Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

หลายท่านว่ามันจะเ็ป็นอย่างนั้น แต่ผมไม่ค่อยเชื่อครับ เพราะรายใหญ่เล่นทั้งสองขาได้ ทำให้แกว่งมากขึ้น

ผมว่าแกว่งมากขึ้นนะครับ...

เราว่าเพราะเราใช้กันไม่ถูกเองมากกว่าค่ะ ในแง่การหาราคาที่ถูกต้อง มันก็ทำได้ ในแง่การป้องกันความเสี่ยง มันก็ทำได้ แต่ไม่ค่อยนิยมกัน เพราะมันยาก ก็มานั่งหา FV ของราคาที่ถูกต้อง ตัวแปรเยอะ มีเดลต้าอะไรก็ไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว ถ้าเล่นเป็น strategy ก็ควรลองทำ simulation ดูก่อน เผื่อพลาด แต่มันได้ผลจริงๆนะคะ โดยแลกกับเวลาทำพอควรเลย

ในแง่เก็งกำไร มันก็ทำได้ แถม สนุก ลุ้น ระทึก มันส์ เล่นง่ายๆแค่สูงต่ำเท่านั้น ไม่ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ ละสายตาจากจอไม่ได้ ใครโทรมาเราไม่รับสายเว้นมาร์ ไม่ต้องดูพื้นฐาน ดูดาวดูฮั่งดูน้ำมันดูยอดฝรั่งตอนเที่ยงก็พอ เวลา SET ถูกยกเนี่ยหัวใจพองโต กินข้าวอร่อยเป็นพิเศษ แหม ไอ้เราเนี่ยมันก็ยอดมนุษย์ใช่หยอก  :D

ใช้ไม่ถูกก็เลยเป็นเช่นนี้แหละจ้า

ผมมองว่าเป็นเครื่องมือของรายใหญ่(กองทุน,ต่างชาติ) ในการทำกำไรทั้งในหุ้นและอนุพันธ์ สำหรับรายย่อยเอาไว้แทงสูงต่ำได้เสียมันส์กว่าหุ้นเยอะ และยังช่วยสนับสนุน ตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทยให้ได้ค่าต๋งเยอะๆ ด้วยครับ ขอบคุณตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่นำเครื่องมือดีๆ มาให้นักเก็งกำไรไทยได้ตื่นเต้นไม่เงียบเหงาแม้ตลาดทุนจะเป็นขาลงก็ตาม ขอบคุณมากจริงๆ ครับ ส่วนผมขอบาย เพราะเคยเล่นแทงสูงต่ำไม่เคยได้ตังค์เลยครับ

บางคนบอกว่า มันทำให้เกิด ภาวะ far from equilibrium

ผมว่าเป็นการเก็งกำไรซะมากกว่า เหมือนพนันว่าจะขึ้นหรือจะลง เอาแน่นอนไม่ได้ เหมือนใช้หลักของความน่าจะเป็นเพียงอย่างเดียว

จริงๆแล้วก็เป็นเครื่องมือประกันความเสี่ยงชนิดนึงนะครับ สมมุติว่าคุณลงทุนในหุ้นกลุ่ม SET 50 สัก 10 ตัวโดยประมาณ แล้วเราคิดว่าในปัจจุบันมีความเสี่ยงที่ราคาสูงกว่าความเป็นจริงๆมาก เราก็ทำการ short future เป็นมูลค่าเท่ากับพอร์ตของเราครับ ซึ่งเราจะลงทุนประมาณ 10% ของพอร์ตโดยประมาณ ดังนั้นหากราคาหุ้นตกลงมาตามการคาดการณ์ก็สามารถป้องกันการลดลงของมูลค่าพอร์ตโดยรวมได้ประมาณหนึ่งครับ จริงๆแล้วถ้าใช้ให้ถูกวิธีก็สามารถได้กำไรได้ไม่ยากเย็นนัก โดยเฉพาะเวลาที่อะไรๆมันเว่อร์เกินขนาดไปครับ
       เครื่องมือทางการเงินทุกอย่าง ถ้าเราใช้แบบเก็งกำไรมันก็คือการพนัน แต่ถ้าเราใช้แบบป้องกันความเสี่ยงก็คือป้องกันความเสี่ยง ทุกอย่างมีหลายด้านอยู่ที่เราจะเลือกที่จะสัมผัสด้านไหนมากกว่ากัน
       ขอให้มีความสุขในการลงทุนครับ

ผมว่าไม่ทำให้มีเสถียรภาพหรอกครับ...
กลับทำให้ความผันผวนมันเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
ก็ที่ Hamburger Crisis อยู่นี่ก็เพราะเจ้า Derivative นี่แหละ
ผมล่ะไม่เข้าใจการพัฒนาของ ตลท. จริงๆ  

[quote="yoyo"]ผมว่าไม่ทำให้มีเสถียรภาพหรอกครับ...
กลับทำให้ความผันผวนมันเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
ก็ที่ Hamburger Crisis อยู่นี่ก็เพราะเจ้า Derivative นี่แหละ
ผมล่ะไม่เข้าใจการพัฒนาของ ตลท. จริงๆ

มันช่วยแน่นอนครับ  มองโลกในแง่ร้ายมากเกินไปป่าวครับ

วิกฤตอเมริกาครั้งนี้เกิดจาก Derivative ที่อยู่นอกตลาดนะครับ ถ้าเอามาเทรดในตลาดตั้งแต่แรก คนที่ออกตายตั้งแต่แรกๆๆแล้ว  ไม่ลากยาวมาถึงทุกวันนี้

chavanakorn เขียน:เครื่องมือทางการเงินทุกอย่าง ถ้าเราใช้แบบเก็งกำไรมันก็คือการพนัน แต่ถ้าเราใช้แบบป้องกันความเสี่ยงก็คือป้องกันความเสี่ยง ทุกอย่างมีหลายด้านอยู่ที่เราจะเลือกที่จะสัมผัสด้านไหนมากกว่ากัน

เห็นด้วยกับพี่ chavanakorn ครับ

ผมว่า Derivative มีประโยชน์นะครับ ทำให้เกิดการหมุนเวียนของสภาพคล่อง และช่วยเรื่องประกันความเสี่ยง

แต่ที่เสียหายเพราะควบคุมกันไม่ดี + ความโลภ - เก็งกำไรมากไป

ต้องควบคุมให้เข้มงวดมากกว่าอดีตครับ  :P

ถ้ามองดูดีๆแล้ว Derivative ไม่เกี่ยวอะไรกับกิจการเลย และนวัตกรรมนี้ น่าจะทำให้ตลาดมีการเก็งกำไรสูงขึ้น ค่า Beta ของหุ้นที่เข้าโครงการก็สูงขึ้น ไม่รู้ว่า
มองมุมไหนถึงจะดูดี
ผมมองไม่ออกเลย

ผมว่าถ้าจะให้มีสเถียรภาพน่าจะเป็นเรื่องการจัดเก็บ Fee อะไรซักอย่างที่ทำให้คนที่ซื้อขายบ่อยๆลดการกระทำนั้นลงและหันมาลงทุนระยะยาวน่าจะ ดีกว่านี้นะครับ

ba_2l เขียน:

ทำให้ตลาดมีเสถียรภาพขึ้นแน่นอนครับ

ตลาดหลักทรัพย์มีรายได้จัดเก็บจากค่าธรรมเนียมมากขึ้น ตลท.ก็ย่อมมีเสถียรภาพมากขึ้นอยู่แล้ว ถ้าอีกไม่นาน ตลท.เข้ามาจดทะเบียนอยู่ใน SET ก็จะทำให้ ตลท.ยิ่งมีเสถียรภาพมากขึ้นไปอีก

ทางทฤษฎีใช่ครับ  เขาต้องการให้พ่อค้ามีทางเลือกในการซื้อขาย ล่วงหน้า เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของราคาในอนาคต  ยกตัวอย่างก็กรณีที่ bcp  hedge ค่าการกลั่นไว้ล่วงหน้า  เป็นต้น

แต่ในทางปฏิบัติ ปรากฎว่า มีทั้งกองทุน  บุคคล  ที่ไม่ใช่พ่อค้า  ซื้อตราสารอนุพันธ์   จำนวนมาก  ทั้ง ๆที่ไม่ได้มีการค้าจริงรองรับ แต่เพื่อการเก็งกำไรล้วน ๆ โดยใช้อำนาจเงินที่มหาศาลบวกความโลภ เป็นตัวกำหนดราคา แทน  ตลาดจึงไม่ได้อาจเสถียรได้  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ การลากราคาน้ำมันดิบขึ้นไปถึงกว่า 140 $/Bl

จริงๆถ้าออกกฏว่าจะใช้ Deri แล้วต้องมีสินค้าอ้างอิงอยู่ด้วยจำนวนเท่ากัน
เพื่อให้ Deri ใช้สำหรับ Hedge เท่านั้น มันก็คงโอเคนะ
แต่ส่วนใหญ่จะไม่ใช่นี่สิ ใช้กันตรงข้ามกับ Hedge ด้วยซ้ำ

ผมว่าดีนะ เพราะตอนนี้เค้าไม่ปล่อยมาร์จิ้นให้ จะได้ไป leverage ทางอื่นแทน  :lol:

ส่วนตัวคิดว่า ยิ่งเพิ่มความผันผวนให้ตลาด

ตลาดไทยยังไม่พร้อม โวลุ่มก็น้อย
ความรู้ก็น้อย ตังค์ก็น้อย
แง แง แง

yoyo เขียน:จริงๆถ้าออกกฏว่าจะใช้ Deri แล้วต้องมีสินค้าอ้างอิงอยู่ด้วยจำนวนเท่ากัน
เพื่อให้ Deri ใช้สำหรับ Hedge เท่านั้น มันก็คงโอเคนะ
แต่ส่วนใหญ่จะไม่ใช่นี่สิ ใช้กันตรงข้ามกับ Hedge ด้วยซ้ำ

มีการออกกฎใช้กันครับ... แต่เป็นตลาดเงินตราต่างประเทศของไทย ที่ปัจจุบันยังมี Capital Control อยู่

ถึงอย่างนั้น... ก็ยังมีการเก็งกำไรกันอยู่ครับ...

เคยเห็นผ่านตา โฆษณาใน Money Channel แล้วเศร้าใจ เห็น"นักลงทุน"มาเต้นๆดิ้นๆได้ทั้งหุ้นขึ้นหุ้นลง แทนที่จะต้องนอนพะงาบๆอยู่กับพื้น

ปัญหาจริงๆ คือรายย่อยจำนวนมาก (เท่าที่เคยได้เจอกับตัวเองมา) แทนที่จะใช้ในแง่ Hedging กลับเอาไปใช้ Speculating เข้าใจว่าคงไม่เคยได้ยินเรื่อง Barings Bank หรือ Nick Leeson ว่ามันเละขนาดไหนในช่วงนั้น เห็นเขาเต้นๆกันในโฆษณา ก็ใช้แทงสูงแทงต่ำกันอย่างเดียว