หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 01, 2008 6:46 pm
โดย LOSO
บางทีเราคิดว่าเราแย่ .............

ปัญหาวุ่นวาย ไม่จบไม่สิ้น ............

ตลาดหุ้นบ้านเรารวมๆไม่เห็นไปไหนได้ไกล  วนไปวนมา ..........

ไม่ทะลุ 900 จุด   ไปพันจุดเสียที ................

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 01, 2008 6:49 pm
โดย LOSO
ยิ่งเห็นเวียดนามโตเอาโตเอา ....................

ต่างประเทศก็ขยายหรือย้ายการลงทุนไปที่นั่นเยอะแยะ ................

GDP ก็เห็นว่าโตเยอะมาก  2 เท่าของไทยได้มั้ง .............

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 01, 2008 6:52 pm
โดย LOSO
แต่ลองดูกราฟ VN  INDEX สิครับ ...............

รูปภาพ

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 01, 2008 6:54 pm
โดย LOSO
ลงมาเกิน 50 % แล้ว ..................

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 01, 2008 6:56 pm
โดย LOSO
หุ้นเวียดนามรูดต่อ 1.4%

ตลาดหุ้นเวียดนาม กลายเป็นตลาดที่มีการเคลื่อนไหวแย่ที่สุด ในโลก โดยดัชนีทรุดตัวลงแรงถึง 55% ในปี 2551 และยังอ่อนตัวลงต่อเนื่อง อีก 1.4% ลากดัชนีวีเอ็น ลงมาที่ระดับ 414.10 จุด เมื่อวันศุกร์(30 พ.ค.) ซึ่งเปิดเทรดวันแรก หลังจากระงับซื้อขาย 3 วัน จากปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ขัดข้อง

ระดับปิดตลาดดังกล่าว เป็นระดับต่ำสุด นับจากวันที่ 2 สิงหาคม 2549
การทรุดตัวต่อเนื่องของตลาดหุ้นฮานอย มีขึ้นหลังจากทางการฮานอย รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค ในเดือนพฤษภาคม พุ่งทะยานขึ้น 25.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มากที่สุด นับจากปี 2535 และเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อที่เร็วที่สุด ในเอเชีย ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานสถิติกลาง พบว่า ราคาอาหารได้พุ่งขึ้นถึง 67.8%

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ธนาคารกลางเวียดนามได้ตัดสินใจ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มาตรฐาน เป็น 12% จากระดับ 8.75% สถานการณ์ในเวียดนาม ส่งผลให้สถาบันการเงินอย่างน้อย 2 แห่ง ออกรายงานเตือน ได้แก่ มอร์แกน สแตนเลย์ และฟิทช์ เรตติ้ง

มอร์แกน สแตนเลย์ เตือนว่า เวียดนามกำลังมุ่งหน้าสู่วิกฤตค่าเงิน เพราะธนาคารกลางปล่อยให้ด่องแข็งค่ามากเกินไป ในขณะที่เงินเฟ้อพุ่งทะยาน และขาดดุลการค้าขยายตัวมากขึ้น ขณะที่ฟิทช์ ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของเวียดนาม ซึ่งปัจจุบัน อยู่ที่ระดับ BB- จาก "คงที่" เป็น มี "แนวโน้มปรับลด" ในอนาคต

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 01, 2008 7:00 pm
โดย LOSO
หวังว่าพี่ไทยจะไม่เจริญรอยตามเวียดนามแบบนั้นนะครับ ................

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 01, 2008 7:12 pm
โดย hot
ถ้าหุ้นตกมากมาก จะมีเงินกลับไปลงทุนนอกตลาดใน
รูปแบบไหนได้บ้างคับ

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 01, 2008 7:22 pm
โดย LOSO
ไม่แน่ใจว่า ณ.ปัจจุบัน ภาพใหญ่ของเวียดนามแย่ร้ายแรงขนาดไหน ..........

เท่าๆกับไทยเมื่อปี 2538-2539 ก่อน crash ในปี 2540 หรือไม่ ..........

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 01, 2008 7:24 pm
โดย Jeng
เมื่อไร loso นำทีม นักลงทุนเมืองไทยไปกวาดซื้อหุ้นที่เวียตนามหละ

วาระกิจ เพื่อชาติ นะ

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 01, 2008 7:31 pm
โดย LOSO
Jeng เขียน:เมื่อไร loso นำทีม นักลงทุนเมืองไทยไปกวาดซื้อหุ้นที่เวียตนามหละ

วาระกิจ เพื่อชาติ นะ
โอกาสทองครั้งใหญ่ในการซื้อหุ้นกําลังจะเิกิดขึ้น(หรือเปล่า) ...............

แบบที่เคยเกิดขึ้นกับไทยเมื่อ 10 ปีก่อน ..........

แต่เข้าใจว่าน่าจะดูให้นอนนิ่งๆ หายใจรวยรินก่อนนะครับ พี่เจ๋ง ..........

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 2:01 am
โดย romee
เพื่อนผมที่เป็นคนเวียดนามบอกว่า ปลายปีที่แล้ว กับตอนนี้

ราคาที่ดิน กับค่าเงินของเขา เพิ่มขึ้นอีก  50% ขึ้นไปนะครับ

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 2:58 am
โดย WannaBeVI
ผมว่า ที่ร่วงมาเป็นเพราะผลของวิกฤตซับไพร์ม
ตลาดหุ้นที่พึ่งเกิดใหม่ก่อนหน้านี้
เติบโตขึ้นมามาก มากจนเกินไปด้วยซ้ำ
แต่ที่เติบโต จะเกิดจากเงินของต่างชาติที่เข้าไปลงทุน
ซึ่งเค้าเรียกตัวเองว่า กองทุน แต่ผมอยากเรียกว่าพวกสร้างความวิบัติมากกว่า
กลุ่มพวกนี้จะเข้าไปปั่นราคาทุกอย่าง
ไม่เว้นแต่ราคาหุ้น commodities ต่างๆก็เข้าไปปั่น

อย่างตลาดหุ้นเกิดใหม่ เค้าก็จะใช้วิธีการโปรโมท โฆษณาต่างๆ
เพื่อสร้างภาพให้ดูว่าน่าสนใจ
เช่น ที่ทำกับจีน (ทั้งๆที่ ฟองสบู่ใกล้จะแตกเต็มทน)
สร้างความคาดหวังสารพัด เช่น
โอลิมปิก หรือศักยภาพและความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจอันล้นเหลือของจีน
(เอาจริงๆ ก็ไม่เถียงนะว่า จีนจะเติบโตได้อีกไกลมาก
แต่ช่วงก่อนหน้าที่จะลงหนักๆตลาดหุ้นของจีน
มันโตเกินพื้นฐานไปเยอะ)

ที่นี้กลับมามองบ้านเรา SET ตัวน้อยๆของเรา
ที่ผ่านมาเราได้แต่มองตาปริบๆ ที่ตลาดเพื่อนบ้านเราโตแล้วโตอีก
ในขณะที่บ้านเรามีข่าวร้ายเกี่ยวกับความตึงเครียดด้านการเมืองมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ผลทำให้ SET 1000 จุด เป็นได้แค่ฝันลมๆแล้งๆ
แต่สิ่งนี้ทำให้ตลาดบ้านเรามีแต่ของถูกเต็มไปหมด
เมื่อเทียบประเทศต่างๆทั่วโลก

ผมคิดว่า กองทุนต่างชาติก็มองตลาดบ้านเราตาเป็นมันเหมือนกัน
แต่ทำไงได้ปัญหาการเมืองที่ดูไม่ดี ขุนยังไงก็ขุนไม่ขึ้น

โดยส่วนตัวผมมองว่า ดีนะที่บ้านเรามีปัญหาการเมือง
เพราะผมมองว่าปัญหาการเมือง คือภูมิคุ้มกัน
ที่ทำให้กองทุนต่างชาติเข้ามาปั่นราคาตลาดหุ้นบ้านเราไม่ได้มากนัก

สังเกตุได้จากปัญหาซับไพร์มที่เกิดขึ้น
SET บ้านเราได้รับผลกระทบน้อยกว่าหลายประเทศที่เจอ
จึงต้องบอกว่า เรานะโชคดีในความโชคร้ายจริงๆ

แต่ตอนนี้ ผมมองว่า หลายๆประเทศหลังจากโดนวิกฤติซับไพร์มกันถ้วนหน้า
มันก็เหมือนการล้มกระดานแล้วกลับมาเล่นกันใหม่
ทำให้แต่ละประเทศมีจุดสตาร์ทที่ใกล้เคียงกัน
ผมเลยมองว่า ตลาดต่างประเทศ เช่น จีน เวียดนาม
มีความน่าสนใจมากกว่าเราในสายตาของกองทุนต่างชาติ
ด้วยเพราะปัจจัยเดิมๆของเราที่ยังไม่จบ และดูท่าจะยืดเยื้อไปอีกพอสมควร

ที่พูดไม่ใช่อะไร คือตอนนี้กำลังสนใจตลาดหุ้นของจีนอยู่
กำลังคิดจะเข้าไปลงทุนผ่านกองทุน Chia Equity ของ TMBAM
เลยอยากทราบความเห็นจากท่านอื่นๆว่า เห็นตรงกันอย่างผมหรือเปล่า
เพราะจีนก่อนหน้านี้เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ
จากความคาดหวังจากการเชิดหน้าชูตาในฐานะเจ้าภาพโอลิมปิก
กลับกลายเป็นดาบสองคมจากการประท้วงโด่งดังไปทั่วโลก
จากนั้นไม่นาน โดนเรื่องแผ่นดินไหวเข้าไปอีก
น่าสงสารจริงๆ

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 8:31 am
โดย คนเรือ VI
ผมว่าอาจจะมีปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจนะครับ
The country was heading for a currency crisis because the bank had kept the dong too strong as inflation soared and the trade deficit widened, Morgan Stanley said in a May 28 report
เอามาจาก http://biz.thestar.com.my/news/story.as ... c=business

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 11:25 am
โดย KB
สงสัยจะฟองแตก

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 12:28 pm
โดย mprandy
ดัชนีร่วง มาพร้อมกับวอลุ่มหดหาย
สงสัยจะจริง  :shock:

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 03, 2008 3:49 pm
โดย beammy
คล้ายๆ วิกฤตเศรษฐกิจบ้านเราเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วเลยครับ  :8)  ...

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 05, 2008 9:54 am
โดย Sittipan.tvi
หุ้นเวียดนามหลุด400จุด 2เดือนร่วงอีก

โพสต์ทูเดย์ หุ้นเวียดนามร่วงฮวบ ต่ำกว่าระดับ 400 จุด ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์อาจร่วงลงถึงก้นเหวในอีก 2 เดือนข้างหน้า

บรรดานักค้าหุ้นในตลาด หลักทรัพย์โฮจิมินห์ ซิตี (เอชโอ เอสอี) กล่าวว่า ดัชนีวีเอ็นในตลาด หลักทรัพย์เอชโอเอสอี ร่วงลงไป 5.54 จุด มาอยู่ที่ 395.66 จุด ในช่วงการซื้อขายหลักทรัพย์ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.

เอเอฟพี รายงานด้วยว่า การร่วงลงของหุ้นเวียดนามครั้งนี้ ถือว่าเป็นการลดลงไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 400 จุด เป็นครั้งแรก เมื่อเทียบกับระดับสูงสุดของหุ้นในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ 1,170 จุด

เฟียชรา แม็ก คานา กรรมการผู้จัดการบริษัท วินาซิเคียวริตี จอยท์สต๊อก คอมพานี และผู้เชี่ยวชาญด้านหลักทรัพย์ กล่าวว่า สถานการณ์ ในตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม มีความเป็นไปได้ที่อาจร่วงลงไปถึงขีดต่ำสุดในอีก 2 เดือนข้างหน้า
ขณะที่หุ้นอีกหลายล้านหุ้น ของบริษัทชั้นนำต่างๆ ในเวียดนามกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก เมื่อบรรดานักค้าหุ้นต่างเพิกเฉยที่จะเข้ามาช้อนซื้อหุ้น ท่ามกลางภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นในเวลานี้

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์เวียดนามได้เกิดการเปลี่ยนแปลง และมีการลงทุนในตลาดมากขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2550 ที่ผ่านมา หลังจากที่รัฐบาลเวียดนามตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) เมื่อเดือน ม.ค.ปีที่แล้ว จนได้รับการยกย่องให้เป็นเสมือนเสือตัวใหม่แห่งเอเชีย โดยมีค่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศขยายตัวขึ้นมาถึง 8.5%

อย่างไรก็ตาม จากสภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ที่ทำให้ดัชนีผู้บริโภคเพิ่มขึ้นไปถึง 25.2% เมื่อเดือน พ.ค. รัฐบาลเวียดนามได้คาดการณ์ว่าภาวะเงินเฟ้อในประเทศอาจเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 22%

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 05, 2008 10:28 am
โดย Reminiscence of 3 Dogs
Sittipan.tvi เขียน:เสือตัวใหม่แห่งเอเชีย
หนังม้วนเก่าฉายซ้ำหรือเปล่าครับ เหมือนเคยฉายเมื่อประมาณ12ปีก่อน

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 05, 2008 11:11 am
โดย vivitawin
มันoverheat อ่ะครับ ฟองสบู่เลยแตก
พี่ไทยยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ
วิ่งอยู่ 700-800 ไม่ overheat หรอกครับ
จะดิ่งลงมา 50% แบบเวียตนาม แทบเป็นไปไม่ได้เลย
ถึงเวลา overheat จริงๆ vi ก็คงเงินสดเต็มกระเป๋ากันไปแล้ว แฮะๆ  :lol:

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 06, 2008 1:15 pm
โดย chode
รายชื่อbig cap 5 ตัวของ Vietnam และPE

Company Close PE %Weight market cap
Vietnam Dairy  0.1m 16.75 10.32
PVFCCo  38,000 5.60 8.50
Vinpearl Tour 0.11m - 6.60
Saigon ThuongTin 22,900 6.04 6.00
Pha Lai Thermal 27,700 10.75  5.32



ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นโอกาสของ VI เวียดนามหรือเปล่า

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 06, 2008 1:15 pm
โดย chode
รายชื่อbig cap 5 ตัวของ Vietnam และPE

Company Close PE %Weight market cap
Vietnam Dairy  0.1m 16.75 10.32
PVFCCo  38,000 5.60 8.50
Vinpearl Tour 0.11m - 6.60
Saigon ThuongTin 22,900 6.04 6.00
Pha Lai Thermal 27,700 10.75  5.32



ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นโอกาสของ VI เวียดนามหรือเปล่า

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 06, 2008 6:11 pm
โดย matee
หุ้นวินาศเวียดนามลดเงินเดือน-ปลดพนักงาน
ผู้จัดการรายวัน -- ดัชนีหุ้นเวียดนาม (VN-Index) ตลาดหลักทรัพย์นครโฮจิมินห์ตกลงอีก 1.41% เมื่อตลาดปิดการซื้อขายวันพฤหัสบดี (5 มิ.ย.) หลังจากดัชนีหลุ่นวูบลงปิดต่ำกว่า 400 จุด เป็นครั้งแรกเมื่อวันพุธ ซึ่งเท่ากับว่าในเวลา 14 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีได้ตกลงเกือบ 2 ใน 3
     
      ดัชนีหุ้นที่ตกลงติดต่อกันมานานข้ามเดือน ได้บีบบังคับให้บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ หาทางลดค่าใช้จ่ายลง หลายแห่งเลือกวิธีการให้พนักงานออก หรือไม่ก็ลดเงินเดือนทำให้พนักงานต้องลาออกไปโดยปริยาย
     
      ดัชนีหุ้นเวียดนามเคยทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงถึง 1,170 จุด ในเดือน มี.ค.2550
     
      ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค.เป็นต้นมา VN-Index ปิดต่ำลงทุกวันไม่เคยหยุด และหล่นลงเหลือ 390.08 จุด เมื่อวันพฤหัสบดีนี้ลดลง -5.58 จุด จากวันพุธ ซึ่งการซื้อขายปิดลงที่ 395.66 ปิดต่ำลง 5.54 จุด และเป็นครั้งแรกที่ดัชนีหุ้นเวียดนามปิดต่ำกว่า 400 จุด ในรอบ 2 ปี
     
      นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนระดับแนวหน้าได้เสนอขายหุ้นเป็นหลัก แต่ก็มีนักลงทุนสนใจน้อยมาก
     
      ปัญหาเงินเฟ้อเป็นตัวการสำคัญที่สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ทุกฝ่าย ขณะที่บริษัทเรตติ้งมูดีส์อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody's Invester Services) ได้ลดความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจเวียดนามจากแดนบวก ไปอยู่ในแดนลบเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุผล ขาดมาตรการในการจัดการกับเงินเฟ้อและแรงกดดันจากการขาดดุลการค้า
     
      เมื่อวันจันทร์ (2 มิ.ย.) นักลงทุนและตัวแทนกลุ่มประเทศผู้บริจาคที่เข้าร่วมการประชุมสัมมนา Vietnam Business Forum 2008 ซึ่งจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ได้แสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์เงินเฟ้อในเวียดนาม ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนของประเทศ
     
      ในยุคที่ตลาดหุ้นเวียดนามเฟื่องฟูนั้น บรรดานายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์รายเล็กสามารถทำรายได้เฉลี่ยได้วันละไม่น้อยกว่า 400 ล้านด่ง (อัตราแลกเปลี่ยน 16,060 ด่งต่อดอลลาร์) ตกมาปีนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปตลาดเข้าสู่ขาลงและไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอีกต่อไป
     
      ตามรายงานของสำนักข่าวเวียดนามเน็ต บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ไม่สามารถพึ่งพารายได้นี้อีกต่อไป
     
      ประมาณกันว่า บริษัทนายหน้าแห่งต่างๆ ในนครโฮจิมินห์และกรุงฮานอย มีรายจ่ายเป็นค่าจ้างพนักงานกับค่าเช่าสำนักงานเดือนละ 500-700 ล้านด่ง เพื่อให้คุ้มกับรายจ่ายโบรกเกอร์เหล่านี้จะต้องทำรายได้จากบริการซื้อขายถ่ายโอนหุ้นวันละ 100,000 ล้านด่ง เนื่องจากค่าธรรมเนียมที่ได้จากลูกค้านั้นเฉลี่ยเพียง 0.2%


 
ภาพถ่ายวันที่ 2 มิ.ย.2551 มีนักลงทุนเพียงไม่กี่คนที่ยังคงสนใจหุ้นของศูนย์ซื้อขายกรุงฮานอย ที่ตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ของประเทศในนครโฮจิมินห์ไม่ต่างกัน ดัชนี VN-Index วูบลงต่ำกว่า 400 จุดในสัปดาห์นี้ ต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี (ภาพ: AFP)  
 

      ขณะเดียวกัน ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์กับศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ฮานอย บ่งชี้ว่าในช่วงหลายวันมานี้ มูลค่าการซื้อขายหุ้นรวมกันวันละไม่กี่หมื่นล้านด่ง ส่งผลให้โบรกเกอร์รายต่างๆ ต้องลำบากลงไปอีก
     
      นักวิเคราะห์ของบริษัทร่วมทุนวินาซีเคียวริตีส์ (VinaSecurities) กล่าวว่า ดัชนีเวียดนามน่าจะตกลงถึงจุดต่ำสุดในอีก 2 เดือนข้างหน้า
     
      ตลาดหุ้นเวียดนามเจอมรสุมใหญ่จริงๆ มาตั้งแต่เดือน ต.ค.2550 แม้ว่ารัฐบาลคอมมิวนิสต์จะพยายามอย่างสุดความสามารถรักษาระดับเอาไว้ แต่เป็นช่วงเดือนที่อัตราเงินเฟ้อเริ่มทวีความรุนแรง
     
      หลังจากเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกในเดือน ม.ค.ปี่ที่แล้ว เวียดนามได้รับการกล่าวขานว่าเป็น เสือเศรษฐกิจตัวใหม่ ปีที่แล้วผลผลิตมวลรวมภายในประเทศขยายตัว 8.5% แต่อัตราเฟ้อของเงินก็ขยายตัวคู่ขนานกันไปด้วย
     
      ปีนี้เศรษฐกิจเวียดนามเริ่มลำบากหนัก รัฐบาลไม่สามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ ในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาอัตราเฟ้อพุ่งขึ้นเป็น 25.3% เทียบกับเดือนเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว และ รัฐบาลคาดว่าเงินเฟ้อจะลดลงอยู่ในระดับ 22% ตอนสิ้นปี 2551
     
      รัฐบาลโดยธนาคารแห่งรัฐเวียดนาม (State Bank of Vietnam) ได้ออกหลายมาตรการ เพื่อหาทางลดดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) ซึ่งใช้วัดอัตราเงินเฟ้อลงให้ได้ รวมทั้งใช้มาตราขึ้นดอกเบี้ยสกัดการปล่อยกู้ และออกพันธบัตรรัฐบาลดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินออกจากตลาด
     
      มาตรการของแบงก์ชาติส่งผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหลักทรัพย์ ทำให้นักลงทุนขาดเงินลงทุนซึ่งจะต้องเงินสกุลท้องถิ่นคือเงินด่งเท่านั้น ผลสะเทือนระลอกต่อไปก็คือ นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นที่มองไม่เห็นอนาคตเพื่อเก็บเงินสดเอาไว้ในมือแทน
     
      ถึงกระนั้นนายหวูวันนิงห์ (Vu Van Ninh) รัฐมนตรีคลังเวียดนามก็ยังให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลจะไม่ยอมเสียตลาดหุ้น เพื่อแลกกับการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ
     
      โบรกเกอร์ที่บริษัท จี.ซีเคียวริตีส์ (G Securities) กล่าวว่า บริษัทมีลูกค้าอยู่เพียง 30 รายเท่านั้น พนักงานทุกคนได้รับสั่งให้หาลูกค้าเพิ่ม หากไม่สามารถทำได้ก็จะต้องถูกให้ออก
     
      **เตรียมรับความเลวร้ายยิ่งกว่า**
     
      นายลือว์เตืองแบ๊ก (Luu Tuong Bach) ผู้อำนวยการใหญ่บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งกล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ตัวเขาเองได้หันหลังให้กับธุรกิจบริการค้าหลักทรัพย์แล้ว และมุ่งให้บริการปรึกษาการควบรวมกิจการและการซื้อกิจการแทน
     
      นายแบ๊คกล่าวว่า สถานการณ์ตลาดปัจจุบันบีบบังคับให้บริษัทหลักทรัพย์รายเล็กจะต้องขายกิจการ หรือเข้าควบรวมกิจการกับรายใหญ่ในเดือนข้างหน้า
     
      ผู้บริหารของบริษัทโบรกเกอร์อีกรายหนึ่งกล่าวว่า พนักงานจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าหางานใหม่หลังจากถูกลดเงินเดือนลง 1 ใน 3 เนื่องจากบริษัทต้องลดรายจ่ายเพื่อให้อยู่รอด
     
      ในปี 2550 บริษัทหลักทรัพย์แห่งต่างๆ ให้เงินเดือนพนักงานที่เพิ่งเรียนสำเร็จใหม่ๆ 4-5 ล้านด่งต่อเดือน ซึ่งนับว่าเป็นเงินเดือนที่สูงมากสำหรับบัณฑิตใหม่ในเวียดนาม แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 2-2.5 ล้านด่ง


 
แมลงเม่าเหล่านี้หงอยเหงาและสิ้นหวังจำนวนมากหมดเนื้อหมดตัว เพราะหมดยุคของกระทิงเปลี่ยว พนักงานบริษัทโบรกเกอร์ต่างๆ ระทมหนักไม่แพ้กัน (ภาพ: AFP)  


      กว่าง (Quang) ผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานกับบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งและทำงานกับกองทุนอีก 3 แห่งในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เขียนบรรยายความทุกข์โศกลงในบล็อก (Web Log) ส่วนตัวว่า เขาเองได้หันหลังให้กับอาชีพนักวิเคราะห์หุ้นแล้ว หันกลับไปเป็นไกด์ทัวร์ งานแรกที่ทำเมื่อเรียนจบใหม่ๆ
     
      เมื่อปีสองปีก่อนหน้านี้หนุ่มสาวชาวเวียดนามจำนวนนับพันๆ ได้หันหลังให้อาชีพที่ทำอยู่ ไปแสวงหางานในภาคหลักทรัพย์ซึ่งตลาดหุ้นเติบโตรวดเร็วมาก ปัจจุบันคนเหล่านั้นกำลังอยู่ในสภาพเช่นเดียวกันกับ กว่าง คือ กลับไปตั้งต้นใหม่
     
      พนักงานบริษัทหลักทรัพย์จำนวนมากเริ่มมองหางานใหม่และเริ่มทยอยจากบริษัทโบกเกอร์ต่างๆ ตั้งแต่ดัชนีหุ้นลดลงเหลือเพียง 420 จุด นั่นคือเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา หลายคนในนั้นเคยมีรายได้เดือนละ 1,000 ดอลลาร์ แต่การจะหางานที่ได้รับค่าจ้างเท่าเดิมเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
     
      ครั้งหนึ่งบริษัทโบรกเกอร์หลายแห่งในเวียดนามเคยทำข้อตกลงกันที่จะไม่ ซื้อตัว พนักงานจากบริษัทอื่น ตอนนี้ทั้งหมดได้หันไปจับมือกันอีกครั้งเพื่อหางานให้พนักงานทำต่อไป
     
      นายหวิ่งหง็อกแอง (Huynh Ngoc Anh) ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์บริษัทหลักทรัพย์ยาเกวี๋ยน (Gia Quyen) กล่าวว่าก่อนหน้านี้บริษัทต่างๆ เคยงอนง้อพนักงานทุกวิถีทางเพื่อให้ทุกคนไม่เปลี่ยนที่ทำงานใหม่ เมื่อเข้าสู่ยุคที่ทุกคนกำลังลำบากบริษัทต่างๆ ก็ควรจะรับผิดชอบต่อพนักงานเหล่านั้น
     
      โบกเกอร์รายต่างๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ต่างกำลังจัดองค์กรกันใหม่ พนักงานในส่วนบริการซื้อขายหรือให้คำปรึกษา ถูกย้ายไปทำงานเซลออกหาลูกค้า หลายบริษัทมองอย่างแง่ดีว่านี่คือโอกาสเหมาะที่สุดที่จะรักษาพนักงานระดับคุณภาพเอาไว้
     
      พนักงานบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งยังคงต่อสู้ต่อไป แม้ว่าในวันนี้จะต้องทำงานเป็นกะ มีงานทำน้อยลง มีเวลาหยุดพักมากขึ้น เพื่อให้สามารถผ่านพ้นยุคตกต่ำของตลาดหุ้นไปให้ได้

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 06, 2008 7:08 pm
โดย investment biker
ข้อมูลงบการเงินบริษัทในตลาดหุ้นเวียดนามหาดูได้ที่ไหนบ้างครับ

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 06, 2008 8:05 pm
โดย chode
ผมหาได้จาก reuterของบริษัทครับ

อันนี้มีแต่ข้อมูลราคาครับ
http://www.vietstock.com.vn/tianyonen/Index.aspx

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 07, 2008 4:17 pm
โดย yuki
ไม่ทราบว่า แบงก์ชาติ ของเวียตนาม เนี่ย มีไหมครับ

ในหลายๆ ครั้ง ความรุนแรงของปัญหาเศรษฐกิจลดลงได้
ด้วยมาตรการของแบงก์ชาติ

แต่ ในหลายๆครั้งเช่นกันที่แบงค์ชาติ(ของบางประเทศ)
ก็เป็นตัวทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา  :rofl:

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 09, 2008 5:06 pm
โดย matee
มาแล้ว คุณพ่อ IMF ชงยาขมรอเวียดนาม!

กรุงเทพฯ -- เศรษฐกิจเวียดนามกำลังผันแปรอย่างรวดเร็วมาก จากเพียงไม่กี่เดือนก่อนหน้าที่ยังเป็น สุดยอด ในสายตานักลงทุนต่างชาติ ได้กลายมาเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายเริ่มกังขา และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF (International Monetary Fund) ได้ยื่นมือเสนอวิธีการแก้ไข
     
      การเข้าไปยุ่งเกี่ยวของไอเอ็มเอฟได้นำความหลังเก่าๆ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว กลับมาหลอกหลอนหลายประเทศในเอเชียอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ที่ทนกล้ำกลืนยาขมของไอเอ็มเอฟนานหลายปี ต้องปิดธนาคาร และสถาบันการเงินหลายสิบแห่ง หนี้เสียในระบบคั่งค้างมาจนทุกวันนี้
     
      การเข้าควบคุมเศรษฐกิจไทยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ทำให้สถาบันแห่งนี้เคยได้รับการขนานนามจากนักการเมืองของไทยว่า คุณพ่อไอเอ็มเอฟ
     
      นายเบเนดิค บิงแฮม (Benedic Bingham) ผู้แทนไอเอ็มเอฟประจำเวียดนาม กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า เวียดนามควรจะใช้นโยบายการเงินการคลังที่เคร่งครัดรัดกุม เพื่อแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจโอเวอร์ฮีต รัฐบาลควรขึ้นอัตราดอกเบี้ย ปรับปรุงภาคการธนาคารและผลักดันการปฏิรูปตลาด
     
      เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟ ได้เสนอดังกล่าวในการประชุมระหว่างรัฐบาล กับกลุ่มประเทศผู้บริจาคและนักลงทุน หลังจากสำนักจัดความน่าเชื่อถือหลายแห่งได้ปรับเศรษฐกิจเวียดนามเข้าสู่แดนลบ
     
      "เงื่อนไขต่างๆ ทางเศรษฐกิจ ได้เข้าสู่ความยุ่งยากอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นในปีที่ผ่านมา ด้วยเศรษฐกิจที่ร้อนแรงภายใต้สภาพแวดล้อมด้านการเงินระดับโลกที่อ่อนตัวลง นายบิงแฮมกล่าวที่เมืองซาปา (Sapa) ทางตอนเหนือเวียดนาม
     
      เงินเฟ้อทะยานขึ้นถึง 25% ในเดือน พ.ค.เทียบกับเดือนเดียวกันเมื่อปี 2550 โดยมีราคาน้ำมันกับราคาอาหารเป็นตัวฉุด การขาดดุลพุ่งขึ้นถึง 14,400 ล้านดอลลาร์ ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้
     
      นายบิงแฮม บอกว่า เงินเฟ้อ เงินทุนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว การใช้จ่ายด้านการคลัง รวมทั้งการลงทุนของภาครัฐที่ขยายตัวอย่างสูง ล้วนเป็นปัจจัยทำให้เกิดปัญหาดุลชำระเงินในปัจจุบัน
     
      นอกจากนั้น ยังมีข้อบ่งชี้ทางเศรษฐกิจหลายประการ ว่า นักลงทุนเริ่มมีความกังวล โดยชี้ไปยังตลาดหุ้นของประเทศ ที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น
     
      เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟ กล่าวอีกว่า ปัญหาตลาดหุ้นกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ทรุดตัวอย่างรุนแรงนี้ยังทำให้เกิดแรงกดดันต่อค่าเงินด่งด้วย

นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งยังไม่เห็นด้วยกับไอเอ็มเอฟทั้งหมด แต่ก็เห็นพ้องกันว่า สถานการณ์ในปัจจุบันอาจจะทำให้เศรษฐกิจของคอมมิวนิสต์เวียดนามหันเหไปทางใดก็ได้ หากไม่มีการจัดการกับปัญหาต่างๆ อย่างระมัดระวัง
     
      ปีที่แล้วทุกสารทิศเยินยอเวียดนามกำลังจะเป็น เสือ ตัวใหม่เนื่องจากเศรษฐกิจโตเร็วขยายตัวถึง 8% เป็นอันดับ 2 ในเอเชียรองจากจีนเท่านั้น
     
      แต่เวลาเพียงข้ามปีเวียดนามต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเงินเฟ้ออย่างรุนแรงจากหลักเดียวเพิ่มขึ้นเป็นสอง ขาดดุลการค้าเพิ่มทวี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลงเกือบ 2 ใน 3 ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับค่าเงินด่ง (Dong) และชะตากรรมของระบบธนาคาร
     
      สำนักจัดความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส (Standard & Poor's) รวมทั้งธนาคารเพื่อการลงทุนอีกหลายแห่ง ต่างทบทวนฐานะเศรษฐกิจของเวียดนามไปในแดนลบ
     
      ภาพรวมทั้งหมดนี้ยิ่งเลวร้ายหนักขึ้นไปอีก เมื่อเกิดขึ้นในยุคที่กำลังวิตกกันไปทั่วว่า เศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ อาจจะทำให้การค้าของทั้งโลกปั่นป่วนและจะทำให้เกิดปัญหาไปทั่ว
     
      สถานบันวิจัย Aseambanker Research บอกว่า ภาพที่เลวร้ายที่สุดอาจจะเป็นว่าเวียดนามจะเผชิญปัญหาเงินทุนไหลออก ทำให้เกิดปัญหาขาดดุลชำระเงินฉับพลัน ซึ่งจะผลักไสให้เวียดนามเข้าสู่อ้อมอกของไอเอ็มเอฟ
     
      นายอดัม เลอ เมซูริเอร์ (Adam Le Mesurier) ได้เขียนบทวิเคราะห์ให้แก่บริษัทที่ปรึกษา DSG Asia ระบุว่า เวียดนามอาจจะต้องเตรียมใช้นโยบายเพื่อขานรับวิธีการแบบไอเอ็มเอฟภายใน 6 เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งรวมทั้งการจัดการกับการเงินการคลังอย่างรัดกุมและลดค่าเงินด่ง
     
      แต่บรรดาตัวแทนประเทศผู้บริจาคกับนักลงทุนจากสารทิศ ซึ่งประชุมกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วยังคงเชื่อมั่น และมองเศรษฐกิจเวียดนามในแง่บวก โดยชี้ไปที่ภาคส่งออกที่ยังเข้มแข็งทั้งอาหารและน้ำมันดิบ การลงทุนจากต่างประเทศยังไหลเข้าไม่หยุดยั้ง การท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง
     
      ต่างชาติยังคงมองตลาดใหญ่ประชากร 85-86 ล้านคนอย่างเป็นบวก รวมทั้งมองเห็นพลังคนวัยแรงงานหนุ่มสาวซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
     
      มันเป็นเรื่องง่ายที่จะกล่าวอ้างว่า เวียดนามได้เปลี่ยนจาก 'เด็กโปสเตอร์' เป็น 'เด็กมีปัญหา'... นายฌอน ดอยล์ (Sean Doyle) ตัวแทนสหภาพยุโรปประจำเวียดนามกล่าว อันสะท้อนคำพูดของนักวิเคราะห์ของสำนักเอกชนรายหนึ่ง
     
      ** สถานการณ์พลิกผัน **
     
      เมื่อเวียดนามเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก ในเดือน ม.ค.2550 ทุนจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้าไปใช้แรงงานราคาถูกในดินแดนที่เรียกว่า จีนน้อย (Mini China)
     
      นักลงทุนรายย่อยในประเทศทุ่มเงินเข้าตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ และศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ฮานอยเก็งกำไร รัฐบาลขยายโครงการลงทุนของภาครัฐออกไปอย่างกว้างขวาง ทำให้เงินแพร่สะพัดในระบบ
     
      แต่กังหันเศรษฐกิจเริ่มหมุนไม่ตรงทิศทางเมื่อสัก 6 เดือนก่อนหน้านี้
     
      อัตราเงินเฟ้อขยายเป็นเลข 2 หลัก อันเป็นช่วงที่รัฐบาลได้พยายามผลักดันให้เงินทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) ได้มีการใช้จ่ายใช้เข้าสู่ภาคเศรษฐกิจราว 6,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 8.4% ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศหรือ จีดีพี
     
      เมื่อเริ่มปีใหม่ 2551 ราคาสินค้าในตลาดก็เริ่มขยับตัวด้วยความเร็วสูง นำหน้าโดยราคาสินค้าหมวดอาหารและน้ำมันเชื้อเพลิง ความเดือดร้อนแพร่ลามอย่างรวดเร็ว คนงานก่อการนัดหยุดงานกว่า 300 ครั้งในไตรมาสแรกของปีนี้ขอค่าแรงเพิ่ม
นักวิเคราะห์ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ (HSBC) กล่าวว่า ปัญหาค่าจ้าง-ราคา กำลังอยู่ในขั้นเริ่มแรกเท่านั้น แต่สถานการณ์จะแย่ลงอีกมากหากปัญหานี้ฝังแน่นอยู่ในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเขาเชื่อว่าเงินเฟ้ออาจจะทะยานขึ้นถึง 30% หากไม่สามารถควบคุมราคาสินค้าได้
     
      สัญญาณเตือนอีกตัวหนึ่งดังขึ้น เมื่อมูลค่าการนำเข้าที่พุ่งทะยานไปข้างหน้าได้ทำให้ตัวเลขขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 14,400 ล้านดอลลาร์ในเดือน พ.ค.จาก 12,000 ล้านดอลลาร์ตลอดปี 2550 ทั้งปี
     
      ตลาดหลักทรัพย์เข้าสู่ตาจน เมื่อเกิดสภาวะขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง จากมาตรการดอกเบี้ยและการควบคุมการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนอันตรธานไป
     
      ตลาดหลักทรัพย์เวียดนามที่เคยเป็น ตลาดหุ้นดีที่สุดของโลก เมื่อปีที่แล้ว เป็นตลาดที่การประกอบการ แย่ที่สุด ในปีนี้
     
      สัปดาห์ที่แล้ว VN-index ดิ่งลงต่ำกว่าแนวรับทางจิตวิทยา 400 จุดเป็นครั้งแรก ดัชนีหุ้นเวียดนามทรุดลงอีก 1.5% หรือ -5.84 จุดเมื่อตลาดปิดการซื้อขายวันศุกร์ ทำให้ดัชนีเหลืออยู่เพียง 384.24 จุด
     
      ดัชนี VN-index เคยทะยานขึ้นสูงถึง 1,170 จุดในเดือน มี.ค.2550 ก่อนจะค่อยๆ ดิ่งหัวลง และเศรษฐกิจต้องเผชิญปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง
     
      นักลงทุนท้องถิ่นจำนวนมากหันไปซื้อทองเก็บเอาไว้แทน หลังจากค่าเงินด่งในตลาดแลกเปลี่ยนที่ไม่เป็นทางการทรุดลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยอัตราทรุดลงเป็น 18,500 ด่งต่อดอลลาร์ปลายสัปดาห์ที่แล้ว จากอัตราแลกเปลี่ยนทางการ 16,060 ด่ง
     
      นักวิเคราะห์ของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวว่า เงินด่งกำลังถูกดดันอย่างหนัก ปัญหานี้จะยังไม่ได้รับการแก้ไขจนกว่าตัวเลขขาดดุลการค้าจะลดลง

http://www.manager.co.th/IndoChina/View ... 0000067314

เราอาจจะคิดว่าเราแย่ แต่มีคนแย่กว่าเรา !!!!!

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 11, 2008 3:08 am
โดย Ryuga
ปีที่แล้ว คลับคล้ายคลับคลาว่าผู้บริหารของ Finansa ออกมาให้ข่าวว่า หุ้นประเทศไทยไม่ได้เรื่อง ไม่ดีแบบนั้นแบบนี้ มีมาตรการ 30% อะไรต่างๆ ก็เลยจะนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม เพราะหุ้นที่นั่นสดใสมาก

น่าเสียดายไม่ได้เก็บข่าวเอาไว้ อยากรู้ว่าเขาได้กำไรไปเท่าไหร่แล้วนะครับ  :lol: