กลุ่มธุรกิจประกันภัย

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

กลุ่มธุรกิจประกันภัย

โพสต์ที่ 1

โพสต์

การเมืองวิบัติ-เศรษฐกิจวิกฤติคนแห่ซื้อประกัน 4เดือน5.8หมื่นล. [ ฉบับที่ 800 ประจำวันที่ 9-6-2007 ถึง 12-6-2007]  
ประกันชีวิตโตสวนกระแสเศรษฐกิจซบ แม้เดือนเม.ย.ช่วงขาลงของทุกปี ยังทำสถิติเบี้ยพุ่งไม่หยุดต่างจากปีก่อนสิ้นเชิง โชว์ตัวเลข 4 เดือน โกยเบี้ยปีแรก 12,951 ล้านบาท โต 37% เบี้ยรวมแตะ 58,439.9 ล้านบาท เผยเฉพาะเม.ย.2550 กวาดเบี้ยใหม่เฉียด 3,000 ล้านบาท เทียบกับปีก่อน ได้แค่ 2,234 ล้านบาทเท่านั้น เช่นเดียวกับยอดคนซื้อแค่เม.ย.เดือนเดียว 327,736 กรมธรรม์ ปีก่อนขายได้แค่ 284,207 กรมธรรม์ สะท้อนภาพคนไทยกังวลสารพัดปัญหาความไม่แน่นอน เศรษฐกิจ-การเมือง รุมเร้า แต่ยังเลือก ซื้อประกันป้องกันความเสี่ยง หนุนประกันชีวิตปีนี้ไปโลด

ช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.ของทุกปี ถือเป็นช่วงที่ธุรกิจประกันชีวิตต้องทำใจ เพราะเป็นเดือนที่มีวันหยุดยาวติดต่อกัน และยังเป็นช่วงเปิดเทอมที่บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองต่างมุ่งการจับจ่ายใช้สอยไปที่ชุดนักเรียน และอุปกรณ์การเรียน รวมถึงต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเป็นหลัก จึงเป็นเสมือนวัฎจักรทุกปีที่ช่วงนี้ผลงานของธุรกิจประกันชีวิตจะต่ำกว่าช่วงอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด

แต่กระนั้นเม.ย.2550 ปีนี้กลับต่างจากปีก่อน ยอดขายประกันชีวิตกลับยังสวนกระแสเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้นไม่ลดละ แม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมในเดือนเมษายนยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนเม.ย.2550 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 77.6 จากเดือนมี.ค.ก่อนหน้านี้อยู่ที่ระดับ 78.5 เนื่องจากการที่ผู้บริโภคมีความระมัดระวังต่อปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่มีการทรงตัวอยู่ในระดับสูง และมีความกังวลต่อสถานการณ์ภายในประเทศ รวมทั้งการที่ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ดัชนีการอุปโภคบริโภคเดือนเม.ย.2550 ยังคงมีการหดตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 0.4%

http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4011
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news09/06/07

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ครม.น็อกAIAยันตัองเป็นบมจ.พาณิชย์ซุ่มอุ้มยื้อกฎเหล็กแท้ง [ ฉบับที่ 800 ประจำวันที่ 9-6-2007 ถึง 12-6-2007]  
เอไอเอมึน! ครม.ยืนยันรอบ 2 ให้บริษัทประกันภัยทุกแห่งรวมสาขาบริษัทต่างประเทศเปลี่ยนเป็นบมจ. แต่ให้รื้อเวลาใหม่จากเดิมล็อกไว้ 5 ปีหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ กรมฯ ถกเอกชนขยาย เวลาใหม่ 7 หรือ 10 ปี งานนี้กฤษฎีกาชี้ขาดอีกยก วงในแฉมติ ครม.ตบหน้าพาณิชย์อย่างแรงเหตุก่อนหน้านี้ออกโรงอุ้มเอไอเออยู่เหนือกฎหมายไม่ต้องเป็นบมจ. จับตาพาณิชย์ยื้อสุดฤทธิ์ไม่ให้กฎเหล็กคลอดทันรัฐบาลคมช. รอลุ้นสมัยหน้า ด้านเอกชนยัน 5 ปีเหมาะสมแล้ว

หลังจากที่ประชุมคณะรัฐ มนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประ กันชีวิต (ฉบับที่..) พ.ศ...และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่..) พ.ศ...ที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอขอแก้ไขใหม่มีมติยืนยันหลัก การเดิมกำหนดให้บริษัทประกันภัยต้องเป็นบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) โดยให้เหตุผลว่าเป็นหลักการที่มีความเหมาะสมอยู่แล้วเนื่องจากบริษัทที่ประกอบธุรกิจประกันภัย มีความสำคัญต่อประ ชาชนและระบบเศรษฐกิจของประ เทศ โดยให้กระทรวงพาณิชย์หา รือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับกรอบเวลาที่เหมาะสมที่จะกำหนด ให้บริษัทที่ประกอบธุรกิจอยู่เดิมต้องแปรสภาพเป็นบมจ. แล้วแจ้ง ผลการพิจารณาให้สำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาทราบเพื่อประ กอบการตรวจพิจารณาร่างกฎ หมายทั้ง 2 ฉบับที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาต่อไป
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4020
ภาพประจำตัวสมาชิก
boonprak
Verified User
โพสต์: 153
ผู้ติดตาม: 0

กลุ่มธุรกิจประกันภัย

โพสต์ที่ 3

โพสต์

:bow:  ขอบคุณพี่ชาติชาย ที่ช่วย update ข่าวคราวในอุตฯ ต่างๆ ครับ

สะดวกผมเลย ไม่ต้องไปหาอ่านที่อื่นเสียเวลา
miracle
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 18398
ผู้ติดตาม: 75

กลุ่มธุรกิจประกันภัย

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ไม่ใช่มวยล้มน่า
แล้วให้เอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ด้วยก็ดีน่าครับ
สำหรับ ประกันชีวิต เป็นแนวทางในการพัฒนาตลาด
เพราะมีสินค้าให้เลือกซื้อมากขึ้น
:)
:)
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news12/06/07

โพสต์ที่ 5

โพสต์

กรมประกันจัดวันนัดประกันทอง เบี้ยประกัน0.90-1.10%

8 มิถุนายน พ.ศ. 2550 16:38:00

นางจันทรา บูรณฤกษ์

กรมการประกันภัย จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยร้านทอง เบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 0.90-1.10% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย พร้อมจัดงาน วันนัดประกันทอง เพื่อพบปะระหว่างภาคธุรกิจประกันภัยกับผู้ประกอบการร้านค้าทอง วันที่ 15 มิ.ย.นี้

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :      นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ร้านค้าทองที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง นำมาซึ่งความสูญเสียต่อทรัพย์สินและชีวิตของเจ้าของร้าน ลูกจ้าง และผู้ประสบเหตุ จนทำให้ผู้ประกอบการร้านทองต้องหันมาให้วิธีการต่าง ๆ เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของตนเองนั้น กรมการประกันภัยได้ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัย พิจารณาหาแนวทางในการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยร้านทอง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการร้านทอง โดยนำรูปแบบกรมธรรม์ประกันภัยพิทักษ์ร้านทอง และอัตราเบี้ยประกันภัยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่ให้ความคุ้มครองแบบรวม (Package) ซึ่งให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทองคำ ความเสียหายต่อทรัพย์สินอื่น ๆ และค่ารักษาพยาบาลและเงินชดเชยกรณีเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัย มาเป็นต้นแบบ

   อย่างไรก็ตาม ความเสียหายต่อทองคำที่มีไว้เพื่อจำหน่าย อันเกิดจากการชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์ภายในสถานที่เอาประกันภัย โดยกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยอยู่ระหว่าง0.90-1.10% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย โดยมีวงเงินคุ้มครองที่ 1-3 ล้านบาท ของการคุ้มครองความเสียหายต่อตัวอาคาร ตู้นิรภัย กระจก เฟอร์นิเจอร์ เครื่องตกแต่ง เครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ตู้แสดงสินค้าทองคำ เครื่องชั่ง และโทรทัศน์วงจรปิด อันเกิดจากการชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ หรือวิ่งราวทรัพย์ ภายในสถานที่เอาประกันภัย และกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยอยู่ระหว่าง 0.05-3% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย โดยคิดเป็นวงเงินคุ้มครองอยู่ที่ 100,000-300,000 บาท
http://www.bangkokbiznews.com/2007/06/0 ... wsid=77974
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news18/06/07

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ส่งบริษัทประกันเน่าหยุดขายกรมธรรม์
 
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า เตรียมเสนอรมว.พาณิชย์ เห็นชอบให้ออกประกาศนายทะเบียนบริษัทหยุดรับประกันภัยเป็นการชั่วคราว สำหรับบริษัทประกันชีวิต และประกันวินาศภัยที่มีปัญหา เพื่อไม่ให้   ผู้เอาประกันได้รับความเดือดร้อน ซึ่งหาก รมว. พาณิชย์เห็นชอบแล้ว จะเร่งออกประกาศในทันที เพื่อให้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ก.ย นี้เป็นต้นไป

 ทั้งนี้กรมฯจะสั่งให้บริษัทประกันภัยที่มีเงินกองทุนไม่ครบถ้วนตามกำหนด หรือเงินกองทุนต่ำกว่า 30 ล้านบาท ต้องหยุดขายกรมธรรม์ ชั่วคราว 6 เดือน หรือบริษัทประกันภัยที่ไม่ยื่นฐานะทางการเงินต่อกรมการประกันภัย 3 เดือนติดต่อกัน ต้องหยุดขายกรมธรรม์ชั่วคราวเป็นเวลา 3 เดือน หรือบริษัทประกันภัยที่ประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน หรือประวิงการคืนเบี้ยประกัน ต้องหยุดขายกรมธรรม์ชั่วคราวเป็นเวลา 10 วัน หากไม่สามารถแก้ไขฐานะทางการเงินได้ นายทะเบียน (อธิบดีกรมการประกันภัย) จะเสนอให้ รมว.พาณิชย์ถอนใบอนุญาตการดำเนินกิจการทันที
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news19/06/07

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ยืดให้ 13 ปีประกันเป็นบมจ. - 19/6/2550

ยืดให้ 13 ปีประกันเป็นบมจ.
++ รัฐไม่สนกม.แท้ง/ลั่นเดินหน้าตั้งองค์กรอิสระ

กรมประกันภัยลุยหน้าผลักดันโครงสร้างจัดตั้งองค์กรอิสระ ลุ้นเข้าครม.วันนี้ แม้เสนอร่างกม.ไม่ทันรัฐบาลชุดนี้ ยังไงก็ต้องแจ้งเกิด อ้างเหตุเวิลด์แบงก์-ไอเอ็มเอฟจี้ก้น ขณะที่บริษัทประกันฯเป็นมหาชนจ่อได้ข้อสรุป ขยายเวลายืดออกไปให้อีก 13 ปีอุ้มบริษัทเล็ก

นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยถึงความคืบหน้าการผลักดันกรมประกันภัยเป็นองค์กรอิสระว่า ตนยังมีความเชื่อมั่นว่า การคลอดร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรอิสระหรือคปภ.คงจะทันในรัฐบาลชุดนี้ หากนำเข้าเสนอให้คณะรัฐมนตรีในวันอังคารนี้ได้ทัน และครม.พิจารณาผ่านความเห็นชอบแล้วก็คงจะนำเข้าสู่การพิจารณาในการประชุมของสภานิติบัญญัติได้ทันที แต่หากแม้ว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะเสนอไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้หรือว่าตนเองจะไม่ได้นั่งในตำแหน่งอธิบดีกรมการประกันภัยนี้แล้ว การจัดตั้งองค์กรอิสระดังกล่าวคงจะเดินหน้าต่อไปในรัฐบาลถัดไป
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=176230
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news20/06/07

โพสต์ที่ 8

โพสต์

เปิดไฟเขียวประกันชั้น5รับยุคเงินฝืด

โพสต์ทูเดย์ กรมประกันอนุมัติ ประกันชั้น 5 คาดสัปดาห์หน้าได้ฤกษ์ประกาศใช้ได้

แหล่งข่าวจากกรมการประกันภัยเปิดเผยว่า ขณะนี้กรมการประกันภัยอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดขั้น สุดท้ายของแบบประกันภัยรถยนต์ ชั้น 5 ที่ทางสมาคมประกันวินาศภัยเสนอมา โดยคาดว่าภายในสัปดาห์หน้าคงประกาศให้ใช้เป็นแบบประกันกึ่งมาตรฐาน และให้แต่ละบริษัทที่เป็นสมาชิกของสมาคมนำไปใช้เป็นแบบประกันใหม่ได้

ประกันชั้น 5 นี้สามารถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการคุ้มครองได้ จึงถือว่าเป็นประกันกึ่งมาตรฐาน ขณะที่ชั้น 1, 2 และ 3 นั้นถือเป็นประกันมาตรฐาน ซึ่งชั้น 1 นั้นก็เหมือนกับเป็นสินค้าขายส่ง ต้องซื้อของจำนวนมากและมีราคาสูง แต่ประกันชั้น 5 นี้ก็เหมือนสินค้าขายปลีก และมีการคิดราคาที่เหมาะสม ถือว่าเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้รถอีกทางหนึ่ง แหล่งข่าวเปิดเผย

นายสมบัติ ปัญญามิตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายการตลาดและตัวแทน บริษัท อาคเนย์ประกันภัย กล่าวว่า บริษัทได้ออกประกันชั้น 3 แบบพิเศษใหม่ ในชื่อ แคมเปญแพลทตินั่ม 3 พลัส เพื่อรองรับกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและลูกค้ามีความระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายมากขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=173450
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news22/06/07

โพสต์ที่ 9

โพสต์

เอไอเอทำเก๋ ระดมโฆษณา เพิ่มตัวแทน

โพสต์ทูเดย์ เอไอเอปล่อยสื่อโฆษณากลางแจ้งทั่ว กทม. ดึงคนรุ่นใหม่เสริมทัพนักขาย

นายโทมัส เจมส์ ไวท์ รองประธานบริหารระดับสูงและผู้จัดการทั่วไป บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ (เอไอเอ) สาขาประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทจะทำโฆษณาผ่านสื่อกลางแจ้งทั่ว กทม. รับสมัครตัวแทนใหม่ เพื่อเพิ่มจำนวนตัวแทนใหม่ใน ปี 2550 ให้ได้ 35,500 คน ตั้งเป้า ว่าจะทำให้เบี้ยประกันลูกค้ารายใหม่ ของบริษัทเพิ่มขึ้น 20% จากปัจจุบัน ที่มีตัวแทนใหม่สมัครเข้ามาเดือนละ 3 พันคน

ทั้งนี้ การโฆษณาหาตัวแทนประกันนี้ จะทำที่ขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอส ห้องลองเสื้อในห้างสรรพสินค้า และสื่อสิ่งพิมพ์ จากเดิมที่เน้นโฆษณาให้ลูกค้ารู้จักผลิตภัณฑ์ และบริการตรวจสุขภาพทางการเงิน

ตัวแทนที่เราต้องการจะเน้นกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ หรือกลุ่มคนที่ ต้องการมีรายได้พิเศษใน กทม. ที่มีอายุ 25-45 ปี นายไวท์ กล่าว
นายไวท์ กล่าวว่า ตัวแทนใหม่ที่สามารถขายประกันชีวิตได้ 3 รายและได้รับค่านายหน้า 1.5 หมื่นบาทขึ้นไปภายใน 3 เดือนแรก จะได้รับเงินโบนัส 4 พันบาท และหากในเดือนที่ 4-6 สามารถผลิตผลงานใหม่ได้ 5 ราย และได้รับค่านายหน้า 2 หมื่นบาทขึ้นไป จะได้รับโบนัส 6 พันบาท

http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=173888
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news27/06/07

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ประกันภัยไซส์เล็กแห่เพิ่มทุน [ ฉบับที่ 805 ประจำวันที่ 27-6-2007 ถึง 29-6-2007]  
>> หนีกฎเหล็ก 1 กันยา ตะลึง!เดือนเดียวเพิ่มถึง 5 บริษัท

วินาศภัยไซส์เล็ก ผวากฎเหล็ก จันทรา 1 กันยา บริษัท ใดเงินกองทุนขาดสั่งหยุดรับประกันชั่วคราวทันที แห่เพิ่มทุนจ้าละหวั่น ตะลึง! พฤษภาเดือนเดียวเพิ่มทุนถึง 5 ค่ายเท่ากับสถิติทั้ง 4 เดือน ไล่มาตั้งแต่ กมล-กรุงไทยพาณิชย์-ส่งเสริม-สหมงคล-สินทรัพย์ เผย ส่งเสริมประกันภัย เพิ่มทุนเยอะสุดอีก 100 ล้านบาท ชำระแล้วทั้งหมด รวมเป็น 400 ล้านบาท เชื่อชิงเพิ่มทุนรองรับเบี้ยประ กันพ.ร.บ.หลัง ผูกขาด ตลาดตามใบสั่งกรมการขนส่งทางบก หากไม่เพิ่มทุนมีสิทธิ์เงินกองทุนขาดเหตุเบี้ยโตกระโดด

ฉับพลันที่นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดปฏิบัติการ เชือด บริษัทประกันภัยขาดสภาพคล่อง ด้วยการนำกฎเกณฑ์ใหม่ในการกำกับ ดูแลฐานะการเงินบริษัทประกันภัยที่ปรับ ปรุงให้เข้มข้นกว่ากติกาเดิมภายใต้หลักปฏิบัติของข้อกฎหมายมาใช้ กำราบ บริษัทประกันภัยเงินกองทุนติดลบ โดยตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนนี้เป็นต้นไป หากบริษัทประกันภัยแห่งใดเงินกองทุนต่ำกว่า กฎหมายกำหนดหากเป็นประกันวินาศภัยเกณฑ์ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 10% ของเบี้ย รับสุทธิในปีที่ผ่านมาหรือไม่ต่ำกว่า 30 ล้าน บาท ประกันชีวิตไม่น้อยกว่า 2% ของเงิน สำรองหรือไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ถ้าต่ำ กว่า 2 เกณฑ์นี้ประกันวินาศภัยสั่งหยุดรับประกันภัยชั่วคราวทันที ประกันชีวิตส่งคนเข้าควบคุมบริหารแทน

โดยกติกาดังกล่าวภาครัฐจะใช้ควบ คู่กับระบบเตือนภัยแต่เนิ่นที่จะมีการส่งสัญญาณเตือนไปยังบริษัทประกันภัยให้รีบแก้ไขฐานะการเงินทันที หากระดับเงินกองทุนรูดลงมาถึงระดับที่ต้องเตือนภัยหากเป็นบริษัทประกันวินาศภัยระดับเตือนภัยยึดเกณฑ์เงินกองทุนประมาณ 45 ล้านบาท ประกันชีวิตประมาณ 75 ล้านบาท
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4370
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news30/06/07

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ทุนออสซี่โผล่กลางแดดซุ่มเปิดเจรจาซื้อสัมพันธ์ [ ฉบับที่ 806 ประจำวันที่ 30-6-2007 ถึง 3-7-2007]  
วงการประกัน - ทุนต่างชาติเปิดศึกแย่ง สัมพันธ์ประกันภัย ล่าสุด ไอเอจี ยักษ์ประกันออส เตรเลียซุ่มเงียบดอดเจรจาซื้อ หวังจิ๊กซอว์ขึ้น ผู้นำ ประกัน รถยนต์เมืองไทย เหตุสัมพันธ์ฯ มีเบี้ยรถยนต์มากเป็นอันดับ 2 ของ อุตสาหกรรม ด้าน จันทรา เผย สัมพันธ์ฯ มีสัญญาณบวกทุนนอกรุมตอม ล่าสุด กาตาร์ เคาะราคา ซื้อแล้วหุ้นละ 60 สตางค์ กางงบ ดุลปี 48 สัมพันธ์มียอดขาดทุนสะสมกว่า 455 ล้านบาท

ขณะที่บริษัท สัมพันธ์ประ กันภัย จำกัด ซึ่งเป็น 1 ใน 3 บริษัท ที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องรุนแรงเงินกองทุนติดลบจำนวนมากไม่น่าต่ำกว่าระดับพันล้านบาท และเริ่มมีข้อพิพาทกับอู่โดยเฉพาะ อู่กลางการประกันภัยเนื่องจากติดหนี้ค่าซ่อมอู่มโหฬารเฉพาะอู่กลางไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท กำลังดิ้นรนแก้ไขวิกฤติฐานะการเงินอย่างเร่งด่วนเนื่องจาก ใกล้กำหนดเวลาแก้ไขฐานะการเงินเพิ่มเงินกองทุนที่ขอขยายไว้กับนางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย จนถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้เนื่อง จากมีความเป็นไปได้สูงว่าหากภายในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ยังสะสางฐานะการเงินไม่ได้อาจจะถูกสั่งหยุดรับประกันภัยชั่วคราวเหมือนกรณีบริษัท ธนสินประกันภัย จำกัด(มหาชน) เพื่อสกัดปัญหาไม่ให้ลุกลาม ลดจำนวนลูกค้ารายใหม่ที่จะหลงเข้ามาติดกับ

โดยก่อนหน้านี้อธิบดีกรมการประกันภัยกล่าวถึงความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาฐานะการเงินของสัมพันธ์ประกันภัยว่า มีสัญญาณเป็นบวกค่อนข้างมากเพราะมีกลุ่มทุนสนใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุนและมีการเจรจากันอยู่ 3-4 รายส่วนใหญ่เป็นทุนจากต่างประเทศซึ่งการเจรจาคืบหน้าไปมากน่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้

อย่างไรก็ดี กลุ่มทุนต่างชาติที่สนใจซื้อสัมพันธ์ประกันภัยนอกจากทุนจากประเทศกาตาร์ที่มีฐานะการเงินมั่งคั่งระดับผู้ครองนครแล้ว ยังมีนายทุนยักษ์ใหญ่จากวงการประกันวินาศภัยประเทศออสเตรเลียที่วงการประกันภัยเมืองไทยรู้จักกันดีคือบริษัท อินชัวรันส์ ออสเตรเลีย กรุ๊ปหรือเอไอจี และเป็นเจ้าของบริษัท ไอเอจี ประกันภัย(ประเทศไทย) จำกัดหรือชื่อเดิมบริษัท โรยัลแอนด์ซันอัลลายแอนซ์ประกันภัย จำกัดที่ไอเอจีขอซื้อมาจากอังกฤษและยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ประกันคุ้มภัย จำกัด(มหาชน) ซุ่มเจรจากับสัมพันธ์ประกันภัยอยู่ด้วยเช่นกัน
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4427
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news30/06/07

โพสต์ที่ 12

โพสต์

KT AXA เล็ง2ปีขึ้นแท่นเบี้ยปีแรกติด1ใน5 'ไมค์'ลั่นปั้นซีอีโอคนไทยรับช่วงต่อ  
เปิดตัวซีอีโอ กรุงไทย แอกซ่า ประกันชีวิต เผยแผนธุรกิจ ตั้งเป้าหมายภายในปี 2552 ขยับขึ้นเป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีเบี้ยรับปีแรกติดอันดับ 1 ใน 5 ของทั้งระบบ และภายใน 5 ปีเพิ่มจำนวนตัวแทนจำหน่ายจาก 5,000 ราย เป็น 10,000 ราย ลั่นพร้อมผลักดันบุคลากรคนไทยนั่งตำแหน่งซีอีโอต่อ คาดอีก 2-3 ปีข้างหน้าจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้หลังล้างขาดทุนสะสมพันล้านบาทหมดในปี 2551

นายไมค์ แพล็กตัน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กรุงไทย แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งดังกล่าวเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เปิดเผยถึง เป้าหมายการดำเนินธุรกิจของบริษัทว่า ภายใน 2ปีต่อจากนี้ (พ.ศ. 2552) จะต้องมีเบี้ยรับปีแรกติดอันดับ 1ใน 5 ของอุตสาหกรรมบริษัทประกันชีวิต จากเป้าหมายในปีนี้ที่คาดว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรก 2,300 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรับรวม 4,500 ล้านบาท และในปี 2551 คาดว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกจำนวน 3,000 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรับ 7,000 ล้านบาท
เป้าหมายในด้านของการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายนั้น คาดว่าภายใน 5 ปี บริษัทจะมีตัวแทนทั้งหมดจำนวน 10,000 ราย จากปัจจุบันที่มีจำนวนตัวแทน 5,000 ราย โดยเป้าหมายการเพิ่มจำนวนตัวแทนเพื่อประจำสาขาของธนาคารในระยะอีก 2-3 ปีข้างหน้านั้น จะเพิ่มเป็น 1,000 ราย จากปัจจุบันที่มีอยู่ 400 ราย ซึ่งบริษัทคาดหวังที่จะก้าวเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ในใจของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย พนักงาน และผู้ถือหุ้น โดยล่าสุดได้เริ่มโครงการเปิดอบรมคณะผู้บริหารบริษัท ซึ่งภายในระยะเวลา 3ปี มีงบประมาณที่จะดำเนินการจำนวน 1.5 ล้านบาทเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านความรู้ ความสามารถของบุคลากรให้ดียิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการทำวิจัยความคิดเห็นและความพึงพอใจของกลุ่มลูกค้าเฉลี่ย 1 ครั้ง / ปี เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2230
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news05/07/07

โพสต์ที่ 13

โพสต์

เลห์แมนฯซื้อฟินันซ่า

โพสต์ทูเดย์ เลห์แมนฯ โผล่เข้าถือหุ้นฟินันซ่าประกันชีวิต นัดถกรายละเอียด 9 ก.ค. นี้

นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากผู้ถือหุ้นและผู้บริหาร บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต ว่า สามารถหาผู้สนใจร่วมลงทุนได้แล้ว คือบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ วาณิชธนกิจระดับโลก โดยจะเข้าพบหารือเรื่องแผนเพิ่มทุนในวันจันทร์ที่ 9 ก.ค. นี้
กฤษฎา
ตอนนี้ผู้บริหารของฟินันซ่าฯ ยังไม่แจ้งว่าเลห์แมน บราเธอร์ จะซื้อหุ้นในสัดส่วนเท่าไหร่ และจะต้องเพิ่มทุนเข้ามาเท่าไหร่นั้นจะมีการคุยกันอีกทีในวันจันทร์นี้ นางจันทรา กล่าว
นายกฤษฎา หุตะเศรณี ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต เปิดเผยว่า ขณะนี้เลห์แมน บราเธอร์ อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบและประเมินราคาทรัพย์สิน ในเบื้องต้นทางเลห์แมน บราเธอร์ แสดงความจำนงจะซื้อหุ้นเพิ่มทุนใหม่ทั้งจำนวน 500 ล้านบาท
การเพิ่มทุนจะทำอย่างไรต้องรอฟังทางเลห์แมน บราเธอร์ ซึ่งจริงๆ แล้วเขายังไม่อยากเป็นข่าว เพราะอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการทำประเมินราคาสินทรัพย์และหนี้สิน นายกฤษฎา กล่าว
สำหรับบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ เป็นบริษัทวาณิชธนกิจชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ทำธุรกิจด้านการให้บริการด้านการเงินแก่บริษัทเอกชนรัฐบาลและองค์กรของรัฐ ตลอดจนกลุ่มลูกค้าประเภทสถาบันและประเภทบุคคลชั้นนำทั่วโลก และเป็นผู้นำในด้านการขายหุ้นทุนและตราสารหนี้ การซื้อขายและวิเคราะห์หลักทรัพย์ การเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุน การลงทุนส่วนบุคคล การบริหารสินทรัพย์ และการให้บริการลูกค้าส่วนบุคคล
นางจันทรา กล่าวว่า สำหรับกรณีของ บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย นั้น ทางผู้ถือหุ้นและผู้บริหารบริษัทแจ้งว่า บริษัท DAICEL ดำเนินธุรกิจก่อสร้างและอุตสาหกรรมเหล็กจากประเทศกาตาร์สนใจจะเข้าร่วมลงทุน แต่ไม่ได้แจ้งว่าจะเข้าลงทุนในสัดส่วนประมาณเท่าไหร่ แต่จะรับทราบแผนการเพิ่มทุนและแผนฟื้นฟูธุรกิจในวันศุกร์ที่ 6 ก.ค. นี้ เพื่อให้บริษัทเร่งดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ลูกค้า ซึ่งร้องเรียนเข้ามาแล้วกว่า 400 ราย และไม่สามารถประเมินได้ว่าเป็นมูลค่าค่าสินไหมทดแทนเท่าไหร่
นางจันทราไม่เปิดเผยถึงปริมาณ เงินกองทุนของทั้ง 2 บริษัท ว่าต่ำกว่ากฎหมายกำหนดจำนวนเท่าใด และต้องเพิ่มทุนเท่าไหร่
ก่อนหน้านี้นางจันทราชี้แจงว่า บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ต้องนำเงินเข้ามาประมาณ 1 พันล้านบาท จึงจะทำให้เงินกองทุนเป็นไปตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด และทำให้สภาพคล่องของบริษัทดีขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=176656
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news05/07/07

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ให้โอกาส6บริษัทแก้สภาพคล่อง

โดย เดลินิวส์ วัน พฤหัสบดี ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 11:54 น.

นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า กำลังติดตามการแก้ไขปัญ หาขาดสภาพคล่องของบริษัทประกันภัย 5-6 ราย ซึ่งไม่ได้สร้างความกังวลต่อกรมมากนัก เพราะเชื่อว่าทุกบริษัทสามารถแก้ไขได้ และเกือบทุก บริษัทมีนักลงทุนต่างชาติแสดงความสนใจเข้าร่วมลงทุน หรือเข้าถือหุ้น ทั้งบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัด บริษัท ฟินันซ่า จำกัด เป็นต้น ซึ่งจำนวน 5-6 รายที่มีปัญหานั้น คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 5% ของจำนวนบริษัทประกันภัยทั้งหมด และทุกบริษัทต้องแก้ไขเงินกองทุนขาดสภาพคล่อง ให้เสร็จก่อนวันที่ 1 ก.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันที่ประกาศ คำสั่งนายทะเบียนให้บริษัทประกันชีวิต และประกันวินาศภัยหยุดรับประกันภัยชั่วคราว จากปัญหาขาดสภาพคล่อง จะมีผลบังคับใช้
ใครมีปัญหาบริษัทประกันภัยไม่จ่ายสินไหม ขอให้ส่งเรื่องโดยตรงถึงอธิบดี หรือร้องเรียนผ่านสายด่วน 1186 ซึ่งได้มีการร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก และได้สั่งการให้แก้ไขโดยเร็ว

ส่วนการแก้ไขปัญหาสภาพคล่องบริษัท สัมพันธ์ประกันภัยนั้น นางจันทรา กล่าวว่า ผู้บริหารบริษัทจะนำตัวแทนผู้ถือหุ้นใหม่จากบริษัท อัล- ไดเซล ซึ่งเป็นผู้ค้าเหล็กรายใหญ่ในประเทศกาตาร์เข้าพบ พร้อมยื่นแผนทางธุรกิจวันที่ 6 ก.ค.นี้
http://news.sanook.com/economic/economic_152665.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news05/07/07

โพสต์ที่ 15

โพสต์

บิ๊กประกันชีวิตเปิดเกมโกยเบี้ย "AACP"ท้าชน"เอไอเอ"ชิงลูกค้า

2 ค่ายประกันยักษ์ใหญ่แข่งแหลก "เอเอซีพี" ส่งกรมธรรม์เอเอซีพี แคช แบค 15/15 คุ้มครองทั้งอุบัติเหตุ วงเงินสูงสุด 200% ของทุนประกัน ชี้จุดเด่นจ่ายคืนเบี้ยประกันภัยที่ชำระแล้วทั้งหมด คุยตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ตรงจุด และเป็นครั้งแรกของวงการประกันชีวิตไทย ด้าน "เอไอเอ" ออกกรมธรรม์ใหม่ 5Pay10 สะสมทรัพย์ 10 ปี ชำระเบี้ย 5 ปี ไม่ต้องตรวจสุขภาพ แถมให้ผลประโยชน์รวมสูงถึง 500% ของทุนประกัน ขายผ่านแบงก์ยูโอบี

นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บมจ.อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต (เอเอซีพี) เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาแบบประกันชีวิตที่สนองตอบความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความคุ้มครองอุบัติเหตุแต่ไม่ต้องการสูญเสียเงินที่จ่ายไป ได้แก่ กรมธรรม์เอเอซีพี แคช แบค 15/15 ซึ่งเป็นแบบประกันที่มอบความคุ้มครองอุบัติเหตุสุงสุดถึง 200% ของทุนประกัน พร้อมจ่ายคืนเบี้ยประกันภัยที่ชำระแล้วทั้งหมดในทุกกรณี ไม่ว่าจะทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เสียชีวิตจากการเจ็บป่วย หรือเมื่อครบกำหนดสัญญา 15 ปี นอกจากนี้ยังได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันภัยสูงสุดปีละ 50,000 บาทอีกด้วย

"การออกแบบประกันชีวิต เอเอซีพี แคช แบค 15/15 ในครั้งนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากผลการสำรวจความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความคุ้มครองอุบัติเหตุแต่ไม่ต้องการสูญเสียเงินที่จ่ายไป ซึ่งถือว่าเอเอซีพีเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรกของไทยที่ออกผลิตภัณฑ์ในลักษณะนี้ และตอก ย้ำถึงความเป็นผู้นำตลาดของเอเอซีพีในด้านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เน้นนวัตกรรมใหม่ล่าสุด เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเอเอซีพีที่จะเป็นปัจจัยหลักแห่งความมั่นคง คุ้มครองทุกครอบครัวไทย"

นางสาวพัชรากล่าวต่อว่า นอกจากนี้เอเอซีพียังได้ออกแบบกรมธรรม์แผนความคุ้มครองอยุธยาคุ้มครองวัยทำงาน ซึ่งเป็นแบบประกันภัยสำเร็จรูปที่ให้ความคุ้มครองถึงอายุ 65 ปี ชำระเบี้ยประกันภัยเพียง 20 ปี ประกอบด้วยสัญญาหลักอยุธยาคุ้มครองวัยทำงาน A65/20 และสัญญาเพิ่มเติมแบบเสริมทรัพย์ A65/20 มีจุดเด่นคือจ่ายเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเฉลี่ยเพียงวันละ 17 บาท โดยมีแผนความคุ้มครองให้เลือก 4 แผน รับความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 200% ของทุนประกัน อีกทั้งคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากสาเหตุอื่นๆ ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง สูญเสียอวัยวะและสายตา การเจ็บป่วยด้วย 36 โรคร้ายแรง และในกรณีครบกำหนดสัญญา จะได้รับเงินครบกำหนดสัญญาพร้อมเงินโบนัสที่คาดว่าจะจ่ายจากสัญญาเพิ่มเติมแบบเสริมทรัพย์ A65/20 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท นอกจากนี้ยังสามารถนำเบี้ยประกันภัยไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึงปีละ 50,000 บาทอีกด้วย

http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0206
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news07/07/07

โพสต์ที่ 16

โพสต์

กาตาร์ควัก1.2พันล.อุ้มสัมพันธ์ประกันภัย

โพสต์ทูเดย์ จันทรา เผย สัมพันธ์ประกันภัย แจ้งกาตาร์ผู้ร่วมทุนใหม่ พร้อมซื้อหุ้น 36 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดลงนามข้อตกลงซื้อขายหุ้นภายในสัปดาห์หน้า
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย กล่าวว่า ได้เข้าร่วมรับฟังแผนเพิ่มทุนของบริษัทสัมพันธ์ประกันภัยกับตัวแทนกลุ่มผู้ที่สนใจจะเข้ามาร่วมทุนเมื่อวันศุกร์ที่ 6 ก.ค. 2550 แล้ว
นางจันทรา กล่าวว่า ผู้บริหารบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ได้รายงานว่ามีผู้สนใจเข้ามาร่วมทุน 2 ราย จากประเทศกาตาร์ โดยหนึ่งในสองรายนั้น คือ บริษัท ไดเซล บริษัทผู้ผลิตเหล็กและธุรกิจก่อสร้าง ที่แสดงความจำนง จะร่วมลงทุนจำนวน 26 ล้านเหรียญสหรัฐ และอีกหนึ่งรายเป็นบริษัทประกันภัย สนใจจะร่วมลงทุน 10 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมเป็นเงิน 36 ล้านเหรียญสหรัฐ
ยอดเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนถ้าหากคิดที่ค่าเงินบาท 34 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ จะเป็นเงินประมาณ 1,224 ล้านบาท จะทำให้บริษัทสามารถแก้ปัญหาฐานะการเงินได้ และเริ่มจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ลูกค้าได้
ดิฉันได้ให้ทางผู้บริหารบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ไปดำเนินการเขียนแผนเพิ่มทุนและการร่วมลงทุนให้เป็นลายลักษณ์อักษร รวมถึงการเขียนแผนการฟื้นฟูกิจการ และแผนการลงทุนใหม่ เป็นลายลักษณ์อักษรด้วย ซึ่งทางผู้บริหารและผู้สนใจร่วมทุนแจ้งว่าจะสามารถดำเนินการเซ็นสัญญาร่วมลงทุนกันได้ภายในวันที่ 9-16 ก.ค. 2550 และในวันเสาร์ที่ 7 ก.ค. นี้ ทางผู้บริหารจะเรียกประชุมตัวแทน อู่ในเครือทั่วประเทศเพื่อชี้แจงความคืบหน้าการแก้ปัญหาฐานะการเงิน นางจันทรา กล่าว
ในวันเดียวกันนี้ นายสุชาติ มิตรเจริญพันธ์ ประธานชมรม อู่รถใช้ระหว่างซ่อมภาคอีสาน ได้รวมตัวกับผู้ประกอบการ อู่ซ่อมรถในเครือบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย ทั่วภาคอีสาน ลูกจ้าง และลูกค้าที่มาใช้บริการประกันภัยกว่า 100 คน ประท้วงหน้าบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย สาขา จ.ข่อนแก่น เรียกร้องให้บริษัทจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ค้างจ่ายประมาณ 104 ล้านบาท ซึ่งตลอด 3-5 เดือนที่ผ่านมา บริษัทไม่ยอมจ่ายค่าซ่อมให้กับอู่ซ่อมรถ ทำให้ลูกค้าไม่สามารถนำรถออกมาใช้ได้ โดยเรียกร้องให้บริษัทจ่ายค่าสินไหมภายใน 3-15 วัน
แหล่งข่าวจากบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย กล่าวว่า ในเช้าวันเสาร์ที่ 7 ก.ค. นี้ จะเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับหัวหน้าแผนกขึ้นไปจากทั่วประเทศมารับฟังแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ และในภาคบ่าย เรียกประชุมตัวแทนทั่วประเทศ เพื่อรับฟังความคืบหน้าการแก้ปัญหาฐานะการเงินของบริษัทและการทำตลาดในช่วงสถานการณ์ดังกล่าว
สำหรับเรื่องที่อู่ทำการประท้วงเพื่อเรียกร้องให้บริษัทชำระค่าสินไหม ยังดำเนินการใดๆ ไม่ได้ นอกจากแจ้งความคืบหน้าใน การแก้ปัญหาของบริษัทและให้รอเวลาไปอีก ระยะหนึ่ง
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=177167
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news07/07/07

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ไฟไหม้ใหญ่โรงงานยางบีไลท์รับเบอร์ [ ฉบับที่ 808 ประจำวันที่ 7-7-2007 ถึง 10-7-2007]  
>> 4 บริษัทวินาศภัยจ่ายอ่วม 662.89 ล้าน

ไฟไหม้ใหญ่ โรงงานยางแผ่น บีไลท์รับเบอร์ จ.สงขลา 4 บริษัทประกันวินาศภัยรับจ่ายร่วม 662.89 ล้านบาท เทเวศประกันภัยหนักสุดรับเสี่ยงไว้ 40% รองลงมาไทยพาณิชย์สามัคคีรับไว้ 25% แอกซ่าประกันภัย 20% ศรีอยุธยาอีก 15%
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดเพลิงไหม้โรงงานยางแผ่นรมควันของบริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด ตั้งอยู่ที่หมู่ 1 บ้านห้วยโอน ตำบลกำแพงเพชร อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2550 เวลาประมาณ 13.00 น. นั้น ได้สั่งการให้ตรวจสอบการทำประกันภัยทรัพย์สินดังกล่าว ในเบื้องต้นทราบว่า บริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด มีการทำประกันภัยทรัพย์สินรวม 662.89 ล้านบาท โดยมีบริษัทที่รับประกันภัยร่วมกัน 4 บริษัท ดังนี้คือ บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัย 40% บริษัท ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัย 25% บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัย 20% และบริษัท ศรีอยุธยาประกันภัย จำกัด (มหา ชน) รับเสี่ยงภัย 15%

สำหรับทรัพย์สินที่เกิดไฟไหม้เป็นอาคารโกดังเก็บสต็อกสินค้า ซึ่งได้รับรายงาน ว่าเสียหายสิ้นเชิงจำนวน 1 หลัง โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองโกดังที่เกิดเหตุ ดังนี้ อาคารโกดัง จำนวนเงินเอาประกันภัย 15 ล้านบาท สต็อกสินค้าในโกดัง จำนวนเงินเอาประกันภัย 150 ล้านบาท อย่างไรก็ดี กรมการประกันภัยได้ประสานงานให้บริษัทที่ร่วมรับประกันภัยเร่งรัดสำรวจและประเมิน ค่าเสียหายเพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อไป ส่วนสาเหตุของเพลิงไหม้อยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวน

นางจันทรา กล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นที่น่าเสียใจที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน แต่การที่บริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด ได้มีการเอาประกันอัคคีภัยไว้จะทำให้ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่แท้จริงแต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยทรัพย์สินนั้น อันเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เอาประกันภัยได้

ดังนั้น หากประชาชนหรือผู้ประกอบการจะทำประกันภัยแล้วขอได้โปรดพิจารณา ทำประกันภัยให้ครอบคลุมความเสี่ยงภัยที่มี เช่น กรณีเหตุที่เกิดขึ้นกับสต็อกสินค้าของบริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด ซึ่งหากเป็น สต็อกของสินค้าที่รอการส่งออกแล้ว นอก จากจะทำประกันอัคคีภัยแล้วควรคำนึงถึงความเสี่ยงภัยกรณีที่จะถูกผู้ซื้อสินค้าเรียกเงินค่าเสียหายจากการผิดนัดส่งสินค้าด้วย เป็นต้น จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนได้ศึกษา ถึงประโยชน์ของการประกันภัยและสามารถ เลือกความคุ้มครองของการประกันภัยแต่ละ ประเภทให้เหมาะสมกับความเสี่ยงภัยที่มี อันจะเป็นการนำการประกันภัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่ตนเอง
http://www.siamturakij.com/home/index.html
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news07/07/07

โพสต์ที่ 18

โพสต์

ไตรมาสแรกวินาศภัยหายใจโล่งบวก11.53% [ ฉบับที่ 808 ประจำวันที่ 7-7-2007 ถึง 10-7-2007]  
ประกันรถโตสุด14%/เบ็ดเตล็ดได้พีเอ-สุขภาพดันเบี้ย

จากรายงานผลการดำเนินงานธุรกิจประกันวินาศภัยในช่วง 3 เดือนแรกปี 2550 (ม.ค.-มี.ค.2550) โดยกรมการประกันภัย ระบุว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งระบบมีเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 27,142.207 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 11.53% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีจำนวนกรมธรรม์รวม 7,801,319 กรมธรรม์ ขยาย ตัวเพิ่มขึ้นถึง 9.79% มีค่าสินไหมทดแทนรวม 14,443.770 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา คิดเป็นอัตราค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) 54.84%

ทั้งนี้ นับว่าธุรกิจประกันวินาศภัยสามารถขยายตัวได้ตามคาด คือ ยังไต่ระดับ 10% ขึ้นไป โดยประเภทการรับประกันที่สามารถขยายตัวได้มากที่สุด กลับเป็นการประกันภัยรถ อันเป็นพอร์ตการรับประกันที่ใหญ่ที่สุดของธุรกิจ ซึ่งแม้ว่าจะยังคงชะลอการขยายตัวตามยอดขายรถใหม่ แต่ยังเติบโตได้ถึง 14.04% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ด้วยเบี้ยรับตรงทั้งสิ้น 16,676.823 ล้าน บาท โดยการประกันภัยรถภาคสมัครใจเติบโตได้ 13.53% ด้วยเบี้ย จำนวน 13,573.852 ล้านบาท ซึ่งบ. วิริยะประกันภัย จก. ครองมาร์เก็ตแชร์สูงสุดในตลาดนี้ถึง 20.75% ด้วยเบี้ยจำนวน 2,817.229 ล้านบาท ตามด้วย บ. ลิเบอร์ตี้ประกันภัย จก. ครองส่วนแบ่งตลาด 9.46% ด้วยเบี้ยจำนวน 1,284.381 ล้านบาท และบมจ.กรุงเทพประกันภัย 6.57% ด้วยเบี้ยจำนวน 891.697 ล้านบาท ตามลำดับอันเป็นผลมาจาก บ. สัมพันธ์ประกันภัย จก. ยังอยู่ในช่วงของการสะสางปัญหาฐานะการเงิน จึงทำให้ค่ายอื่นได้โอกาสแย่งชิงตลาด

ส่วนการประกันภัยรถภาคบังคับตามกฎหมาย หรือพ.ร.บ. ขยายตัวได้ถึง 16.30% ด้วยเบี้ยจำนวน 3,102.971 ล้านบาท โดยวิริยะประกันภัยครองมาร์เก็ตแชร์สูงสุด 17.17% ด้วยเบี้ยจำนวน 532.900 ล้านบาท ตามด้วย บ. ลิเบอร์ตี้ประกันภัย จก. ครองส่วน แบ่งถึง 11.08% ด้วยเบี้ยจำนวน 343.663 ล้านบาท และบ. กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จก. 9.20% ด้วยเบี้ยจำนวน 285.366 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่การประกันภัยเบ็ดเตล็ด ขยายตัวได้ 10.04% ด้วยเบี้ย รับตรงทั้งสิ้น 7,557.668 ล้านบาท โดยการประกันสุขภาพขยายตัวได้ดีที่สุดถึง 41.17% ด้วยเบี้ยจำนวน 655.842 ล้านบาท รองลง มาเป็นการประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) ขยายตัวได้ 29.87% ด้วยเบี้ยจำนวน 1,660.834 ล้านบาท, การประกันภัยวิศวกรรมขยาย ตัวได้ 12.88% ด้วยเบี้ยจำนวน 860.230 ล้านบาท, การประกันความเสี่ยงภัยต่อทรัพย์สิน ขยายตัวได้ 5.25% ด้วยเบี้ยจำนวน 1,278.065 ล้านบาท, การประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ขยายตัวได้ 4.71% ด้วยเบี้ยจำนวน 143.567 ล้านบาท และการประกันภัยอื่นๆ ขยายตัวได้ 1.29% ด้วยเบี้ยจำนวน 2,832.877 ล้านบาท ตามลำดับ

ทั้งนี้ โดยภาพรวมของตลาดประกันภัยเบ็ดเตล็ด ตลาดส่วนใหญ่จะอยู่ในมือบริษัทใหญ่อย่าง บมจ.ทิพยประกันภัย ที่ครองมาร์เก็ต แชร์สูงสุดถึง 19.77% ด้วยเบี้ยในตลาดนี้รวมจำนวน 1,494.038 ล้านบาท โดยทิพยฯ ครองแชมป์ในการรับประกันเกือบทุกประเภท ทั้งการประกันภัยวิศวกรรม และการประกันภัยอื่นๆ ซึ่งรวมถึงการประกันสรรพภัย (IAR : Industrial All Risk) เช่นเดียวกับกรุงเทพ ประกันภัย ที่ตามติดด้วยส่วนแบ่งตลาด 8.72% ด้วยเบี้ยจำนวน 658.776 ล้านบาท โดยครองแชมป์ในตลาดประกันภัยทรัพย์สิน และประกันภัยอากาศยาน

ด้านการประกันภัยทางทะเล และขนส่ง หรือการประกันภัยมารีน โดยภาพรวมขยายตัวติดลบ 2.55% ด้วยเบี้ยรับตรงทั้งสิ้น 943.214 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของการรับประกันภัยตัวเรือ ขยายตัว ติดลบถึง 30.50% ด้วยเบี้ยจำนวน 74.974 ล้านบาท ขณะที่การประกันภัยสินค้าขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 0.96% เท่านั้น ด้วยเบี้ยจำนวน 868.240 ล้านบาท โดยในตลาดประกันมารีนยังคงอยู่ในมือ 3-4 บริษัทใหญ่เช่นเดิม คือ บ. ประกันภัยศรีเมือง จก. ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด 16% รองลงมาได้แก่ บ. มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ จก. 12.75% กรุงเทพประกันภัย 8.67% และทิพยประกัน ภัย 8.07% ตามลำดับ

ส่วนการประกันอัคคีภัย ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ขยายตัวได้ 4.70% ด้วยเบี้ยรับตรงทั้งสิ้น 1,964.502 ล้านบาท โดยเบี้ยส่วนใหญ่อยู่ในมือของ 4 บริษัทใหญ่เช่นกัน คือ กรุงเทพประกันภัย ครอง ส่วนแบ่งตลาดสูงสุด 12.41% ตามด้วย บ. นิวแฮมพ์เชอร์อินชัวรันส์ จก. 9.12% บมจ.ภัทรประกันภัย 7.86% และทิพยประกันภัย 7.01% ตามลำดับ

สำหรับตลาดประกันวินาศภัยรวมในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุด อันดับ 1 ยังคงเป็น วิริยะประกันภัย 13.05% ด้วยเบี้ยรวม 3,541.244 ล้านบาท อันดับ 2 เป็นของทิพยประกันภัย ครองส่วนแบ่งไป 7.77% ด้วยเบี้ยรวม 2,109.226 ล้านบาท และอันดับ 3 เป็นของกรุงเทพประกันภัย ครองส่วนแบ่งไป 7.09% ด้วยเบี้ยรวม 1,923.642 ล้านบาท ตามลำดับ  
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=4610
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news08/07/07

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ผ่ายุทธศาสตร์ไทยประกันชีวิต ไชย ไชยวรรณ พร้อมประมือทุนข้ามชาติ  

โดย ฐานเศรษฐกิจ วัน อาทิตย์ ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 04:49 น.
กระแสการเข้ามาลงทุนของบริษัทข้ามชาติ โดยเฉพาะทุนญี่ปุ่น และทุนตะวันตก ที่เข้ามาในธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัยในประเทศไทย ยังเป็นที่ถูกจับตามองว่าท้ายที่สุดแล้วจะยังเหลือบริษัทประกันที่ยังเป็นพันธุ์ไทยแท้อยู่ในระบบสักกี่แห่ง และบริษัทไทยที่เหลืออยู่จะมีแรงพอที่จะสู้รับปรบมือกับทุนต่างชาติหรือไม่
แต่สำหรับ ไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด ซึ่ง ณ วันนี้ นอกจากจะเป็นบริษัทประกันชีวิตไทยแท้ที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับที่ 2 ของระบบแล้ว เขาประกาศว่า บ.ไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทไทยที่มีมาตรฐานระดับสากล และพร้อมที่จะแข่งขันกับทุนข้ามชาติ อะไรคือจุดได้เปรียบและเสียเปรียบของบริษัทประกันชีวิตไทย และทางออกในการปรับตัวจะเป็นอย่าง เมื่อเร็วๆนี้ ฐานเศรษฐกิจ มีโอกาสไขข้อข้องใจดังกล่าวจากแม่ทัพกลุ่มไทยประกันชีวิต ไชย ไชยวรรณ

****CEOมองข้อได้เปรียบทุนไทยกับทุนต่างชาติ

ความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันของบริษัทประกันไทยกับทุนต่างชาติ คิดว่าทุนต่างชาติมีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน ( Competitive Advantages) มากกว่าทุนไทย ทั้งในแง่ของค่าของเงินที่แข็งแกร่งกว่า และเงินทุนยาวกว่า รวมถึงความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ในตลาดโลกและเทคโนโลยี
แต่ถ้าถามว่าทุนไทยแข่งขันได้หรือไม่ เชื่อว่าได้ แต่ต้องมองหาสิ่งที่ต่างชาติไม่มี เพื่อนำมาสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน สิ่งที่ผมมองเห็นคือ 1.ต้องมีทุนวัฒนธรรม 2.การบริหารแบบรอบคอบและรัดกุม 3. การซื้อเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติ 4. พนักงานต้องรอบรู้ และ5. การพัฒนาคนในองค์กรให้เป็นมืออาชีพ ซึ่งปัจจุบันบริษัทไทยประกันชีวิตอยู่ในทุกจุดที่ได้พูดถึงเพราะมีการปรับตัวมาแล้วมากกว่า 10 ปี
หลังวิกฤติเศรษฐกิจ ไทยประกันชีวิตอยู่รอด เพราะไม่ได้แค่เกิดวิกฤติการณ์แล้วมาแก้ไข แต่ได้ฝังรากทุนวัฒนธรรม และระบบงานแบบตะวันตกมาเป็นเวลานาน อีกประการหนึ่งคือไทยประกันชีวิตมีการทำแบรนดิ้งมาตั้งแต่ปี 2523 เพราะเราเสียเปรียบในแง่ที่เป็นบริษัทคน ซึ่งจนถึงปัจุบันทำแบรนดิ้งมาแล้ว 27-28 ปี จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ของไทยประกันชีวิตค่อนข้างแข็งแกร่ง แม้แต่ในสายตาต่างชาติ

***จุดขายของบ.ไทยคือ ทุนวัฒนธรรม

ไชย กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่จะสร้างความได้เปรียบระหว่างทุนไทยกับทุนข้ามชาติ และเป็นสิ่งที่บริษัทไทยประกันชีวิตทำอยู่ คือ การสร้างทุนทางวัฒนธรรม ซึ่งหมายถึง ความคิด ความเชื่อ น้ำใจ ความเอื้ออาทร โดยหากสร้างทุนวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นในองค์กร และถ่ายทอดสู่ผู้บริโภคหรือผู้ที่มุ่งหวัง ก็สามารถทำให้ผู้บริโภคที่เป็นคนไทย มองเห็นว่าบริษัทคนไทยก็มีมาตรฐานในการบริหารจัดการ หรือเรียกว่าเป็นการสร้าง Corperate Culture
นอกจากนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าเงินทุนเราสู้ต่างชาติไม่ได้ บริษัทไทยประกันชีวิตจึงพยายามบริหารจัดการแบบรอบคอบและรัดกุม ไม่บริหารแบบรุก (Aggressive) เพราะถ้าพลาดไปแล้วเรียกกลับมายาก แต่จะบริหารในรูปแบบของการก้าวไปข้างหน้า (Dynamic) มากกว่า ขณะเดียวกัน ในช่วงที่ผ่านมา พยายามบอกให้พนักงานให้เรียนรู้อย่างรู้รอบไม่ใช่รอบรู้ คือ รู้ทุกอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่รู้อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อนำไปพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมทางความคิดและปัญญาจากสิ่งที่พบเห็นและมาลอกเลียนแบบและปรับปรุง ( Copy and Development หรือ C&D) ให้เกิดเป็นนวัตกรรมที่เหมาะสมกับประเทศไทย และเป็นการพัฒนาคนในองค์กรให้เป็นมืออาชีพ
ในส่วนของเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญจากต่างชาตินั้น เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทุนไทยสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งด้วยขนาดของบริษัทไทยประกันชีวิต จึงมีโอกาสซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้ และสามารถซื้อความเชี่ยวชาญจากต่างชาติได้ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาข้ามชาติ หรือชาวต่างชาติที่สามารถมาทำงานกับองค์กรอย่างไทยประกันชีวิตได้ ซึ่งมีทั้งคนเอเชียที่สามารถเข้ากับวัฒนธรรมเอเชียด้วยกัน และมีความรู้ในระดับนานาชาติ

*****รักษาเป้าหมายบ.ไทยมาตรฐานสากล


วิกฤติเศรษฐกิจ 10 ปีที่แล้ว ผมประกาศว่าจะทำให้บริษัทไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทคนไทยในระดับสากล จะยืนต่อสู้กับบริษัทข้ามชาติ ไม่ยอมให้ข้ามชาติเข้ามาซื้อกิจการ ตอนนี้วิสัยทัศน์(Vision) นั้นเป็นจริงแล้ว ต่อจากนี้จะมีความท้าทาย คือ รักษามาตรฐานให้ดีกว่าเดิมได้หรือไม่ เพราะการรักษายากกว่าการสร้าง
รุ่นคุณพ่อ (วานิช ไชยวรรณ) สร้างมาก็ยากแล้ว แต่การรักษายากกว่า เพราะการรักษาให้อยู่เป็นเบอร์ 2 หรือจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในขณะที่การแข่งขันเปลี่ยนไป ขณะเดียวกันสิ่งที่ผมมักพูดตลอดเวลาคือ ในอนาคตไม่สำคัญว่าครอบครัวจะต้องเป็นคนที่บริหารตลอดไป ถ้ามีคนดีๆหรือคนนอกที่เข้ามาร่วมงานและบริหารงานกับเรา ผมจึงมักจะใช้คำว่า อยากให้ทุกคนในบริษัทไทยประกันชีวิตสร้างมรดกงาน คือ สืบทอดสิ่งที่เขามีให้กับคนรุ่นหลังที่เข้ามาทำงาน
ส่วนเป้าหมายของการเป็นบริษัทมหาชนนั้น ถ้าถามผมผมก็มักจะตอบว่าเมื่อไรมีความจำเป็น เราก็เป็นมหาชน เมื่อไรไม่มีความจำเป็น ทำไมเราต้องรีบไปเป็นมหาชน แต่อย่างไรก็ตาม รูปแบบของไทยประกันชีวิตวันนี้ เป็น Pravate Company เตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่บริษัทมหาชนเมื่อไรก็ได้

*****ธุรกิจเจ้าสัวในไทยยังอยู่แต่เปลี่ยนโฉม

ถามว่ายังเป็นธุรกิจเจ้าสัวอยู่หรือไม่ ก็ยังเป็นเจ้าสัวอยู่ เพราะยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ถอยออกมา ไม่ต้องบริหารเอง เดี๋ยวนี้เจ้าสัวเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่เจ้าสัวในสภาพเสื่อผืนหมอนใบและต้องทำงานหนัก 24 ชั่วโมง ต้องเป็นทุกอย่าง แต่กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และกำหนดนโยบาย
สิ่งเหล่านั้นผมเชื่อว่าเกิดขึ้นกับบริษัทหลายบริษัทที่เป็นบริษัทครอบครัวในประเทศไทย เพราะหนีกระแสโลกาภิวัตน์ไม่ได้ แต่คำว่าเจ้าสัวไม่ได้หายไป เพียงแต่เจ้าสัวเปลี่ยนโฉม

*****ความจำเป็นต้องเปิดรับพันธมิตรต่างชาติ

วันนี้คำตอบที่ชัดเจน คือ ไม่จำเป็น เพราะถ้าเราต้องการทำธุรกิจอื่นที่ไม่เชี่ยวชาญ ก็ไปร่วมพันธมิตรอื่น เช่น ที่ผ่านมาเราไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านแบงก์แอสชัวรันส์ เราก็ร่วมทำธุรกิจกับบริษัท ไทยคาร์ดิฟ ประกันชีวิต จำกัด ซึ่งเขามีความเชี่ยวชาญ ไปเทคโอเวอร์บริษัทหนึ่งแล้วมาทำด้วยกัน โดยสัดส่วนผู้ถือหุ้นของไทยประกันชีวิตก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ เพราะต่างชาติเขาก็ยังมองว่าบริษัท ไทยประกันชีวิตยังมีความเชี่ยวชาญในตลาดท้องถิ่น ตำราของฝรั่งบอกว่า Think Global Act Local เมื่อเขาเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ความคิดต่างๆอาจะเป็นมาตรฐานสากล แต่วิธีการทำการตลาดก็ยังอาศัยผู้ชำนาญการที่เป็นคนท้องถิ่น ดังนั้น แนวคิด Think Global Act Local ก็สามารถนำมาใช้กับไทยประกันชีวิตได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ถือหุ้นต่างชาติ

****เป้าหมายของธุรกิจในกลุ่มไทยประกันชีวิต

ผมว่าการทำธุรกิจ อย่ามองว่าเราจะเป็นเบอร์ 1 แต่การเป็นเบอร์ 1 เหมือนเป็นความฝัน และเราต้องพยายามสร้างความฝันให้เป็นจริง ซึ่งจะเป็นแรงขับให้ผู้บริหาร แต่การบอกว่าจะเป็นเบอร์ 1 นั้นพูดได้เยอะว่าจะเป็นแบบไหน ยกตัวอย่าง ธุรกิจเบียร์ไฮเนก้น วันนี้เป็นเบอร์ 1 ในตลาดพรีเมี่ยม แต่ตลาดรวมเรายังเล็กที่สุด แต่อย่างน้อยตัวธุรกิจก็ไปรอด และกำไรได้พอควร กรณีบริษัทไทยประกันชีวิต ยังเป็นเบอร์ 2 ของอุตสาหกรรม แต่เป็นเบอร์ 1 ที่เป็นบริษัทคนไทย ส่วนธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย เรายังไม่พูดถึงความเป็นเบอร์ 1 แต่ควรจะต้องสร้างความแตกต่าง เพราะเป็นแบงก์น้องใหม่ ยังไม่สามารถแข่งขันกับแบงก์อื่นที่เกิดก่อนเราได้ จึงต้องหาความแตกต่างในเรื่องโปรดักส์ ช่องทางการจำหน่าย การสร้างนวัตกรรมต่างๆในการให้บริการกับผู้ฝากเงิน
และถ้ามีโอกาสเป็นไปได้ก็จะพยายามให้ธุรกิจที่มีอยู่ในกลุ่ม คือทั้งธนาคารและประกันชีวิตเอื้อประโยชน์กัน ตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษา
ส่วนการขยายการลงทุนในยังธุรกิจอื่นนั้น ผมเชื่อว่าการจะธุรกิจใหม่หรือไม่ ต้องพิจารณา 2-3 ประเด็น คือ หนึ่ง มีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจนั้นพอหรือไม่ เพราะถ้ามีความรู้ไม่พอถึงมีเงินก็ไม่ประสบความสำเร็จ
สอง มีหลงจู๊หรือมีคนที่จะเข้าไปบริหารจัดการแทนหรือไม่ และไว้ใจได้แค่ไหน และ สาม มองธุรกิจดังกล่าว เป็นโอกาสหรือไม่

****ยุทธศาสตร์สร้างคนยังเป็นกุญแจหลัก

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บ.ไทยประกันชีวิต กล่าวถึง ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของบ.ไทยประกันชีวิตว่า
เป็นการมองระยะยาว โดยเฉพาะการสร้างคนที่ยังกุญแจหรือหัวใจสำคัญในธุรกิจประกันชีวิต เป็นเรื่องที่ต้องทำทุกๆปี และในปีนี้มีแผนที่เพิ่มตัวแทนระดับหน่วย 16,000 คน และต้องเป็นตัวแทนที่มีใบอนุญาตครบถ้วน เพราะแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ แต่อย่างไรก็ตามยอมรับว่าในเชิงการแข่งขันในปัจจุบันการสร้างคนยากกว่าอดีต เพราะมีการแย่งคนกันมากขึ้น การสร้างคนจึงต้องขยายมุมกว้างขึ้น และไม่ได้แข่งขันกับแค่บริษัทประกันชีวิต เพราะคนสามารถเลือกทำธุรกิจขายตรงต่างๆได้

*****ใช้สาขาเป็นจุดขายเจาะตลาดชุมชน

ปัจจุบัน ในธุรกิจประกันชีวิต ไม่ว่าบริษัทใหญ่หรือบริษัทเล็กเริ่มลงมาในตลาดที่เล็กลง ทุนประกันต่ำ เช่น ตลาดชุมชน ตลาดชนบท แต่ไทยประกันชีวิตมีจุดแข็ง คือ 1.เป็นเจ้าของพื้นที่ตลาดชุมชนมานาน เพราะเราเริ่มธุรกิจประกันชีวิตที่ตลาดชนบทจากการประกันรายเดือน 2. มีสาขาที่มีอยู่ทั้งหมด 255 สาขาทั่วประเทศหรือเกือบทุกอำเภอ ซึ่งสาขาถือเป็นจุดแข็งในการพัฒนาหรือสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการทำตลาดชุมชน นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็น Sales Office ของตัวแทนประกันชีวิต

****มองสถานการณ์ศก.ต่อธุรกิจประกัน

สถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองครึ่งปีแรก กระทบธุรกิจประกันชีวิตบ้าง แต่เป็นปัญหาเฉพาะประเทศไทย เพราะตลาดโลกเศรษฐกิจไม่ได้ถดถอย เหตุผลของประเทศไทยส่วนหนึ่งคือเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องชั่วคราว ซึ่งในธุรกิจประกันชีวิตยิ่งคนมีความรู้สึกว่าไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ยิ่งต้องออมเงินและสร้างหลักประกันให้ครอบครัว น่าจะเป็นโอกาสที่ทำตลาดได้ดี เพียงแต่ว่าคนในองค์กรเราเข้าใจที่จะนำสิ่งเหล่านี้ไปเสนอต่อผู้บริโภคหรือไม่
ครึ่งปีหลังสถานการณ์น่าจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งจากประสบการณ์ 20 ปีที่อยู่ในธุรกิจประกันชีวิต มีความรู้สึกว่าไม่ว่าจะเศรษฐกิจดีมากหรือเศรษฐกิจแย่มาก ประกันชีวิตโดนหางเลขน้อยมาก มันอยู่ของมันไป เพราะความเชื่อของคนไทยไม่ได้ซื้อประกันชีวิตเป็นสิ่งแรก ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี ถือว่าเป็นธุรกิจที่แปลก และผลกระทบจากเศรษฐกิจต่อธุรกิจประกันชีวิตไม่เหมือนกับผลกระทบต่อภาคส่งออกหรือการอุปโภคบริโภคสินค้า

*****ภาพรวมของพัฒนาการธุรกิจประกัน


การที่บริษัทขนาดใหญ่อันดับที่ 1 และ 2 ของระบบ คือเอไอเอ และไทยประกันชีวิต ซึ่งมีมาร์เก็ตแชร์สูง
ทำให้เป็นเหมือนตัวชี้นำบริษัทอื่นให้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน จะเห็นได้ว่า 20 กว่าปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงที่ดี คือ 1. ทุกบริษัทพยายามสร้างตัวแทนที่มีคุณภาพ 2. ทุกบริษัทให้ความสนใจในการทำ CSR (Corperate Social Responsibility )ให้กับสังคมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทข้ามชาติ หรือบริษัทคนไทยซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะธุรกิจประกันชีวิตควรจะอยู่บนพื้นฐานของคำว่าให้ 3. ทุกบริษัททำแบรนดิ้ง
http://news.sanook.com/economic/economic_153227.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news09/07/07

โพสต์ที่ 20

โพสต์

คลอดประกันรถชั้น5แล้วเรียกกธ.คุ้มครองเฉพาะภัย - 9/7/2550

คลอดประกันรถชั้น5แล้วเรียกกธ.คุ้มครองเฉพาะภัย

อธิบดีกรมประกันภัยลงนามอนุมัติแล้ว ดีไซน์แบบกรมธรรม์ประกันรถชั้น 5 พร้อมพิกัดอัตราเบี้ยประกันใหม่ ใช้ชื่อหรู"กรมธรรม์คุ้มครองเฉพาะภัย" ดีเดย์ให้ 53 บริษัทประกันภัยนำออกประเดิมขายอย่างเป็นทางการ รายงานข่าวจากกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัยได้ลงนามเห็นชอบในประกาศนายทะเบียนลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2550 ให้ออกแบบข้อความกรมธรรม์ประกันภัย เอกสารแนบท้าย และอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์รถยนต์แบบคุ้มครองเฉพาะภัยของบริษัทประกันวินาศภัยทั้ง 53 บริษัทที่จะขายกรมธรรม์ประกันรถยนต์ชั้น 5 ออกมาเป็นทางการแล้ว โดยใช้ชื่อว่า"กรมธรรม์ประกันรถยนต์แบบคุ้มครองเฉพาะภัย"

โดยเนื้อหาบริษัทจะต้องออกกรมธรรม์ความคุ้มครองหลักคือ 1.คุ้มครองรับผิดชอบต่อความบาดเจ็บหรือมรณะของบุคคลภายนอก และความรับผิดต่อความบาดเจ็บหรือมรณะของผู้โดยสารในรถคันเอาประกันภัย โดยมีจำนวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทต้องรับประกันภัยจำนวน 1 แสนบาทต่อหนึ่งคน และ 10 ล้านบาทต่อหนึ่งครั้ง ทั้งนี้จำนวนเงินจำกัดความรับผิดนี้ถือเป็นส่วนเกินจากความคุ้มครองตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ 2.คุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกโดยมีจำนวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทต้องรับประกันภัย 2 แสนบาทต่อหนึ่งครั้ง

สำหรับความคุ้มครองเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยที่ถูกไฟไหม้และการสูญหายรวมถึงอุปกรณ์ เครื่องตกแต่ง หรือสิ่งที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์เกิดไฟไหม้หรือสูญหายไปนั้นจะมีหรือไม่มีความคุ้มครองก็ได้ โดยมีจำนวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทต้องรับประกันภัยจำนวน 5 หมื่นบาท ทั้งนี้ความคุ้มครองทั้งหมดข้างต้นสามารถเพิ่มให้สูงกว่าพื้นฐานได้ โดยการเพิ่มเบี้ยฯตามอัตราเพิ่มตามความเสี่ยงภัย และอัตราเบี้ยฯเพิ่มความคุ้มครองตามที่ได้ระบุไว้ในพิกัดอัตราเบี้ยประกันรถยนต์ปี 48 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ทั้งนี้ยังได้กำหนดเก็บความเสียหายส่วนแรกที่ผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบเองแบ่งเป็น ความเสียหายส่วนแรกสำหรับความรับผิดต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอกคือ1.ที่เกิดจากความตกลงระหว่างบริษัทกับผู้เอาประกันภัย 5,000 บาทแรกลดเบี้ยประกัน 10% ของจำนวนเงินความเสียหายสว่นแรก ส่วนเกิน 5,000 บาทแรกลดเบี้ยประกัน 1% ของจำนวนเงินเสียหายส่วนแรก สำหรับความเสียหายส่วนแรกเนื่องจากผู้เอาประกันผิดสัญญาเช่น รถยนต์คันเอาประกันภัยไปเกิดความเสียหาย ในขณะที่มีบุคคลอื่น มิใช่บุคคลที่ระบุชื่อในกรมธรรม์ประกันภัยเป็นผู้ขับขี่ และความรับผิดชอบส่วนแรกสำหรับความเสียหายเนื่องจากชนกับรถคันอื่น โดยผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบเองต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้งคือ 2 พันบาท ของความเสียหายจากการชน ในกรณี่ผู้ขับขี่หรือผู้เอาประกันเป็นฝ่ายต้องรับผิดตามกฎหมาย
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=177015
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news09/07/07

โพสต์ที่ 21

โพสต์

แห่ซื้อประกัน รถชั้น3พิเศษช่วงศก.ซบเซา

โพสต์ทูเดย์ ประกันชั้น 3 พิเศษ ช่วยสินมั่นคงรอด ทำยอดได้ถึงเป้า หลังลูกค้าแห่ซื้อรับภาวะเงินฝืด


นายเรืองเดช ดุษฎีสุรพจน์ ประธานกรรมการบริหาร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย กล่าวว่า ผลจากการที่บริษัทได้ออกแบบประกันรถยนต์ชั้น 3 พิเศษที่ซ่อมรถผู้เอาประกันด้วย เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทสามารถทำเบี้ยประกันได้ตามเป้าประมาณ 1.9 พันล้านบาท จาก เป้าที่ตั้งไว้ทั้งปี 3.8 พันล้านบาท
ตัวประกันชั้น 3 พิเศษ 3 คุ้มนี้ มีส่วนอย่างมากที่ทำให้บริษัทถึงเป้าได้ ซึ่งเมื่อปลายปีที่แล้วบริษัทก็คาดการณ์แล้วว่าเศรษฐกิจปีนี้คงยังไม่ดีแน่ จึงต้องมีสินค้าราคาประหยัดมารองรับเพิ่ม ขณะเดียวกันเบี้ยหลักอย่างรถป้ายแดงก็ขายไม่ค่อยออกด้วย ซึ่งเป็นตามยอดขายรถป้ายแดงที่ลดลงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา นายเรืองเดช กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้หลายฝ่ายคาดว่าเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังนี้จะดีขึ้น แต่บริษัทก็ยังไม่ปรับเป้าในขณะนี้ โดยจะให้ความสำคัญเรื่องการ สร้างสมดุลของกำไรกับเบี้ยประกัน มากกว่าที่จะมุ่งสร้างเบี้ยให้ได้มากๆ โดยใช้วิธีตัดราคาแข่งขัน ซึ่งในส่วนของประกันภัยชั้น 1 นั้น ขณะนี้บริษัทก็พยายามรักษาอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยไว้ให้อยู่ที่ 61-62% ส่วนเบี้ยประกันชั้น 3 พิเศษนั้น ก็คาดว่าอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยก็จะอยู่ประมาณ 60% ทำให้บริษัทรักษาระดับกำไรได้ดี
นายนิค จันทรวิทุร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 กล่าวว่า สำหรับแบบประกันชั้น 3 พิเศษ หรือ เอเชีย 3 พลัส ของบริษัทนั้น ปัจจุบันมีอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 45-50% แต่ถ้าเป็นประกันชั้น 1 อัตราค่าเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยยังสูงอยู่คือไม่ต่ำกว่า 65% แต่ด้วยความที่บริษัทขายแบบประกันเอเชีย 3 พลัส เป็นหลัก เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว ก็ยังมีกำไรไม่ต่ำกว่า 10% และการที่ตลาดประกันภัยหันมาออกสินค้าประกันชั้น 3 พิเศษนี้เพิ่มขึ้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี และจะมีส่วนช่วยกระตุ้นตลาดให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=177527
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news09/07/07

โพสต์ที่ 22

โพสต์

คลอดประกันรถราคาถูก

โพสต์ทูเดย์ จันทรา อนุมัติเบี้ยประกันชั้น 5 ถูกกว่าประกันชั้นหนึ่งประมาณ 30% เบี้ยคุ้มครองรถชนรถอย่างเดียว เบี้ยตั้งแต่ 3.5-6.8 พันบาท
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย ได้ลงนามให้ความเห็นชอบในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แบบคุ้มครองเฉพาะภัย หรือประกันภัยรถชั้น 5 เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2550 ตามที่บริษัทประกันวินาศภัย 53 บริษัท ยื่นขอเสนอขายแก่ประชาชน หลังจากวันที่ 5 ก.ค. เป็นต้นไป จะไม่อนุมัติให้มีการขายประกันชั้น 3 พิเศษอีกต่อไป ยกเว้นบริษัทที่ได้เสนอขออนุมัติไว้ก่อนวันที่ 5 ก.ค. 2550 ซึ่งมีจำนวน 17 บริษัท
สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรถชั้น 5 นี้ ราคาเบี้ยประกันภัยต่อปีจะต่ำกว่าประกันชั้น 1 ประมาณ 30% เนื่องจากให้ความคุ้มครองเฉพาะอุบัติเหตุที่เกิดจากการที่รถชนรถเท่านั้น และลูกค้าต้องร่วมจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก 2 พันบาทต่อครั้ง ต่างจากประกันชั้น 1 ที่คุ้มครองการเกิดอุบัติเหตุทุกกรณี เช่น เฉี่ยวชนเสาไฟฟ้า ก้อนหินกระเด็นมาถูกรถ หรือถูกบุคคลขีดข่วนด้วยความหมั่นไส้ ขับรถชนวัว หรือตกถนนก็สามารถเคลมได้ และลูกค้าไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก
ทั้งนี้ ราคาเบี้ยที่คุ้มครองเฉพาะกรณีรถชนรถ แบ่งตามประเภทรถยนต์ 3 ประเภท ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง ราคาเบี้ยประกันอยู่ระหว่าง 3.5-6.8 พันบาทต่อปี รถยนต์โดยสาร ราคาเบี้ยอยู่ระหว่าง 3-6 พันบาทต่อปี และรถยนต์บรรทุก เบี้ยอยู่ระหว่าง 3.4-6.2 พันบาทต่อปี โดยวงเงินความคุ้มครองต่อรถหนึ่งคันขั้นต่ำ 5 หมื่นบาท และขั้นสูงวงเงิน 5 ล้านบาท
นอกจากนี้ ลูกค้าจะถูกคิดเบี้ยประกันภัยเพิ่มตามอัตราความเสี่ยงภัย และวงเงินความคุ้มครอง ซึ่งจะเริ่มต้นที่ 1% ของวงเงินความคุ้มครองถึงสูงสุด 7.3% ของวงเงินความคุ้มครอง
สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แบบคุ้มครองเฉพาะภัย หรือกรมธรรม์ประกันภัยรถชั้น 5 แบ่งโครงสร้างความคุ้มครองออกเป็น 3 ด้านหลักๆ คือ ความคุ้มครองส่วนแรก เป็นความคุ้มครองหลัก ได้แก่ ความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกต่อความบาดเจ็บ หรือการเสียชีวิตของบุคคลภายนอก วงเงินความคุ้มครองขั้นต่ำ 1 แสนบาทต่อหนึ่งคน รวมแล้วต้องไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อหนึ่งครั้ง และไม่เกี่ยวกับความคุ้มครองหรือค่าสินไหมทดแทนที่จะได้จากประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก 2 แสนบาทต่อหนึ่งครั้ง
ความคุ้มครองรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ อุปกรณ์ เครื่องตกแต่ง หรือสิ่งที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์ ในวงเงินขั้นต่ำ 5 หมื่นบาท สามารถเพิ่มวงเงินความคุ้มครองได้ตามความต้องการของลูกค้า ราคาเบี้ยประกันภัยก็จะสูงขึ้นด้วย
ความคุ้มครองส่วนที่สอง คือ คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์ของผู้เอาประกันภัย และคู่กรณี เฉพาะที่เกิดจากรถชนรถ หรือยานพาหนะทางบกเท่านั้น รวมถึงความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้ที่เกิดจากการที่รถชนรถ ความคุ้มครองขั้นต่ำเริ่มที่ 5 หมื่นบาท และเพิ่มวงเงินความคุ้มครองได้ ซึ่งราคาเบี้ยประกันภัยก็จะสูงขึ้นด้วย
ความคุ้มครองส่วนที่สาม คือ ความคุ้มครองอื่นๆ ประกอบด้วย การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล การประกันภัยค่ารักษาพยาบาล การประกันตัวผู้ขับขี่ ที่เจ้าของรถอาจต้องการความคุ้มครองที่สูงขึ้น หรือซื้อเพิ่มเติมจากความคุ้มครองส่วนแรก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=177529
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news10/07/07

โพสต์ที่ 23

โพสต์

เลห์แมนซื้อฟินันซ่าใกล้จบ

โพสต์ทูเดย์ คาดการร่วมลงทุน ของเลห์แมน บราเธอร์ ในบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จะบรรลุข้อตกลงสัปดาห์หน้า


แหล่งข่าวระดับสูงจากกรมการประกันภัยเปิดเผยว่า วันที่ 9 ก.ค. 2550 ตัวแทนของบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ พร้อมกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต ได้เข้าพบผู้บริหารของกรมการประกันภัยเพื่อยืนยันถึงความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต โดยจะเสนอแผนเพิ่มทุนและแก้ปัญหาฐานะเงินกองทุนที่ต่ำกว่ากฎหมายกำหนดกว่า 500 ล้านบาท ภายในสัปดาห์หน้า
เขาต้องการที่จะลงนามร่วมลงทุนอย่างเป็นทางการก่อนแล้วถึงจะส่งแผนเพิ่มทุนเข้ามาให้ ซึ่งยืนยันที่จะส่งเข้ามาภายในสัปดาห์หน้า แหล่งข่าวเปิดเผย
ทั้งนี้ ตัวแทนของเลห์แมนฯ ยืนยันถึงความพร้อมที่จะใส่เงินทุนเข้ามาร่วมลงทุน ซึ่งเป็นโครงการลงทุนที่ใช้เงินค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับโครงการลงทุนอื่นๆ ของเลห์แมนฯ ที่ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นตั้งแต่ 1 พันล้านบาท ถึง 1 หมื่นล้านบาท
นายรณพิทย์ หัสดินทร ณ อยุธยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต กล่าวว่า นอกเหนือจากบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ ยังมี 3-4 กลุ่ม ที่แสดงความสนใจร่วมลงทุนในบริษัท ซึ่งเมื่อถึงเวลาจริงอาจจะเป็นกลุ่มอื่นก็ได้
นายมนตรี แสงอุไรพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต กล่าวว่า ในด้านของการตลาดไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากการที่บริษัทมีฐานะเงินกองทุนติดลบ โดยยังสามารถขยายตลาดได้ในระดับที่ดี
ครึ่งปีแรกเราขายประกันให้ลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่มีเบี้ยใหม่ 194.6 ล้านบาท หรือทำเบี้ยได้ประมาณ 272 ล้านบาท นายมนตรี กล่าว
นายมนตรี กล่าวว่า เฉพาะเดือน มิ.ย. 2550 มียอดขายรายใหม่เพิ่มขึ้น 10% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 35 ล้านบาท
ขณะที่ ตะกาฟุล หรือกรมธรรม์ประกันชีวิตตามหลักศาสนาอิสลาม มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเดือนละ 3 ล้านบาท
ทั้งนี้ การที่ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการมีตัวแทนเพิ่มขึ้นจาก 4 พันคน เป็น 5.2 พันคน ในปัจจุบัน
นายมนตรี กล่าวว่า จากการประเมินศักยภาพของตัวแทนที่มีอยู่ในปัจจุบัน สามารถที่จะพัฒนาคุณภาพให้ทำยอดขายเพิ่มขึ้นได้ หากได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบ
แหล่งข่าวจากบริษัทประกันชีวิตวิเคราะห์ว่า เลห์แมนฯ อาจจะเป็นเพียงผู้ที่มาขัดตาทัพให้กับบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต ระหว่างที่ยังหาผู้ร่วมลงทุนไม่ได้ เพื่อแสดงให้เห็นความตั้งใจในการแก้ปัญหาฐานะการเงิน และยืดระยะเวลาจากการถูกกรมการประกันภัยเข้าไปควบคุม ซึ่งขณะนี้เลห์แมนฯ ทำการตรวจสอบสถานะบริษัทเสร็จสิ้นแล้ว อยู่ระหว่างการตีราคาหุ้น และกำหนดจำนวนหุ้นเพิ่มทุนเพื่อให้ครบวงเงินที่จะเพิ่มทุนใหม่อีก 500 ล้านบาท จากปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 2.1 พันล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=177704
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news11/07/07

โพสต์ที่ 24

โพสต์

5เดือนประกันชีวิตแรงยังดีโต35% [ ฉบับที่ 809 ประจำวันที่ 11-7-2007 ถึง 13-7-2007]  
>ส่งสัญญาณปิดครึ่งปีแรกเบี้ยรวมแตะแสนล้าน

ประกันชีวิตแรงไม่หยุด 5 เดือนเบี้ยใหม่ทะลุ 16,221 ล้านบาท โต 35% ดันเบี้ย รวม 73,338 ล้านบาท จับตาปิดบัญชีครึ่งปีแรกหมดแรงต้าน ทุกค่าย เร่งปิดยอด ส่งผลเบี้ยรวมมีสิทธิ์ แตะแสนล้านบาท ขณะยอดคนซื้อประกันทะยานไม่แพ้กัน ขายได้แล้ว 1,672,164 กรมธรรม์ ตลาดสามัญ ไปโลดกวาดลูกค้า 887,425 ราย

รายงานข่าวจากสมาคมประ กันชีวิตไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทประกันชีวิตในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.2550) ว่า ธุรกิจประกันชีวิตทั้งระบบมีเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 73,338.4 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียว กันของปี 2549 ที่ผ่านมา แบ่งเป็นเบี้ยปีแรก (FYP) หรือเบี้ยใหม่ที่เข้าสู่ธุรกิจทั้งสิ้น 16,221.9 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 35% เป็นเบี้ยรับ ปีต่อไป (RWP) หรือเบี้ยต่ออายุทั้งสิ้น 52,290.7 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 6% คิด เป็นอัตราความยั่งยืนกรมธรรม์ (Persistency) ที่ระดับ 85% และเป็นเบี้ยชำระครั้งเดียว หรือซิงเกิล พรีเมี่ยม (Single Premium) ทั้งสิ้น 4,825.7 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 53% ส่งสัญญาณปิดผลงานครึ่งปีแรกเบี้ยรวมอาจ ทะลุแสนล้านบาทได้ หากเทียบกับจำนวนเบี้ยที่เข้ามาในแต่ละเดือน

เฉลี่ยถึง 13,000 บาทต่อเดือน บวกกับช่วงเดือนมิ.ย.เป็นช่วงเร่งทำยอดเพื่อปิดผลงานครึ่งปี จึงทำให้มีเบี้ยเข้ามามากกว่าปกติ ก็ทำให้เบี้ยรวมมีสิทธิจะแตะแสนล้านบาทได้

อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานดังกล่าว สะท้อนให้เห็นการเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจประกันชีวิต แม้ว่าจะมีปัจจัยกระทบหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ ซึ่งช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.ของทุกปีถือเป็นช่วงที่ผลงานของธุรกิจจะต่ำกว่าช่วงอื่น และความไม่สงบด้านการเมืองยังคงดำเนินต่อไป แต่ธุรกิจประกันชีวิตยังคงขยายตัวได้ดี จึงถือว่าปัจจัยเหล่านี้ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจนัก โดยผลงานเบี้ยเฉพาะในเดือนพ.ค.2550 มีเบี้ยรับรวม 14,898.5 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีเบี้ยรวมที่ 10,366.3 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นเบี้ยปีแรก (FYP) 3,270.3 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีเบี้ยปีแรกเข้ามา 2,573.6 ล้านบาท, เบี้ยปีต่อไป หรือเบี้ยต่ออายุ 10,553.2 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีเข้ามา 9,873.5 ล้านบาท และเบี้ยชำระครั้งเดียว 1,075 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีเข้ามาจำนวน 619.2 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดจากตลาดหลักของธุรกิจอย่าง ตลาดประกันชีวิตประเภทสามัญ ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้การขยายตัวของเบี้ยปีแรก หรือเบี้ยใหม่ ยังอยู่ในระดับสูงถึง 43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ขยายตัวติดลบ 1% โดยมีเบี้ยปีแรกจำนวน 12,650.4 ล้านบาท และส่วนใหญ่อยู่ในมือของบริษัทในอันดับท็อปเทนแทบทั้งสิ้น นำโดยเอไอเอ หรือบ.อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จก. มีเบี้ยปีแรกประเภทสามัญจำนวน 3,740.3 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่เติบโตติดลบ 3% รองลงมาได้แก่ บ.ไทยประกันชีวิต จก. ด้วยเบี้ยจำนวน 1,731.5 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 5%, บมจ.ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต 1,464.4 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 157%, บ.เมืองไทยประกันชีวิต จก. 1,281.4 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 88% และบมจ.อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต หรือเอเอซีพี 1,041.5 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 83%, บ.กรุงเทพประกันชีวิต จก. 769.9 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 29%, บ.ไทยคาร์ดีฟ ประกันชีวิต จก. 560.3 ล้านบาท, บ.ไอเอ็นจีประกันชีวิต จก. 529.9 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 37% และบ.ไทยสมุทรประกันชีวิต จก. 174.1 ล้านบาท เติบโตติดลบ 29% ตามลำดับ

ส่วนในตลาดอื่นๆ เช่น การประกันชีวิตประเภทอุตสาหกรรม เบี้ยปีแรกยังขยายตัวได้ 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่เติบโตติดลบ 18% ด้วยเบี้ยจำนวน 440.3 ล้านบาท, การประกันชีวิตประเภทกลุ่ม เบี้ยปีแรกขยายตัวได้ 27% ด้วยจำนวน 1,604 ล้านบาท และการประกันประเภทอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) ขยายตัวได้เพียง 1% ด้วยเบี้ยจำนวน 1,527.2 ล้านบาท

ด้านจำนวนกรมธรรม์ที่มีผลบังคับ พบว่า เฉพาะเดือนพ.ค. 2550 มีจำนวนกรมธรรม์ใหม่รวม 327,703กรมธรรม์ เทียบกับเดือนพ.ค.2549 ที่มีจำนวนกรมธรรม์ใหม่เข้ามา 294,794 กรมธรรม์ มากกว่ากันถึง 11% โดยส่วนใหญ่ยังคงเป็นกรมธรรม์ประเภทสามัญมากที่สุดถึง 168,688 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับพ.ค.2549 ที่มีเข้ามาจำนวน 146,919 กรมธรรม์ รองลงมาเป็นกรมธรรม์ประเภทพีเอจำนวน 142,908 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.2549 ที่มีจำนวน 135,689 กรมธรรม์, กรมธรรม์ประเภทอุตสาหกรรมมีจำนวน 15,741 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้นถึง 32% เมื่อเทียบกับ 11,896 กรมธรรม์ในเดือนพ.ค.2549 และกรมธรรม์ประเภทกลุ่มจำนวน 366 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้นถึง 26% เมื่อเทียบกับพ.ค.2549 ที่มีเข้ามา 290 กรมธรรม์ ตามลำดับ

ด้วยเหตุนี้ จำนวนกรมธรรม์ที่มีผลบังคับในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้จึงมีจำนวนรวมถึง 1,672,164 กรมธรรม์ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีจำนวนกรมธรรม์ 1,462,555 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 14% โดยในจำนวนนี้เป็นกรมธรรม์ประเภทสามัญมากที่สุดด้วยจำนวน 887,425 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับ 730,541 กรมธรรม์ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา รองลงมาเป็นกรมธรรม์ประเภทพีเอจำนวน 696,677 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับ 665,288 กรมธรรม์ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา, กรมธรรม์ประเภทอุตสาหกรรม 86,283 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้นถึง 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีจำนวน 65,087 กรมธรรม์ และกรมธรรม์ประเภทกลุ่มจำนวน 1,779 กรมธรรม์ เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีจำนวน 1,639 กรมธรรม์ ตามลำดับ  
http://www.siamturakij.com/home/index.html
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news11/07/07

โพสต์ที่ 25

โพสต์

พาณิชย์ชงครม.เปิดทางต่างชาติถือหุ้นบริษัทประกัน49%

11 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 15:39:00
พาณิชย์เตรียมชงครม.แก้กฎหมายเปิดทางต่างชาติถือหุ้นบริษัทประกันวินาศภัยและประกันชีวิตถือหุ้น 49% จากเดิมตีกรอบไว้ที่ 25%

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า ขณะนี้การแก้ไขกฎหมายประกันวินาศภัยและประกันชีวิต ปี 2535 โดยเฉพาะสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตทั้งระบบ จากกฎหมายเดิมมีกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในบริษัทประกัน จะอยู่ที่ 25% ซึ่งจะเพิ่มเป็น 49% ตามการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติมใหม่นั้น ว่า โดยขณะนี้ขั้นตอนการพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นได้ผ่านความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่ากระทรวงพาณิชย์จะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง ก่อนนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณากันต่อไป และคิดว่าน่าจะผ่านความเห็นชอบในรัฐบาลชุดนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติมีความสนใจที่จะเข้ามาร่วมทุนกับบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยของไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละรายที่สอบถามและสนใจที่จะเข้ามาร่วมทุน ส่วนใหญ่มีความมั่นใจทางการเงิน และเป็นบริษัทบริหารโดยมืออาชีพทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมสัดส่วนการถือหุ้นชาวต่างชาติได้ผ่านความเห็นชอบในขั้นตอนต่าง ๆ และมีผลบังคับใช้จริง น่าจะเป็นประโยชน์ที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทประกันของไทยอย่างมาก ที่สำคัญเมื่อภาคธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิตของไทยมีความเข้มแข็ง จะลดปัญหาให้กับผู้เอาประกันทั้งระบบ จะได้รับความสะดวกและได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนภายในเวลารวดเร็วยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ หากดูผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทประกันวินาศภัยและบริษัทประกันชีวิตของไทย โดยแยกเป็นบริษัทประกันวินาศภัย 94 ราย และบริษัทประกันชีวิต 25 ราย ในช่วงหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ บริษัทประกันทั้งระบบของไทยมีความเข้มแข็งถึงร้อยละ 99 จะมีเพียงบางบริษัทที่มีปัญหาขาดสภาพคล่องอยู่บ้าง แต่ถือว่ามีสัดส่วนที่น้อยมาก ซึ่งแต่ละรายที่มีปัญหาขาดสภาพคล่อง กรมการประกันภัยก็ได้มีการติดตามและดูแลอย่างใกล้ชิด โดยส่วนใหญ่ยังเห็นว่า บริษัทประกันที่มีปัญหาสามารถแก้ไขได้ ไม่ถึงขั้นที่จะปิดหรือยึดใบอนุญาต ดังนั้น เมื่อเปิดโอกาสขยายสัดส่วนให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นได้มากกว่าที่ผ่านมา ก็เชื่อว่าหลังจากนี้ไป บริษัทประกันของไทยจะมีความเข้มแข็ง และต่อสู้กับการเปิดเสรีบริการตามพันธกรณีต่าง ๆ ในอนาคตได้อย่างแน่นอน

เมื่อบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยของไทยมีต่างชาติเข้ามาถือหุ้นได้มากขึ้น นอกจากจะทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งแล้ว ยังจะปรับแนวทางบริหารด้วยการนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาบริการ ก็จะทำให้การเคลมประกัน การตีราคาประกันความเสียหาย การคืนเงินประกันการเสียหายในกรณีต่าง ๆ ผู้เอาประกันภัยจะได้รับรวดเร็วขึ้น และหากดูสถิติการร้องเรียนผ่านสายด่วนประกันภัย 1186 ในช่วงที่ผ่านมา ยอมรับว่า มีจำนวนผู้เอาประกันภัยร้องเรียนไม่ได้รับความเป็นธรรมต่อบริษัทประกันน้อยลง ยกเว้นบริษัทประกันที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ก็มีการร้องเรียนเข้ามาแบบซ้ำซาก แต่ทางกรมการประกันภัยได้มีการติดตามแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพื่อลดความเดือดร้อนผู้เอาประกันภัยได้อยู่แล้ว นางจันทรา กล่าว
http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/1 ... wsid=83530
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news11/07/07

โพสต์ที่ 26

โพสต์

เมืองไทยประกันภัยออก'เมืองไทย5พลัส' ลงสนามประกันภัยรถยนต์
11 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 10:53:00
เมืองไทยประกันภัยคลอดกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 5 เมืองไทย 5 พลัส ภายใต้แนวคิดคุ้มครองง่ายแค่กะพริบตา ชูจุดเด่นที่เหนือกว่าประกันรถ ชั้น 3


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่คำนึงถึงความคุ้มครองที่หลากหลายและราคาที่ย่อมเยาว์เป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้บริษัทฯจึงได้สร้างสรรค์แบบประกันรถยนต์ใหม่ ภายใต้ชื่อ เมืองไทย 5 พลัส ด้วยการพัฒนาจากแบบประกันรถ ชั้น 3 โดยเพิ่มความคุ้มครองในส่วนของค่าซ่อมรถผู้เอาประกัน , ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล และค่ารักษาพยาบาล อีกทั้งยังเสนอทางเลือกให้กับลูกค้าผู้เอาประกันถึง 2 แบบแผน คือ เบี้ยประกันเริ่มต้นเพียง 6,800 บาท และ 7,800 บาท

ในส่วนของรายละเอียดของกรมธรรม์ใหม่ เมืองไทย 5 พลัส บริษัทฯได้ออกแบบทางเลือก ให้ลูกค้าสามารถเลือกความคุ้มครอง และราคาที่เหมาะสม ถึง 2 แบบแผน คือ แบบแผนที่ 1 อัตราเบี้ยประกันเพียง 6,800 บาท สำหรับรถทุกประเภทโดยไม่ต้องตรวจสภาพรถ (ยกเว้นรถที่มีอายุเกิน 15 ปี) ด้วยความคุ้มครองวงเงินซ่อมรถผู้เอาประกันภัยสูงถึง 100,000 บาท และความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต ร่างกายบุคคลภายนอก วงเงิน500,000 บาท/คน รวมไปถึงความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก วงเงิน100,000 บาท/ครั้ง พร้อมเพิ่มความคุ้มครองประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล วงเงินสูงสุด 100,000 บาท / คน อีกทั้งความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล วงเงินสูงสุด 50,000 บาท/ คน

สำหรับแบบแผนที่ 2 ด้วยอัตราเบี้ยประกันเพียง 7,800 บาท สำหรับรถทุกประเภทโดยไม่ต้องตรวจสภาพรถ (ยกเว้นรถที่มีอายุเกิน 15 ปี) ด้วยความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต ร่างกายบุคคลภายนอก วงเงิน 1,000,000 บาท/คน รวมไปถึงความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก วงเงิน 1,000,000 บาท/ครั้ง พร้อมเพิ่มความคุ้มครองซ่อมรถผู้เอาประกันวงเงินสูงถึง 150,000 บาท/ครั้ง และความคุ้มครองประกันภัยอุบัติเหตุ

ส่วนบุคคล วงเงินสูงสุด 100,000 บาท/คนอีกทั้งความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล วงเงินสูงสุด 50,00 บาท/

คน ทั้งนี้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิดโดยความประมาท ผู้เอาประกันภัยจำเป็นต้องชำระค่าเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท / ครั้ง


ปัจจุบันการแข่งขันในตลาดประกันภัยรถยนต์บ้านเราเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากการที่บริษัทประกันแต่ละค่ายต่างพากันออกกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อมามัดใจลูกค้า ด้วยเหตุนี้บริษัทฯจึงได้ออก เมืองไทย 5 พลัส มาสนองความต้องการของลูกค้าผู้เอาประกัน โดยจุดเด่นของเมืองไทย 5 พลัส นั้นเน้นความรวดเร็ว สะดวกและง่ายดาย ด้วยการเพิ่มช่องทางการชำระเบี้ยผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารชั้นนำ ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงไทย ซึ่งผู้เอาประกันภัยก็จะได้รับความคุ้มครองทันที!! ซึ่งเปรียบเสมือนการกะพริบตาของคนเรา ดังนั้นจึงเป็นที่มาของแนวคิดเมืองไทย 5 พลัส คือ คุ้มครองง่ายแค่กะพริบตา นางนวลพรรณ กล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพทั้งทางด้านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ รวมไปถึงการพัฒนาศักยภาพด้านการบริการแก่ลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจ สูงสุด และสำหรับลูกค้าท่านใดที่สนใจในแบบประกัน เมืองไทย 5 พลัส สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานตัวแทนของบริษัทฯทั่วประเทศ หรือโทรสอบถามได้ที่ Call Center 1484
http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/1 ... wsid=83427
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news13/07/07

โพสต์ที่ 27

โพสต์

คลอดประกันอัคคีภัยชุมชนแออัดวันละ1บาท  

โดย ข่าวสด
วัน ศุกร์ ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 09:51 น.

นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า กรมการประกันภัยและสมาคมประกันวินาศภัย เห็นชอบร่วมกันที่จะหาทางลดผลกระทบให้กับพี่น้องประชาชนในแหล่งชุมชนแออัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะแหล่งชุมชนในเขตกรุงเทพฯ ที่มีอยู่หลายชุมชนและหลายครอบครัวเป็นจำนวนมาก และไม่สามารถจะซื้อการคุ้มครองประกันภัยรูปแบบต่างๆ ได้มากนัก ซึ่งจากสถิติการเกิดเหตุเพลิงไหม้ในแหล่งชุมชนแออัดปีละ 22 ครั้ง แต่ละครั้งผู้ที่อยู่อาศัยไม่สามารถที่จะเรียกร้องการคุ้มครองใดๆ โดยต้องรอการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐบาล

ทั้งนี้ กรมการประกันภัยจะให้บริษัทประกันวินาศภัยต่างๆ เปิดจำหน่ายกรมธรรม์อัคคีภัยชุมชนขึ้นมา โดยจ่ายเบี้ยประกันภัยวันละ 1 บาท หรือปีละ 365 บาท ซึ่งจะให้การคุ้มครองความเสียหายหากเกิดเหตุเพลิงไหม้หลังละ 20,000 บาท เป็นต้น ซึ่งแนวทางดังกล่าว ไม่ได้ปิดกั้นหากผู้อยู่อาศัยในแหล่งชุมชนมีกำลังซื้อ และสามารถจ่ายเบี้ยประกันภัยที่สูงกว่านี้ได้ก็สามารถซื้อประกันคุ้มครองความเสียหายดังกล่าวได้ด้วยเช่นกัน คาดว่าจะเปิดจำหน่ายกรมธรรม์อัคคีภัยชุมชนแออัดได้ประมาณเดือนส.ค.นี้

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะประสานไปยังกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอตัวเลขความชัดเจนแหล่งชุมชนแออัดทั้งในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีจำนวนผู้อยู่อาศัยที่แท้จริงจำนวนมากน้อยแค่ไหน เพื่อทำการประชาสัมพันธ์ชี้แจงถึงโครงการดังกล่าว แต่กรมธรรม์นี้จะไม่รวมถึงโครงการบ้านเอื้ออาทร เพราะเห็นว่าผู้อยู่อาศัยในบ้านเอื้ออาทรพอมีกำลังซื้อ และการคุ้มครองอัคคีภัยในโครงการมีอยู่แล้ว
http://news.sanook.com/economic/economic_156224.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news13/07/07

โพสต์ที่ 28

โพสต์

ประกันขอหดเงินสมทบ
โพสต์ทูเดย์ ผู้ประกอบการธุรกิจประกันภัยดิ้นเฮือกสุดท้ายขอส่งเงินสมทบเข้าสำนักงาน คปภ. สูงสุด 0.1% จาก 0.5% ในชั้นคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่างกฎหมาย


นายพิชา สิริโยธิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า สมาคมประกันชีวิตไทยจะขอแก้ไข ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย พ.ศ. ... (คปภ.) ว่าด้วยเรื่องอัตราเงินสมทบที่บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันภัยต้องสมทบเข้าสำนักงาน คปภ. ที่กำหนดสูงสุดไว้ที่ 0.5% ของเบี้ยประกันภัยที่บริษัทรับจากผู้เอาประกัน เป็นกำหนดอัตราสูงสุดไว้ที่ 0.1% ในขั้นตอนการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวของคณะกรรมาธิการวิสามัญ

ทั้งนี้ จากการศึกษาค่าใช้จ่ายของสำนักงาน คปภ. เมื่อเทียบกับเงินสมทบของสายงานวิจัยและวางแผน บริษัท ไทยประกันชีวิต พบว่า ระดับสูงสุด 0.1% เพียงพอต่อการใช้จ่ายของสำนักงาน คปภ. และเมื่อสิ้นปีบัญชียังมีเงินเหลือ โดยปีแรกที่เปลี่ยนจาก กรมการประกันภัยเป็นสำนักงาน คปภ. หลังหักค่าใช้จ่ายประจำปีแล้วจะมีส่วนต่างเหลือ 167 ล้านบาท สามารถนำไปหาผลตอบแทนเพิ่มเติมได้ และส่วนต่างจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ทางสมาคมประกันชีวิตไทยเคยทำหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์และกรมการประกันภัย ในฐานะเจ้าของเรื่อง เพื่อให้แก้ไขอัตราส่งเงินสมทบสูงสุดเป็น 0.1% จาก 0.5% แต่ไม่ได้รับการแก้ไข เพียงแต่ระบุชัดว่าใน ช่วงแรกที่แยกกรมการประกันภัยเป็นสำนักงาน คปภ. จะเก็บเงินสมทบที่ 0.35% นายพิชา กล่าว
แหล่งข่าวจากบริษัทประกันชีวิต เปิดเผยว่า การกำหนดอัตราสูงสุด ที่ 0.5% สูงเกินไปจะเป็นช่องโหว่ให้สำนักงาน คปภ. เพิ่มสัดส่วนการเรียกเก็บเงินสมทบเมื่อไหร่ก็ได้ และอาจทำให้เกิดการใช้จ่ายที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะถ้าค่าใช้จ่ายไม่พอก็สามารถเพิ่มอัตราเงินสมทบจากภาคเอกชนได้ตลอดเวลา ซึ่งไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค เพราะเงินที่ส่งสมทบสำนักงาน คปภ. เก็บจากเบี้ยประกันลูกค้า
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดี กรมการประกันภัย กล่าวว่า จากการออกแบบสอบถามความสมัครใจของข้าราชการที่จะไปอยู่สำนักงาน คปภ. ครั้งล่าสุด พบว่ามีผู้ที่จะไปสูง ถึง 95%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=178404
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news14/07/07

โพสต์ที่ 29

โพสต์

2 ยักษ์ฟินันซ่า-สัมพันธ์กอดคอรอด [ ฉบับที่ 810 ประจำวันที่ 14-7-2007 ถึง 17-7-2007]  
อาคารอิตัลไทยทาวเวอร์ - ฟินันซ่าย้ำหากชวดเลห์แมน บราเดอร์สยังมีทุนนอกอีก 3-4 รายรุมตอม เป็นค่ายประกันชีวิตแถบเอเชียทั้งหมด ลั่นไม่เกินสิ้นเดือนนี้รู้โฉมแน่ใครตัวจริง ยอมรับเงินกองทุนขาดเรื้อรังกระทบความเชื่อมั่นผู้บริโภค เบี้ยหดเพราะลูกค้าซบค่ายอื่น วงในกังขาเลห์แมนฯซื้อจริง เหตุเป็นพวกชอบซื้อมา-ขายไปเพื่อทำกำไร ส่วนสัมพันธ์ฯ อัลไดเซลอุ้มจริงพร้อมเติมกว่า 1,200 ล้านบาท ผู้บริหารสัมพันธ์เปิดเวทีแจ้ง ข่าวดีพนักงาน-ตัวแทน สร้างกำลังใจได้ทุน ใหม่แล้ว ไปรอดแน่ ตะลึง! บริบูรณ์ ออก

ภายหลังนางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดี กรมการประกันภัย สั่งให้ผู้บริหารบริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด พร้อมด้วยกลุ่มทุนใหม่ที่แสดงความสนใจจะเข้าลงทุนในบริษัทคือบริษัท เลห์แมน บราเดอร์ส วาณิช ธนกิจ เข้าพบเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมาเพื่อหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาฐานะการเงินของฟินันซ่าประกันชีวิตที่ขาดเงินกองทุนกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารอท่าไว้แล้วจำนวน 500 ล้านบาท

ซึ่งบทสรุปในวันนั้นทางตัวแทนเลห์แมน บราเดอร์ส ยืนยันถึงความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในฟินันซ่าประกันชีวิต โดยจะเสนอแผนเพิ่มทุนและแก้ปัญหาฐานะเงินกองทุนที่ต่ำกว่ากฎหมายกำหนดกว่า 400 ล้านบาท ภายในสัปดาห์หน้านี้

อย่างไรก็ดี นอกจากเลห์แมน บราเดอร์สแล้ว ยังมีนักลงทุนจากต่างประเทศอีก 3-4 รายที่สนใจจะเข้าร่วมลงทุนในฟินันซ่าประกันชีวิตเช่นกัน โดยนายรณพิทย์ หัสดินทร ณ อยุธยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยิสยามธุรกิจิว่า นักลงทุน 3-4 รายตามที่กรมการประกันภัยบอกเป็นบริษัทประกันชีวิตแถบเอเชียทั้งหมดแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็นบริษัทอะไรและมาจากประเทศไหน

ตอนนี้บริษัทกำลังดูอยู่ว่าจะดิวกับบริษัทไหนเพราะมีหลายรายสนใจจะร่วมทุนกับเรา และไม่รู้ว่าดีลที่กำลังคุยกันอยู่ทั้ง 3-4 รายเป็นการขายทั้งหมดหรือแค่เข้ามาร่วมลงทุนถือหุ้นด้วย ผมยังไม่รู้ลึกขนาดนั้น แต่ที่แน่ๆจะเข้ามาถือหุ้นตามกฎหมายกำหนดคือไม่เกิน 25% และเบื้องต้นจะเอาเข้ามาก่อน 500 ล้านบาทตามที่มีปัญหานอกจากนั้นแล้วแต่บริษัทจะมีแผนอย่างไร ็

นายจักรทิพย์กล่าวว่า จริงๆ แล้วบริษัทขาดเงินกองทุนประมาณ 400 กว่าล้านบาทเท่านั้น แต่สภาพคล่องไม่ขาด แยกเป็นคนละส่วนกัน สาเหตุที่เงินกองทุนขาดเงินกองทุนเพราะส่วนหนึ่งไปปรับปรุงออฟฟิศใหม่ อีกส่วนหนึ่งไปลงทุนในหุ้น แล้วหุ้นตกทำให้ขาดทุน โดยเงินลงทุน 2 ส่วนนี้ทางกรมการประกันภัยไม่ประเมินเป็นทรัพย์สินให้ทำให้เงินกองทุนขาด แต่สภาพคล่องมีพอเพีนยง

อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าการขาดเงินกองทุนเป็นเวลานานๆ ไม่ดีกระทบความเชื่อมั่นต่อลูกค้า ทำให้เบี้ยที่เข้ามายังบริษัทลดลงไปด้วยเนื่องจากลูกค้าไม่ซื้อประกันกับบริษัท ดังนั้นหากยังไม่รีบแก้ไขจะส่งผลกระทบมากกว่านี้ โดยคาดว่าดีลทั้งหมดน่าจะปิดได้ไม่น่าเกินสิ้นเดือนนี้ซึ่งเมื่อถึงตอนนี้จะรู้ว่าใครเป็นผู้ร่วมทุนและลงทุนเท่าไร

แหล่งข่าวจากวงการประกันภัยกล่าวว่า หากเลห์แมน บราเดอร์สจะใส่เงินลงทุนเข้ามาแค่ 500 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 19% เท่านั้นเมื่อคำนวณจากทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้วในปัจจุบันจำนวน 2,100 ล้านบาทยังไม่ถึงเพดานที่กฎหมายกำหนดให้ด้วยซ้ำจึงยังไม่แน่ใจว่าเลห์แมน บราเดอร์สจะเข้ามาลงทุนจริงหรือไม่ยิ่งถ้าเข้ามาลงทุนแล้วไม่ได้อำนาจบริหารจัดการยิ่งเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งหากเทียบการลงทุนปกติในลักษณะซื้อหุ้นใหญ่เพื่อได้อำนาจการบริหารจัดการทุนใหม่จะต้องให้ผู้ถือหุ้นเดิมลดมูลค่าหุ้นลงก่อนเพื่อล้างขาดทุนสะสมทุนก่อนที่ทุนใหม่จะเข้ามาลงทุน

เลห์แมน บราเดอร์สเป็นวาณิชธนกิจชั้นนำของโลกเขาจะชำนาญเรื่องการซื้อมาแล้วขายไปมากกว่าเอาทรัพย์สินที่ซื้อมามาแต่งตัวใหม่เพื่อปั่นขายทำกำไร โดยราคาซื้อขายจะขึ้นอยู่กับพอร์ตงานของบริษัทที่จะขายเป็นหลัก เช่น ถ้ามีลูกค้าประกันชีวิตกรมธรรม์ยาวๆ นอนกินเบี้ยสบายพอร์ตแบบนี้น่าสนใจ แต่ถ้ามีงานที่เป็นประกันชีวิตกลุ่มเยอะเป็นเบี้ยสั้นแบบนี้ไม่น่าสนใจ ที่สำคัญยังไม่เคยเห็นเลห์แมน บราเดอร์สบริหารบริษัทประกันชีวิตที่ใดในโลกมาก่อนจึงยังไม่แน่ใจจะเข้ามาลงทุนจริงหรือิ

สำหรับงบดุลฟินันซ่าประกันชีวิต ณ วันที่ 31 ธันวาคมปี 2548 ตามข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีสินทรัพย์ทั้งสิ้น 5,383 ล้านบาท หนี้สิน 5,160 ล้านบาท ทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 2,100 ล้านบาท แต่มีผลขาดทุนจากการลงทุน 252 ล้านบาท ส่งผลให้มียอดขาดทุนสะสมทั้งสิ้น 1,796 ล้านบาท มีผู้ถือหุ้นทั้งสิ้น 36 ราย โดยมีบริษัทเอฟ แอนด์ วีอัลลายแอนซ์ จำกัดเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดสัดส่วน 59.07% รองลงมาคือบริษัท เอช ที แคปปิตอล จำกัด 20.82% บริษัท ฟินันซ่า จำกัด(มหาชน) 10% เท่ากับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด

ส่วนกรณีบริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัดล่าสุดทางบริษัท อัลไดเซลจากประเทศกาตาร์ยืนยันจะเข้ามาร่วมทุนแน่นอนโดยจะนำเงินเข้ามาลงทุนประมาณ 26.5 ล้านสหรัฐฯหรือประมาณ 901 ล้านบาทเพื่อซื้อหุ้นสัดส่วนไม่เกิน 25% ตามกฎหมายและจะให้เงินกู้สัมพันธ์ประกันภัยอีก 10 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 340 ล้านบาทรวมทั้งสิ้น 1,241 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาเงินกองทุนขาดและเสริมสภาพคล่องโดยจะเร่งดำเนินการให้เสร็จภายในวันที่ 9-16 กรกฎาคมนี้

แหล่งข่าวจากสัมพันธ์ประกันภัย เปิดเผยิสยามธุรกิจิว่า เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา 1 วันหลังผู้บริหารสัมพันธ์ประกันภัยและทุนใหม่จัดส่งแผนธุรกิจให้กับกรมการประกันภัย ทางผู้บริหารสัมพันธ์ประกันภัยได้เรียกประชุมด่วนพนักงานและตัวแทนระดับผู้บริหารทั่วประเทศเพื่อทำความเข้าใจกับพนักงานและตัวแทนหลังอยู่ในภาวะระส่ำระสายมาระยะหนึ่งเนื่องจากไม่แน่ใจในอนาคตบริษัทโดยให้ความมั่นใจว่าบริษัทไปรอดแน่เนื่องจากมีผู้ร่วมทุนรายใหม่เข้ามาแล้วและจะเร่งเคลียร์เรื่องการร่วมทุนให้แล้วเสร็จภาย  
http://www.siamturakij.com/home/index.html
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news16/07/07

โพสต์ที่ 30

โพสต์

2ประกันยักษ์ข้ามชาติค้านองค์กรอิสระรีดค่าต๋งผู้บริโภค - 16/7/2550

หลังจากบรรดาผู้ประกอบการบริษัทประกันชีวิตคนไทยออกโรงมาคัดค้านร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัยพ.ศ........ที่แยกกรมการประกันภัยออกมาจัดตั้งเป็นองค์กรประกันภัยอิสระหรือคปภ. โดยพุ่งเป้าไปที่กรมการประกันภัยเขียนไว้ในร่างกฎหมายจะเรียกเก็บเงินสมทบจากภาคเอกชนในอัตราไม่เกิน 0.5% โดยเบื้องต้นได้ระบุตัวเลขอาจจะจัดเก็บไม่เกิน 0.35% ซึ่งภาคเอกชนได้เสนอความเห็นผ่านเป็นมติของสมาคมประกันชีวิตไทยไปถึงนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเห็นควรจะเก็บไม่เกิน 0.05% หรือ 0.1% ก็จะทำให้ภาคธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบกระทั่งต้องไปขึ้นค่าเบี้ยประกันกับผู้เอาประกันอีกทางหนึ่งนั้น

ล่าสุด 2ผู้ประกอบการบริษัทประกันชีวิตข้ามชาติได้ออกมาจัดเปิดตัวแถลงข่าวคัดค้านในประเด็นนี้แล้วเช่นกัน ซึ่งประกอบด้วยนายซี.โดนอลด์ คาร์ดิน กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) หรือ SCNYL และนายวิลฟ์ แบล็กเบิร์น กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทอยุธยาอลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต จำกัด(เอเอซีพี) ส่วนมุมมองแต่ละคนมององค์กรประกันภัยอิสระหรือคปภ.อย่างไรลองมาฟังกัน

นายวิลฟ์ แบล็กเบิรน์ บิ๊กบอสใหญ่ที่กลุ่มประกันยักษ์อลิอันซ์ได้ส่งตัวเข้ามาทำหน้าที่มือบริหารในเมืองไทย กล่าวสนับสนุนว่า ในฐานะผู้ลงทุนต่างชาติ กลุ่มเองก็พร้อมปฎิบัติตามกฎกติกาของภาครัฐ และคิดว่า ทางกรมการประกันภัยหากแยกไปจัดตั้งองค์กรอสิระ ก็คงสามารถสนับสนุนภาคธุรกิจได้ดีเช่นอยู่กระทรวงพาณิชย์ แต่ปัญหาก็คือ ร่างกฎหมายดังกล่าวกลับให้บริษัทประกันชีวิตในฐานะผู้จ่ายภาษีคือผู้สนับสนุน ซึ่งตนเองไม่เห็นด้วย เพราะประเทศต่างๆทั่วโลกก็ใช้ระบบนำภาษีที่ประชาชนจ่ายให้กับภาครัฐนำมาสนับสนุนการจัดตั้งองค์กรอิสระ หรือหน่วยงานที่รัฐต้องการจะตั้งขึ้นกันทั้งนั้น

ทั้งนี้หากองค์กรอิสระเรียกเก็บจากบริษัทประกันชีวิตแล้ว ปัญหาก็จะเกิดตามมาคือ ใครเป็นคนจ่าย ซึ่งท้ายสุดก็หนีไม่พ้นผู้บริโภคซื้อสินค้าแพงขึ้น และตนก็คิดว่า ผู้บริโภคเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบเท่านั้นเอง เพราะผู้ถือหุ้นหรือตัวแทนขายประกันชีวิตก็ยังเข้มแข็งอยู่ ในที่สุดคนที่ได้รับผลกระทบคือผู้บริโภคนั่นเอง ดังนั้นเราต้องมาคิดว่า มันมีเหตุผลเพียงพอไหมที่จะผลักภาระจากผู้ที่จ่ายภาษีเฉลี่ยๆทั่วไปไปยังผู้บริโภค อีกทั้งตนเองยังคิดว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่สอดคล้องกับรัฐบาล ที่จะสนับสนุนให้ผู้บริโภคเพิ่มการออมผ่านการซื้อประกันชีวิต ซึ่งจุดนี้คิดว่า รัฐบาลน่าจะคำนึงมากกว่าที่เราจะต้องจ่ายเงินสมทบเท่าไหร่
และสมมุติว่า กรมการประกันภัยตัดสินใจแล้วว่าจะให้ภาคธุรกิจเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงิน เขาก็น่าจะคิดว่า ควรขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายอย่างที่เราว่าก็คือ ตาม Business Plan ของเขามากกว่า และยิ่งถ้ามันต่ำเท่าไหร่ ธุรกิจก็มีความสามารถที่จะจ่าย แต่จุดนี้ก็เป็นภาระหนักสำหรับบริษัทประกันชีวิตขนาดเล็ก และจะทำให้บริษัทที่จะเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไม่อยากเข้ามาได้

นายวิลฟ์ ยังกลับมองว่า ถ้าเขาเป็นรัฐบาล เขาอยากจะสนับสนุนให้มีอัตราการถือกรมธรรม์ประกันชีวิตสูงขึ้น โดยการที่รัฐบาลให้สิทธิหักลดหย่อนภาษีต่อผู้เอาประกันเพิ่มขึ้นไปอีก แทนที่จะใช้วิธีเก็บเงินสมทบวิธีนี้ ซึ่งรัฐบาลไม่ควรหารายได้ของตัวเองด้วยการเก็บเงินสมทบโดยตรง แต่ควรที่จะให้ผ่านการให้ผลประโยชน์ทางด้านการลดหย่อนภาษีผู้เอาประกัน เพื่อทำให้บริษัทประกันชีวิตมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลก็จะได้เก็บภาษีเพิ่มขึ้นตามมา

จริงๆแล้วคนทั่วโลกจะใช้เงินปัจจุบันมากกว่าที่จะเก็บไว้ใช้อนาคต ดังนั้นคนเราทุกคนต้องมีแรงจูงใจ ซึ่งจะทำให้ประชาชนเซฟหรือออมเงินสำหรับอนาคต โดยทั่วโลกมันขึ้นอยู่กับแรงจูงใจทางด้านภาษีเนี่ย ซึ่งจะทำให้สินค้าเหล่านี้เจริญเติบโตขึ้น และส่วนใหญ่ทุกรัฐบาลก็เห็นว่า มันเป็นสิ่งที่ดีที่จะสนับสนุนให้ประชาชนเริ่มต้นออมเงินสำหรับอนาคต เพราะว่า มันจะเป็นการลดภาระรัฐบาลไปกับการเสียค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลประชาชนในแต่ละปีมหาศาลไปอีกทางด้วย

สำหรับทรรศนะของนายวิลฟ์ มองแล้วว่าอัตราการจ่ายเงินสมทบในอัตรา 0.05% ที่สมาคมประกันชีวิตไทยเสนอนั้นก็ยังถือว่าสูงอยู่ เพราะว่าจริงๆแล้วบริษัทต้องจ่ายภาษีธุรกิจปีหนึ่งๆ ตก 30% ซึ่งตัวเลขอัตราจัดเก็บเงินสมทบ 0.05% ถือว่าน่าจะกระทบต่อต้นทุนธุรกิจ มันคงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบริษัท ถ้าเป็นอัตรา 0.05% บางบริษัทที่มีผลกำไรอยู่บ้างแล้วนั้นอาจจะตัดสินใจรับภาระเอง อย่างเช่นบริษัทเอเอซีพีหรือบริษัทนิวยอร์คไลฟ์ฯอาจจะแบกภาระนี้ไว้เองได้ โดยคิดว่าคงจะไม่ขึ้นราคาค่าเบี้ยประกันเอากับลูกค้า แต่ไม่ทราบว่า บริษัทเล็กๆจะแบกภาระไว้ได้หรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังเชื่อว่า เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป ภาระอันนี้จะต้องถูกผลักไปสู่ประชาชนแน่ๆ ถ้าในกรณีบริษัทที่ยังไม่สามารถทำกำไร

ขณะที่นายซี.โดนอลด์ คาร์ดีน ดาวรุ่งมาแรงในฐานะมือบริหารอาชีพที่นิวยอรค์ไลฟ์ส่งมาประจำการที่เมืองไทย ให้ความเห็นทำนองเดียวกันว่า เห็นด้วยกับแผนการมีองค์กรอิสระเป็นเรื่องดี เนื่องจากธุรกิจประกันชีวิตเจริญเติบโตเปลี่ยนแปลงมากในปัจจุบัน ดังนั้นการมีองค์กรอิสระจะทำให้หน่วยงานควบคุมกำกับดูแลสามารถเข้ามาดูแลได้อย่างละเอียดลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น และความสะดวกอีกอย่างหนึ่งคือ การมีองค์กรอิสระจะทำให้บริษัทหลายๆบริษัทอย่างเช่น นิวยอรค์ไลฟ์ฯสามารถแนะนำสินค้าตัวใหม่ๆที่มีคุณสมบัติแปลกๆได้รับอนุมัติเร็วขึ้น เพราะว่าหน่วยงานใหม่จะมีหน่วยงานย่อยที่ดูแลเรื่องอย่างนี้เฉพาะ ทำให้มีการพิจารณารวดเร็วขึ้น รวมถึงเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆก็เหมือนกัน อาจจะมีการยืดหยุ่นและมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น ได้ผ่านองค์กรอิสระนี้ ซึ่งดีกว่าอยู่ภายใต้รัฐบาล

หลายๆประเทศทุกวันนี้ก็มี เช่นในสหรัฐฯที่มีการปกครองแบ่งแยกเป็นรัฐต่างๆ แต่ละรัฐก็จะมีองค์กรอิสระอย่างนี้ทุกรัฐ แต่ปัญหาก็คือ ใครจะเป็นคนจ่ายเงิน และส่วนหนึ่งรายได้สนับสนุนหน่วยงานนี้ ประเทศต่างๆคล้ายกัน จะเอาเงินจากภาษีที่บริษัทประกันภัยจ่ายทุกปีอยู่แล้วมาจัดตั้งองค์กรอิสระ เหมือนกับประชาชนธรรมดาที่จ่ายภาษี เราก็ได้ใช้ผลประโยชน์จากรัฐบาลสร้างถนนหนทาง หรือสิ่งอำนวยความสะดวกให้เราใช้ และทางบริษัทก็จ่ายภาษี แต่ในต่างประเทศเขาจะเจียดเงินโดยเฉพาะเลย เพื่อนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยงานองค์กรอิสระกำกับดูแลธุรกิจนั้นๆ

นายซี โดนอลด์ คาร์ดีน กล่าวอีกว่า สำหรับตัวเลขอัตราเงินสมทบ 0.5% ที่กำหนดไว้ในกฎหมายก็ดี หรืออัตรา 0.35% ตามที่อธิบดีกรมการประกันภัยระบุว่าอาจจะเก็บในเบื้องต้นนั้น ถือเป็นตัวเลขที่สูงเกินไปกว่าที่บริษัทจะจ่ายได้ เพราะว่าบริษัทประกันชีวิตทั้งหมดได้กำไรเป็นตัวเลขหลักเดียว ไม่เหมือนบริษัทที่ขายสินค้าบริโภคอุปโภคที่อาจจะมีกำไร 20% 50% หรือ 70% ซึ่งหากกรมการประกันภัยจะเรียกเก็บ 0.5% หรือ 0.35% ก็จะเป็นภาระขนาดใหญ่ต่อบริษัท และในที่สุดบริษัทก็ไม่มีทางเลือกอื่น ที่จะผลักภาระนี้ไปให้ผู้บริโภค อีกทั้งในทรรศนะของตนเองแล้วก็คิดว่าอัตรานี้ยังสูงอยู่ เพราะว่าจริงๆแล้วบริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายภาษีธุรกิจปีหนึ่งสูงถึง 30% และหากจะต้องขึ้นเบี้ยประกันสูงขึ้นอีก มันก็ย่อมยากยิ่งขึ้นที่จะทำตลาดเติบโต

ทางที่ดีธุรกิจอยากให้รัฐบาลสร้างบรรยากาศให้ธุรกิจสามารถเติบโตน่าจะดีกว่า เพราะจะสามารถทำให้บริษัทจ่ายภาษีให้รัฐบาลมากยิ่งขึ้นตามมา อย่างเช่นสมาคมประกันชีวิตไทยที่ได้ทำมาเป็นปีแล้วที่จะขอเพิ่มหักลดหย่อนภาษีให้ผู้เอาประกันจากปัจจุบัน 1 แสนบาทเป็น 3 แสนบาท อันนี้จะทำให้ตัวแทนมีแรงจูงที่จะขายสินค้าและทำให้บริษัทมีผลกำไร และจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น

เมื่อถามว่า ทางผู้ประกอบการจะยังมีช่องทางเจรจาในเรื่องนี้ได้หรือไม่ นายซี โดนอลด์ คาร์ดีน กล่าวให้ความเห็นว่า จริงๆแล้วยังไม่มีข้อสรุป ดังนั้นก็คิดว่า ยังมีช่องทางในการเจรจาได้อยู่ในขณะนี้ ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่รู้เหตุผลจะรีบสรุปไปทำไม ทางออกที่ดีควรตั้งคณะกรรมการร่วมกันขึ้นมา และพิจารณาว่า จะทำอย่างไรกันดี โดยไม่ต้องไปรีบร้อนขนาดนี้ เพราะตอนนี้กรมการประกันภัยก็ทำอะไรกันได้อยู่แล้ว คือจะทำวันนี้หรือปีหน้าก็เหมือนกัน แม้กฎหมายจะเข้าสภาฯไปแล้ว และกำลังจะออกมาเป็นกฎหมายก็ตาม แต่ตราบใดยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย ภาคธุรกิจก็ยังถือว่าสามารถที่จะเจรจากันได้อีก

นี่คงเป็นมุมมองของผู้ประกอบการบริษัทประกันชีวิตข้ามชาติทางซีกโลกยุโรปตะวันตกที่อดรนทนไม่ไหวออกมาคัดค้านเรื่องนี้ ซึ่งเชื่อว่าในเร็ววันนี้ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตข้ามชาติอย่างเกาหลี ญี่ปุ่น และหลายต่อหลายชาติทยอยออกมาเรียกร้องในเรื่องนี้เป็นระลอกแน่ ซึ่งบทสรุปของเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร เราคงจะต้องติดตามกันดู
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=177495
โพสต์โพสต์