อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ ใครคิดจากอะไรคะ
-
- Verified User
- โพสต์: 4
- ผู้ติดตาม: 0
อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ ใครคิดจากอะไรคะ
โพสต์ที่ 1
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาหนูยังมีข้อข้องใจเล็กน้อย เกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนที่แต่ละคนต้องการค่ะ (Require Rate of Return )
อยากถามว่าพี่ๆแต่ละคน มีเกณฑ์ในการตั้งผลตอบแทนที่ต้องการยังไงคะ
พี่คนนึงบอกว่า ของเค้าเอาซัก 15% ก็พอใจแล้ว
พี่มนฯบอกว่า ของพี่เค้าใช้ ROE เลย
คือหนูอยากทราบว่าแต่ละคนมีหลักในการตั้งอัตราผลตอบแทนที่ต้องการยังไงบ้างคะ ปรับกันยังไงบ้าง
เพราะบางครั้งมันมีขึ้นมีลง
อยากถามว่าพี่ๆแต่ละคน มีเกณฑ์ในการตั้งผลตอบแทนที่ต้องการยังไงคะ
พี่คนนึงบอกว่า ของเค้าเอาซัก 15% ก็พอใจแล้ว
พี่มนฯบอกว่า ของพี่เค้าใช้ ROE เลย
คือหนูอยากทราบว่าแต่ละคนมีหลักในการตั้งอัตราผลตอบแทนที่ต้องการยังไงบ้างคะ ปรับกันยังไงบ้าง
เพราะบางครั้งมันมีขึ้นมีลง
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 182
อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ ใครคิดจากอะไรคะ
โพสต์ที่ 2
วันนี้อ่านกรุงเทพธุรกิจมาเห็นว่าเกี่ยวข้องเลยเอามาฝาก
โดยคุณ สุวภา ยิ่งเจริญ
"DCF มาจาก Discounted Cashflow หรือการคิดจากส่วนลดกระแสเงินสด
วิธีการนี้มาจากการคิดราคาที่มองเรื่องกระแสเงินสดเป็นสำคัญ เพราะ cash is king ไงคะ เป็นการำนหลักวิธีมาคิด
ที่มองว่ากิจการมีกระแสเงินสดรับในแต่ละปีเท่าไหร่ โดยอิงสมมติฐานจากสัญญาซื้อขาย และการคาดการณ์ อาจจะเป็นระนะเวลา 5 ปี 10 ปี หรือจะนานกว่านั้นก็ได้ แต่มักไม่ค่อยมีผล เพราะเมื่อได้กระแสเงินสดมาก็ต้องนำอตราส่วนที่ต้องการในการลงทุน เช่น 10-15% มาคิดเป็นส่วนลดโดยหากลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบันหรือที่เรียกว่าหา Present Value
ถ้าคิดว่าอัตราที่ต้องการคือ 15% เงินสดรับหลังปีที่ 7 จริงๆก็จะมีผลน้อยมากจึงนิยมดูที่ Cash Flow ประมาณ 10 ปีและหากลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน"
โดยคุณ สุวภา ยิ่งเจริญ
"DCF มาจาก Discounted Cashflow หรือการคิดจากส่วนลดกระแสเงินสด
วิธีการนี้มาจากการคิดราคาที่มองเรื่องกระแสเงินสดเป็นสำคัญ เพราะ cash is king ไงคะ เป็นการำนหลักวิธีมาคิด
ที่มองว่ากิจการมีกระแสเงินสดรับในแต่ละปีเท่าไหร่ โดยอิงสมมติฐานจากสัญญาซื้อขาย และการคาดการณ์ อาจจะเป็นระนะเวลา 5 ปี 10 ปี หรือจะนานกว่านั้นก็ได้ แต่มักไม่ค่อยมีผล เพราะเมื่อได้กระแสเงินสดมาก็ต้องนำอตราส่วนที่ต้องการในการลงทุน เช่น 10-15% มาคิดเป็นส่วนลดโดยหากลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบันหรือที่เรียกว่าหา Present Value
ถ้าคิดว่าอัตราที่ต้องการคือ 15% เงินสดรับหลังปีที่ 7 จริงๆก็จะมีผลน้อยมากจึงนิยมดูที่ Cash Flow ประมาณ 10 ปีและหากลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน"
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 36
อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ ใครคิดจากอะไรคะ
โพสต์ที่ 3
พูดไปก็ยาวและยากพอสมควร ในเรื่องนี้ ผมขอสรุปเอาแบบง่ายๆ
1 โดยปกติในบริษัทหากจะลงทุนในโครงการใหม่ๆเขาก็ต้องวิเคราะห์โครงการโดยใช้ DCF โดยกำหนด Discount Rateที่ต้นทุนเงินทุน หรือ WACC ของบริษัท หากลงทุนโดยการก่อหนี้ ก็จะมีต้นทุนของหนี้ และต้นทุนของทุน หากลงทุนโดยใช้ทุนก็จะมีเพียงต้นทุนของเงินทุน ต้นทุนเงินกู้หาง่ายคือกู้มามีดอกเบี้ยเท่าไรก็ใช้ตามนั้น แต่ต้นทุนของเงินทุนนี่ซิมันหายาก โดยปกติจะใช้ ROEเป็นตัวกำหนด เพราะมันบ่งบอกถึงว่าที่ผ่านมาบริษัทเอาทุนไปใช้ก่อประโยชน์ได้กี่เปอร์เซ็นต์
2 บางคนถ้าประเมินมูลค่าหุ้นจะใช้ผลตอบแทนจากพันธบัตรชั้นดี เพราะเขากำลังคิดว่าหากไม่ลงทุนในหุ้นแล้วไปลงทุนในพันธบัตร เขาจะได้เท่าไร หากลงทุนในหุ้นเขาต้องได้มากกว่านั้น
3 หากเราวางตัวเองเป็นเจ้าของร่วมของบริษัทเราควรใช้ต้นทุนเงินทุนของบริษัท บริษัทที่ผมถืออยู่มักจะมีหนีน้อยหรือไม่มี ผมจึงใช้ROEเป็นตัวตั้ง สมมุติว่า ปีที่ผ่านมามีROE 20% มีกำไร 10 บาท ปันผล 3 บาท เก็บไว้ลงทุนต่อ 7 บาท แสดงว่า บริษัทมี Pay out Ratio = 1-0.3 = 0.7 เอา0.7 คูณ ROE ที่ 20% จะได้ 14 % ตัวเลขนี้แสดงว่าเงินที่บริษัทเก็บไว้ 7 บาทต่อหุ้น ควรสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 14 % (อาจเรียกได้ว่าควรมี Growth 14%) หากคุณคิดลดที่ROE 20 % คุณจะมีค่าเผื่อ 6 % ถ้าเห็นว่าน้อยไปก็เพิ่มได้ เพื่อเผื่อความเสี่ยงเข้าไปอีก
1 โดยปกติในบริษัทหากจะลงทุนในโครงการใหม่ๆเขาก็ต้องวิเคราะห์โครงการโดยใช้ DCF โดยกำหนด Discount Rateที่ต้นทุนเงินทุน หรือ WACC ของบริษัท หากลงทุนโดยการก่อหนี้ ก็จะมีต้นทุนของหนี้ และต้นทุนของทุน หากลงทุนโดยใช้ทุนก็จะมีเพียงต้นทุนของเงินทุน ต้นทุนเงินกู้หาง่ายคือกู้มามีดอกเบี้ยเท่าไรก็ใช้ตามนั้น แต่ต้นทุนของเงินทุนนี่ซิมันหายาก โดยปกติจะใช้ ROEเป็นตัวกำหนด เพราะมันบ่งบอกถึงว่าที่ผ่านมาบริษัทเอาทุนไปใช้ก่อประโยชน์ได้กี่เปอร์เซ็นต์
2 บางคนถ้าประเมินมูลค่าหุ้นจะใช้ผลตอบแทนจากพันธบัตรชั้นดี เพราะเขากำลังคิดว่าหากไม่ลงทุนในหุ้นแล้วไปลงทุนในพันธบัตร เขาจะได้เท่าไร หากลงทุนในหุ้นเขาต้องได้มากกว่านั้น
3 หากเราวางตัวเองเป็นเจ้าของร่วมของบริษัทเราควรใช้ต้นทุนเงินทุนของบริษัท บริษัทที่ผมถืออยู่มักจะมีหนีน้อยหรือไม่มี ผมจึงใช้ROEเป็นตัวตั้ง สมมุติว่า ปีที่ผ่านมามีROE 20% มีกำไร 10 บาท ปันผล 3 บาท เก็บไว้ลงทุนต่อ 7 บาท แสดงว่า บริษัทมี Pay out Ratio = 1-0.3 = 0.7 เอา0.7 คูณ ROE ที่ 20% จะได้ 14 % ตัวเลขนี้แสดงว่าเงินที่บริษัทเก็บไว้ 7 บาทต่อหุ้น ควรสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 14 % (อาจเรียกได้ว่าควรมี Growth 14%) หากคุณคิดลดที่ROE 20 % คุณจะมีค่าเผื่อ 6 % ถ้าเห็นว่าน้อยไปก็เพิ่มได้ เพื่อเผื่อความเสี่ยงเข้าไปอีก
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 182
อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ ใครคิดจากอะไรคะ
โพสต์ที่ 4
ตัวอย่างที่พี่ยกมา pay out ratio ไม่ใช่ 30% เหรอครับ
แล้วพี่เฮียบอกวันเสาร์ว่า ROE เอามาคิด growth ได้
ผมยังงงๆอยู่เลยครับว่ามันสัมพันธ์กันยังไง
ถ้าตามตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นนี้มันเป็นการ
เอา ROE มาประเมินการเจริญเติบโตที่ควรจะเป็นใช่มั๊ยครับ
ถ้าตามที่ผมเข้าใจ (คิดเอาเองนะครับไม่ได้เอามาจากไหน) ก็คือ
การที่บริษัทมี eps คงที่ทุกปี ไม่ได้หมายถึงว่าบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรคง แต่เหมือนกับเป็นถดถอย
เพราะเมื่อบริษัททำกำไรได้ แล้วกันเงินส่วนนึงไว้ในบริษัท
สมมติกำไร 10 ปันผล 3 แล้วเก็บไว้ 7 บาท
ในปีต่อไปทำให้บริษัทมีเงินทุนมากขึ้นก็ควรที่จะทำกำไรได้เพิ่มในสัดส่วนเดียวกันกับกำไรที่สะสมไว้เป็นอย่างต่ำ
ROE จะบอกเราได้ ในกรณีที่ ROE คงที่ก็คือบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรคงที่ แต่ถ้าบริษัทมี ROE ที่เพิ่มขึ้นคือสามารถทำกำไรต่อเงินลงทุนได้ดีขึ้น หรือก็คือการจัดสรรเงินทุนได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ถ้าผมจะสรุปความเข้าใจของผมเองก็คือ
บริษัทที่มี eps คงที่หมายถึงบริษัทที่กำลังเดินถอยหลัง
บริษัทที่มี ROE คงที่คือบริษัทคงที่ ไม่ได้โตขึ้นจริงๆ
แต่บริษัทที่ดีจะสามารถสร้าง ROE ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ผมเข้าใจได้ถูกรึเปล่าครับ
แล้วพี่เฮียบอกวันเสาร์ว่า ROE เอามาคิด growth ได้
ผมยังงงๆอยู่เลยครับว่ามันสัมพันธ์กันยังไง
ถ้าตามตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นนี้มันเป็นการ
เอา ROE มาประเมินการเจริญเติบโตที่ควรจะเป็นใช่มั๊ยครับ
ถ้าตามที่ผมเข้าใจ (คิดเอาเองนะครับไม่ได้เอามาจากไหน) ก็คือ
การที่บริษัทมี eps คงที่ทุกปี ไม่ได้หมายถึงว่าบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรคง แต่เหมือนกับเป็นถดถอย
เพราะเมื่อบริษัททำกำไรได้ แล้วกันเงินส่วนนึงไว้ในบริษัท
สมมติกำไร 10 ปันผล 3 แล้วเก็บไว้ 7 บาท
ในปีต่อไปทำให้บริษัทมีเงินทุนมากขึ้นก็ควรที่จะทำกำไรได้เพิ่มในสัดส่วนเดียวกันกับกำไรที่สะสมไว้เป็นอย่างต่ำ
ROE จะบอกเราได้ ในกรณีที่ ROE คงที่ก็คือบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรคงที่ แต่ถ้าบริษัทมี ROE ที่เพิ่มขึ้นคือสามารถทำกำไรต่อเงินลงทุนได้ดีขึ้น หรือก็คือการจัดสรรเงินทุนได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ถ้าผมจะสรุปความเข้าใจของผมเองก็คือ
บริษัทที่มี eps คงที่หมายถึงบริษัทที่กำลังเดินถอยหลัง
บริษัทที่มี ROE คงที่คือบริษัทคงที่ ไม่ได้โตขึ้นจริงๆ
แต่บริษัทที่ดีจะสามารถสร้าง ROE ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ผมเข้าใจได้ถูกรึเปล่าครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 98
อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ ใครคิดจากอะไรคะ
โพสต์ที่ 5
ผมมีความสงสัยครับว่าการคำนวณ ROE นั้นเราจะคำนวณอย่างไรครับ
ในส่วนของ R ปัจจุบัน รายการกำไรสุทธินั้นมีรายการแปลกๆเยอะพอสมควรที่ไม่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอจากการดำเนินงานปรกติ เช่น กำไร(ขาดทุน)จากอัตราแลกเปลี่ยน การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ การตั้งค่าเผื่อสินค้าคงคลังเสื่อมราคา กำไรจากการขายสินทรัพย์หรือเงินลงทุน กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ เป็นต้น เราควรปรับรายการกำไรสุทธิที่จะใช้คำนวณหรือไม่ครับ
ส่วน E นั้น รายการสินทรัพย์ของบริษัทต่างๆก็มีมาตรฐานในการบันทึกต่างกัน เช่น
บางบริษัทก็มีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญอย่างสมเหตุสมผล บางบริษัทก็ไม่มีการตั้งทั้งๆที่มีหนี้ค้างชำระจำนวนมาก ซึ่งทำให้บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นสูงขึ้น
ส่วนรายการสินทรัพย์ก็เช่นเดียวกัน บางบริษัทก็มีการตั้งสำรองค่าเผื่อสินค้าเสื่อมสภาพ บางบริษัทก็ไม่มีการตั้ง ทำให้ Equity เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน
รายการสินทรัพย์ถาวร การบันทึกมูลค่าที่ดินก็เป็นปัญหาหลักครับ บางบริษัทบันทึกราคาซื้อเมื่อสมัย 20-30 ปีก่อน มูลค่าในบัญชีก็ต่ำกว่ามูลค่าความเป็นจริงค่อนข้างมาก ดังเช่นหลายบริษัทในตลาด MANRIN TIW TTL WG เป็นต้น
รายการสินทรัพย์หมุนเวียนอื่น และสินทรัพย์อื่น ก็เป็นปัญหาครับ คุณเคยรู้ไหมว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์บางบริษัทถือว่างบโฆษณาเป็นสินทรัพย์ที่ทะยอยตัดจ่ายเป็น Amortization ได้ ทำให้บริษัทมีกำไรและส่วนของผู้ถือหุ้นสูงขึ้น
การบันทึกสินทรัพย์ของบริษัทในปัจจุบันนั้น ผมมองว่าบันทึกไม่ค่อยสอดคล้องกับมูลค่าที่แท้จริงเท่าไร และแต่ละบริษัทก็ใช้หลักเกณฑ์ไม่เหมือนกัน ถ้าเราจะคำนวณแบบง่ายๆก็จะได้ค่าที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเท่าไรครับ
เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ
ในส่วนของ R ปัจจุบัน รายการกำไรสุทธินั้นมีรายการแปลกๆเยอะพอสมควรที่ไม่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอจากการดำเนินงานปรกติ เช่น กำไร(ขาดทุน)จากอัตราแลกเปลี่ยน การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ การตั้งค่าเผื่อสินค้าคงคลังเสื่อมราคา กำไรจากการขายสินทรัพย์หรือเงินลงทุน กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ เป็นต้น เราควรปรับรายการกำไรสุทธิที่จะใช้คำนวณหรือไม่ครับ
ส่วน E นั้น รายการสินทรัพย์ของบริษัทต่างๆก็มีมาตรฐานในการบันทึกต่างกัน เช่น
บางบริษัทก็มีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญอย่างสมเหตุสมผล บางบริษัทก็ไม่มีการตั้งทั้งๆที่มีหนี้ค้างชำระจำนวนมาก ซึ่งทำให้บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นสูงขึ้น
ส่วนรายการสินทรัพย์ก็เช่นเดียวกัน บางบริษัทก็มีการตั้งสำรองค่าเผื่อสินค้าเสื่อมสภาพ บางบริษัทก็ไม่มีการตั้ง ทำให้ Equity เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน
รายการสินทรัพย์ถาวร การบันทึกมูลค่าที่ดินก็เป็นปัญหาหลักครับ บางบริษัทบันทึกราคาซื้อเมื่อสมัย 20-30 ปีก่อน มูลค่าในบัญชีก็ต่ำกว่ามูลค่าความเป็นจริงค่อนข้างมาก ดังเช่นหลายบริษัทในตลาด MANRIN TIW TTL WG เป็นต้น
รายการสินทรัพย์หมุนเวียนอื่น และสินทรัพย์อื่น ก็เป็นปัญหาครับ คุณเคยรู้ไหมว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์บางบริษัทถือว่างบโฆษณาเป็นสินทรัพย์ที่ทะยอยตัดจ่ายเป็น Amortization ได้ ทำให้บริษัทมีกำไรและส่วนของผู้ถือหุ้นสูงขึ้น
การบันทึกสินทรัพย์ของบริษัทในปัจจุบันนั้น ผมมองว่าบันทึกไม่ค่อยสอดคล้องกับมูลค่าที่แท้จริงเท่าไร และแต่ละบริษัทก็ใช้หลักเกณฑ์ไม่เหมือนกัน ถ้าเราจะคำนวณแบบง่ายๆก็จะได้ค่าที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเท่าไรครับ
เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 39
อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ ใครคิดจากอะไรคะ
โพสต์ที่ 6
หลักบัญชี เนื่อหาสำคัญกว่ารูปแบบ (substance than Form) เพราะฉะนั้นผมคิดว่า ที่แต่ละบริษัทต้องทำแบบนั้น ในเรื่องการบัญทึกค่าอะไรต่างๆ ก็น่าจะถูกยอมรับ ในทางบัญชี และ บริษัทในตลาดก็มีผู้ตรวจสอบอยู่แล้ว เช่น คณะกรรมการตรวจสอบ ตลอดจน กลต. เป็นต้น
เพียงแต่คนที่ทำบัญชี และผู้ตรวจสอบไม่ได้มีหน้าที่โดยตรงที่จะตรวจสอบว่ามีการโกง(อะไรผิดสังเกตุ)เกิดขึ้นในบริษัทหรือไม่
ผมว่าน่าที่ของผมคือต้องรู้ให้มากเท่า คุณ chatchai และสามารถลงทุนได้อย่างมันใจ จากสิ่งที่รู้ครับ
เพียงแต่คนที่ทำบัญชี และผู้ตรวจสอบไม่ได้มีหน้าที่โดยตรงที่จะตรวจสอบว่ามีการโกง(อะไรผิดสังเกตุ)เกิดขึ้นในบริษัทหรือไม่
ผมว่าน่าที่ของผมคือต้องรู้ให้มากเท่า คุณ chatchai และสามารถลงทุนได้อย่างมันใจ จากสิ่งที่รู้ครับ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 36
อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ ใครคิดจากอะไรคะ
โพสต์ที่ 7
คุณchatchaiตั้งข้อสังเกตุนั้นถูกต้องเลยทีเดียว เถียงไม่ได้หรอกครับ หากจะดูให้ลึกซึ้งจริงต้องมีการปรับงบการเงินกันเอาการเลยล่ะ แต่สิ่งที่ผมกำลังจะบอกต่อคือปัญหาเหล่านี้สามารถลดมันลงไปได้ด้วยการที่เราตรวจสอบย้อยหลังไปหลายๆปี
สำหรับYOYO น้องเข้าใจถูกเลย ยกตัวอย่างเช่น ปีนี้ กำไร 10 บาท มีทุนเดิมอยู่แล้ว 100 บาท ROE = 10% หากบริษัทจ่ายปันผลหมด และดำเนินการต่อ ROEปีต่อไปเป็น 10%อีก ก็คือมันไม่โตจากเดิมเลย (หากคิดว่าไม่มีปันผล ทุนจะเป็น 110 หากมีกำไร 10%อีก ROE = 9% ) ดังนั้นหากเก็บไว้ 5 บาทจ่ายคืน5บาท ROE ปีถัดไปควรเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 10% ( g = roe x (1-b) = 10 x 0.5 = 5%) กำไรก็ควรจะเพิ่มอย่างน้อย เป็น 10.5 บาท ทุนจะเป็น 105 บาท ROE จะเป็น 10% ถ้ามากกว่า10%ก็ถือว่าดีมาก
อ่านครั้งแรกไม่เข้าใจก็ขอให้อ่านหลายๆรอบนะ
สำหรับYOYO น้องเข้าใจถูกเลย ยกตัวอย่างเช่น ปีนี้ กำไร 10 บาท มีทุนเดิมอยู่แล้ว 100 บาท ROE = 10% หากบริษัทจ่ายปันผลหมด และดำเนินการต่อ ROEปีต่อไปเป็น 10%อีก ก็คือมันไม่โตจากเดิมเลย (หากคิดว่าไม่มีปันผล ทุนจะเป็น 110 หากมีกำไร 10%อีก ROE = 9% ) ดังนั้นหากเก็บไว้ 5 บาทจ่ายคืน5บาท ROE ปีถัดไปควรเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 10% ( g = roe x (1-b) = 10 x 0.5 = 5%) กำไรก็ควรจะเพิ่มอย่างน้อย เป็น 10.5 บาท ทุนจะเป็น 105 บาท ROE จะเป็น 10% ถ้ามากกว่า10%ก็ถือว่าดีมาก
อ่านครั้งแรกไม่เข้าใจก็ขอให้อ่านหลายๆรอบนะ
- ch_army
- Verified User
- โพสต์: 1352
- ผู้ติดตาม: 2
อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ ใครคิดจากอะไรคะ
โพสต์ที่ 9
ผมเห็นด้วยครับกับการใช้ payout ratio มาเป็นส่วนหนึ่งในการคำนวน WACC ครับ ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่ต้องคำนวน WACC ก็ได้แต่ใช้การประมาณ ต้นทุนของเงินทุนออกมาเป็นเงินสดแทน แล้วคิดลดด้วยเงินเฟ้อหรือดอกเบี้ยพันธบัตรครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ ใครคิดจากอะไรคะ
โพสต์ที่ 10
การเอาดอกเบี้ยพันธบัตร หรืออัตราเงินเฟ้อมาคิด อาจจะทำให้มูลค่าของกิจการมีค่าสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็นได้ ยกเว้นธุรกิจนั้นๆมีความเสี่ยงน้อยถึงน้อยที่สุด
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
- ch_army
- Verified User
- โพสต์: 1352
- ผู้ติดตาม: 2
อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ ใครคิดจากอะไรคะ
โพสต์ที่ 11
การคิดลดด้วยดอกเบี้ยพนัธบัตรเนี่ยผมหักมั้งดอกเบี้ยจ่าย
คืนเงินต้น
จ่ายปันผลด้วย
ที่เหลือค่อยดูว่าคุ้มไหม ซึ่งผมว่าทำเป็น decision tree แบบที่มีหลายๆทางเลือกแล้วประยุกต์การใช้ค่าตอบแทนคาดหมายมาใช้ก็น่าจะโอเคครับเพราะค่าส่วนคิดลดจากการประเมินความเสี่ยงของกิจการผมไม่สามารถประเมินได้ขนาดนั้นครับเพราะ ไม่รู้ดีพอ และไม่รู้ด้วยว่าให้เท่าไรเพราะอะไรแต่โอกาส ความเสี่ยงของกำไร ผมว่าทำเป็นหลายๆสถานการณืจะดูง่ายขึ้นกว่าครับเพราะอย่าลืมว่าค่า discount มีผลมากต่อมูลค่าที่ประเมินออกมาได้ครับ
แล้วยังไงซะก็ไม่แม่นอยู่แล้ว ก็ใช้แบบปู่บัฟเฟตดีกว่าคือใช้พันธบัตรเป็นฐานคิดลดเพื่อดูว่าลงทุนคุ้มไหมดีกว่าพันธบัตรหรือเปล่า
ก็ไม่มีทางไหนดีสุดหรอกครับขึ้นกับความเข้าใจในสูตรและข้อจำกัดด้วย
อย่างกิจการที่กำไรแน่นอนมากๆ ผมว่าค่า PE ก็พอแล้วครับตั้งเท่ากับจำนวนปีที่เราต้องการคืนทุนก็โอเคแล้ว
คืนเงินต้น
จ่ายปันผลด้วย
ที่เหลือค่อยดูว่าคุ้มไหม ซึ่งผมว่าทำเป็น decision tree แบบที่มีหลายๆทางเลือกแล้วประยุกต์การใช้ค่าตอบแทนคาดหมายมาใช้ก็น่าจะโอเคครับเพราะค่าส่วนคิดลดจากการประเมินความเสี่ยงของกิจการผมไม่สามารถประเมินได้ขนาดนั้นครับเพราะ ไม่รู้ดีพอ และไม่รู้ด้วยว่าให้เท่าไรเพราะอะไรแต่โอกาส ความเสี่ยงของกำไร ผมว่าทำเป็นหลายๆสถานการณืจะดูง่ายขึ้นกว่าครับเพราะอย่าลืมว่าค่า discount มีผลมากต่อมูลค่าที่ประเมินออกมาได้ครับ
แล้วยังไงซะก็ไม่แม่นอยู่แล้ว ก็ใช้แบบปู่บัฟเฟตดีกว่าคือใช้พันธบัตรเป็นฐานคิดลดเพื่อดูว่าลงทุนคุ้มไหมดีกว่าพันธบัตรหรือเปล่า
ก็ไม่มีทางไหนดีสุดหรอกครับขึ้นกับความเข้าใจในสูตรและข้อจำกัดด้วย
อย่างกิจการที่กำไรแน่นอนมากๆ ผมว่าค่า PE ก็พอแล้วครับตั้งเท่ากับจำนวนปีที่เราต้องการคืนทุนก็โอเคแล้ว
- ch_army
- Verified User
- โพสต์: 1352
- ผู้ติดตาม: 2
อัตราผลตอบแทนที่ต้องการ ใครคิดจากอะไรคะ
โพสต์ที่ 13
พี่ chatchai ครับ พี่ประเมินมูลค่าจากเจ้า FCF โดยตรงเลยใช่ไหมครับผม
อย่างนั้นพี่ก็ต้องประเมินกระแสเงินสดสุทธิแต่ละปีของกิจการได้แม่นมากๆ เลย
พี่มีเคล็ดลับตรงไหนครับ
อย่างนั้นพี่ก็ต้องประเมินกระแสเงินสดสุทธิแต่ละปีของกิจการได้แม่นมากๆ เลย
พี่มีเคล็ดลับตรงไหนครับ