาเหตุนี้ รู้แค่ว่า เขาปวดหัวและปวดตัว เลยกินยาแก้ปวด(อาจจะพาราหรือทัมใจ)เพื่อระงับอาการนั้นๆ........นั่นคือการมองแต่ผล.....ไม่ได้หาเหตุที่แท้จริง..........สรุปมาวันหนึ่ง......คนๆนี้อาเจียรเป็นเลือด.........เพราะกระเพาะเขาทะลุครับ...........เพราะต้นเหตุที่เขาปวดหัว ปวดเมื่อยตัวและแสบหลัง เกิดมาจากเขาเป็นโรคกระเพาะ แต่เขากลับไปกระตุ้นโรคนั้นๆที่ปลายเหตุ.............


พี่ว่าคนเล่นหุ้นในตลาดบางคนก็เหมือนๆกับแม่ค้าท่านนี้คือ............แก้แต่ปลายเหตุ.......แต่เขายังหาเหตุไม่เจอเลยครับ

พี่ขอเอาไอ้ที่พี่เคยเขียนที่มาที่ไป เหตุและผล ของ การเคลื่อนไหวราคาหุ้น ที่พี่เอาไว้อธิบายให้กับตนเองและบอกเพื่อนๆ มาแชร์ให้ดูนะครับ..........

จากที่พี่มองว่า ราคาหุ้นตามกราฟ คือ ผล(สมมุติให้คือA)ที่เป็นผลเพราะมันผ่านไปแล้วจึงเป็นกราฟได้ และกฏของแนวทางนี้คือ มีกรอบแนวต้าน-แนวรับ และกรอบทิศทางทีมันเคยเป็น ส่วนถ้ามันนอกกรอบที่มันเคยเป็น เช่นถ้ามันขึ้นทะลุแนวต้านแล้ว....ควรซื้อตาม หรือถ้ามันลงทะลุแนวรับแล้ว....ควรขายตามเช่นกัน เมื่อนายตลาดหรือเจ้ามือคิดเหมือนกันว่ามันต้องเป็นแบบนั้น.........สุดท้าย.....มันก็เป็นให้ดู......แต่จริงๆนั่นมันคือผล......แล้วต้นเหตุหล่ะคืออะไร.............

ต้นเหตุของA. พี่คิดว่าคือการเคลื่อนไหวของกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาซื้อและขายพร้อมๆกัน........สำหรับจุด ณ.ราคาและเวลานั้นๆ เสมือนหนูเรมมิ่ง......(พี่สมมุติให้เป็นB).......และพี่ยังแบ่งเส้นทางนี้ออกเป็นสามสายดังนี้

สายBแรก......เป็นโชคดีที่ตลาดเมืองไทยเป็นตลาดเกรดสอง ทำให้เราพอจะมองออกทิศทางของเงินที่จะไหลเข้าจากพ่อบุญทุ่มตัวจริงคือชาวต่างชาติ.....ถ้าใคร "เดา"โดยมีข้อมูลที่คิดว่าใช่ ว่าเขาจะขนย้ายเงินเข้ามา ก็ซื้อตาม และถ้ามีสัญญาณว่าเขาจะออกของ ก็ขายตาม......แต่การจะเข้าหรือออกของฝรั่งและกองทุนก็ยังคือผลเพราะมีเหตุบางอย่างทำให้เขามาซื้อ....แล้วเหตุตัวจริงที่ทำให้เขาซื้อหล่ะคืออะไร..........

สายBที่สอง......เป็นสายของทางเจ้ามือปั่นหุ้นที่ทุ่มเงินเข้ามาพร้อมกับปล่อยข่าวเพื่อที่จะให้มีแรงโมเมนตั้มที่ชนะแนวต้านได้.............สายนี้ถ้าใครรู้ข่าวต้นตอก่อน ก็รวยไป ใครเข้ามาทีหลังก็เยี่ยมเที่ยวยอดดอยเป็นประจำ.........อันตรายจริงๆ...........แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่ทำให้เขาติดดอยในระยะยาวได้ แสดงว่าBสองก็ยังเป็นผลที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว.........แล้วถ้างั้นเหตุตัวจริงหล่ะคืออะไร............

สายBที่สาม......เป็นสายของทางหุ้นทั่วไปที่ขึ้นหรือลงโดยไม่มีเจ้ามือใหญ่ๆเป็นตัวชี้นำ แต่เป็นรายย่อยๆที่คิดพร้อมกัน ซื้อพร้อมกัน เหมือนหนูเรมมิ่งที่ไปไหนไปด้วยกัน........หุ้นพวกนี้ส่วนมากสองกลุ่มแรกไม่ชอบเข้า........เพราะสภาพคล่องน้อยเต็มกลืน ในการเข้าหรือออก..........บางครั้งก็ไปทำให้หลายท่านไปยืนบนดอยค้างฟ้าได้ แต่อาจจะยืนเป็นการชั่วคราวหรือถาวรได้เหมือนกัน.........แสดงว่าBสามก็ยังเป็นผลที่เกิดขึ้นชั่วคราว....แล้วเหตุที่พาเขาลงดอย.......คืออะไร

พี่ให้ต้นเหตุของทั้งสามสายคือตัวC

แล้วตัวCที่พี่ว่าคืออะไร.................อะไรเป็นตัวที่จะกำหนดราคาหุ้นให้ขึ้นหรือลงได้..................ติ๊ก..ต่อก..ติ๊ก..ต่อก

เดี๋ยวมาพิมพ์ต่อ......ลองทายกันดูนะครับ

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 10:56 pm
โดย vi_tal signs
อืม  อ่านแล้ว  งงๆ  หน่อย

ผมอาจจะตอบมั่วๆนะครับ

 สำหรับผม ให้  C =  ความโลภ


สำหรับผม  ลงทุนมาได้ระยะนึง   จะเห็นตัวแปรในการกำหนด  ผลตอบแทน

คือ      ความโลภ ,  ความรู้  , เวลา ,...., ความจริง

ทุกสิ่งเป็นธรรมะหมดครับ

ถ้าเราเข้าใจความจริง    หากเรา โลภมาก แต่ความรู้ไม่มี   ก็ล้ม

หากเราไม่มีเวลา  แต่ดันอยากเล่น daytrade  ก็ล้ม




ทุกอย่างต้องมองประเมินจากความเป็นจริงๆหมดครับ

เพราะฉะนั้น รุ้เยอะ  ผลตอบแทนเยอะ  เสี่ยงน้อย

รุ้น้อย  ผลตอบแทนน้อย เสี่ยงมาก  


(  แพล่มเยอะไปหน่อยนะครับพี่นริศ  แหะๆ :oops:  :oops: )

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 11:05 pm
โดย คนเรือ VI
ขออนุญาติ share วิธีที่ใช้ได้ผลของผม (อาจจะเท่านั้น) นะครับ

ผมดูจิตเอาครับ

เห็นราคาหุ้น ถ้าเห็นโลภะเกิดขึ้นปั๊บ ผมหยุดครับ ไม่ซื้อไม่ขาย

เห็นกลัวปั๊บ หยุดครับ ไม่ซื้อไม่ขาย

ตามดูไปเรื่อยๆครับ ผมซื้อและขายเมื่อเชื่อจริงๆว่ามันน่าซื้อและน่าขาย และไม่ระลึกรู้ กิเลสครับ

ลงทุนเพื่อการลงทุน ก็จะได้ลงทุนครับ

(เพื่อนๆคนไหนไปดู หนีตามกาลิเลโอมาแล้วล่ะก็
ตกปลาเพราะว่า ได้ตก น่าครับ เหมือนกัน
อาจจะไม่ได้ปลาก็ได้ จริงมั้ย)

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 11:10 pm
โดย naris
ถูกต้องนะคร้าบ..........(สำหรับคนถายถูก) :P

Cคือข่าวหรือความเชื่อที่เขาคิดว่ามันจะเป็น......เช่น
เชื่อว่างบqหน้าปีหน้าจะดีสุดๆอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน.....อินไซด์ดักราคาก่อนงบออก............ราคาหุ้นเลยขึ้นก่อนงบบ่อยครั้ง....(คุ้นไหม)

หรือเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกและเมืองไทยปีหน้าจะฟื้นแล้วโว้ย..ฝรั่งก็เชื่อว่า ทางเอเชียจะฟื้นแล้วววววววววว.ผลตอบแทนดีแน่นอน...(แต่เราคิดกันว่า ตอนนี้แย่ยังไม่เห็นฟื้นเลยวะ.แล้วทำไม่หุ้นขึ้นเอาขึ้นเอาวะ).....แล้วถ้ามันฟื้นจริง เพราะคิดว่าจะฟื้น.....เลยยอมใช้เงินกันทั่วโลก.....มันก็ฟื้นจริง.....ไอ้เราก็บอกฝรั่งมันเก่งหว่ะ......มันรู้ได้ไงว่าจะฟื้นวะ 555

หรือเชื่อว่า เขาบอกมาว่า10บาท วันนี้3.5เอง โหอัพไซด์อีกเพียบ.....รีบเข้าเหอ เดี๊ยวตกรถ.......ถ้ามันไปก็ไปเพราะข่าวที่พวกคุณเชื่อกันนั้นแหละ......เหมือนหุ้นมีชีวิตจาก50สตางค์ไป5บาทภายใน1ปี :shock:

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 11:18 pm
โดย vi_tal signs
D =  ปัญญา    หรือเปล่าครับ  ???  


หากเรายึดถือหลักกาลามสูตร  ไม่เชื่อใครง่าย


ผลของการเชื่อ  คือ การโดนลากขึ้นลง  ตาม  mr.market  หรือเจ้ามือ

ก็โดน ขึ้น 10 เด้ง หรือลง 10 เด้ง


แต่หากมาทางแนว VI  เราก็พิจรณาจากความเป็นจริง  ใช้ปัญญาสอดส่องงบ

ประวัติการทำงาน ฯลฯ  ถ้าเห็นว่าดี-ถูก  ก็ซื้อ    แล้วผลของการวิเคราะห์

ถ้าธุรกิจนั้นมันดีจริง  มันก็จะแสดงผลออกมาเอง


==========================

หลายๆครั้งผมมองคน ก็เหมือนหุ้น   ปัจจัย  หรือเหตุที่เขากระทำดีแล้ว

ผล  นั้นก็จะดีตามมา

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 11:19 pm
โดย naris
ตัวDคือเหตุของตัวC

ตัวD พี่ให้มันเป็นพื้นฐานของกิจการในระยะยาว เช่น ข่าวว่าเจ้าจะลากหุ้นตัวนี้ ไป10บาท งบก็พยายามทำให้ดูดีแล้ว

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 11:19 pm
โดย krisy
ชอบเดาค่ะ

C ของ B แรกคือ ผลตอบแทนจากการที่ผลตอบแทนในสิ่งที่ปลอดภัยกว่าเช่น พันธบัตรไม่มากพอ เิงินจะย้ายออกหาแหล่งที่ได้ผลตอบแทนที่มากกว่า ตัว C นี้ไม่ยั่งยืนเพราะผลตอบแทนที่ไหนมากกว่าก็เงินก็ไปทางนั้น

C ของ B ที่สอง คือผลตอบแทนจากการเอาเงินแลกเงิน เจ้ามือเอาเงินมาต่อยอดล่อเม่าให้เข้าไปซื้อ C ตัวนี้ไม่ยั่งยืนเพราะพอได้กำไรตามเป้า เจ้ามักจะปล่อย

C ของ B สุดท้ายเป็นผลตอบแทนที่มาจากการทำธุรกิจ ส่วนมากการประกอบกิจการที่มีการแข่งขันมีเศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้ C ตัวนี้ไม่หวือหวาให้ความสม่ำเสมอ และมองเห็นได้ว่ายืนยงกว่า C ของแบบอื่น แต่ C ตัวนี้ก็ไม่ยั่งยืน ขึ้นอยู่กึ๋นของผู้บริหารและกลยุทธ์

เดี๋ยวรอเฉลยค่ะ

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 11:20 pm
โดย krisy
อ้าว post ช้าไป พี่นริศเฉลยซะแล้ว  :oops:

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 11:23 pm
โดย vi_tal signs
ผมตอบผิดหมดเลย   :lol:  :lol:


 แต่เรื่อง  อิธัปปจยา  ( ปฏิจจสมุปบาท )  นี่เป็น  คำสอน  ที่ดีนะครับ

เพราะสิ่งนี้เกิด  สิ่งนี้จึงเกิด  เพราะสิ่งนี้ดับ   สิ่งนี้จึงดับ


 ทุกอย่างในจักรวาลนี้เป็นธรรมะ หมดจริงๆครับ   :wink:

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 11:27 pm
โดย สถาปนิกต่างดาว
ระยะสั้นตามข่าว
ระยะยาวตามผลกำไร
ลอกมาตอบเอาดื้อๆ
:lol:

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 11:35 pm
โดย สถาปนิกต่างดาว
เอ๋า อยู่ไกลเลยส่งคำตอบถึงช้ากว่าเฉลย
เอ ตอนนี้เมืองไทย ๕ ทุ่มครึ่งแล้วนะ
เตรียมอาบน้ำกินนมนอนกันได้แล้ว

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 04, 2009 12:03 am
โดย ball048
HMPRO  :lol:  :lol:  :lol:

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 04, 2009 7:34 am
โดย newbie_12
pump wrote:
คุณ naris คิดว่าแนวทาง Funds Flow  เหมาะกับตลาดหุ้นไทยไหมครับ

ปีที่แล้วหุ้นถูกแต่ Funds Flow  ไหลออกต่อเนื่อง

คุณ naris มีความเห็นอย่างไรครับ
ขอแสดงความคิดเห็นบ้างนะครับ จริงๆมันก็คือการนำปัจจัยหลายอย่างมากๆๆ มา"เดา" ว่าอะไรจะไป อะไรจะมา ซึ่งหลายๆปัจจัย ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของตลาด ขนาดอารมณ์คนแค่คนเดียว ยังเดายาก ที่จะไปเดาอารมณ์คนทั้งโลก แถมต้องรวมกับปัจจัยอย่างอื่นอีกมากมาย เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันก็มีอยู่สองอย่าง คือเดาถูกก็ได้ตัง เดาผิดก็เสียตังครับ ในตลาดขาขึ้น ก็จะเป็น"เซียนหุ้นขาขึ้น"

สรุปอย่างนี้ครับ Fund flow จะเหมาะก็ต่อเมื่อมันมีคนรู้จริง ว่ามันจะเข้าหรือจะออก แต่ถ้าไม่รู้จริง เดา 10 ไม่ถูก 10 หรือไม่สามารถเดาได้ถูกติดต่อกันในระยะเวลายาวๆ 5 ปีขึ้นไป ก็อย่าไปเสี่ยงเดาเลยครับ

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 04, 2009 8:01 am
โดย sathaporne
sattaya เขียน:
พี่ก็ไปได้ไอเดียนี้จากผู้บริหารSiSที่เขามีระบบการจ่ายเงินให้พนักงานเป็นสองส่วนแรกคือเงินเดือนประจำ ที่ทางSiSจ่ายน้องกว่าคู่แข่งในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน
ส่วนที่สองคือ หน้าที่ความรับผิดชอบและผลงานในแต่ละเดือน/ไตรมาส/ปี ที่การให้คะแนนจะแตกต่างกันไปในแต่ละตำแหน่งครับ

โดยของพี่จะเอามาดัดแปลง(ขืนไปลดเงินเดือน พนักงานคงไม่พอใจเป็นแน่)
โดยเอาเงินที่จะให้พิเศษในสิ้นปี มาซอยเป็นจ่ายไตรมาสละครั้ง(และเพิ่มให้เขาเห็นว่าเราจ่ายเพิ่มนะ ไม่ได้ต้องการเอาเปรียบเขา)โดยมีการตรวจและให้คะแนนทุกๆเดือน จากการกำหนดรายละเอียดการให้คะแนนในแต่ละตำแหน่ง จากหน้าที่งานและเป้าที่เขาต้องรับผิดชอบ โดยมีทั้งคะแนนเป้ารวมยอดขายของร้าน30-50คะแนน(แล้วแต่ตำแหน่ง)และมีคะแนนภาพรวมของงานแต่ละทีม(ประมาณ30%)และที่เหลือเป็นความสัมพันธ์และความรับผิดชอบของตนเองครับ

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 04, 2009 10:22 am
โดย Blueblood
[quote="naris"]ตัวDคือเหตุของตัวC

ตัวD พี่ให้มันเป็นพื้นฐานของกิจการในระยะยาว เช่น ข่าวว่าเจ้าจะลากหุ้นตัวนี้ ไป10บาท งบก็พยายามทำให้ดูดีแล้ว

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 04, 2009 10:32 am
โดย sai
สุดยอดครับ ผมว่าน่าย้ายไปห้องคุณค่าได้แล้วนะครับ

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 04, 2009 10:39 am
โดย newbie_12
sai เขียน:สุดยอดครับ ผมว่าน่าย้ายไปห้องคุณค่าได้แล้วนะครับ
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 04, 2009 1:38 pm
โดย picatos
ขอแอบเพิ่ม E ---> D หน่อยได้ไหมครับ

โดยให้ E = Business Model

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 04, 2009 1:51 pm
โดย naris
picatos เขียน:ขอแอบเพิ่ม E ---> D หน่อยได้ไหมครับ

โดยให้ E = Business Model
ถูกต้องนะคร้าบ ทำไมถึงรู้หล่ะว่าผมกั๊กไว้ เพราะถ้าจะไล่ต่อเดี๋ยวยาว :P

เหตุยังต่ออีกหลายปัจจัย แต่ภาพใหญ่ๆที่ต่อจากDมีสองส่วนคือ
1.โครงสร้างและโมเดลของอุตสาหกรรมนั้นๆ.....ให้เป็นE1
2.โครงสร้างและโมเดลของธุรกิจของเขาเป็นอย่างไร....ให้เป็นE2

และถ้าให้ไล่ยาวปัจจัยที่ก่อให้เกิดผลต่อเนื่องต่อไปอีกนี่มันจะแตกแขนงโดยต้องไปเขียนเป็นโมเดลผังต้นไม้โครงสร้างอุตสาหกรรมและธุรกิจ....ซึ่งก็โยงไปถึงท้ายสุดที่คำถามเดียวว่า "การที่เราจะลงทุนนั้น เรารู้ถึงพื้นฐานและโครงสร้างของอุตสาหกรรมและธุรกิจที่เราลงทุน มากแค่ไหน ถ้ายิ่งรู้มาก ก็ยิ่งเสี่ยงน้อย" ครับ

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 04, 2009 11:20 pm
โดย vi_tal signs
อืมๆ   ผมต้อง...  ศึกษาอีกเยอะ

ขอบคุณ  พี่นริศ  ที่ชี้แนะครับ   :oops:

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 04, 2009 11:46 pm
โดย sutian
ตามอ่านของพี่นริศ มาตลอด

วิธีการคิด วิธีการวิเคราะห์หุ้น นั้นเฉียบขาด ไม่แพ้ท่านอื่นเลย

สุดยอดจริงๆ  :D  :D  :D

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 05, 2009 9:56 am
โดย pump
ขอบคุณ คุณ narisมากครับในเว็บนี้ผมชอบคุณลูกอีสานกับคุณnarisครับให้ปลากับนักลงทุนคุณลูกอีสานว่าโพสหุ้นอะไรจะโพสทั้งข้อดีข้อเสีย ไม่เหมือนเซียนหุ้นบางคนครับพูดแต่ข้อดีของหุ้นตัวเองครับและเวลาใครไปทักท้วงข้อเสียของหุ้นตัวนั้นก็จะโมโหครับหยิบแต่ประเด็นดีๆที่มาพูดอย่างเดียวครับ  ยังดีที่เว็บนี้มีคนอย่างคุณลูกอีสาน คุณ naris และคุณ monmoneyครับขอบคุณคุณ narisมากๆเลยครับเก่งและมีน้ำใจ

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 05, 2009 11:08 am
โดย naris
ความดีที่หลายๆท่านชมผม ผมรู้สึกดีที่สามารถสร้างประโยชน์ในกับหลายๆท่าน มีหลายท่านหลังไมค์และหน้าไมค์ว่าผมเก่ง จริงๆผมไม่ได้เก่งกว่าหรอก แต่ผมรู้ก่อนแค่นั้นเอง หลายๆท่านก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้จากคนที่รู้มาก่อน เพียงแต่ต้องเปิดกว้างกับความคิดเห็นของผู้อื่นเท่านั้นเอง

ส่วนตัวผมก็ได้เรียนรู้กว่าครึ่งมาจากคนในเวปนี้เช่นกัน ที่ผ่านมาและจากนี้ไป ถ้าใครชมและยกย่องผม ผมขอยกความดีให้กับผู้ที่สอนผมทั้งทางตรงและทางอ้อม(ที่ผมไปทำลักษณะ ครูพักลักจำ)ไว้นะที่นี้นะครับ
เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ผมขอเอ่ยชื่อคนที่ผมนับถือเป็นอาจารย์ไว้ ณ.ที่นี้ เพื่อให้คนรุ่นหลังคอยเสาะถามท่านเหล่านี้เมื่อมีโอกาสนะครับ(เฉพาะคนไทยนะครับ)

คนแรกเลย คือ ท่านพ่อและแม่ของผม ที่สอนผมให้เป็นคนที่ไม่ยอมแพ้กับความไม่รู้ และไม่อายที่จะบอกว่าไม่รู้เพื่อที่จะรู้

คนที่สอง ดร.นิเวศน์ ที่ท่านสอนการมองการไกล ผู้จุดประกายการลงทุนให้กับผม

คนที่สาม พี่มนตรี พี่เขาเป็นคนแรกที่สอนงบการเงินให้กับผม โดยเฉพาะงบกระแสเงินสดที่โง่ดูไม่ออกว่ามันคืออะไร

คนที่สี่ คุณลูกอิสาน เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของผม 555 รู้จักกับน้องเขามา5ปีนี้ บอกได้ว่าน้องเขาเป็นผู้รอบรู้ข่าวสารรอบด้าน พี่ยกให้เป็นมือหนึ่งในเรื่องความรอบรู้ในเรื่องหุ้นในเวปเรา

คนที่ห้า พี่ฉัตรชัย พี่เขาถ้าเรื่องไหนผมกลัวพี่มนดุ ผมก็จะโทรหรือถามหลังไมค์เกี่ยวกับงบตัวนั้นๆกับพี่ฉัตรเท่าที่สงสัย

คนที่หก ลุงขวด เป็นบุคคลที่ผมให้การนับถือมากๆในเวปนี้ ลุงขวดสอนผมด้วยการกระทำ ไม่ว่าจะด้วยลักษณะนิสัย และการให้เกียรติผู้อื่น รวมถึงแนะนำด้วยความจริงใจกับคนอื่นเสมอ

คนที่เจ็ด พี่ป้อมสุดหล่อของเวป ที่ปรึกษาพี่เขาร้อยละเก้าสิบคือเรื่องส่วนตัว พี่เขาสอนเรื่อง การเป็นผู้ฟังที่ดี และจะมีมุมมอง บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น ให้เสมอๆ

คนที่แปด พี่หมอสุดหล่อของเวปเรา(เมื่อไหร่จะเปลี่ยนรูปก็ไม่รู้ 555) พี่เขาเป็นคนที่มองอยู่บนเหตุและผล และpopอยุ่ตลอดเวลา ไม่เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น และสอนมุมมองในหุ้นวัฎจักรให้กับผม

คนที่เก้า คุณIH น้องเขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธในวงการจริงๆ ทั้งๆที่อายุไม่มาก เป็นคนที่ผมไม่ค่อยได้คุยสักเท่าไหร่ แต่ด้วยการชอบเป็นผู้ให้แนวความคิดในโลกออนไลน์ ทำให้ผมได้อะไรจากเขาคนนี้มากพอสมควร

คนที่สิบ น้องโย เป็นคนที่นิสัยไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ สู้คืนทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่ปล่อยโอกาสที่คู่ต่อสู้เผลอตัวการ์ดตก ถึงแม้นจะโดนอัดซะเกือบจะหมดแรงอยู่แล้ว...เยี่ยมจริงๆ และเป็นคนหนึ่งที่ผมคิดว่ามีสัญชาติญาณสิงห์อยู่ในตัวเช่นนามสกุลเขา

คนที่สิบเอ็ด พี่พี ถึงแม้นเขาไม่ค่อยได้โพส?ในเวปสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความรู้ที่ซึมอยู่ในสายเลือดเขาอยู่แล้ว และด้วยที่นิสัยที่พี่เขาชอบให้ ผมจึงกล้าที่จะโทรไปขอความรู้อยู่บ่อยครั้งอยู่เหมือนกัน

คนที่สิบสอง คุณตึก VI.Jr เป็นคนที่เอื้อเฟื้อ เก่งและใจดี ในเรื่องกราฟนี่ถามเขาได้เลยครับ มีมุมมองที่ค่อนข้างแม่นทีเดียว ตึกคอนเฟริม์

คนสุดท้าย คุณประชา ไม่ได้เข้ามาโพสท์ในนี้ แต่ผมคิดว่าหลายท่านคงรู้จัก เขาเป็นคนจุดประกายและพาผมเดินออกจากกรอบเมืองไทย ถ้าใครมีข้อสงสัยและข้อมูลเกี่ยวกับต่างประเทศ ถามเขาคนนี้ได้เลยครับ

นี่ยังไม่นับ คนที่ผมไม่เคยคุยแต่ลักษณะครูพักลักจำเอาแนวคิดเขาเสมอๆ
ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ

ตั่วเฮีย คลายเครียด ผมชอบหนังสือของเฮียเขามากครับ สอนแนวการลงทุนพื้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ผลให้กับผม

เจ้าของผู้ที่มีคนเยี่ยมชมมากที่สุดในเวปเรา เฮียวิบูลย์ เฮียเขาเก็บความรู้ไว้เยอะพอที่จะล้นหาคนที่ถามเฮียเขา ใครอยากรู้อะไรถามเฮียเขาได้ครับ ผมจะได้ไปแอบฟัง

คุณสุมาอี้ ไม่เคยได้คุยกันเลย แต่หนังสือเขาก็มีมุมมองที่แปลกให้ผมคิดอยู่เสมอๆ

คุณโหน่ง แม้นจะไม่มีโอกาสได้คุยกัน แต่แนวคิดพี่เขา แปลกยิ่งกว่าแปลก หลังๆยอมรับว่าผมตามเขาไม่ทัน ยิ่งถ้าใครเคยคุยกับเขา จะรู้ว่าป๋าคนนี้ยืนอยู่บนเส้นที่ฝั่งขวาคือศรีธัญญา ฝั่งซ้ายคืออัฉริยะ และผมเคยแอบดูของเขาแล้ว เขาเอียงซ้ายครับ(อะไรเอียงไปคิดเอา) 555
ไม่นับคนทีโคตรเก่งในสายตาผมอีกมากมายในเวปนี้ เช่น คุณริวกะ คุณหมอเอ็มแพรนดี้ น้องฮงฟันโฟว์ คุณสถาปนิกต่างดาว คุณสายลับ007 คุณAlastor พี่CK หนูเลือดน้ำเงิน และพี่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องงบอีกบานทะโล่ไล่ชื่อมาคงอีกสักสามหน้ากระดาษกระมัง

ขอขอบคุณคนเหล่านี้อีกรอบครับ ที่ทำให้ผมรู้มากขึ้น :bow:  :bow:  :bow:

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 05, 2009 11:31 am
โดย naris
Alastor เขียน:ขอถามเป็นความรู้ครับ
ถ้ามีที่ดินเปล่าเยอะๆเอาไปปลูกต้นสักแล้วรออีก 1xปี เพื่อตัดไปขายจะกำไรดีไหมครับ?
ว่าจะตอบตั้งแต่วันที่ถาม แต่ลืม 555
ความเสี่ยงในเรื่องการระบาดของหนอนเจาะต้น(ผีเสื้อกลางคืน)ทำให้ถึงกับร้องให้ได้เลยครับ แต่ถ้าเป็นการปลูกแบบผสมผสานคงไม่เจอปัญหานี้

พี่ปลูกไปแล้วประมาณ20000ต้น ตอนนี้อายุประมาณ12ปีครับ ยังไม่กล้าตัดเลย ใครอยากทำบ้านไม้ซุงก็บอกนะครับ อายุเกือบได้แล้ว :P

นริศสอนน้อง

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 06, 2009 10:50 am
โดย pongo
พี่นริศครับ ตอนนี้พี่มีการประเมินทิศทางการลงทุนสำหรับปีหน้าหรือยังครับ
ว่ากลุ่มไหนที่น่าลงทุน ผมมองว่าส่งออกน่าจะพอไปได้
เพราะเศรษฐกิจ ตปท คงดีขึ้นมากกว่าในบ้านเราที่มัปัจจัยถ่วงมากกว่า
naris เขียน: พี่ปลูกไปแล้วประมาณ20000ต้น ตอนนี้อายุประมาณ12ปีครับ ยังไม่กล้าตัดเลย ใครอยากทำบ้านไม้ซุงก็บอกนะครับ อายุเกือบได้แล้ว :P
ตรงนี้ถามอย่างคนหนุ่มที่ยังกิเลสเยอะนะพี่ มูลค่าตลาด 20000 ต้นนี่ ประมาณเท่าไรครับ
แล้วเขาคิดกันยังไง เช่น รอบวงต้น คุณภาพไม้นี่ดูตรงไหน
เผื่อแก่ๆ จะไปซื้อที่ปลูกบ้าง อิอิ (ปล่าวว่าพี่นริศแก่นะ เอิ๊กๆ )