Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

รู้สึกว่า ดร.ก้องเกียรติ จะพูดถึงการวัดความสามารถในการทำกำไรโดยดูจาก EBITDA ไว้ในหนังสือผู้จัดการรายเดือนเล่มล่าสุด

การพูดถึงเรื่อง EBITDA ของท่าน ดร. นั้น พูดเพราะคิดว่าผลกำไรสุทธิของหลายบริษัทในปีนี้จะลดลง เนื่องจากต้องเสียภาษีเงินได้

ผมได้ฟังที่ ดร. พูดครั้งนั้นก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า โอเคว่าการวิเคราะห์ด้วยกำไรสุทธิอาจจะไม่แสดงถึงผลการดำเนินงานที่แท้จริงของบริษัท

แล้วครั้งที่บริษัทเหล่านั้นได้ผลประโยชน์จากการไม่เสียภาษีละครับ ทำไมถึงใช้การวิเคราะห์ด้วยกำไรสุทธิ ไม่ใช้ EBITDA หรือ EBIT ครับ

ผมมีความรู้สึกว่าตลาดหลักทรัพย์ นักวิเคราะห์ ผู้จัดการกองทุน และผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์ พยายามสร้างภาพที่ดีให้แก่ตลาด ไม่ต้องการให้ดัชนีตก

จริงๆแล้ว ถามนักลงทุนดูครับว่า บริษัทถึงแม้จะมีผลการดำเนินงานดีขึ้น 10% แต่ต้องเสียภาษีเงินได้ 30% ทำให้ผลกำรสุทธิลดลง คุณจะประเมินราคาดีขึ้นหรือครับ

แล้วการวิเคราะห์ก็ควรจะใช้ กำไรก่อนภาษีเงินได้ มากกว่า EBITDA

ดร.ก้องเกียรติเชียร์หุ้นเว่อร์สุดยอด ขอยืนยันครับ เอาใจไทยรักไทยมากๆ

เจาะเข้าไปอีกขั้นนะครับที่คิดออกคือ Growth ได้มาจาก มาร์จินที่ดีขึ้น หรือ จำนวนขายได้เพิ่มขึ้น
การตรวจมาร์จิน ถ้าเป็นพวกโภคภัฑ์ต้องsurveyราคาตลาด พวกอื่นๆต้องเรียงลงกระดาษ แล้วสังเกต ดูไตรมาสล่าๆ เทียบกับเฉลี่ยย้อนหลัง เพื่อดูแนวโน้ม
จำนวนขายที่มากขึ้น คือบริษัทต้องผลิตมากขึ้น ฉะนั้นบริษัทน่าจะต้องลงทุนใน สินทรัพย์หมุนเวียน และ สินทรัพย์ถาวร(กรณีเต็มกำลังการผลิตแล้ว) เพิ่มขึ้น

ผมว่า Growth จริงๆทำนายยากมากนะ ต้องรู้จักธุรกิจนั้นๆจริงๆ ถึงจะมองแนวโมออก แถมการมองปีต่อปีผมว่ายากมากเลย หากดูระยะยาวๆอาจง่ายกว่านะครับ เช่นคุณคิดว่าอีก 10 ปีธุรกิจของ 7-11 จะมีอีกสักี่สาขาดีเป็นสักกี่เท่าของปัจจุบัน อืม อันนี้เป็นคำตอบอะเปล่าครับพี่