ผ่ายุทธศาสตร์ไทยประกันชีวิต ไชย ไชยวรรณ พร้อมประมือทุนข้ามชาติ
โดย ฐานเศรษฐกิจ วัน อาทิตย์ ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 04:49 น.
กระแสการเข้ามาลงทุนของบริษัทข้ามชาติ โดยเฉพาะทุนญี่ปุ่น และทุนตะวันตก ที่เข้ามาในธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัยในประเทศไทย ยังเป็นที่ถูกจับตามองว่าท้ายที่สุดแล้วจะยังเหลือบริษัทประกันที่ยังเป็นพันธุ์ไทยแท้อยู่ในระบบสักกี่แห่ง และบริษัทไทยที่เหลืออยู่จะมีแรงพอที่จะสู้รับปรบมือกับทุนต่างชาติหรือไม่
แต่สำหรับ ไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด ซึ่ง ณ วันนี้ นอกจากจะเป็นบริษัทประกันชีวิตไทยแท้ที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับที่ 2 ของระบบแล้ว เขาประกาศว่า บ.ไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทไทยที่มีมาตรฐานระดับสากล และพร้อมที่จะแข่งขันกับทุนข้ามชาติ อะไรคือจุดได้เปรียบและเสียเปรียบของบริษัทประกันชีวิตไทย และทางออกในการปรับตัวจะเป็นอย่าง เมื่อเร็วๆนี้ ฐานเศรษฐกิจ มีโอกาสไขข้อข้องใจดังกล่าวจากแม่ทัพกลุ่มไทยประกันชีวิต ไชย ไชยวรรณ
****CEOมองข้อได้เปรียบทุนไทยกับทุนต่างชาติ
ความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันของบริษัทประกันไทยกับทุนต่างชาติ คิดว่าทุนต่างชาติมีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน ( Competitive Advantages) มากกว่าทุนไทย ทั้งในแง่ของค่าของเงินที่แข็งแกร่งกว่า และเงินทุนยาวกว่า รวมถึงความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ในตลาดโลกและเทคโนโลยี
แต่ถ้าถามว่าทุนไทยแข่งขันได้หรือไม่ เชื่อว่าได้ แต่ต้องมองหาสิ่งที่ต่างชาติไม่มี เพื่อนำมาสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน สิ่งที่ผมมองเห็นคือ 1.ต้องมีทุนวัฒนธรรม 2.การบริหารแบบรอบคอบและรัดกุม 3. การซื้อเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติ 4. พนักงานต้องรอบรู้ และ5. การพัฒนาคนในองค์กรให้เป็นมืออาชีพ ซึ่งปัจจุบันบริษัทไทยประกันชีวิตอยู่ในทุกจุดที่ได้พูดถึงเพราะมีการปรับตัวมาแล้วมากกว่า 10 ปี
หลังวิกฤติเศรษฐกิจ ไทยประกันชีวิตอยู่รอด เพราะไม่ได้แค่เกิดวิกฤติการณ์แล้วมาแก้ไข แต่ได้ฝังรากทุนวัฒนธรรม และระบบงานแบบตะวันตกมาเป็นเวลานาน อีกประการหนึ่งคือไทยประกันชีวิตมีการทำแบรนดิ้งมาตั้งแต่ปี 2523 เพราะเราเสียเปรียบในแง่ที่เป็นบริษัทคน ซึ่งจนถึงปัจุบันทำแบรนดิ้งมาแล้ว 27-28 ปี จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ของไทยประกันชีวิตค่อนข้างแข็งแกร่ง แม้แต่ในสายตาต่างชาติ
***จุดขายของบ.ไทยคือ ทุนวัฒนธรรม
ไชย กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่จะสร้างความได้เปรียบระหว่างทุนไทยกับทุนข้ามชาติ และเป็นสิ่งที่บริษัทไทยประกันชีวิตทำอยู่ คือ การสร้างทุนทางวัฒนธรรม ซึ่งหมายถึง ความคิด ความเชื่อ น้ำใจ ความเอื้ออาทร โดยหากสร้างทุนวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นในองค์กร และถ่ายทอดสู่ผู้บริโภคหรือผู้ที่มุ่งหวัง ก็สามารถทำให้ผู้บริโภคที่เป็นคนไทย มองเห็นว่าบริษัทคนไทยก็มีมาตรฐานในการบริหารจัดการ หรือเรียกว่าเป็นการสร้าง Corperate Culture
นอกจากนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าเงินทุนเราสู้ต่างชาติไม่ได้ บริษัทไทยประกันชีวิตจึงพยายามบริหารจัดการแบบรอบคอบและรัดกุม ไม่บริหารแบบรุก (Aggressive) เพราะถ้าพลาดไปแล้วเรียกกลับมายาก แต่จะบริหารในรูปแบบของการก้าวไปข้างหน้า (Dynamic) มากกว่า ขณะเดียวกัน ในช่วงที่ผ่านมา พยายามบอกให้พนักงานให้เรียนรู้อย่างรู้รอบไม่ใช่รอบรู้ คือ รู้ทุกอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่รู้อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อนำไปพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมทางความคิดและปัญญาจากสิ่งที่พบเห็นและมาลอกเลียนแบบและปรับปรุง ( Copy and Development หรือ C&D) ให้เกิดเป็นนวัตกรรมที่เหมาะสมกับประเทศไทย และเป็นการพัฒนาคนในองค์กรให้เป็นมืออาชีพ
ในส่วนของเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญจากต่างชาตินั้น เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทุนไทยสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งด้วยขนาดของบริษัทไทยประกันชีวิต จึงมีโอกาสซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้ และสามารถซื้อความเชี่ยวชาญจากต่างชาติได้ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาข้ามชาติ หรือชาวต่างชาติที่สามารถมาทำงานกับองค์กรอย่างไทยประกันชีวิตได้ ซึ่งมีทั้งคนเอเชียที่สามารถเข้ากับวัฒนธรรมเอเชียด้วยกัน และมีความรู้ในระดับนานาชาติ
*****รักษาเป้าหมายบ.ไทยมาตรฐานสากล
วิกฤติเศรษฐกิจ 10 ปีที่แล้ว ผมประกาศว่าจะทำให้บริษัทไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทคนไทยในระดับสากล จะยืนต่อสู้กับบริษัทข้ามชาติ ไม่ยอมให้ข้ามชาติเข้ามาซื้อกิจการ ตอนนี้วิสัยทัศน์(Vision) นั้นเป็นจริงแล้ว ต่อจากนี้จะมีความท้าทาย คือ รักษามาตรฐานให้ดีกว่าเดิมได้หรือไม่ เพราะการรักษายากกว่าการสร้าง
รุ่นคุณพ่อ (วานิช ไชยวรรณ) สร้างมาก็ยากแล้ว แต่การรักษายากกว่า เพราะการรักษาให้อยู่เป็นเบอร์ 2 หรือจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในขณะที่การแข่งขันเปลี่ยนไป ขณะเดียวกันสิ่งที่ผมมักพูดตลอดเวลาคือ ในอนาคตไม่สำคัญว่าครอบครัวจะต้องเป็นคนที่บริหารตลอดไป ถ้ามีคนดีๆหรือคนนอกที่เข้ามาร่วมงานและบริหารงานกับเรา ผมจึงมักจะใช้คำว่า อยากให้ทุกคนในบริษัทไทยประกันชีวิตสร้างมรดกงาน คือ สืบทอดสิ่งที่เขามีให้กับคนรุ่นหลังที่เข้ามาทำงาน
ส่วนเป้าหมายของการเป็นบริษัทมหาชนนั้น ถ้าถามผมผมก็มักจะตอบว่าเมื่อไรมีความจำเป็น เราก็เป็นมหาชน เมื่อไรไม่มีความจำเป็น ทำไมเราต้องรีบไปเป็นมหาชน แต่อย่างไรก็ตาม รูปแบบของไทยประกันชีวิตวันนี้ เป็น Pravate Company เตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่บริษัทมหาชนเมื่อไรก็ได้
*****ธุรกิจเจ้าสัวในไทยยังอยู่แต่เปลี่ยนโฉม
ถามว่ายังเป็นธุรกิจเจ้าสัวอยู่หรือไม่ ก็ยังเป็นเจ้าสัวอยู่ เพราะยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ถอยออกมา ไม่ต้องบริหารเอง เดี๋ยวนี้เจ้าสัวเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่เจ้าสัวในสภาพเสื่อผืนหมอนใบและต้องทำงานหนัก 24 ชั่วโมง ต้องเป็นทุกอย่าง แต่กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และกำหนดนโยบาย
สิ่งเหล่านั้นผมเชื่อว่าเกิดขึ้นกับบริษัทหลายบริษัทที่เป็นบริษัทครอบครัวในประเทศไทย เพราะหนีกระแสโลกาภิวัตน์ไม่ได้ แต่คำว่าเจ้าสัวไม่ได้หายไป เพียงแต่เจ้าสัวเปลี่ยนโฉม
*****ความจำเป็นต้องเปิดรับพันธมิตรต่างชาติ
วันนี้คำตอบที่ชัดเจน คือ ไม่จำเป็น เพราะถ้าเราต้องการทำธุรกิจอื่นที่ไม่เชี่ยวชาญ ก็ไปร่วมพันธมิตรอื่น เช่น ที่ผ่านมาเราไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านแบงก์แอสชัวรันส์ เราก็ร่วมทำธุรกิจกับบริษัท ไทยคาร์ดิฟ ประกันชีวิต จำกัด ซึ่งเขามีความเชี่ยวชาญ ไปเทคโอเวอร์บริษัทหนึ่งแล้วมาทำด้วยกัน โดยสัดส่วนผู้ถือหุ้นของไทยประกันชีวิตก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ เพราะต่างชาติเขาก็ยังมองว่าบริษัท ไทยประกันชีวิตยังมีความเชี่ยวชาญในตลาดท้องถิ่น ตำราของฝรั่งบอกว่า Think Global Act Local เมื่อเขาเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ความคิดต่างๆอาจะเป็นมาตรฐานสากล แต่วิธีการทำการตลาดก็ยังอาศัยผู้ชำนาญการที่เป็นคนท้องถิ่น ดังนั้น แนวคิด Think Global Act Local ก็สามารถนำมาใช้กับไทยประกันชีวิตได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ถือหุ้นต่างชาติ
****เป้าหมายของธุรกิจในกลุ่มไทยประกันชีวิต
ผมว่าการทำธุรกิจ อย่ามองว่าเราจะเป็นเบอร์ 1 แต่การเป็นเบอร์ 1 เหมือนเป็นความฝัน และเราต้องพยายามสร้างความฝันให้เป็นจริง ซึ่งจะเป็นแรงขับให้ผู้บริหาร แต่การบอกว่าจะเป็นเบอร์ 1 นั้นพูดได้เยอะว่าจะเป็นแบบไหน ยกตัวอย่าง ธุรกิจเบียร์ไฮเนก้น วันนี้เป็นเบอร์ 1 ในตลาดพรีเมี่ยม แต่ตลาดรวมเรายังเล็กที่สุด แต่อย่างน้อยตัวธุรกิจก็ไปรอด และกำไรได้พอควร กรณีบริษัทไทยประกันชีวิต ยังเป็นเบอร์ 2 ของอุตสาหกรรม แต่เป็นเบอร์ 1 ที่เป็นบริษัทคนไทย ส่วนธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย เรายังไม่พูดถึงความเป็นเบอร์ 1 แต่ควรจะต้องสร้างความแตกต่าง เพราะเป็นแบงก์น้องใหม่ ยังไม่สามารถแข่งขันกับแบงก์อื่นที่เกิดก่อนเราได้ จึงต้องหาความแตกต่างในเรื่องโปรดักส์ ช่องทางการจำหน่าย การสร้างนวัตกรรมต่างๆในการให้บริการกับผู้ฝากเงิน
และถ้ามีโอกาสเป็นไปได้ก็จะพยายามให้ธุรกิจที่มีอยู่ในกลุ่ม คือทั้งธนาคารและประกันชีวิตเอื้อประโยชน์กัน ตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษา
ส่วนการขยายการลงทุนในยังธุรกิจอื่นนั้น ผมเชื่อว่าการจะธุรกิจใหม่หรือไม่ ต้องพิจารณา 2-3 ประเด็น คือ หนึ่ง มีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจนั้นพอหรือไม่ เพราะถ้ามีความรู้ไม่พอถึงมีเงินก็ไม่ประสบความสำเร็จ
สอง มีหลงจู๊หรือมีคนที่จะเข้าไปบริหารจัดการแทนหรือไม่ และไว้ใจได้แค่ไหน และ สาม มองธุรกิจดังกล่าว เป็นโอกาสหรือไม่
****ยุทธศาสตร์สร้างคนยังเป็นกุญแจหลัก
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บ.ไทยประกันชีวิต กล่าวถึง ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของบ.ไทยประกันชีวิตว่า
เป็นการมองระยะยาว โดยเฉพาะการสร้างคนที่ยังกุญแจหรือหัวใจสำคัญในธุรกิจประกันชีวิต เป็นเรื่องที่ต้องทำทุกๆปี และในปีนี้มีแผนที่เพิ่มตัวแทนระดับหน่วย 16,000 คน และต้องเป็นตัวแทนที่มีใบอนุญาตครบถ้วน เพราะแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ แต่อย่างไรก็ตามยอมรับว่าในเชิงการแข่งขันในปัจจุบันการสร้างคนยากกว่าอดีต เพราะมีการแย่งคนกันมากขึ้น การสร้างคนจึงต้องขยายมุมกว้างขึ้น และไม่ได้แข่งขันกับแค่บริษัทประกันชีวิต เพราะคนสามารถเลือกทำธุรกิจขายตรงต่างๆได้
*****ใช้สาขาเป็นจุดขายเจาะตลาดชุมชน
ปัจจุบัน ในธุรกิจประกันชีวิต ไม่ว่าบริษัทใหญ่หรือบริษัทเล็กเริ่มลงมาในตลาดที่เล็กลง ทุนประกันต่ำ เช่น ตลาดชุมชน ตลาดชนบท แต่ไทยประกันชีวิตมีจุดแข็ง คือ 1.เป็นเจ้าของพื้นที่ตลาดชุมชนมานาน เพราะเราเริ่มธุรกิจประกันชีวิตที่ตลาดชนบทจากการประกันรายเดือน 2. มีสาขาที่มีอยู่ทั้งหมด 255 สาขาทั่วประเทศหรือเกือบทุกอำเภอ ซึ่งสาขาถือเป็นจุดแข็งในการพัฒนาหรือสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการทำตลาดชุมชน นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็น Sales Office ของตัวแทนประกันชีวิต
****มองสถานการณ์ศก.ต่อธุรกิจประกัน
สถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองครึ่งปีแรก กระทบธุรกิจประกันชีวิตบ้าง แต่เป็นปัญหาเฉพาะประเทศไทย เพราะตลาดโลกเศรษฐกิจไม่ได้ถดถอย เหตุผลของประเทศไทยส่วนหนึ่งคือเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องชั่วคราว ซึ่งในธุรกิจประกันชีวิตยิ่งคนมีความรู้สึกว่าไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ยิ่งต้องออมเงินและสร้างหลักประกันให้ครอบครัว น่าจะเป็นโอกาสที่ทำตลาดได้ดี เพียงแต่ว่าคนในองค์กรเราเข้าใจที่จะนำสิ่งเหล่านี้ไปเสนอต่อผู้บริโภคหรือไม่
ครึ่งปีหลังสถานการณ์น่าจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งจากประสบการณ์ 20 ปีที่อยู่ในธุรกิจประกันชีวิต มีความรู้สึกว่าไม่ว่าจะเศรษฐกิจดีมากหรือเศรษฐกิจแย่มาก ประกันชีวิตโดนหางเลขน้อยมาก มันอยู่ของมันไป เพราะความเชื่อของคนไทยไม่ได้ซื้อประกันชีวิตเป็นสิ่งแรก ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี ถือว่าเป็นธุรกิจที่แปลก และผลกระทบจากเศรษฐกิจต่อธุรกิจประกันชีวิตไม่เหมือนกับผลกระทบต่อภาคส่งออกหรือการอุปโภคบริโภคสินค้า
*****ภาพรวมของพัฒนาการธุรกิจประกัน
การที่บริษัทขนาดใหญ่อันดับที่ 1 และ 2 ของระบบ คือเอไอเอ และไทยประกันชีวิต ซึ่งมีมาร์เก็ตแชร์สูง
ทำให้เป็นเหมือนตัวชี้นำบริษัทอื่นให้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน จะเห็นได้ว่า 20 กว่าปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงที่ดี คือ 1. ทุกบริษัทพยายามสร้างตัวแทนที่มีคุณภาพ 2. ทุกบริษัทให้ความสนใจในการทำ CSR (Corperate Social Responsibility )ให้กับสังคมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทข้ามชาติ หรือบริษัทคนไทยซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะธุรกิจประกันชีวิตควรจะอยู่บนพื้นฐานของคำว่าให้ 3. ทุกบริษัททำแบรนดิ้ง
http://news.sanook.com/economic/economic_153227.php