ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
teetotal
Verified User
โพสต์: 1667
ผู้ติดตาม: 0

ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย

โพสต์ที่ 1

โพสต์

http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 19392.html

ไปเจอบทความเก่าๆที่อ่านแล้วเตือนใจนักลงทุนหน้าใมห่ๆได้อย่างดีครับ น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย

-----------------------

  "...ชีวิตผม เริ่มต้นจากติดลบ จากการเป็นหนี้ เพราะหุ้น และผมก็มีชีวิตที่ดีได้ เพราะหุ้น ผมจะไม่พลาดอีกต่อไป อย่างน้อย ผมกันเงิน ๕๐ เปอร์เซนต์ ไปซื้อที่ดิน เพื่อความมั่นคงในชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือ ผมต้องรู้ตัวเองว่า ผมจะต้องไม่โลภเกินไป"  
     นักเล่นหุ้น ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ท่านนี้ก็เป็นหนึ่ง ในบรรดานักเล่นหุ้น มืออาชีพ ที่คร่ำหวอด ในวงการ มานานนับสิบปี ประสบการณ์ แต่ละครั้ง ของคนเหล่านี้ ซื้อมาด้วยเงินมหาศาล บางคน เกือบต้องเอาชีวิตเข้าแลก เซียนหุ้นบางคน มีความรู้แต่ ป. ๔ แต่สามารถอ่านงบการเงิน ของบริษัทต่าง ๆ ได้ บางคน เคยมีอาชีพ ขายไอศกรีม แต่ปัจจุบัน กลายเป็น เศรษฐีร้อยล้าน เซียนหุ้นบางคน อาจเคยเป็นมหาเศรษฐี เป็นเจ้าของภัตตาคารมีชื่อ แต่ความรุ่งเรืองนั้น กลับกลายเป็นอดีตที่ขมขื่น เมื่อต้องขายกิจการทุกอย่าง ที่ตัวเองมี เพื่อชดใช้หนี้สิน ที่เกิดจากการเล่นหุ้น
  หุ้นคืออะไร มันเป็นยาพิษ หรือน้ำหวาน ของนักเล่นหุ้นกันแน่ ?

---------------------

ย้อนกลับไป เมื่อ ๑5 ปีที่แล้ว นักเล่นหุ้น รู้ดีว่า ตลาดหุ้นเมืองไทยขณะนั้น อยู่ในภาวะกระทิง อันเป็นผลมาจาก เศรษฐกิจไทย ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงปีละประมาณ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เหล่านักเผชิญโชค หลายแสนคน ต่างมุ่งหน้าไปขุดทองกันที่ ห้องค้าหลักทรัพย์ เพื่อถ่ายทอดคำสั่ง ให้โบรกเกอร์เคาะซื้อขาย หุ้นต่าง ๆ บนกระดาน    
  หลายคน ยังคงจำ วิธีซื้อขายหุ้นแบบเก่า ที่ใช้วิธีเคาะกระดาน เสียงดังสนั่นได้ดี ก่อนที่จะเปลี่ยน มาเป็นวิธีซื้อขาย ด้วยคอมพิวเตอร์
  ใครที่เคยไป ห้องค้า ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย อาคารสินธร คงไม่ลืมบรรยากาศ เมื่อเวลา ๙.๓๐ น. ทันที ที่เสียงอ๊อด อ๊อด อ๊อด...ของสัญญาณบอกเวลา เปิดตลาดหุ้นดังขึ้น ชีวิตในห้องโถง ซึ่งมีขนาดพอ ๆ กับโรงยิม ก็เริ่มเคลื่อนไหว ที่ผนังทั้งสามด้านของห้อง มีกระดานไวท์บอร์ดขนาดใหญ่ ติดตั้งอยู่ บนกระดานแบ่งเป็นช่อง ๆ แสดงชื่อบริษัท ที่มีการซื้อขายหุ้น แยกเป็นหมวดหมู่ ตรงกลางห้อง เป็นที่ตั้งโต๊ะ ของบรรดาบริษัทโบรกเกอร์ ที่ได้รับอนุญาต ให้เป็นนายหน้า ทำการซื้อขายหุ้น แทนบุคคลทั่วไป ที่ไม่สามารถ ซื้อขายหุ้นได้โดยตรง แต่ละบริษัท มีเครื่องคอมพิวเตอร์ บันทึกรายการ ซื้อขายใบหุ้น ของลูกค้า และโทรศัพท์ฮอตไลน์ ที่ไม่ต้องหมุนหมายเลข ต่อไปถึงบริษัทแม่ที่อยู่ข้างนอก เพื่อรอรับคำสั่ง จากลูกค้าที่ต้องการ ซื้อขายหุ้น เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว เจ้าหน้าที่ หรือเทรดเดอร์ ของแต่ละบริษัท ซึ่งสวมชุดสีน้ำเงิน มีชื่อ และหมายเลขประจำตัว ปักด้วยด้ายสีเหลือง แลเห็นเด่นชัด อยู่กลางหลัง ก็วิ่งไปเคาะซื้อขายหุ้น บนกระดาน ด้วยปากกา
  เทรดเดอร์ ของบริษัทใด มีความคล่องตัวสูง สามารถชิงเคลื่อนไหว เข้ายึดพื้นที่ หน้ากระดาน ได้เร็วกว่า คู่แข่ง ก็สามารถสนอง คำสั่งซื้อขายหุ้น ของลูกค้า ได้ดีกว่า
  แม้ว่าการซื้อขายหุ้นทั่วโลก จะเปลี่ยนมาใช้ คอมพิวเตอร์ แต่ก็ยังใช้หลักการเดิม คือ "การประมูล" ใบหุ้น เปรียบเสมือนสินค้า ในท้องตลาด เมื่อมีการประมูล ผู้ให้ราคาซื้อสูงกว่า ก็ย่อมซื้อได้ ในขณะเดียวกัน ผู้เสนอราคาขาย ในราคาต่ำกว่า ก็มักจะขายได้ก่อน ภายใต้ข้อกำหนดว่า ราคาซื้อขายของหุ้นแต่ละตัว จะขึ้นลงได้ไม่เกิน ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ของราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย ของวันก่อน
  ภาพที่เห็นชินตา ในเวลานั้น อีกประการ คือ ภาพตัวแทนโบรกเกอร ์ยืนบนโต๊ะ มือหนึ่ง ถือกล้องส่องทางไกล ดูราคาหุ้น บนกระดาน อีกมือหนึ่ง ถือโทรศัพท์มือถือขนาดใหญ่ รุ่นโบราณ คอยรายงาน ราคาหุ้น ให้ลูกค้าที่รอฟังอยู่ที่ บริษัทโบรกเกอร์ข้างนอก รับทราบ ในเวลานั้น การรายงานราคาหุ้น มีเพียงการถ่ายทอดเสียง ผ่านวิทยุคลื่น เอ.เอ็ม. ความถี่ ๑,๔๙๕ กิโลเฮิรตซ์      ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย ได้เปลี่ยนวิธีการซื้อขายหุ้น บนกระดาน ที่ใช้มานานถึง ๑๖ ปี ตั้งแต่เปิดตลาดฯ ครั้งแรก เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๑๘ มาเป็นการซื้อขายด้วยคอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๔ เพื่อรองรับ ปริมาณการซื้อขาย จากวันละไม่กี่ร้อยล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นวันละ ๕ ,๐๐๐ กว่าล้านบาท
  บรรยากาศ การรับคำสั่งซื้อขายหุ้น ที่โกลาหล อลหม่าน และเสียงเคาะซื้อขายบนกระดาน ก็หายไป แทนที่ ด้วยความเงียบของเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ปรากฏตัวเลข บนจอกระดานดิจิตอลแทน นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถนั่งดูราคาซื้อขายหุ้น ที่รายงานสด ผ่านจอโทรทัศน์ ที่บ้านได้อีกด้วย ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ ได้เปลี่ยนกฎใหม่ ให้ราคาซื้อขายของหุ้นแต่ละตัว ขึ้นลงได้ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ทำให้การทำกำไร หรือขาดทุน มีผลต่างมากขึ้น
  ความสะดวก ของการเล่นหุ้น และเศรษฐกิจไทย ที่ยังสดใสกระตุ้นให้ ชนชั้นกลาง แห่กันเข้ามาเล่นหุ้น ไม่ขาดสาย จากไม่กี่หมื่นคน พุ่งขึ้นเป็นเรือนแสน คนหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าหมอ อาจารย์ สถาปนิก วิศวกร นักธุรกิจ ฯลฯ ไม่มีอันทำงาน เพราะต้องเงี่ยหูฟัง ราคาซื้อขายหุ้น ในแต่ละวัน หลายคน ตัดสินใจลาออกจากงาน มาเล่นหุ้นอย่างเดียว เพราะเชื่อว่า ไม่มีอาชีพใด จะทำเงินได้มหาศาล เท่าการเล่นหุ้น
  "ผมซื้อหุ้น กระดาษสหไทย ราคา ๑๐๐ กว่าบาท จำนวน ๑ หมื่นหุ้น ตอนนี้ราคา ๗๐๐ กว่าบาท ลงทุนไม่ถึง ๒ ล้านบาท กำไร ๕ ล้านกว่าบาท"

    "ผมซื้อหุ้น เอกธนกิจ ๒๐๐ กว่าบาท จำนวน ๑ หมื่นหุ้น ขายไป ๕๐๐ กว่าบาท กำไร ๓ ล้านกว่า ใช้เวลาไม่ถึง ๒ เดือน"
  ภายหลังเหตุการณ์ แบล็กมันเดย์ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๓๐ ดัชนีตลาดหุ้น ได้ลงสู่จุดต่ำที่ระดับ ๒๘๔.๙๔ จุด ในสิ้นปีนั้น และได้ทะยานขึ้นไปสูงถึง ๑,๑๐๐ จุด ในเวลาต่อมา ก่อนจะไปพบกับ วิกฤตการณ์สงคราม อ่าวเปอร์เชีย ในปี ๒๕๓๓ ซึ่งทำให้หุ้นตกลงมา ๕๐๐ กว่าจุด พอสงครามสงบ หุ้นกำลังจะโงหัวขึ้น ก็มาเจอเหตุการณ์ เดือนพฤษภาคมปี ๒๕๓๕ หุ้นก็รูดลงไปอีก แต่บรรดานักเล่นหุ้น ทั้งสามส่วน คือ สถาบันการเงิน นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนรายย่อย หรือที่เรียกกันว่า แมลงเม่า ยังคงมุ่งหน้าเข้าตลาดหุ้น อย่างต่อเนื่อง ด้วยเชื่อว่า เศรษฐกิจไทย โตจนฉุดไม่อยู่
ช่วยกันเล่นหุ้นจน ดัชนีหุ้นทะยานขึ้น สู่จุดสูงสุด ในประวัติศาสตร์ถึง ๑๗๖๓.๗๘ จุด มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด ถึงประมาณวันละ ๔ หมื่นล้านบาท เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๗ คนเล่นหุ้นส่วนใหญ่ พึงพอใจกับรายได้ ที่เกิดขึ้นง่าย ๆ นักวิเคราะห์หุ้น ถึงกับฟันธงว่า ดัชนีหุ้นจะทยานขึ้นสู่ ๒,๐๐๐ จุด ในปีถัดไป
  แต่หลังจากนั้น หุ้นไทย ก็เข้าสู่ภาวะหมี อย่างยาวนาน หุ้นไทยตกต่ำลงเรื่อย ๆ เมื่อความจริง เริ่มปรากฏว่า ความเจริญทางเศรษฐกิจไทย เป็นเพียงภาพลวงตา นักลงทุนจากต่างชาติ ที่มีต้นทุนหุ้น ในราคาต่ำมาก เริ่มขายทิ้งหุ้น อย่างต่อเนื่องยาวนาน ข่าวร้ายทยอยเข้ามา ตลอดเวลา จนกระทั่ง มาถึงการลดค่าเงินบาท ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๐ และวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ ฟองสบู่แตก ในปีเดียวกัน บริษัทไฟแนนซ์ ๕๖ แห่งถูกสั่งปิด ธนาคารพาณิชย์ของไทย ถูกต่างชาติ เข้ามาซื้อกิจการ บริษัทนับพันแห่ง ล้มละลาย รัฐบาลต้องกู้เงิน และเชื่อฟังไอเอ็มเอฟ หรือกองทุนการเงิน ระหว่างประเทศ แต่โดยดี ทำให้ ดัชนีหุ้นไทยตกต่ำ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน มูลค่าการซื้อขายลดลง เหลือเพียงวันละ ๗๐๐ กว่าล้านบาท ในเดือนมิถุนายน ๒๕๔๐ และเมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๑ ดัชนีลดต่ำสุด เหลือเพียง ๒๐๗.๓๑ จุด หุ้นของบริษัทจำนวนมาก ในตลาดหลักทรัพย์ กลายเป็นสิ่งไร้ค่า ดังตัวอย่าง
  หุ้นของ บริษัทเอกธนกิจ ที่เคยสูงถึง ๕๘๔ บาท เหลือมูลค่าเป็นศูนย์ เพราะบริษัท
ถูกสั่งปิด คนที่เคยซื้อหุ้นเอกธนกิจ ต้องทำใจว่าเงินในกระเป๋า หายวับไปภายในพริบตา
  หุ้นของ บริษัทเกียรตินาคิน ที่เคยสูงถึง ๖๓๒ บาท เหลือต่ำสุดเพียง ๐.๙๐ บาท
  หุ้นของ บริษัทแลนด์แอนด์เฮาส์ ที่เคยสูงถึง ๗๕๖ บาท ลดเหลือต่ำสุดเพียง ๖.๘๐ บาท
  มูลค่ารวมของ ตลาดหลักทรัพย์ ทั้งหมด ที่เคยมีสูงถึง ๓,๓๐๐ พันล้านบาทในปี ๒๕๓๗ ลดลงเหลือเพียง ๑,๒๖๘ พันล้านบาท ในปี ๒๕๔๑ หรือเงินหายไปจาก ตลาดหลักทรัพย์ ๒ ล้านล้านบาท ภายในสี่ปี
  ถึงต้นปี ๒๕๔๓ มูลค่ารวมของ ตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้นมา ๒,๑๐๐ พันล้านบาท และดัชนีกระเตื้องขึ้นมา อยู่ที่ ๓๐๐ กว่าจุด
  วิกฤตการณ์ครั้งนี้ ทำให้นักลงทุนรายย่อย หรือแมลงเม่าส่วนใหญ่ ตายสนิท หลายคน ต้องเปลี่ยนอาชีพ ไปขายอาหาร หรือขายแรงงาน หลายคนฆ่าตัวตาย หนีหนี้สิน จากการเล่นหุ้น หลายคนติดคุก เพราะโกงเงินของบริษัท มาใช้หนี้จากการเล่นหุ้น
  เกมหุ้นครั้งนั้น สรุปได้ว่า นักลงทุนฝรั่งชนะ และโยกเงินออกไปเล่นหุ้น ประเทศอื่นแทน ขณะที่นักลงทุนชาวไทย ตายสนิท
  ไม่มีใครรู้ว่าภาวะกระทิงจะกลับมาอีกหรือไม่ หรือเศรษฐกิจไทยจะฟื้นเมื่อใด แต่ในตลาดหุ้นก็ยังมีแมลงเม่าใหม่ ๆ ที่ยังไม่เข้าใจ สัจธรรม ที่ว่า "ความโลภไม่เคยปรานีใคร" เข้ามาเสี่ยงในตลาด อย่างต่อเนื่อง แม้ว่า นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ หลายคน จะลงความเห็นตรงกันว่าโอกาสของการเล่นหุ้น ในช่วงเวลานี้ จะบาดเจ็บมากกว่า ได้เงินกลับบ้าน เพราะเศรษฐกิจ ไม่ฟื้นจริง และทุกวันนี้ นักลงทุนต่างชาต ิที่ทยอยเก็บหุ้นราคาถูกไว้ เมื่อสองปีก่อน เริ่มทยอยขายหุ้นอีกครั้งหนึ่ง
  ก่อนจบ ขอเล่านิทานเตือนสติ นักเล่นหุ้นทั้งหลายว่า
  เมื่อสิบกว่าปีก่อน มีนักเล่นหุ้นคนหนึ่ง ที่ร่ำรวย จากการเล่นหุ้นมาก นั่งรถแท็กซี่ มาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะรถเก๋งคันงาม ของเขาเข้าอู่ไปซ่อม ระหว่างทาง ก็ชวนคนขับรถ คุยกันเรื่องหุ้น พร้อมกับแนะนำว่า หากคนขับรถ มีเงินเก็บ ก็ควรจะเอามาเล่นหุ้น จะได้ร่ำรวยเหมือนเขา เพราะก่อนที่จะมาเป็น เซียนหุ้น เขาก็เคยขับแท็กซี่มาก่อน
  ฝ่ายคนขับแท็กซี่ ได้ฟังดังนั้น ก็พูดขึ้นว่า
  "ขอบคุณครับพี่ แต่ก่อนที่ผมจะมาขับแท็กซี่ ผมก็เคยร่ำรวย เป็นเซียนหุ้น เหมือนพี่ตอนนี้แหละ"
  สิบกว่าปีต่อมา เจ้าของรถคันงามดังกล่าว ได้ขายบ้าน ขายรถ เพื่อใช้หนี้ จากการเล่นหุ้น ไปจนหมดสิ้น ปัจจุบัน เป็นโชเฟอร์ขับรถประจำตำแหน่ง ให้แก่นักธุรกิจฝรั่ง ที่เข้ามาซื้อกิจการราคาถูก ในเมืองไทย  

จาก นิตยสารสารคดี ...ย้อนรอย
คงไม่มีใคร หาเงินมากมาย ไว้ยัดใส่โลงศพตัวเอง
.........
เชิญรับแจก เมล็ดพันธุ์พืชนานาชนิดได้ที่
http://www.kasetporpeang.com/forums/ind ... board=22.0
เชิญฟังธรรมฟรี ที่ http://www.fungdham.com
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

thanks

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณมากๆครับสำหรับบทความดีๆที่นำมาฝากกันครับ :)  :)  :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
ss&ss
Verified User
โพสต์: 11
ผู้ติดตาม: 0

ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอคาระวะ :bow:
ขายทีไรมานไปต่อทู๊กที
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 29

ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย

โพสต์ที่ 4

โพสต์

หุ้นของ บริษัทเอกธนกิจ ที่เคยสูงถึง ๕๘๔ บาท เหลือมูลค่าเป็นศูนย์ เพราะบริษัท
ถูกสั่งปิด คนที่เคยซื้อหุ้นเอกธนกิจ ต้องทำใจว่าเงินในกระเป๋า หายวับไปภายในพริบตา
 หุ้นของ บริษัทเกียรตินาคิน ที่เคยสูงถึง ๖๓๒ บาท เหลือต่ำสุดเพียง ๐.๙๐ บาท
 หุ้นของ บริษัทแลนด์แอนด์เฮาส์ ที่เคยสูงถึง ๗๕๖ บาท ลดเหลือต่ำสุดเพียง ๖.๘๐ บาท


เหวอ LH ตอนนั้น pe เท่าไรหว่า

อย่างไรก็ตาม หากไม่โลภนะ ไม่เจ๊งหรอก ที่เจ๊งๆเพราะโลภมาก ลาภหาย
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 29

ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ว๊าวจริงๆด้วย ดูจากกราฟ อีไฟแนน ราคาสูงสุด คือ 41.572 เทียบเท่า 756 นะครับ อืม ข่าวนี่เขียนดูแล้วน่ากัวจัง

07/01/1994 664.00 664.00 598.00 640.00 -24.00 -3.61 4,138 264.62
06/01/1994 716.00 716.00 648.00 664.00 -28.00 -4.05 3,029 205.41
05/01/1994 752.00 756.00 692.00 692.00 -24.00 -3.35 2,917 210.85
04/01/1994 652.00 716.00 652.00 716.00 64.00 9.82 2,088 144.56
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 29

ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย

โพสต์ที่ 6

โพสต์

21 03 1995 ประกาศ งบการปี 1994 ว่ามีกำไร 14.60 บาท

ดูคร่าวๆ ราคาวิ่งไป 756 เท่ากับ pe 51 อิอิ สูงมากเหมือนกันนะ
javoel
Verified User
โพสต์: 383
ผู้ติดตาม: 0

ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ใดใดในโลกล้วนอนิจจังครับ   พี่น้อง
สาธุ
สาธุ
สาธุ
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14784
ผู้ติดตาม: 29

ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย

โพสต์ที่ 8

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

หุ้นของ บริษัทเอกธนกิจ ที่เคยสูงถึง ๕๘๔ บาท เหลือมูลค่าเป็นศูนย์ เพราะบริษัท 
ถูกสั่งปิด คนที่เคยซื้อหุ้นเอกธนกิจ ต้องทำใจว่าเงินในกระเป๋า หายวับไปภายในพริบตา 
 หุ้นของ บริษัทเกียรตินาคิน ที่เคยสูงถึง ๖๓๒ บาท เหลือต่ำสุดเพียง ๐.๙๐ บาท 
 หุ้นของ บริษัทแลนด์แอนด์เฮาส์ ที่เคยสูงถึง ๗๕๖ บาท ลดเหลือต่ำสุดเพียง ๖.๘๐ บาท 
แต่อ่านข่าวแบบนี้ต้องทำการบ้านดูเหมือนกันนะครับ lh 756 เหลือ 6.80

พอไปดูกราฟ อีไฟแนน ที่ทำเป็นแบบ fully dilute ย้อนหลัง lh สูงสุด 41.572 ( สังเกตุมีทศนิยม 3 หลัก ) ราคาปัจจุบัน 6.70

ผมเองอ่านข่าวที่ไร ไม่เชื่อไว้ก่อน เพราะชอบเขียนกันแบบ ไม่ทำการบ้านให้ดีๆ และไม่มีใครตรวจสอบด้วย เวลาอ่าน

ดีนะมี internet จะได้ช่วยนักข่าวทำการบ้านหน่อย

แต่เนื้อหาโดยรวมโอเค ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
alexx
Verified User
โพสต์: 332
ผู้ติดตาม: 0

ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย

โพสต์ที่ 9

โพสต์

:cool:  :cool:  :cool:  เยี่ยมครับ
waz
Verified User
โพสต์: 751
ผู้ติดตาม: 0

ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย

โพสต์ที่ 10

โพสต์

อ่านๆดูแล้ว คนเขียนคงมีอกติกับหุ้นพอสมควร
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 35

ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย

โพสต์ที่ 11

โพสต์

javoel เขียน:ใดใดในโลกล้วนอนิจจังครับ   พี่น้อง
สาธุ
สาธุ
สาธุ
ผู้บริหารขณะนั้น  ชื่อคุณปิ่น  ปัจจุบันลี้ภัยอยู่อังกฤษ  น่าจะสุขสบายดี
หากเข้ามาอ่าน  โปรดทราบด้วยว่า...ผู้ถือใบหุ้นที่เป็นเพียงแค่เศษกระดาษ
ยังคงคิดถึงอยู่  

ผู้บริหารยังคงร่ำรวย  เสวยสุข
ผู้ถือหุ้นยังคงยากจน  เสวยทุกข์

ท่านที่มีท่วงท่างดงาม  ไม่แพ้  นายราเกรช   :x

น่าจะเป็นนิทานข้างตลาดหลักทรัพย์  หรือในเวปบอร์ดไปอีกนาน
sattaya
Verified User
โพสต์: 1372
ผู้ติดตาม: 3

ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย

โพสต์ที่ 12

โพสต์

พี่ๆท่านใดพอจะมีราคาของหุ้นตามที่บทความพูดถึงบ้างครับ ราคามันสูงขนาดนั้นจริงหรือ
สติมา ปัญญาเกิด
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 35

ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย

โพสต์ที่ 13

โพสต์

sattaya เขียน:พี่ๆท่านใดพอจะมีราคาของหุ้นตามที่บทความพูดถึงบ้างครับ ราคามันสูงขนาดนั้นจริงหรือ
ราคาที่มันดูสูง

เนื่องจากราคาพาร์ขณะนั้น  พาร์100
ปัจจุบัน  พาร์1บาท

เพราะแตกจาก  100บาท  ต่อหุ้นมาเป็น  10บาท

เพราะแตกจาก  10บาท  ต่อหุ้นมาเป็น  1บาท  ณ.ปัจจุบัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
กระทิงแดง
Verified User
โพสต์: 952
ผู้ติดตาม: 0

ย้อนรอย ความช้ำใจของตลาดหุ้นไทย

โพสต์ที่ 14

โพสต์

คุณตัน บอกอยู่เสมอว่า "ในวิกิด มักจะมีโอกาดอยู่เสมอ"

เสียดาย ยังไม่รู้จักตลาดตอน 200 กว่าจุด และดีใจมากที่ไม่รู้จักตลาดตอน 1700 กว่าจุด
"The enemy is a very good teacher" Dalai Lama
"Confidence doesn't come from being right all the time; it comes
from surviving the many occasions of being wrong." B.N. Steenbarger
"Luck is where preparation meets opportunity"
โพสต์โพสต์