อุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news09/01/08

โพสต์ที่ 301

โพสต์

7แบงก์ปล่อยกู้เอสโซ่มหึมา3หมื่นล้าน

โพสต์ทูเดย์ ธนาคารพาณิชย์ 7 แห่ง แอบปล่อยกู้ก้อนมหึมา 3 หมื่นล้านบาท ให้กลุ่มเอสโซ่นำไปปรับโครงสร้างทางการเงิน ก่อนแต่งตัวเข้าตลาดหุ้นรับปีหนู


แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 ม.ค. ธนาคารพาณิชย์ 7 ธนาคาร ร่วมลงนามปล่อยสินเชื่อร่วมวงเงิน 3 หมื่นล้านบาท ให้กับบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) เพื่อนำไปปรับโครงสร้างทางการ เงิน ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือน มี.ค. ถึง เม.ย. นี้

สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยเงินกู้สูงที่สุดได้แก่ ธนาคารกรุงไทย 1.5 หมื่นล้านบาท ธนาคารกสิกรไทย 4 พันล้านบาทเศษ ธนาคารนครหลวงไทยประมาณ 1-2 พันล้านบาท และธนาคารกรุงศรีอยุธยาอีกจำนวนหนึ่ง

ขณะที่ธนาคารต่างประเทศ สัญชาติญี่ปุ่น 3 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิง คอร์ปอเรชัน ธนาคารมิซูโฮ คอร์ปอเรต ธนาคารแห่งโตเกียวมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ปล่อยกู้ในส่วนที่เหลือในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน

สำหรับวงเงินกู้ 3 หมื่นล้านบาท แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก 1.9 หมื่นล้านบาท เป็นเงินกู้ระยะเวลา 1 ปี ส่วนเงินกู้อีก 1.1 หมื่นล้านบาท เป็นเงินกู้ระยะเวลา 5 ปี สำหรับอัตราดอกเบี้ยนั้นจะคิดแบบลอยตัว อัตราดอกเบี้ยตามตลาด

เอสโซ่มีศักยภาพดีมาก เป็นโรงกลั่นที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากบริษัท ไทยออยล์ ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 1 และบริษัท ไออาร์พีซี ใหญ่เป็นอันดับ 2 เงินกู้ก้อนนี้เอสโซ่จะนำไปปรับโครงสร้างทางการเงิน โดยไปชำระหนี้เก่าที่มาจากหลายๆ ส่วน เงินกู้จากบริษัทแม่ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่เอสโซ่ประเทศไทยจะนำไปชำระคืน แหล่งข่าวเปิดเผย

รายงานข่าวแจ้งว่า บริษัท เอสโซ่ ได้ยื่นข้อมูลเพื่อเข้าจดทะเบียน (ไฟลิง) ต่อตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2550 เพื่อเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) โดยยังไม่ได้ระบุจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุน แต่ระบุมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) ที่หุ้นละ 4.9338 บาท บริษัทมีกำไรสุทธิงวด 9 เดือน ปี 2550 ทั้งสิ้น 3.5 พันล้านบาท เติบโตขึ้นจากงวด 9 เดือน ปี 2549 ที่มีจำนวน 2.1 พันล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัท เอสโซ่ ประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียม มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบวันละ 1.77 แสนล้านบาร์เรลต่อวัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=213421
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news09/01/08

โพสต์ที่ 302

โพสต์

ลูกค้าแบงก์จุกอก ดอกกู้ขึ้นกลางปี!

โพสต์ทูเดย์ ไทยพาณิชย์ ส่งสัญญาณลูกค้า เผยดอกเบี้ยกู้ มีแนวโน้มปรับขึ้นกลางปีนี้


นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์จะปรับขึ้นอย่างเร็วที่สุดคือช่วงกลางปี 2551 ขึ้นอยู่กับทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยมองว่าดอกเบี้ยนโยบายได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วและมีแนวโน้มจะปรับขึ้นได้

กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐปรับลดดอกเบี้ย คงไม่มีผลให้ ธปท.ต้องปรับลดดอกเบี้ยนโยบายตาม เนื่องจาก ธปท.คงพิจารณานโยบายการเงินจากสภาพเศรษฐกิจในประเทศมากกว่า นางกรรณิกา กล่าว

สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากในระบบที่ปรับขึ้นเร็วกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์หันมาระดมเงินฝากมาก รองรับการปล่อยสินเชื่อ ผลที่ตามมาคือ แนวโน้มส่วนต่างดอกเบี้ยรับสุทธิจะแคบลง

นางกรรณิกา กล่าวว่า สำหรับปีนี้ ธนาคารตั้งเป้าหมายระดมเงินฝากถึง 1 แสนล้านบาท แต่อาจจะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ในการปล่อยสินเชื่อ โดยดอกเบี้ยของธนาคารสูงกว่าระบบที่ 0.4-0.5%

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารได้เข้าร่วมโครงการ นวัตกรรมดีไม่มี ดอกเบี้ย กับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) เพื่อปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการไทยที่มีโครงการนวัตกรรม อาจเป็นการสร้างต้นแบบ หรือทดลองนำร่องและพัฒนาออกสู่ตลาด โดยทาง สนช.จะชำระดอกเบี้ยให้เป็นระยะเวลา 3 ปี และสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท

ทั้งนี้ ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าดอกเบี้ยปกติ ในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (เอ็มแอลอาร์) ลบเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของลูกค้า

นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการ สนช. กล่าวว่า ผลจากการดำเนินโครงการนวัตกรรมดีไม่มีดอกเบี้ยมา 4 ปี ได้สนับสนุนทั้งสิ้น 45 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 46.7 ล้านบาท และก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุน 1.63 พันล้านบาท

นายศุภชัย กล่าวว่า ทาง สนช.มีงบประมาณจำนวนมากที่อยากให้กับผู้ประกอบการ แต่โครงการต้องมีความแปลกใหม่อย่างมีนัยสำคัญ สามารถมาขอเงินสนับสนุนเพื่อทำโครงการต้นแบบก่อนจะขอเงินกู้จากธนาคาร
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=213420
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news10/01/08

โพสต์ที่ 303

โพสต์

4ดาวรุ่งหุ้นหลักทรัพย์แววดี

ลุ้นวอลุ่มพุ่งเฉลี่ย 1.7 หมื่นล้านบาทต่อวัน หาจังหวะเก็งหุ้นหลักทรัพย์  โบรกคัด 4 หุ้นแววดีสุดในกลุ่ม KEST,ASP,BLS และBSEC เพราะมีอนาคตแผนธุรกิจชัดเจน  มาร์เก็ตแชร์ปึ้ก  ชี้ปีนี้กิมเอ็งครองมาร์เก็ตแชร์พุ่ง  ส่วนASPเด่นปันผลหรูถึง 6%  BLSกอดลูกค้าสถาบันเพิ่มและBSECรุกAFETดันรายได้เสริมอีกทาง
    บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ทรีนิตี้ จำกัด มองว่า ในช่วงที่มูลค่าการซื้อขายต่อวันเริ่มกลับมาที่ระดับ 17,000 ล้านบาท  ซึ่งหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์จะกลับมามีความน่าสนใจและสามารถเก็งกำไรในระยะสั้นได้ ตามภาวะตลาด โดยหุ้นเด่นในกลุ่มคือ KEST, ASP, BLS และ BSEC เนื่องจากเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีแผนการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจนในอนาคต โดยในช่วงที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงมามาก นักลงทุนสามารถทยอยซื้อเพื่อเก็งกำไรในช่วงที่มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น หรือนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้
         แต่แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้น PHATRA เนื่องจากยังมีความเสี่ยงในประเด็นของ Merrill Lynch ซื้อไลเซ่น บล.เอเพกซ์   สำหรับบล.ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นในไตรมาส4/2550 ได้แก่ ASP, PHATRA และKEST โดยคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส4/2550 จะใกล้เคียงกับไตรมาส3/2550 แม้ว่ามูลค่าการซื้อขายไตรมาส4/2550 จะต่ำกว่าไตรมาส 3/2550ก็ตาม
โดย KEST ฝ่ายวิจัยให้ราคาเหมาะสม 29.5 บาท  ซึ่งในไตรมาส 4/2550ไตรมาส4/2550 จะยังคงมีส่วนแบ่งการตลาดดีขึ้นต่อเนื่องโดยอยู่ที่ 8.53%  ซึ่งขณะนี้ส่วนแบ่งการตลาดเฉลี่ยทั้งปี 2550 อยู่ที่ 8.02% จากต้นปี นอกจากนี้  KEST กำลังอยู่ในช่วงเตรียมความพร้อมเปิดบริษัทจัดการกองทุน(บลจ. เพื่อทำให้โครงสร้างรายได้แข็งแกร่งมากขึ้น  โดยคาดว่าจะดำเนินงานได้ปีหน้า
    นอกจากนี้  KEST มีแผนจะเพิ่มรายได้จากพอร์ตการลงทุนของบริษัท ซึ่งปัจจุบันที่มีพอร์ตการลงทุน 50 ล้านบาท เนื่องจากมีเงินทุนมากถึง 4 พันล้านบาท และจากการที่ฐานลูกค้าหลักคือรายย่อยและเป็นผู้ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1  จึงคาดว่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุด จากที่คาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปี 2551 อยู่ที่ประมาณ 1.8 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปี 2550 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.7 พันล้านบาท  โดยคาดว่าส่วนแบ่งการตลาดโดยเฉลี่ยปี 2551 จะอยู่ที่ 8.6%
                 ส่วนASP ให้ราคาเหมาะสม ปี2551อยู่ที่ 4.8 บาทเพราะเป็นหุ้นที่ให้อัตราเงินปันผลทั้งปีสูงประมาณ 6% โดยคาดว่าในครึ่งปีหลัง 2550 จะประกาศจ่ายเงินปันผล 0.14 บาท/หุ้น  หลังจากที่ในครึ่งปีแรก2550ไปแล้ว 0.08 บาท  รวมทั้งมีแผนกระจายความเสี่ยง รองรับเปิดเสรี โดยเน้นรายได้จากการลงทุนและ IB มากขึ้นเป็น 30% และ 20%ตามลำดับ  โดยปี 2550 มาร์เก็ตแชร์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5.74%จากต้นปี2550 โดยในปี 2551 คาดว่าจะมีมาร์เก็ตแชร์ทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 6 %
    สำหรับBLS ให้ราคาเหมาะสม 29 บาท  โดยตั้งเกมเชิงรุก  หรือจะมีมาร์เก็ตแชร์ปีนี้ 5% ซึ่งตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดติดอันดับ 1 ใน 5 โดยมี BBL และ MSAL เป็นปัจจัยหนุน  ซึ่งปัจจัยสนับสนุน BBL และ MSAL  โดย BBLจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมเนื่องจากธนาคารจะแนะนำลูกค้าเงินฝากและสินเชื่อที่มีความสนใจลงทุนในหลักทรัพย์ให้มาเปิดบัญชีซื้อขายกับ BLS โดยจะมีการติดตั้งสาขาในรูปแบบ Cyber Branch เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า รวมทั้ง MSAL ซึ่งเป็น Exclusive Partner จะทำให้ BLS ได้รับประโยชน์ในส่วนลูกค้าสถาบัน ต่างประเทศ และการประหยัดทางด้านงานวิจัย
ขณะที่BSECให้ราคาเหมาะสม 5.4 บาทเนื่องจากปรับเพิ่มช่องทางรายได้ด้านสินค้าเกษตรล่วงหน้าชัดเจนขึ้น โดยการเข้าซื้อบริษัท A.N.T ซึ่งประกอบธุรกิจนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งจะช่วยให้ลดความเสี่ยงรายได้ที่พึ่งพิงรายได้จากตลาดหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียวถึง 80% ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินงานได้เร็วปลายไตรมาส 1/2551 ถึงต้นไตรมาส2/2551 โดยปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์ซื้อขายหุ้นผ่านอินเตอร์เน็ตอยู่อันดับ 1  โดยรักษามาร์เก็ตแชร์ตั้งแต่เดือนพ.ค.เป็นต้นมา  ซึ่งทั้งปี 2550 มีมาร์เก็ตแชร์โดยรวมที่ 3.43%จากต้นปี โดยในปี 2551 บริษัทตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ 5% ซึ่งมีงานด้านวาณิชธนกิจรออยู่อีกมาก และคาดว่าจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากกว่าปี 2550  นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดสาขา Cyber Branch หรือ Mini Branch ประมาณ 3-4 แห่ง
KEST(9 ม.ค.)ปิดที่ 23.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท มูลค่าซื้อขาย 40.36 ล้านบาท,ASPปิดที่ 3.48 บาท ลดลง 0.04 บาท มูลค่าซื้อขาย 32.49 ล้านบาท ,BLS ปิดที่ 24.00 บาท ลดลง 0.10 บาท มูลค่าซื้อขาย 40.02 ล้านบาท และBSEC ปิดที่ 3.62 บาท ลดลง 0.02 บาท มูลค่าซื้อขาย 4.86 ล้านบาท
http://www.thunhoon.com/home/
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news11/01/08

โพสต์ที่ 304

โพสต์

คลังจี้แบงก์ชาติดูแลบาทเต็มที่


    คลังอัดแบงก์ชาติดูแลบาทปล่อยให้ตลาดจับทางได้ง่าย   สั่งกำชับแบงก์ชาติดูแลบาทให้เต็มที่ ส่วนทิศทางบาทวานนี้เริ่มนิ่งหวือหวาน้อยกว่าเดิมเพราะผู้ส่งออกชะลอขายดอลล์  แบงก์ชาติเริ่มแทรกแซง  ดีลเลอร์ชี้นับตั้งแต่ต้นปีบาทแข็งแล้ว 1.57%แตะ 33.16 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
    นายฉลองภพ  สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การบริหารค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)นับตั้งแต่ต้นปีนี้ละปีที่ผ่านมา ทำให้ตลาดสามารถจับทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทได้  จึงได้กำชับให้ธปท.จะต้องบริหารงานอย่างเต็มที่ ไม่ควรให้ใครเขาเดาได้
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news14/01/08

โพสต์ที่ 305

โพสต์

บัตรเครดิตยังเหนียวแม้ศก.ทรุด

โพสต์ทูเดย์ ธปท.เผยธุรกิจบัตรเครดิตไม่ทรุด แม้เศรษฐกิจชะลอ


นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ถึงตอนนี้ธุรกิจบัตรเครดิตยังมีการขยายตัวค่อนข้างทรงตัว เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่มีความระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน และยังไม่เห็นสัญญาณที่ผิดปกติที่จะทำธุรกิจนี้มีปัญหา

สำหรับอัตราการผิดนัดชำระหนี้นั้นยังอยู่ที่ระดับ 3% ของยอดสินเชื่อคงค้าง ทรงตัวในระดับนี้มาตั้งแต่ใน ปี 2549 เช่นเดียวกับหนี้ที่ไม่ก่อให้ เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่ยืนอยู่ในระดับ 3% ซึ่งถือว่าไม่สูงมากนัก เพราะผู้ประกอบการเองมีการตัดหนี้สูญทันที ทำให้ภาพรวมธุรกิจบัตรเครดิตยังมีแนวโน้มดีอยู่ แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว

นายเกริก กล่าวว่า จากการหารือกันในสายนโยบายสถาบันการเงินของ ธปท. ก็เห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรที่น่าห่วง เพราะยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตไม่ได้ขยายตัวหรือหดตัวแบบก้าวกระโดดจนน่าตกใจ และเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอ ทำให้ ผู้ถือบัตรเครดิตมีการระวังตัวใน การใช้จ่ายมากขึ้น และ ธปท.คงจะไม่มีการผ่อนเกณฑ์อะไร เพราะ ผู้ประกอบการดูแลดีอยู่แล้ว

ทั้งนี้ ธปท.รายงานตัวเลขบัตรเครดิตล่าสุดเดือน พ.ย. ปีที่ผ่านมา พบว่า บัตรเครดิตมีทั้งสิ้น 11.92 ล้านบัตร เพิ่มขึ้น 6.47 หมื่นบัตร หรือ 0.55% จากเดือนก่อนหน้า โดยยอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้น 1.5 พันล้านบาท หรือ 0.87% ปริมาณการใช้จ่ายในประเทศลดลง 684 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214427
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news14/01/08

โพสต์ที่ 306

โพสต์

แห่ขึ้นค่ารายปีเอทีเอ็ม

โพสต์ทูเดย์ ทุกข์ลูกค้าแบงก์ แห่ปรับขึ้นค่าธรรมเนียมทำบัตรเอทีเอ็มแรกเข้าเป็น 100 บาท และรายปี 150-200 บาท


รายงานข่าวแจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค. เป็นต้นไป ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จะปรับขึ้นค่าธรรมเนียมทำบัตร เอทีเอ็มธรรมดา จากเดิมคิดค่าทำบัตรแรกเข้า 50 บาท จะเพิ่มเป็น 100 บาท เท่ากับบัตรเดบิต รวมทั้งปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมรายปีจาก 100 บาท เพิ่มเป็น 150 บาท แต่ยังน้อยกว่าบัตรเดบิตอยู่ 50 บาท

นอกจากนี้ ธนาคารยังปรับขึ้นค่าออกบัตรใหม่ กรณีบัตรเอทีเอ็มหาย หรือชำรุด จากปัจจุบันคิด 50 บาท เป็น 100 บาท เท่ากับบัตรใหม่
ด้านธนาคารกรุงไทย แจ้งว่า ได้ปรับขึ้นค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2551 จากเดิมที่คิดค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตแรกเข้า 50 บาท ปรับเพิ่มเป็น 100 บาท และปรับค่าธรรมเนียมรายปีจากเดิม 100 บาท เพิ่มเป็น 150 บาท ส่วนบัตรเอทีเอ็มยังคงเดิม

สำหรับธนาคารกรุงเทพนั้น ได้ปรับขึ้นค่าธรรมเนียมทำบัตรเอทีเอ็มแรกเข้าจาก 50 บาท เป็น 100 บาท และปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมรายปีจาก 100 บาท เป็น 200 บาท เท่ากับค่าธรรมเนียมของบัตรเดบิต โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2550

ทั้งนี้ หากลูกค้าธนาคารกรุงเทพรายใดที่สมัครทำบัตรเอทีเอ็มหลังวันที่ 1 ธ.ค. 2550 ได้ทำบัตรเอทีเอ็มหาย หรือชำรุด ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมในราคาใหม่ที่ธนาคารได้ปรับขึ้นเป็น 100 บาท เฉพาะสาขาที่เปิดบัญชี แต่หากทำบัตรใหม่ในสาขาอื่นจะเสียค่าธรรมเนียมแพงกว่าเป็น 130 บาท ยกเว้นลูกค้าที่สมัครทำบัตรเอทีเอ็มก่อนวันที่ 1 ธ.ค. 2550 หากบัตรเอทีเอ็มหาย หรือชำรุด ธนาคาร ยังคิดราคาเดิมคือ สาขาที่เปิดบัญชีคิด 50 บาท ต่างสาขาคิด 80 บาท

แหล่งข่าวจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ปัจจุบันธนาคารมีบัตร เอทีเอ็มกว่า 4 ล้านบัตร และบัตร เดบิตกว่า 5 ล้านบัตร รวมทั้งสิ้นประมาณ 10 ล้านบัตร ซึ่งปีนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายเพิ่มบัตรเดบิตอีก 1 ล้านบัตร ใกล้เคียงกับปีก่อน

ทั้งนี้ จำนวนบัตรเดบิตจะเพิ่มขึ้นมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยการจ้างงานในประเทศด้วย เพราะส่วนใหญ่ผู้ใช้บัตรจะเป็นลูกจ้างบริษัทที่ต้องเปิดบัญชีจ่ายเงินเดือน

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานว่า ในไตรมาส 3 ปีก่อน ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการเฉพาะบัตรเอทีเอ็มและบริการธนาคารอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 2,767 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปีเดียวกัน ที่มีรายได้รวม 2,679 ล้านบาท และไตรมาสแรกอยู่ที่ 2,533 ล้านบาท

นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขา ธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า จะมีการหารือกับธนาคารสมาชิกในการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการกดเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม, การขึ้นค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเดบิตเพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกัน หากประชาชนเดือดร้อน

แต่ละธนาคารมีต้นทุนทางการเงินที่แตกต่างกัน และที่ผ่านมาธนาคารไม่ได้โยนภาระต้นทุนเหล่านี้ให้ประชาชน แต่ได้ทยอยเก็บเพิ่ม ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นต้นทุน และมีหลายธนาคารที่คิดค่าธรรมเนียมเพื่อรองรับการลงทุนระบบการชำระเงินในอนาคตที่จะต้องมีการปรับและเพิ่มการลงทุนจำนวนมากจึงปรับขึ้นค่าธรรมเนียม แต่ถ้าประชาชนเดือดร้อนก็ต้องมาหารือกัน เลขาธิการ สมาคมธนาคารไทย กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=214423
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news16/01/08

โพสต์ที่ 307

โพสต์

ตลท.แตะเบรกเพิ่มหลักประกันบัญชีมาร์จิ้น15% โดย กระแสหุ้น

ตลาดหลักทรัพย์สั่งชะลอใช้มาตรการเพิ่มวงเงินประกันในบัญชีซื้อขายหุ้นจาก 10% เป็น 15% เหตุภาวะตลาดไม่เอื้อ แถมยังต้องสอบถามความเห็นสมาชิกก่อนเสนอบอร์ดพิจารณา ระบุหากจะนำมาใช้จริงต้องประกาศล่วงหน้าเพื่อให้มีเวลาปรับตัว ชี้หุ้นดิ่งช่วงนี้เพราะนักลงทุนกังวลการเมือง-เศรษฐกิจโลก


นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ในขณะนี้ได้รับหนังสือแจ้งจากสมาคมบริษัทหลักทรัพย์(สมาคมโบรกเกอร์)แล้วว่าจะมีการเพิ่มวงเงินค้ำประกันการซื้อขายหุ้นเพิ่มจาก 10% เป็น 15% แต่เรื่องดังกล่าวจะต้องผ่านกระบวนการพิจารณาอีกหลายขั้นตอน อีกทั้งจะต้องผ่านการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะนำเข้าหารืออีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นมาตรการนี้ต้องใช้ระยะเวลายาวนานกว่าจะนำมาใช้อย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกัน ช่วงนี้ไม่เหมาะสมที่จะออกมาตรการใหม่ๆ เพราะภาวะตลาดหุ้นอยู่ในช่วงที่ไม่สดใส ซึ่งหากมีมาตรการออกมาอาจจะส่งผลต่อตลาดหุ้นได้

เรื่องการเพิ่มวงเงินค้ำประกันซื้อขายหุ้นเป็นเรื่องที่ปรึกษากับ ก.ล.ต.มานานแล้ว ซึ่งเมื่อวานนี้สมาคมโบรกเกอร์ก็ส่งหนังสือแจ้งให้ทางตลาดหลักทรัพย์รับทราบข้อมูลแล้ว แต่มาตรการอะไรที่จะออกมาใหม่ๆ ในช่วงที่ตลาดซึมไม่เหมาะสม เพราะตลาดหุ้นช่วงนี้ไม่ได้ร้อนแรงเหมือนที่ผ่านมา ดังนั้นจึงยังบอกไม่ได้ว่าจะนำมาใช้ได้ช่วงไหนคงจะต้องดูเวลา ความเหมาะสม และบอกล่วงหน้าเป็นเวลานานก่อนจะนำมาใช้ และต้องทำเฮียริ่งกับสมาชิกก่อน นางภัทรียา กล่าว

สำหรับสาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนชะลอการซื้อขายหุ้นหลังจากที่ไม่มั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง รวมทั้งยังกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ปัญหาซับไพร์มยังเป็นตัวแปรที่กดดันบรรยากาศการลงทุนและความเชื่อมั่นของนักลงทุนอีกด้วย

อย่างไรก็ตามขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ได้ร่วมกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการวิจัยเกี่ยวกับโครงสร้างและกลไกการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดทุนไทยให้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพัฒนาโครงสร้างตลาดทุนไทยในอนาคตให้มีประสิทธิภาพและยกระดับของตลาดทุนด้วย ในช่วงที่ผ่านมาตลท.ได้ร่วมกับสถาบันดังกล่าววิจัยเกี่ยวกับการแตกพาร์และลดทุนมาแล้ว 2 โครงการซึ่งหลังจากนำมาใช้ส่งผลให้หุ้นมีสภาพคล่องมากขึ้นและส่งผลดีต่อตลาดทุนด้วย ดังนั้นจึงหวังว่าในอนาคตโครงการที่ได้ศึกษาวิจัยไปแล้วจะนำมาใช้พัฒนาตลาดทุนด้วย

นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังปีนี้คาดว่าดัชนีน่าจะวิ่งแตะที่ระดับ 1,150 จุดได้ เนื่องจากคาดว่าตัวเลขสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์น่าจะขยายตัวได้ดี และมีการตั้งสำรองน้อยลง ขณะที่ผลการดำเนินงานหุ้นกลุ่มพลังงานในปีนี้คาดว่าจะออกมาอยู่ในทิศทางที่ดีกว่าปีก่อน ทั้งนี้การคาดการณ์ดังกล่าวขึ้นอยู่ภายใต้สมมติฐานหากไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงที่ส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีแรกเชื่อว่าดัชนีจะยังคงผันผวนอยู่เช่นต่อไปเนื่องจากความไม่ชัดเจนทางด้านการเมืองและยังไม่มีข่าวดีใหม่ๆหนุน

นายชูเกียรติ ธิติหิรัญเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า ในปี 2551 ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจลงทุน โดยมีพีอีต่ำอยู่ที่ประมาณ 11 เท่า เทียบกับภูมิภาคที่ประมาณ 15 เท่า และการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ประมาณ 15-20% นอกจากนี้ยังคาดว่ายังคงมีเงินไหลเข้าตลาดทุนในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากมีอัตราการเติบโตสูงกว่าประเทศอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม คาดว่าดัชนีหุ้นไทยปีนี้ยังมีความผันผวนสูง โดยจะอยู่ในกรอบประมาณ 930-970 จุด โดยเคลื่อนไหวบวกลบ 20 จุด จากดัชนีฯ 950 จุด โดยหุ้นที่น่าสนใจลงทุนอยู่ในกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มนิคมอุสาหกรรม และกลุ่มขนส่ง
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news18/01/08

โพสต์ที่ 308

โพสต์

ธปท.เชื่อกฎหมายธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, January 18, 2008
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา สถาบันการเงินของไทยมีความเข้มแข็งขึ้นมาก ส่วนปัญหา Subprime ของสหรัฐฯ ที่กำลังรุนแรงอยู่ในขณะนี้ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินของไทยมากนัก เพราะมีเพียงบางแห่งเท่านั้นที่ไปลงทุนในตราสารที่เกิดปัญหา และจำนวนเงินลงทุนก็ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับเงินกองทุนของสถาบันการเงินนั้น ๆ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าสถาบันการเงินของไทยมีความเข้มแข็งมากขึ้น แต่ ธปท. ก็ได้เสนอแก้ไข พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2505 ซึ่งขณะนี้ก็ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวาระที่ 3 เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2550 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจาก ธปท. มองว่า ในช่วงที่มีจัดทำ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2505 ธนาคารพาณิชย์ทำหน้าที่เพียงแค่รับฝากเงินและปล่อยสินเชื่อเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประชาชนมีความต้องการใช้บริการทางการเงินมากขึ้น ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ก็มีบริการทางการเงินใหม่ ๆ และมีความซับซ้อน เช่น ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเช่าซื้อ และธุรกิจประกัน ทำให้กฎหมายฉบับนี้ไม่สามารถดูแลธุรกิจการเงินได้อย่างครบถ้วน ดังนั้น การแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้ จะทำให้กฎหมายฉบับใหม่มีความทันสมัย และมีหลักการดูแลที่สอดคล้องกับธุรกิจการเงินในปัจจุบัน

สำหรับสาระสำคัญของการแก้ไขกฎหมายธุรกิจสถาบันการเงิน คือ

1. สถาบันการเงินจะต้องบริหารเงินด้วยความระมัดระวัง และบริหารความเสี่ยงให้ดี เนื่องจากสถาบันการเงินเป็นหน่วยงานที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจไทย และเงินที่นำมาใช้ก็เป็นเงินของประชาชน ดังนั้น กฎหมายจึงได้กำหนดกรอบการทำธุรกิจอย่างชัดเจน

2. สถาบันการเงินจะต้องดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล คือ ซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยในส่วนของผู้ที่จะมาทำหน้าที่บริหารสถาบันการเงิน ก็จะต้องมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ และจะต้องผ่านการตรวจสอบจาก ธปท.

3. สถาบันการเงินจะต้องมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านข้อมูล การกระจายสินเชื่อ และการดูแลต้นทุน

4. สถาบันการเงินจะต้องให้ความเป็นธรรมต่อลูกค้าและประชาชน

5. ธปท. สามารถใช้เกณฑ์การดูแลสถาบันการเงินมาดูแลระบบเศรษฐกิจได้

นายเกริกยืนยันว่า ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ โดยนอกเหนือจากบริการทางการเงิน และความสะดวกสบายที่ประชาชนจะได้รับแล้ว ประชาชนยังจะได้รับการคุ้มครองกรณีการค้ำประกันด้วย โดยสถาบันการเงินจะต้องกำหนดวงเงินค้ำประกันอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้ผู้ค้ำประกันมีความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่รู้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news22/01/08

โพสต์ที่ 309

โพสต์

พิษซีดีโอฉุดผลประกอบการแบงก์ปี 50

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทยบอกว่า ตลอดปี 2550 ธนาคารได้กันสำรองเผื่อความสูญเสียจากการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีหลักทรัพย์อ้างอิง หรือซีดีโอ (Collateralized Debt Obligations) รวมกว่า 3 พันล้านบาท จากที่ลงทุนในซีดีโอรวมทั้งสิ้น 160 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5,500 ล้านบาท

นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า การสำรองจำนวนมาก เพราะตราสารหนี้ซีดีโอที่ธนาคารถืออยู่ด้อยค่าลง 50% จากมูลค่าที่ลงทุน และเป็นการลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ของปีก่อน ที่มีมูลค่าลดลง 20-30% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ต่ำกว่ามาตรฐาน (Subprime) ในสหรัฐ

นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าภายในปีนี้รัฐบาลสหรัฐจะแก้ปัญหาซับไพรม์ได้ เพราะจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. และเศรษฐกิจสหรัฐมีความทนทานสูง จึงเชื่อว่าปัญหาจะไม่ลุกลาม รวมทั้งผลกระทบของสถาบันการเงินในสหรัฐจากปัญหาซับไพรม์ จะไม่ถึงขั้นดึงเงินกลับสหรัฐปิดส่วนที่ขาดทุน อีกทั้งกองทุนทั่วโลกมีอยู่จำนวนมาก หากเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐไม่ดี ก็จะนำเม็ดเงินมาลงทุนในเอเชีย ฉะนั้นจึงไม่เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องในประเทศไทย Q4 กรุงศรีฯสำรองซีดีโอ 600 ล้านบาท

นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บอกว่า ในไตรมาส 4 ของปี 2550 ธนาคารจะได้ดำเนินการตั้งสำรองตามการตีมูลค่าตลาด (mark-to-market) เงินลงทุนในซีดีโอ และตราสารที่มีอนุพันธ์แฝง (structured note) ตามเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จำนวน 640 ล้านบาท โดยเป็นการสำรองเฉพาะซีดีโอ 589 ล้านบาท จากการด้อยค่าของซีดีโอ ณ สิ้นปี 2550 ประมาณ 20% ของตราสารที่ธนาคารลงทุนไป 85 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม แม้ธนาคารจะขาดทุนจากการตีราคาตลาดในปัจจุบัน แต่ธนาคารยังมีนโยบายที่จะถือครองตราสารดังกล่าวจนครบอายุ เนื่องจากเรายังได้ประโยชน์จากการลงทุนโดยได้ผลตอบแทนที่อัตราดอกเบี้ยไลบอร์บวก 1.56% หรือประมาณ 6% ในปัจจุบัน และเมื่อครบกำหนดอายุตราสารแล้ว ธนาคารได้เงินต้นทุนคืน และสามารถหักสำรองที่ตั้งไว้แล้ว สำหรับกรณีปัญหา Subprime ในสหรัฐยังไม่ยุตินั้นธนาคารก็พร้อมที่จะตั้งสำรองเพิ่มได้ในปีนี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news24/01/08

โพสต์ที่ 310

โพสต์

กลุ่มแบงก์ปีชวดตัวเบา

หุ้นแบงก์ปีชวด รับบทเด่นนำตลาด จากปีก่อนที่ทำกำไรรวมได้ไม่ดีนัก เพราะโดนพิษตั้งสำรองฉุด แต่ปีนี้หมดปัญหาสำรองผ่อนลงไปมาก การเมืองชัดได้รับฐฐาลใหม่หนุนการลงทุนเพิ่ม ดันสินเชื่อเติบโตได้ 12.70% หรือ 2.5 เท่าของจีดีพี  ตัวเด่นท็อปฟอร์มหนีไม่พ้นแบงก์ใหญ่ KBANK ,SCB BBL และ BAY
ส่วนปันผลปี 2550 จูงใจสุดกว่าเพื่อนต้อง SCB  ส่วนแบงก์ที่เหลือมีกำไรจ่ายได้  ผลตอบแทนแค่อยู่ในระดับกลางๆ

    บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก  จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ในปี 2551  คาดว่ากลุ่มธนาคารจะเป็นกลุ่มนำตลาดเนื่องจากอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเกิดจากการลดลงของสำรองหนี้สงสัยจะสูญ และการเติบโตของผลประกอบการปกติในระดับที่น่าพอใจ ขณะที่ปัจจัยการเมืองที่ชัดเจนเอื้อต่อการขยายการลงทุนและขอสินเชื่อ และคาดสินเชื่อจะเร่งตัวขึ้นที่ 12.70%หรือประมาณ2.5เท่าของประมาณการการขยายตัวของGDP
    ในส่วนของคุณภาพสินทรัพย์ คาดระดับNPLของกลุ่มหลังหักสำรองหนี้แล้วไม่น่าจะสูงกว่า4-4.5%จากประมาณการที่ 5% ในปี 2550ซึ่งสะท้อนคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นจึงคงคำแนะนำเพิ่มน้ำหนักลงทุน  หุ้นกลุ่มธนาคาร จากแนวโน้มผลประกอบการที่ขยายตัวสูง การจัดการคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ราคาหุ้นที่ยังอยู่ในระดับต่ำ มูลค่าตลาดขนาดใหญ่ และอัตราการจ่ายเงินปันผล แนะนำ
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news25/01/08

โพสต์ที่ 311

โพสต์

ธปท.อุ้มไม่ไหวบาทจ่อหลุด33นักวิชาการแนะปล่อยลอยตัว โดย กระแสหุ้น

แบงก์ชาติโดดแทรกแซงบาท หลังส่งออกยังเทขายดอลลาร์ต่อเนื่อง ล่าสุดแตะ 33.05 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ วันนี้มีโอกาสแตะระดับ 32 บาทเป็นวันแรก ด้านนักเศรษฐศาสตร์แนะให้ปล่อยเงินบาทลอยตัวอิสระลดภาระแทรกแซง เพราะดอลลาร์สหรัฐยังมีแนวโน้มอ่อนค่าอีก และไม่มั่นใจรัฐบาลผสมจะดูแลเศรษฐกิจได้ ส่วนผู้ประกอบการต้องปรับตัวรองรับ

แหล่งข่าวนักค้าเงินธนาคารพาณิชย์ กล่าวว่า ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุด(24 ม.ค.)เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 33.05 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากแรงขายดอลลาร์ของผู้ส่งออกที่ยังมีเข้ามามาก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการขายตามความจำเป็นในการใช้เงินสำหรับทำธุรกิจ ขณะเดียวกัน ยังมาจากมุมมองที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)น่าจะลดดอกเบี้ยลงอีกในปลายเดือนนี้ ซึ่งจะทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าอีก

ทั้งนี้ หากมุมมองของนักลงทุนต่อการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดยังมีต่อไป เงินบาทจะยังมีทิศทางแข็งค่าต่อ แต่ขึ้นอยู่กับการแทรกแซงของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ด้วยเช่นกัน โดยวานนี้ธปท.พยายามซื้อดอลลาร์เพื่อไม่ให้เงินบาทแข็งค่ากว่า 33.05 ซึ่งจะถือเป็นระดับแนวต้านของเงินบาทในวันนี้(25 ม.ค.)ด้วย

"ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ช่วงเช้าเปิดขึ้นมา 33.12/14 แล้วสักพักก็ลงมา(แข็งค่า) แล้วก็ไม่ค่อยไปไหน ตลาดมัน overprice ไปมาก หลังจากที่เฟด cut rate ไปแล้ว ก็มี potential ที่จัด cut อีก" นักค้าเงินกล่าว

ด้านนายชวินทร์ ลีนะบรรจง อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอยทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ย่อมกระทบต่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และไม่รู้ว่าธปท.จะแทรกแซงได้ถึงเมื่อไร ตราบใดที่เรายังใช้ระบบเงินบาทลอยตัวแบบบริหารจัดการ เมื่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอีกก็ต้องใช้เงินจำนวนมากเข้าไปแทรกแซง

ดังนั้น จึงอยากให้เปลี่ยนทัศนคติใหม่ปล่อยให้เงินบาทลอยตัวแบบอิสระเหมือนกับเงินเยนของญี่ปุ่น และเงินเกาหลี เพราะไม่ต้องมีภาระเข้าแทรกแซง แต่ต้องดูแลป้องกันความเสี่ยง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ต้องใช้อำนาจให้ ธปท.หยุดแทรกแซง และเปลี่ยนแนวทางใหม่ไม่เช่นนั้นจะมีผลกระทบอีกมาก

ทั้งนี้ การอิงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มลดลงไปถึงร้อยละ 1-2 เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯต้องการรักษาไม่ให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่ามากเกินไป ดังนั้นไทยยังจะอิงอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯต่อไปหรือไม่ หรือว่าจะแยกออกมาเป็นอิสระ เพราะดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงจะไปกดดันให้เงินสกุลอื่นแข็งค่า ดังนั้น หากไม่ต้องการให้เงินบาทแข็งค่าเกินไปก็ต้องแยกออกมาเป็นอิสระ

ส่วนผู้ประกอบการต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในอนาคต เพราะต่อไปการเคลื่อนไหวของเงินบาทไม่ใช่มาจากดุลบัญชีเดินสะพัดจากการค้าขายสินค้าเป็นหลักแล้ว แต่ได้เปลี่ยนมาเป็นแรงผลักดันจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีส่วนสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องเปลี่ยนแนวทางในการดูแล
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news25/01/08

โพสต์ที่ 312

โพสต์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาด สัปดาห์หน้า ตลาดเงินทรงตัว แต่อาจผันผวนสั้น ๆ จากการประชุม FED 29 -30 มค.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, January 25, 2008

อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นทรงตัว ท่ามกลางสภาพคล่องในตลาดเงินที่ยังมีอยู่มาก ขณะที่ยังไม่มีปัจจัยความต้องการใช้เงินมากนักในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ประเภทกู้ยืมข้ามคืน (Overnight) หนาแน่นทั้งสัปดาห์อยู่ที่ระดับ 3.20% เทียบกับ 3.20 - 3.22% ในสัปดาห์ก่อน

ส่วนอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะเวลา 1 วัน และ 7 วัน ปิดทรงตัวอยู่ที่ 3.25% เช่นเดียวกับธุรกรรมตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะเวลา 14 วัน

สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ประเภทอายุ 5 ปี (TH5YY) ปิดที่ระดับ 3.73% ในวันศุกร์ ดิ่งลงแรงจาก 4.09% เมื่อวันศุกร์ก่อนหน้า

การที่อัตราผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรไทยปรับลงตลอดทุกประเภทอายุ อันเป็นผลจากความกังวลที่มีต่อภาวะถดถอยในเศรษฐกิจสหรัฐ ได้นำมาซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในอัตรา 0.75% แบบเหนือความคาดหมายในคืนวันอังคาร และทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจมีโอกาสจะปรับลดลงในอนาคต ขณะที่แรงขายพันธบัตรเพื่อทำกำไรในช่วงปลายสัปดาห์ ได้ช่วยชะลอการดิ่งลงของราคาพันธบัตร

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าในสัปดาห์หน้า ซึ่งเป็นสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคม ธนาคารพาณิชย์จะมีการปิดสำรองสภาพคล่องรายปักษ์ในวันอังคาร และเข้าสู่ปักษ์ใหม่ในวันพุธ ขณะเดียวกันก็คงจะมีการเตรียมสภาพคล่องเพื่อรองรับการเบิกถอนเงินสดของลูกค้าในช่วงสิ้นเดือน

นอกจากนี้ การที่ FED จะมีการประชุมตามปกติในวันที่ 29 - 30 มกราคม และอาจมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอีกระลอก ในอัตรา 25 - 50 Basis points ทำให้อาจมีความผันผวนเกิดขึ้นได้ในระหว่างวัน แต่ไม่น่ามีผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวมมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ตลาดตอบรับข่าวการลดดอกเบี้ยนโยบายแบบฉุกเฉินไปแล้วก่อนหน้านี้
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาด สัปดาห์หน้าเงินบาทแกว่งตามข้อมูลสหรัฐรายวัน ในกรอบ 32.80-33.30 บาท ต่อ 1 $
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, January 25, 2008

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทในประเทศ (Onshore) ปรับตัวอย่างผันผวนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้นสัปดาห์เนื่องจากมีแรงซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากการแทรกแซงของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกอบกับมีแรงขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เงินบาทดีดตัวกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงที่เหลือของสัปดาห์โดยได้รับแรงหนุนจากแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออก ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐ ปรับอ่อนค่าลง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายแบบฉุกเฉินในอัตรา 0.75% ทำให้เงินบาทส่งท้ายสัปดาห์ ยืนที่ 33.03 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ใกล้เคียงกับสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ซึ่งปิดที่ 33.02 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับเงินเยน อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงต้นสัปดาห์ ตามแรงเทขายหุ้นทั่วโลก จนเงินเยนทำสถิติแข็งค่าที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่ง อย่างไรก็ตาม เงินเยนต้องลดช่วงบวกทั้งหมดลงในช่วงต่อมา และกลับไปอ่อนค่าลงในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ และปิดบริเวณ 107.70 เยน ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ วหลังจากถูกกดดันจากธนาคารกลางสหรัฐ และรัฐบาลสหรัฐ ประกาศจุดยืนในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐอย่างจริงจัง จนทำให้มีการโยกเงินเข้าลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภท แต่โดเด่นในตลาดโภคภัณฑ์ และตลาดหุ้น

แต่เบ็ดเสร็จแล้ว เงินเยนปรับแข็งค่าขึ้นจาก 106.74 เยน ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ในวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้านั้น ขึ้นมาเกือบ 1 เยน

ด้านเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงต้นสัปดาห์ ตามแรงเทขายหุ้นทั่วโลก และแข็งค่ามากขึ้นอีก หลังจากนายแอกเซล เวเบอร์ สมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) แสดงความเห็นในเชิงแข็งกร้าวต่อภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ตลาดลดการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB ลงมาตาม FED โดยปิดตลาดยุโรปวันศุกร์ เงินยูโรปรับแข็งค่าจาก 1 ยูโร ต่อ 1.4609 ดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นมาเป็น 1.4718 ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์หน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เงินบาทซื้อขายในประเทศ น่าจะแกว่งตัวในกรอบระหว่าง 32.80 - 33.30 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจัยที่ควรจับตาเป็นพิเศษ ประกอบไปด้วย แรงขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออก การเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติ สัญญาณการเข้าแทรกแซงตลาดของ ธปท. ตลอดจนทิศทางของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะแปรผันตามผลการประชุม FED และการประกาศตัวเลขสำคัญเศรษฐกิจสหรัฐ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน และดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐานเดือนธันวาคม 2550

นอกจากนี้ ยังจะมีตัวเลขการจ้างงาน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตนิวยอร์ก และเขตชิคาโก และดัชนี ISM ภาคการผลิต ประจำเดือนมกราคม รวมไปถึงการประกาศตัวเลขอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจประจำไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะมีผลต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับเงินกสุลหลัก ๆ ของโลกตามมา  
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news28/01/08

โพสต์ที่ 313

โพสต์

ดอกเบี้ยถ่างเงินนอกเฮโลเข้า

โพสต์ทูเดย์ หวั่นเฟดลดดอกเบี้ย หนุนต่างชาติเข้าเก็งกำไรเงินบาทขนเงินใหม่ลงในหุ้นผัน เงินเก่าเข้าตราสารหนี้เลี่ยงกันสำรอง 30%


นายสันติ กีระนันทน์ ผู้จัดการตลาดตราสารหนี้ (BEX) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การประชุมของธนาคารกลาง (เฟด) ที่จะมีขึ้นในปลายเดือน ม.ค. นี้มีความเป็นไปได้จะลดดอกเบี้ยลงอีก 0.5% ทำให้อัตราดอกเบี้ยเหลือเพียง 3% ซึ่งต่ำกว่าดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรประเภท 1 วัน (อาร์พี) ของไทย ซึ่งอยู่ที่ 3.25% จึงอาจทำให้เกิดเงินทุนไหลเข้าในไทย เพื่อเก็งกำไรค่าเงินบาท และหาผลตอบแทนที่สูง

ผู้จัดการตลาดตราสารหนี้ กล่าวว่า การหาผลตอบแทนจากส่วนต่างดอกเบี้ย จะเกิดขึ้นในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งถ้าเงินต่างประเทศไหลก้อนใหม่เข้าตลาดนี้โดยตรง จะติดมาตรการกันสำรองเงิน 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

ดังนั้น นักลงทุนต่างชาติอาจจะขายเงินลงทุนที่มีอยู่แล้วในตลาดหุ้นแล้วโยกไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้แล้วนำเงินใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นแทนเพื่อหลีกเลี่ยงการวางเงินสำรอง 30%

สิ่งเหล่านี้ทุกคนก็กังวลอยู่หากดอกเบี้ยเราสูงกว่าสหรัฐจะยิ่งทำให้เงินบาทแข็งค่าและถือเป็นการเก็งกำไรค่าเงินอย่างชัดเจน ซึ่งอาจทำให้ ธปท.ต้องออกมาตรการสกัดเงินทุนแต่คงไม่ออกมาตรการเหมือนกับกันสำรอง 30% อีกแล้ว แต่จะเป็นการใช้มาตรการการเงินแท้จริงด้วยการลดดอกเบี้ย

นายสันติ ประเมินว่า ตลอดปีนี้เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยลงได้อีก 1% แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าปัญหาซับไพรม์ที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด และทำให้ประเทศไทยอาจมีการลดดอกเบี้ยลงอีก ซึ่งจะทำให้ตลาดตราสารหนี้กลายเป็นแหล่งระดมทุนสำคัญของบริษัทจดทะเบียน และจะกระตุ้นให้ตลาดตราสารหนี้มีความคึกคักมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม อยากให้ภาครัฐใช้ประโยชน์จากกรณีเงินบาทแข็งค่าโดยกระตุ้นให้มีการชำระหนี้ต่างประเทศ

ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการประชุมพิจารณาเรื่องดอกเบี้ยในวันที่ 27 ก.พ. นี้ หลังจากตรึงดอกเบี้ยที่ 3.25% มานานเพราะกังวลถึงภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น แต่รอบนี้ตลาดคาดว่าเป็นไปได้สูงที่อาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยตามเฟดและธนาคารกลางของหลายประเทศ

ก่อนหน้านี้ นายชาติชัย พาราสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนชาตประกันชีวิต กล่าวว่า มีความเป็นไปได้อย่างละ 50% ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดหรือไม่ลดดอกเบี้ย

สำหรับประเด็นสำคัญที่ ธปท. ต้องประเมิน คือกรณีเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว จะส่งผลกระทบกับภาคการส่งออกเพียงใด ถ้าภาคส่งออกมีแนวโน้มได้รับผลกระทบ ธปท. คงต้องลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยส่งออก

อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อขณะนี้แม้ ไม่สูงจนน่ากลัว แต่ ธปท.คุมเงินเฟ้อโดยคาดการณ์ถึงแนวโน้มเงินเฟ้อ ในอนาคต สำหรับเรื่องเงินทุนเคลื่อนย้ายนั้นคงไม่ห่วงเรื่องเงินทุนไหลเข้ามากนักในตอนนี้ เพราะถึงแม้เฟดจะลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 0.5% ดอกเบี้ยสหรัฐก็จะอยู่ที่ 3% ต่ำกว่าไทยที่อยู่ 3.25% ซึ่งถือว่า ไม่มาก

ถ้าไม่มีเหตุการณ์ที่เฟดลดดอกเบี้ย 0.75% ผมมองว่ามีโอกาสถึง 99% ที่ ธปท.ต้องขึ้นดอกเบี้ย แต่มาตอนนี้ความเป็นไปได้อยู่ที่ 50 : 50 เท่านั้น นายชาติชัย กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=217360
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news28/01/08

โพสต์ที่ 314

โพสต์

นักวิเคราะห์ชี้ธุรกิจแบงก์-บล.ปีนี้สดใส แต่อาจต้องเลือกลงทุนรายตัว
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Monday, January 28, 2008
เศรษฐกิจสหรัฐฯส่อแววทรุดต่อเนื่อง

นายธีระพงษ์ วชิรพงษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บล. ภัทร กล่าวว่า เมอร์ริล ลินช์ ซึ่งเป็นพันธมิตรธุรกิจของ บล. ภัทร คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มที่ไม่สดใสนัก โดยอาจขยายตัวได้เพียง 0.8% จากเดิมที่คาดไว้ว่าจะเติบโต 1.7% ขณะที่เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐก็ยังมีทิศทางที่อ่อนตัวลงได้อีก จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯปรับอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 1% ภายในสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยอาจไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ชะลอลง เพราะที่ผ่านมานั้น ดัชนีหุ้นไทยไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากจากปัญหาภายในประเทศ ส่งผลให้ราคาหุ้นยังถูกพอสมควร

สำหรับไทยที่ลดการพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯน้อยลง และเน้นส่งออกไปประเทศเกาหลี จีน และญี่ปุ่นแทนแล้ว จึงมองได้ว่าภาคการส่งออกของไทยอาจไม่แย่ตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ หากประเทศในเอเชียยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ก็ยังคงต้องคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐด้วย

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. นครหลวงไทย เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นได้ใน 6 เดือนแรกของปีนี้ เพราะยังมีปัจจัยลบอีกหลายประการนอกเหนือจากปัญหา Subprime ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปีก่อน ส่วนอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ก็ยังมีแนวโน้มที่ไม่แตกต่างจากปี 2550 มากนัก

นอกจากนี้ นายสุกิจเชื่อว่า แม้ว่าดัชนีหุ้นไทยในปี 2551 มีปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 900-930 จุด แต่ก็อาจได้รับผลกระทบจากความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯได้เช่นกัน

นักลงทุนยังกังวลทั้งปัจจัยนอก-ในที่จ่อคิวรุมเร้า

นายสุวัฒน์ บำรุงชาติอุดม ผู้จัดการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. บัวหลวง เชื่อว่า การที่สถาบันการเงินชื่อดังหลายแห่งในต่างประเทศมีผลการดำเนินงานขาดทุนในปีที่แล้ว เช่น Morgan Stanley และ Merrill Lynch ขณะที่นักลงทุนสถาบันต่างชาติยังเร่งเทขายสินทรัพย์ทั่วโลกออกมาอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ดัชนีหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มเป็นขาลงไปจนกว่าปัญหา Subprime จะยุติ และยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามด้วยว่าเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์ออกมานั้น จะไหลไปอยู่ที่ใด

ทั้งนี้ ลูกค้าต่างประเทศของบล. บัวหลวงยังคงกังวลเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองของไทย แม้ว่าจะจัดตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากแรงขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในระยะนี้เริ่มทยอยลดลงแล้ว จึงเชื่อว่าตลาดจะมีแนวโน้มดีขึ้นได้ โดยในปี 2550 ที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น โลหะ น้ำมันได้รับผลดีจากดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัว แต่ในปีนี้ธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนสูงขึ้น เพราะภาระการตั้งสำรองลดลง แต่ก็ควรติดตามประสิทธิภาพในการทำกำไรของแต่ละธนาคารด้วย

เชื่อแบงก์ไทยมีแนวโน้มดีขึ้นแต่ต้องติดตามปัจจัยของแต่ละธนาคาร

นายสุวัฒน์เชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2551 มีแนวโน้มถดถอยอย่างแน่นอน แต่โชคดีที่ธนาคารพาณิชย์ไทยลงทุนในตราสาร CDO ที่เกิดปัญหาน้อยมาก และยังได้ตั้งสำรองไปหมดแล้ว ขณะที่การตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่ IAS39 ยังมีแนวโน้มลดลงอีกด้วย จึงเชื่อว่าผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปีนี้จะดีขึ้น แต่ยังคงต้องติดตามมาตรการของภาครัฐว่าจะช่วยให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนและการบริโภคเพิ่มขึ้นหรือไม่ แต่หากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ก็จะขึ้นอยู่กับการรับมือของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ นายสุวัฒน์เชื่อว่า ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่มีจำนวนสาขามากจะได้เปรียบกว่าธนาคารขนาดเล็ก เพราะสามารถให้บริการได้ครบวงจรและทั่วถึงมากกว่า และเมื่อประกาศใช้พ.ร.บ.ประกันเงินฝากแล้ว ประชาชนก็ยังมีความมั่นใจในธนาคารขนาดใหญ่มากกว่าธนาคารขนาดเล็กด้วย

ด้านนายสุกิจกล่าวว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์มีมูลค่าตลาดสูงเป็นอันดับที่ 2 รองจากกลุ่มพลังงาน จึงได้รับผลกระทบจากการเข้าออกของเงินทุนต่างชาติด้วยเช่นกัน และแม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ถดถอย แต่ก็อาจได้รับผลกระทบจากภาพรวมได้เช่นกัน จึงคาดหวังผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้นในขณะนี้ได้ยาก แต่ปัจจัยพื้นฐานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็ยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี ดังนั้น หากต้องการลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ ก็ควรติดตามลักษณะการทำธุรกิจของธนาคาร ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ประเภทของลูกค้าสินเชื่อด้วย ซึ่งจะมีผลต่อประสิทธิภาพในการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์ และจะชดเชยความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจไม่ดีนักได้

เผยมีหุ้นแบงก์หลายตัวที่มีแนวโน้มสดใสในปี 2551-2552

นายสุกิจกล่าวว่า ในขณะนี้บมจ. ธนาคารทหารไทย (TMB) อยู่ระหว่างการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น จึงอาจเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไปว่า TMB จะใช้กลยุทธ์ธุรกิจใหม่อย่างไร ที่จะสะสางภาระหนี้ที่มีอยู่ให้หมด เพื่อผลักดันให้บริษัทมีทิศทางที่ดีขึ้น

ขณะที่บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และ บมจ. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) นั้น ยังมีอัตราการเติบโตที่ดีจากนโยบายธุรกิจและการตลาดที่โดดเด่น ขณะที่สินเชื่อรายย่อยยังมีแนวโน้มที่ขยายตัวอีกมาก จึงเชื่อว่ากำไรในปี 2551 จะเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2550 ได้

ด้านนายธีระพงษ์กล่าวว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์โดยเฉพาะ บมจ. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และ บมจ. ธนาคารกรุงไทย (KTB) มีแนวโน้มของผลประกอบการที่จะสดใสในปีนี้และปีหน้า เพราะมียอดตั้งสำรองน้อยลงหรือไม่มีเลย


คาดปริมาณการซื้อขายหุ้นปี 2551 อาจใกล้ปี 2550

นายสุวัฒน์เชื่อว่า ปริมาณการซื้อขายในตลาดของปีนี้มีแนวโน้มใกล้เคียงปี 2550 แต่ตัวแปรสำคัญที่จะมีผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทหลักทรัพย์ คือ จำนวนหุ้นที่บริษัทหลักทรัพย์จะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในไทยก็ยังเพิ่มขึ้น ดังนั้น บริษัทหลักทรัพย์ที่เน้นลูกค้ารายย่อยและสถาบันภายในประเทศ ก็อาจเสียส่วนแบ่งการตลาดไปให้บริษัทหลักทรัพย์ที่มีลูกค้าต่างชาติได้ ส่งผลให้ บล. ภัทร ที่ฐานรายได้ทั้งลูกค้าต่างชาติและภายในประเทศ และยังมีแนวโน้มนำหุ้นเข้าตลาดขนาดใหญ่ได้อีกหลายบริษัท จึงอาจทำให้ได้รับประโยชน์ในปีนี้

อย่างไรก็ตาม หากกลุ่มหุ้นมูลค่าตลาดสูง (Big Cap) ขยายตัวมากไปแล้ว จะทำให้บริษัทหลักทรัพย์ที่เน้นลูกค้ารายย่อยจะได้รับประโยชน์แทน โดยเฉพาะ บล. เคจีไอ เนื่องจากมีการกระจายฐานลูกค้าที่ดี มีขนาดเล็ก แต่ธุรกิจหลักทรัพย์ก็ยังมีความเสี่ยงจากการเปิดเสรีทางการเงินอีกด้วย

ด้านนายสุกิจกล่าวว่า หุ้นของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์นั้น จะเลือกลงทุนได้ยาก เพราะเป็นธุรกิจที่ผันผวน จึงต้องมองในระยะสั้น และต้องพิจารณาคุณภาพหุ้นด้วย โดยในภาวะที่ตลาดมีแนวโน้มขาลง ก็จะมีผลให้ธุรกิจมีทิศทางที่ไม่ดีนัก แต่ก็ถือเป็นโอกาสที่สามารถเข้าไปลงทุนในหุ้นที่มีราคาถูกได้เช่นกัน

ทั้งนี้ สามารถแบ่งธุรกิจหลักทรัพย์ ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

- กลุ่มที่พึ่งพาลูกค้าต่างประเทศหรือมีพันธมิตรเป็นต่างประเทศ เช่น บล. ภัทร ก็ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อไป
- บริษัทหลักทรัพย์ที่ถือหุ้นโดยธนาคารพาณิชย์ เป็นกลุ่มที่ดีในระยะยาว และจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการเงิน เนื่องจากมีต้นทุนการหาลูกค้าต่ำ
- บริษัทหลักทรัพย์ที่เกิดขึ้นเองหรือไม่ได้มีพันธมิตรธุรกิจ ในอนาคตอาจเห็นการควบรวมกิจการกันได้มากขึ้น

ทั้งนี้ นายสุกิจเชื่อว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นนายหน้าซื้อขายตราสารอนุพันธ์ด้วยจะสามารถขยายตัวได้เร็ว และจะเป็นฐานรายได้ที่สำคัญของธุรกิจในอนาคต เนื่องจากนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดอนุพันธ์เองก็ได้รับการพัฒนาตลอดเวลา โดยบล. นครหลวงไทยแนะนำ บล. บัวหลวง บล. ภัทร และ บล. เคจีไอ เพราะมีจุดแข็งด้านการเป็นนายหน้าค้าอนุพันธ์

แนะต้องลงทุนระยะยาว

นายธีระพงษ์และนายสุวัฒน์แนะนำนักลงทุนด้วยว่า หากนักลงทุนต้องการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น ก็ควรใช้เงินออมมาลงทุน และไม่ควรเป็นเงินที่จำเป็นต้องใช้ในอนาคต ขณะที่ควรพิจารณาผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุนล่วงหน้า และต้องลงทุนระยะยาวด้วย

ด้านนายสุกิจกล่าวเสริมว่า ประเทศไทยผ่านพ้นจุดวิกฤติเศรษฐกิจมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งก็จะเห็นบริษัทจดทะเบียนที่สามารถทำกำไรได้ในสถานการณ์ดังกล่าว จึงถือเป็นหุ้นที่ควรเลือกลงทุน โดยมั่นใจว่าตลาดหุ้นไทยยังมีคุณภาพที่ดี แม้อาจเป็นการลงทุนที่ยาวนาน แต่ในที่สุดก็จะสร้างผลตอบแทนกลับคืนมาได้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Sto ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news29/01/08

โพสต์ที่ 315

โพสต์

หุ้นแบงก์เรียงแถวรับข่าวดี

โบรกประสานเสียงเชียร์ซื้อหุ้นแบงก์หลังการเมืองคืบหน้า คาดได้นายกคนใหม่นโยบายเศรษฐกิจคลอดไม่เกินมี.ค.ส่วนโครงการภาครัฐน่าจะผุดได้ไม่เกินไตรมาส 2 เอื้อสินเชื่อแบงก์พุ่งพรวด ส่วนหุ้นราคาถูกน่าสนใจ ยังหนีไม่พ้นพี่เบิ้ม  KBANK SCB BBL ส่วนแบงก์กลาง BAY และ SCIB แนะ ซื้อ ก่อนตกขบวน
    นายณาศิส ประเสริฐกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ฟาร์อีส จำกัด กล่าวว่าหลังจากการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีผ่านไปเป็นที่เรียบร้อย ทำให้การเมืองมีความคืบหน้า และคาดว่ารัฐบาลน่าจะประกาศนโยบายทางเศรษฐกิจได้ภายในเดือนมีนาคม 2551 นี้ และโครงการลงทุนของภาครัฐน่าจะเริ่มเป็นรูปธรรมภายในไตรมาส 2/2551
ทั้งนี้หากโครงการภาครัฐเริ่มคืบหน้าจะเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มธนาคาร พาณิชย์และ อสังหาริมทรัพย์รวมทั้งกลุ่มวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จะมีอัตราการเติบโตของสินเชื่อในปี 2551 ดีขึ้น โดยคาดว่าในปี 2551 สินเชื่อของทั้งกลุ่มจะเติบโต 7.21% เนื่องจากมีโครงการภาครัฐเข้ามาสนับสนุน และคาดว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่จะมีอัตราการเติบโตของสินเชื่อสูงกว่าค่าเฉลี่ยของระบบ ส่วนอัตราการเติบโตทางผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้คาดว่าจะเติบโตที่ 4.5-6%
นอกจากนี้มองว่าราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้ปรับลดลงมามากแล้วเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีปัจจัยต่างประเทศกดดัน โดยเฉพาะปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) แต่มองว่านโยบายการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะช่วยผ่อนคลายปัญหาซับไพร์มได้ แม้จะไม่เห็นผลในทันที แต่ถือว่าเป็นปัจจัยบวก จึงมองว่าหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์เริ่มมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนซึ่งกลยุทธ์การลงทุนสามารถทยอยสะสมได้
อย่างไรก็ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มีความคล้องตัวในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้มากขึ้น โดยคาดว่าในปีนี้ ธปท.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีกประมาณ 0.50-1.00% ซึ่งการปรับอัตราดอกเบี้ยลงจะส่งผลดีต่อการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์
สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) SCB ให้ราคาเป้าหมาย 98.50 บาท  ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) KBANK ให้ราคาเป้าหมายที่ 102.00 บาท จากทิศทางการเติบโตของสินเชื่อที่ดี รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมมีแนวโน้มเติบโตสูง ส่วนธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)หรือจะได้รับผลดีจากสินเชื่อรายใหญ่ที่มีสัญญาณฟื้นตัว และสินเชื่อภาครัฐที่จะเข้ามา
    ส่วนธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) BAY ในปีนี้มีความน่าสนใจเพราะจะฟื้นตัวจากการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง รวมถึงมีฐานสินเชื่อต่ำในปีที่ผ่านมา
ด้านนางสาวสุกัญญา อุดมวรนันท์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) กล่าวว่าปัจจัยพื้นฐานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปีนี้น่าสนใจกว่าปีที่ผ่านมา เพราะทิศทางการทำธุรกิจดีขึ้น รวมถึงราคาหุ้นที่ปรับลดลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับต้นปี ทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับราคาขึ้นได้อีกสูง โดยฝ่ายวิจัยแนะนำ KBANK และ SCB แต่จะต้องดูภาวะตลาดหุ้นประกอบการลงทุนเพราะมีผลต่อราคาหุ้นที่เคลื่อนไหว
นอกจากนี้มองว่าธนาคารนครหลวงไทย จำกัด(มหาชน) SCIB ถือว่าเป็นอีกธนาคารที่มีความน่าสนใจ เพราะราคาหุ้นปรับลดลงมามาก หลังจากประกาศผลการดำเนินงานปี 2550 ออกมาขาดทุน แต่ในปีนี้มองว่าน่าจะกลับมาเติบโต รวมถึงจะได้ประโยชน์จากเรื่องการหาพันธมิตร โดยฝ่ายวิจัยให้ราคาเป้าหมาย 18.60 บาท
http://www.thunhoon.com/home/
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news29/01/08

โพสต์ที่ 316

โพสต์

สกัดบาทแข็งให้ถือดอลล์1ปี

โพสต์ทูเดย์ ธปท. สกัดบาทแข็ง ประกาศผ่อนปรนการถือครองเงินเหรียญสหรัฐให้ผู้ส่งออกยาวถึง 360 วัน


นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.จะดูแลอัตราแลกเปลี่ยน และเงินทุนเคลื่อนย้ายไม่ให้กระทบกับการแข็งค่าของเงินบาทที่รวดเร็วจนเกินไปอย่างเต็มที่

ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ในปีนี้ ธปท.จะสนับสนุนการเคลื่อนย้ายของเงินทุนขาออกต่อไป เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างเงินทุนขาออกกับขาเข้ามากขึ้น โดยจะผ่อนคลายให้ผู้ประกอบการส่งออกสามารถถือครองเงินเหรียญสหรัฐได้นานขึ้นถึง 360 วัน จากเดิมที่กำหนดไว้แค่ 120 วัน

ทั้งนี้ ล่าสุดกระทรวงการคลังได้อนุมัติแล้ว แต่ยังรอประกาศในราชกิจจานุเบกษาก่อนที่จะมีผลบังคับใช้

นอกจากนี้ จะผ่อนผันวงเงิน และเพิ่มช่องทางการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งรายละเอียด และหลักเกณฑ์ยัง อยู่ในระหว่างการพิจารณาร่วมกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)

อย่างไรก็ตาม ภายใต้วิกฤต การเงินในขณะนี้ พบว่าเงินทุนไหล เข้า และไหลออกนอกประเทศและภูมิภาคอย่างอย่างรวดเร็ว และผันผวน ตามปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และการขาดดุลการคลังเรื้อรังของสหรัฐ ส่งผลให้เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าต่อเนื่อง และปัญหา ซับไพรม์ยังเริ่มขยายวงกว้างสู่ภาคเศรษฐกิจจริง ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวรุนแรงมากขึ้น

ทั้งหมดนี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายหลั่งไหลสู่ภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจะส่งผลกระทบให้อัตราแลกเปลี่ยนทั้งเงินบาท และเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาคแข็งค่า และมีความผันผวนมากขึ้น จึงอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องบริหารความเสี่ยง โดยทำประกันความเสี่ยงไว้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ

ภายใต้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน เราไม่สามารถตั้งเป้าได้ว่าค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับใด แต่จะพิจารณาค่าเงินบาทเทียบกับค่าเงินของหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศคู่ค้า และคู่แข่งที่สำคัญของไทย โดยเทียบเคียงจากดัชนีค่าเงินบาท (NEER) เพื่อให้ค่าเงินบาทมีความยืดหยุ่น และแข่งขันได้

ทั้งนี้ ในปี 2550 ยอดการส่งออกของไทยมีทั้งสิ้น 1.56 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในทางปฏิบัติ แม้ ธปท.จะยืดระยะเวลาในการถือครองเงินเหรียญสหรัฐออกไป แต่ถ้าผู้ส่งออกประเมินว่าค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในระยะอันใกล้ หรือช่วงใด ก็ต้องแปลงเป็นเงินบาทเพื่อทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในแต่ละช่วงก่อน แทนที่จะถือครองไปตลอด 1 ปี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=217490
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news28/01/08

โพสต์ที่ 317

โพสต์

ขายพ่วงนครหลวง-บีที

โพสต์ทูเดย์ ธนาคารนครหลวงไทย หารือกระทรวงการคลังจ้างที่ปรึกษา หาพันธมิตรควบรวม แย้มมีแพ็กเกจขายพ่วงธนาคารไทยธนาคาร


แหล่งข่าวจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เปิดเผยว่า นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย ได้เข้าหารือกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลัง เพื่อขอความเห็นชอบในการจ้างที่ปรึกษาทางการเงินให้มาวางแผนธุรกิจ รวมทั้งวางแผนหาพันมิตรใหม่เข้ามาถือหุ้นธนาคารเพื่อเสริมศักยภาพ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีสถาบันการเงินต่างประเทศหลายแห่ง ทั้งสถาบันการเงินของประเทศมาเลเซีย และออสเตรเลีย แสดงความสนใจเข้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับธนาคารนครหลวงไทย แต่ยังไม่ได้หารืออย่างเป็นทางการ

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า สาเหตุที่มีสถาบันการเงินสนใจซื้อธนาคารนครหลวงไทย เนื่องจากเป็นธนาคารที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจที่ครบวงจร

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังได้ให้แนวทางว่า ธนาคารนครหลวงไทยควรมองหาพันธมิตรภายในประเทศด้วย เพราะตอนนี้มีธนาคารพาณิชย์หลายแห่งที่สนใจจะเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อควบรวมกิจการ และยกฐานะเป็นธนาคารอันดับ 1 ของประเทศไทย เพราะปัจจุบันสินทรัพย์ของธนาคารนครหลวงไทยยังเป็นธนาคารระดับกลาง

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน มีแผนการขายหุ้นธนาคารนครหลวงไทยให้กับผู้ที่สนใจหลายแนวทาง เช่น ขายหุ้นธนาคารหลวงไทย และธนาคารไทยธนาคาร (บีที) ที่กองทุนฟื้นฟูฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แยกออกจากกัน หรือผู้ที่สนใจซื้อหุ้นธนาคารนครหลวงไทย ต้องซื้อหุ้นธนาคารไทยธนาคารด้วย เพื่อรวมเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่

นายปลิว มังกรกนก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทิสโก้ ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ว่า ผู้บริหารของธนาคารทิสโก้ ได้หารือกับผู้บริหารกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพื่อขอซื้อหุ้นธนาคารไทยธนาคาร และนำมา ควบรวมกับธนาคารทิสโก้ เพื่อขยายฐานลูกค้า และสาขาให้ใหญ่ขึ้น รวมทั้งยกระดับเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางนั้น ขอเรียนว่า ธนาคารแสดงความสนใจเข้าหารือกับผู้บริหารกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ในช่วงที่ธนาคารไทยธนาคารกําลังดําเนินการหาพันธมิตรทางธุรกิจและเพิ่มทุนจริง

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ธนาคารไทยธนาคารเพิ่มทุนได้สำเร็จแล้ว ธนาคารทิสโก้ก็มิได้ดำเนินการเรื่องนี้ต่อแต่ประการใด
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=217487
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news29/01/08

โพสต์ที่ 318

โพสต์

3แบงก์ใหญ่รับเพิ่ม6พันคน สวนทางเศรษฐกิจขาลง

สามแบงก์ใหญ่สวนกระแสเศรษฐกิจขาลง ปีนี้ตั้งเป้าโตไม่หยุดแห่รับคนเพิ่ม กสิกรไทยเปิดศึกดูดพนักงานใหม่ 2,500 คน ใช้วิธี "เพื่อนแนะนำเพื่อน" กลยุทธ์จ่ายผลตอบแทนล่อใจ 2,000-20,000 บาท แบงก์ไทยพาณิชย์รับเพิ่ม 1,300 คน ค่ายบัวหลวงรับอีก 2,000 คน ลุยเปิดสาขาเพิ่มช่องทางขายชิงเค้กลูกค้า SMEs แบงก์เล็ก"ธนชาต-ทิสโก้" ไม่น้อยหน้ารับพนักงานขายกว่า 400 คน

งานดีมีบอกต่อ - กิจกรรมของฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล ธนาคารกสิกรไทย ตั้งโต๊ะป่าวประกาศให้เพื่อนๆพนักงานช่วยกันบอกต่อในโครงการ "งานดีมีบอกต่อ" บริเวณห้องโถงชั้น 1 สำนักงานใหญ่ โดยจะรับพนักงานเพิ่มอีกประมาณ 2,500 คน

ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย เงินเฟ้อสูง ดีมานด์ในประเทศต่ำ หลายอุตสาหกรรมต่างพยายามลดต้นทุนเพื่อพยุงตัว บางแห่งถึงกับต้องลดจำนวนพนักงานลง แต่สำหรับอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ถือเป็นกลุ่มที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ที่แม้ต้องเจอมาตรการกันสำรองตามมาตรฐานบัญชี IAS39 แต่เมื่อสิ้นไตรมาส 4/50 แต่ละแห่งก็รายงานผลประกอบการที่โดดเด่น อาทิ ธนาคารกรุงเทพรายงานกำไรสุทธิ 19,101 ล้าน เพิ่มขึ้น 2,241 ล้านบาท หรือ 13.3% ขณะธนาคารกรุงไทยที่แม้จะมีภาระสำรองหนี้เสียเพื่อให้เป็นไปตาม IAS39 ถึง 19,500 ล้านบาท ก็ยังแสดงผลกำไรสุทธิ 6,113 ล้านบาท ธนาคารไทยพาณิชย์โชว์กำไร 17,356 ล้านบาท สูงขึ้น 31% และธนาคารกสิกรไทยมีกำไร 15,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.81%

เมื่อสำรวจแผนการดำเนินงานปี 2551 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ พบว่า แม้แต่ละแห่งจะมองว่ายังคงมีปัจจัยเสี่ยงอยู่มาก แต่ธนาคารยังคงตั้งเป้ารุกอย่างต่อเนื่อง แม้อัตราการขยายตัวอาจจะไม่สูงกว่าปี 2550 แต่ก็ยังมุ่งขยายตัว ปรับโครงสร้าง ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และปรับปรุงการบริการลูกค้า ทั้งในส่วนของธนาคารขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก โดยส่วนหลักๆ ที่ธนาคารแต่ละแห่งจะขยายตัวมากพร้อมๆ กัน คือ ช่องทางสาขา และสายงาน SMEs ทำให้มีการประกาศรับพนักงานมาเสริมในส่วนนี้จำนวนมากตามไปด้วย

กสิกรไทย "งานดีบอกต่อ"

ธนาคารกสิกรไทยซึ่งเป็นผู้นำด้านสินเชื่อ SMEs มาประมาณ 2 ปี และปีนี้จะมีการรุกด้านรายย่อยมากขึ้น โดยการขยายการเติบโตของทั้งสองส่วนประมาณ 20% และ 10-15% ตามลำดับ ทำให้ปีนี้มีเป้าหมายจะรับพนักงานเพิ่ม 2,500 คน

นายประสิทธิ์ องอาจตระกูล รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานทรัพยากรบุคคล ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปีนี้ธนาคารจะรับพนักงานเพิ่มอีก 2,500 คน แต่จะตามเป้าหมายหรือไม่คงขึ้นอยู่กับภาวะตลาดและจำนวนคนมาสมัครด้วย แต่คาดว่าทั้งปีคงมีพนักงานเพิ่มขึ้นประมาณ 2,300 คน เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมาที่ประกาศรับไป 2,200 คน แต่ก็มีพนักงานเพิ่มขึ้น 1,900 คน

"ธนาคารเป็นอุตสาหกรรมที่ยังเติบโตไปได้ตามภาวะธุรกิจบางกลุ่มที่ยังเติบโต เช่น กลุ่มของ SMEs ซึ่งเป็นส่วนที่ต้องการกำลังเสริม ตอนนี้ทุกคนถือว่าทำงานหนัก และที่สำคัญมากส่วนหนึ่งคือสาขาที่จะเปิดเพิ่มประมาณ 60 สาขา ก็ต้องการคนเข้าไปเสริม เพราะสาขาถือเป็นจุดขายสำคัญ ถ้าคิดเป็นสัดส่วนของการรับเข้าก็จะมาอยู่ในส่วนสาขาประมาณ 1,000 คน SMEs 200 คน และที่เหลือจากนั้นก็จะกระจายไปอยู่ส่วนต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาเวลาให้ข่าวออกไป บางคนก็ตั้งข้อสังเกตว่าแบงก์สร้างข่าวหรือเปล่า ทั้งที่จริงๆ แล้วเรารับคนเพิ่มขึ้นมากจริง"

นายประสิทธิ์กล่าวว่า การที่ธนาคารหลายแห่งเปิดรับสมัครพนักงานใหม่จำนวนมากพร้อมๆ กันส่งผลให้มีการแย่งคนกันเกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อระดับเงินเดือนที่ธนาคารต้องเสนอ แต่มีการพูดคุยระหว่างธนาคารด้วยกันว่าต้องไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาก เพราะแต่ละแห่งต้องคำนึงถึงพนักงานที่ทำงานอยู่ก่อนด้วย ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าพนักงานใหม่เข้ามาจะเงินเดือนมากกว่าคนเก่า

นอกจากการประกาศรับสมัครผ่านสื่อต่างๆ แล้ว ธนาคารกสิกรไทยยังให้พนักงานของธนาคารแนะนำคนจากภายนอกให้เข้ามาด้วยภายใต้โครงการ "งานดีมีบอกต่อ" โดยพนักงานที่แนะนำจะได้รับรางวัลทั้งเงินและของขวัญอื่นๆ ตำแหน่ง ผู้บริหาร (ระดับผู้บริหารงานขึ้นไป) รางวัล K-Gift Cheque มูลค่า 20,000 บาท พร้อมตุ๊กตาที่ระลึก ตำแหน่งที่หายาก ของรางวัล K-Gift Cheque มูลค่า 10,000 บาท พร้อมตุ๊กตาที่ระลึก และตำแหน่งทั่วไป ระดับปริญญาโท ของรางวัล K-Gift Cheque มูลค่า 2,000 บาท พร้อมตุ๊กตาที่ระลึก ซึ่งรูปแบบนี้เริ่มมีธนาคารบางแห่งเลียนแบบแล้ว

ด้านธนาคารไทยพาณิชย์ที่เป็นผู้นำด้านจำนวนสาขา ปีนี้ก็มีเป้าหมายจะเปิดเพิ่มอีก 70 สาขา ทำให้สิ้นปี 2551 จะมีสาขา 944 สาขา ขณะที่กลุ่ม SMEs ก็เป็นส่วนที่ไทยพาณิชย์กำลังเติบโตก้าวกระโดด โดยปีนี้ตั้งเป้าจะขยายประมาณ 20% เทียบกับเกือบ 40% ใน 2 ปีที่ผ่านมา การเติบโต ดังกล่าวทำให้ไทยพาณิชย์จำเป็นต้องรับคนเพิ่มจำนวนมากเช่นกัน

รับพนักงานขายอื้อ

นางเสาวณี ศิริพัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการสายทรัพยากรบุคคล ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้ธนาคารจะรับพนักงานใหม่เพิ่มอีก 1,800-2,000 คน โดยเป็นสายงานหลักๆ ที่จะรับเข้ามาเป็นพนักงานขายเพื่อสนับสนุนสาขาที่จะเปิดใหม่ และเพื่อรองรับส่วนงานเอสเอ็มอีและลูกค้าธุรกิจ

นายไมเคิล แซน หวู่เซียง รองผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายกลุ่มบริหารทรัพยากรบุคคล ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปีนี้ธนาคารมีเป้าหมายจะรับ พนักงานใหม่เพิ่ม 1,300 ตำแหน่ง โดยหลักๆ จะเข้ามาเสริมในส่วนของสาขาที่ปีนี้จะเปิดอีก 70 สาขา และอีก 2 กลุ่มที่จะต้องใช้พนักงานเข้าไปเสริมมาก คือกลุ่ม SMEs ที่ขณะนี้มีการเติบโตมาก ส่วนระบบปฏิบัติการบริหารความเสี่ยงและระบบไอที

ด้านธนาคารธนชาตที่เพิ่งได้ธนาคารแห่งโนวาสโกเทีย ประเทศแคนาดา เข้ามาเป็นพันธมิตรปีนี้ ก็ตั้งเป้าหมายจะขยายมากเช่นกัน โดยเฉพาะในส่วนของสาขาที่ภายใน 3 ปีนี้จะเปิดสาขาเพิ่มเป็น 350 สาขา จากปัจจุบันที่มีอยู่ 160 สาขา ก็ต้องการรับพนักงานเพิ่มเช่นกัน

โดยนายศุภเดช พูนพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัททุนธนชาต กล่าวว่า ปีนี้ธนชาตมีเป้าหมายจะรับคนเพิ่ม 190 คนซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นไปที่พนักงานขาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ ปัจจุบันทุนธนชาตมีพนักงานอยู่ทั้งหมด 7,100 คน

ทั้งนี้สำหรับสาขาที่จะเปิดใหม่นั้น ธนาคารได้เตรียมผู้จัดการสาขาไว้พร้อมแล้ว ซึ่งมาจากทั้งคนภายในที่ได้รับการโปรโมตและมาจากภายนอก เทียบกับธนาคารบางแห่งที่ขยายสาขามากแต่ก็ยังขาดคนในส่วนนี้ เพราะระดับผู้จัดการสาขาหายากพอสมควร ส่วนเจ้าหน้าที่ไอทีก็เป็นกลุ่มที่หายากเช่นกัน ทำให้ปัจจุบันธนาคารต้องพึ่งบริษัทจากภายนอก (out source)

ด้านธนาคารทิสโก้ แม้จะเป็นธนาคารขนาดเล็กแต่ก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ปีนี้มีเป้าหมายการรับคนเพิ่มไม่น้อยไปกว่าปีที่ผ่านมา นายปลิว มังกรกนก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่า ปีที่แล้วธนาคารรับคนเพิ่มประมาณ 400 คน ทำให้ปัจจุบันธนาคารมีพนักงานประมาณ 2,300 คน โดยส่วนใหญ่ที่รับเข้ามาใหม่จะเป็นพนักงานขาย

ผลที่ตามมาคือธนาคารมีการขยายตัวของผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายผ่านพนักงานส่วนนี้จำนวนมาก ทั้งผลิตภัณฑ์การลงทุนต่างๆ เช่น เงินฝาก กองทุนรวม โดยปีนี้ธนาคารมีเป้าหมายจะรับพนักงานเพิ่มอีกไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา หรือ 400 คน ซึ่งจะมาเสริมในส่วนของทีมขายเช่นเดิม

ประกันรับตัวแทนเพียบ

นายอังกูร ศรีกัลยาณบุตร ผู้จัดการสายงานสื่อสารและองค์กร บริษัท ไทยประกันชีวิต เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าเปิดรับตัวแทนระดับหน่วยใหม่อีก 20,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่เปิดรับประมาณ 16,000 คน โดยปัจจุบันมีตัวแทนระดับหน่วยรวมประมาณ 22,000 คน พร้อมทั้งมีการปรับเพิ่มผลตอบแทนอีกเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นการขายกับตัวแทนของบริษัท

"ปีนี้เราจะรีครูตมากเพื่อรองรับเป้าหมายเบี้ยที่เราตั้งไว้ โดยจะทำผ่าน 3 โครงการ คือ โครงการวันสดใสกับไทยประกันชีวิต ที่จะเป็นการรีครูตตัวแทนจากทั่วประเทศ และโครงการไทยประกันชีวิตสัมพันธ์ ที่จะรีครูตระดับชุมชน มีการลงพื้นที่ตามหมู่บ้านต่างๆ และอะเมซิ่ง ไทยไลฟ์ จะเป็นการรีครูตในส่วนของกรุงเทพฯ โครงการเหล่านี้จะมีทั้งการอบรมเรื่องประกันชีวิต อาชีพตัวแทน กิจกรรมบันเทิงต่างๆ ต่อเนื่อง" นายอังกูรกล่าว

นายปราโมทย์ ศักดิ์กำจร ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการ บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต เปิดเผยว่า ปีนี้มีแผนจะรับตัวแทนฝ่ายขายเพิ่มขึ้น 18,000 คน จาก ณ สิ้นปีก่อนมีตัวแทน 20,0 00 คน โดยมองว่าเวลาเศรษฐกิจไม่ดี อาชีพขายประกันจะได้รับความสนใจในการสร้างรายได้เสริมค่อนข้างมาก ดังนั้นตัวแทนฝ่ายขายเดิมจะมีการแนะนำเชิญชวนเพื่อน และยังมีทีมย่อยอีกที่จะแนะนำบอกต่อเพื่อนๆ เข้ามา ปีนี้จึงเชื่อว่าจะมีตัวแทนฝ่ายเข้ามาช่วยผลักดันเป้าเพิ่มเบี้ยประกันของบริษัทขยายตัวได้ ตั้งเป้าเบี้ยรวมที่ 16,914 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากสิ้นปี 2550
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news30/01/08

โพสต์ที่ 319

โพสต์

แบงก์พาณิชย์เปิดตำราสู้ศึก
 
> ตั้งเป้าขยายสินเชื่อ/ระดมเงินฝากระยะกลาง-ยาว

จับตาทิศทางอนาคตแบงก์พาณิชย์ไทยที่ต่างแบงก์ต่างวาดฝันเอาไว้ในแผนการดำเนินงานในปี 2551 ท่ามกลางวิกฤติ แฮมเบอร์เกอร์ จากฝั่งอเมริกาที่ทุกภูมิภาคต่างได้รับ ผลกระทบกันถ้วนหน้า ขณะที่แบงก์ต่างพยายามเข็นแคมเปญสู้ แบงก์ใบโพธิ์ ตั้งเป้าขยายสินเชื่ออยู่ที่ระดับ 12-15% หรือ 1 แสนล้านบาท กลุ่ม ธนชาต ผนึกกำลังโนวาสเทีย ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อใหม่ 9 หมื่นล้านบาท พร้อมเปิด 80 สาขาแบงก์ กรุงศรีฯ ลุยแย่งแชร์ SMEs ค่าย บัวหลวง

นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า เป้าหมายการดำเนินงานในปี 2551 นั้น ธนาคารคาดว่าจะขยายสินเชื่ออยู่ที่ระดับ 12-15% หรือเป็นเม็ดเงิน สุทธิประมาณ 100,000 ล้านบาท จากปีก่อนขยายตัวอยู่ที่ 16% อัตราผลตอบแทนต่อทุน (ROE) จะอยู่ที่ 17% จากปีก่อนอยู่ที่ 16.5% ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) อยู่ที่ 3.5-3.7% จากปีก่อน 3.8% การเติบโตของรายได้ที่มิใช่ค่าธรรมเนียม 17-20% จากปีก่อนอยู่ที่ 16% อัตราส่วน ต้นทุนต่อรายได้ 52% จากปีก่อน 53%

ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ธนาคารตั้งเป้าหมายจะลดลงให้เลือก 5% จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 6.1% โดยจะใช้วิธีการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการเกิดเอ็นพีแอลใหม่ การปรับโครงสร้างหนี้และการขายออก ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะขายออกไปประมาณ 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ธนาคารตั้ง เป้าหมายจะเพิ่มสาขาอีก 70 สาขา โดยสิ้นปีจะอยู่ที่ 944 สาขา และคาดว่าในปีหน้าจะมีถึง 1,000 สาขา และตั้งเป้าหมาย เพิ่มจำนวนเครื่องเอทีเอ็มอีก 1,000 เครื่อง ซึ่งจะทำให้สิ้นปีมีเครื่องเอทีเอ็มทั้งสิ้น 5,883 เครื่อง

นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ ประธาน กรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ TCAP เปิดเผยว่าในปีนี้ธนาคารธนชาตยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความถนัดและเป็นผู้นำในธุรกิจนี้

โดยคาดว่า จะปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อใหม่อีก ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้รักษาส่วนแบ่งการตลาดที่มีมากกว่า 20% ไว้ได้ ทั้งนี้ ธนาคารจะเพิ่มสัดส่วนเงินให้กู้ยืมในประเภทอื่นๆ ทั้งกลุ่มลูกค้ารายใหญ่, สินเชื่อ SMEs, สินเชื่อเคหะ รวมทั้งหารายได้จากค่าธรรมเนียม ในธุรกิจอื่น เช่น ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ

ทั้งนี้มองว่า ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ จะเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่เป็นแหล่งรายได้ที่มีโอกาส เติบโตสูง เนื่องจากจะอาศัยเครือข่ายของธนาคารแห่งโนวาสโกเทียที่มีใน 50 ประเทศทั่วโลกในปีนี้ ธนาคารยังพร้อมจะเปิดให้บริการ บัตรเครดิต เพื่อสร้างรายได้ค่าธรรมเนียม และ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยจะใช้ฐานลูกค้าที่มีอยู่ประมาณ 1 ล้านรายในการทำตลาด โดยไม่ได้มุ่งเน้นที่จะเข้าไปแข่งขันกับผู้ให้บริการอื่นๆ ซึ่งมีการแข่งขันอย่างสูงในขณะนี้

นายศุภเดช กล่าวว่า ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่อีกประมาณ 80 สาขา ทั่วประเทศ ทำให้เมื่อสิ้นปี 51 คาดว่าจะมีสาขาประมาณ 250 สาขา

สำหรับการเพิกถอนหุ้นธนาคารธนชาต ออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) นั้น จะไม่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงิน เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 2 รายคือ TCAP สัดส่วน 74.92% และธนาคารแห่งโนวาสโกเทีย สัดส่วน 24.98% ซึ่งทั้งสองรายมีฐานะการเงินที่มั่นคง

ด้านธนาคารกรุงเทพคาดว่าเห็นการขยายตัวของสินเชื่อที่ดีขึ้นในปี 51 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักๆ มา จากความชัดเจนทาง การเมือง และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านการลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐผ่านโครงการ Mega projects ดังนี้ BBL ในฐานะธนาคารขนาดใหญ่ ซึ่งมีสภาพคล่องตัวสูง และมุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อภาคธุรกิจ ย่อมเป็นหนึ่งในธนาคารที่จะได้ประโยชน์ โดยการลงทุนขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน นอกจากนี้ สภาพคล่องที่สูงเอื้อประโยชน์ต่อการขยายสินเชื่อได้ โดยไม่จำเป็นต้องระดมเงินฝากด้วยการให้ดอกเบี้ยสูง

นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า กรุงศรี ปี 2551 ธนาคารกรุงศรีอยุธยามีเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อ 39,000 ล้านบาท หรือ 8.8% โดยเป็นการเติบโตในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ 11,000 ล้านบาท SMEs 12,000 ล้านบาท และรายย่อย 16,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ไม่ใช่ ดอกเบี้ย 26% หากธนาคารซื้อกิจการบริษัท จีอี แคปปิตอล ออโต้ ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) GECAL เรียบร้อย จะส่งผลให้สินเชื่อของธนาคารเติบโต ได้มากกว่า 10% แน่นอน จากเป้าหมายสินเชื่อ ปีนี้ที่ตั้งไว้ 39,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.8% โดยขณะนี้รอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังเท่านั้น คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมกราคม

นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านลูกค้าธุรกิจและปฏิบัติการ ธนาคาร นครหลวงไทย (SCIB) กล่าวว่า ธนาคารตั้งเป้าหมายว่าภายในปีนี้จะลดสัดส่วนเอ็นพีแอลรวมให้เหลือต่ำกว่า 5% จากปัจจุบันซึ่งอยุ่ที่ 6.84% ของสินเชื่อรวม โดยแผนงานในการลดเอ็นพีแอล มี 2 แนวทาง 1. เรียกชำระหนี้เดิม โดยจะมีการใช้มาตรการทางกฎหมายมาบังคับลูกค้าในกรณีไม่ให้ความร่วมมือในการชำระหนี้ 2. การขายหนี้ออกไป ซึ่งปีที่ผ่านมาจะขายให้ บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพียง 2 แห่งแต่จากนี้ไปจะขายให้หลายบริษัทมากขึ้น เพื่อประโยชน์ในการต่อรองราคา โดยปัจจุบันธนาคารมีลูกหนี้รายใหญ่ที่เตรียมจะขายออกประมาณ 52 ราย และลูกหนี้รายย่อยอีกเกือบ 600 รายรวมวงเงินประมาณ 8 พันล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าในปีนี้จะขายออกไปได้มากพอสมควร

นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการ ใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารทหาร ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB กล่าวว่า ทิศทาง การสร้างรายได้ให้กับธนาคารในปีนี้ ธนาคารจะหันไปเน้นเรื่องของส่วนต่างดอกเบี้ยรับ (NIM) มากขึ้น รวมไปถึงการขายประกันผ่านสาขาธนาคาร (แบงก์แอสชัวรันส์) กองทุนรวม และการขยายฐานรายได้ค่าธรรมเนียมโดย จะมีการปรับโครงสร้างต้นทุนเงินฝาก เน้นราย ย่อย และธนาคารจะพยายามควบคุมค่าใช้จ่าย ที่ไม่จำเป็นลงด้วย

นายสุภัค กล่าวต่อว่า สำหรับตัวเลขปล่อย สินเชื่อของธนาคารในปีนี้ ตั้งเป้าปล่อยเพิ่มขึ้นจากปี 50 ประมาณ 5% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 10,000 กว่าล้านบาท อย่างไรก็ตามการปล่อยสินเชื่อช่วงปี 50 ของธนาคารติดลบมาก เนื่อง จากปี 50 ธนาคารอยู่ระหว่างการเพิ่มทุน มีการบริหารกองทุน และปรับพอร์ตกำไร-รายได้ ของธนาคาร จึงส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อธนาคารไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการปล่อยสินเชื่อของธนาคารในปีนี้ที่ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 5% นั้น ธนาคารน่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แน่ นอน ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารที่มีอยู่ประมาณ 15% นั้น คาดว่าปีนี้ธนาคารจะปรับลด NPL ดังกล่าวลงมาต่ำกว่า 10% ให้ได้ โดยธนาคาจะใช้วิธีการปรับโครงสร้างหนี้และขายหนี้ออกไป
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... s_id=11110
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news30/01/08

โพสต์ที่ 320

โพสต์

ธปท.เชื่อปีนี้ธนาคารพาณิชย์ไทยมีกำไรมากกว่าเดิม - ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Wednesday, January 30, 2008
นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่า ปีนี้จะไม่มีธนาคารพาณิชย์ที่จำเป็นต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งหมดภาระในการกันสำรองตามเกณฑ์ IAS 39 ตั้งแต่ปีก่อนแล้ว แม้บางแห่งจะยังมีภาระในการสำรองตามเกณฑ์ Basel II ซึ่งกำหนดใช้ภายในปีนี้ แต่เฉลี่ยทั้งระบบถือว่าน้อยมาก

ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. บอกว่า ภาระที่หมดลงดังกล่าว จะส่งผลให้ระบบธนาคารพาณิชย์สามารถทำกำไรได้มากกว่าปี 2550 แต่ต้องขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจด้วย โดยธนาคารพาณิชย์จะต้องส่งแผนธุรกิจปีนี้มายัง ธปท. ในช่วงกลางปี เพื่อพิจารณาความสามารถในการทำกำไร และประเมินว่าจำเป็นต้องสำรองเพิ่มเติมจากสำรองปกติที่ 1-2% ของสินเชื่อ หรือต้องเพิ่มทุนหรือไม่

นายสรสิทธิ์บอกด้วยว่า ขณะนี้ ธปท. มีความพยายามที่จะลดอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และสินทรัพย์รอการขาย (NPA) โดยเฉพาะข้อกฎหมายต่าง ๆ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการฟ้องร้องดำเนินคดีหรือยึดทรัพย์ โดย ธปท. เคยวางเป้าหมายที่จะลดระดับ NPL ทั้งระบบให้ไม่เกิน 2% ภายในสิ้นปีนี้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news31/01/08

โพสต์ที่ 321

โพสต์

บิ๊กธปท.การันตี ปีนี้ไม่มีรวมแบงก์

โพสต์ทูเดย์ ธปท.เชื่อปีนี้ไม่มีการควบรวมของแบงก์


นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การนำแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 2 มาใช้ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อฐานะของธนาคารพาณิชย์ในระบบจนต้องเพิ่มทุน หรือไม่น่าจะกดดันให้เกิดการควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์

ทั้งนี้ เนื่องจากมาตรฐานบาเซิล 2 นั้น ไม่ได้เพิ่มภาระการกันสำรอง เพราะน้ำหนักความเสี่ยงของสินเชื่อแต่ละประเภทตามมาตรฐานนี้มีทั้งเพิ่มขึ้นและลดลง ขณะที่ความเสี่ยงจากการปฏิบัติการและด้านการตลาดมีเพิ่มขึ้นแต่ ไม่ถึงขั้นกระทบฐานะของธนาคารในระบบ และระดับเงินกองทุนของธนาคารแต่ละแห่งก็สูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด 8.5%แล้ว

ถึงที่สุดเงินกองทุนจะเพียงพอหรือไม่ หรือจะมีการควบรวมกิจการหรือไม่นั้นต้องดูที่แผนการขยายตัวธุรกิจเป็นสำคัญ นายสรสิทธิ์ กล่าว

นายสรสิทธิ์ยืนยันว่า เท่าที่ติดตามดูยังไม่พบว่ามีธนาคารแห่งใดขยับจะควบรวมกัน แม้แต่ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย (ธย.) ก็ยังแข็งแกร่งอยู่ได้ เพราะมีฐานลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ก็มีฐานสินเชื่อบ้าน ทิสโก้ก็มี เช่าซื้อ

ดังนั้น หากสถานการณ์การเมืองนิ่งน่าจะส่งผลดีต่อสถาบันการเงินให้ขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำไป
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=217996
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news31/01/08

โพสต์ที่ 322

โพสต์

ธปท.จับตาเงินทุนเคลื่อนย้าย

โดย Post Digital 31 มกราคม 2551 19:31 น.

ธปท.เตือนนักลงทุนระวังความผันผวนตลาดเงิน หลังค่าเงินบาททุบสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 10 ปี เผยจับตาเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด ระบุ ยังไม่มีสัญญาณกนง.ประชุมก่อนกำหนด 27 ก.พ.แม้เฟดลดดอกเบี้ยอีกรอบ

นายทิตนันท์ มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ว่าจะเรียกประชุมก่อนที่กำหนดไว้ในวันที่ 27 ก.พ.นี้หรือไม่ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ปรับลดดอกเบี้ยติดต่อกันถึง 1.25% แล้ว

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ กนง.จับตากรณีที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ยล่าสุดและเศรษฐกิจสหรัฐอย่างใกล้ชิด เพราะตลาดเงินโลกมีความผันผวน และความไม่แน่นอนมีมาก ทำให้ช่องทางที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมีหลายทาง ซึ่งเป็นหน้าที่ของกนง.ที่จะต้องประเมินความเหมาะสมของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยต่อไป

ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 1- 28 มกราคม 2551 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากเดือนธันวาคมมาเฉลี่ยอยู่ที่ 33.21 บาท/ดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ สรอ.จากปัญหาซับไพร์ม ประกอบกับการขายดอลลาร์ สรอ.ของผู้ส่งออกที่เกรงว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นอีกในอนาคต

ธปท.ระบุว่าในปี 51 ปัจจัยภายนอกจะมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจไทย หลังจากที่มีส่วนประกอบกับปัจจัยภายในประเทศที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศในสัญญาณที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในด้านอุปสงค์ที่ฟื้นตัวขึ้น และการมีรัฐบาลใหม่ทำให้เกิดความชัดเจนในด้านการเมือง

ในช่วงปี 50 เงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมา 6.8% โดยเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 34.56 บาท/ดอลลาร์ จาก 37.93 บาท/ดอลลาร์ในปี 49 ขณะที่ดัชนีค่าเงินบาท(NEER) เพิ่มขึ้นเพียง 1.8% โดยภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายในปี 50 มีความผันผวนไปมา และกระทบกับค่าเงินทุกสกุล ส่วนจะกระทบมากหรือน้อยขึ้นกับเศรษฐกิจแต่ละประเทศ

ธปท.ระบุว่า ค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้นตลอดท้งปี 50 จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 14,923 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 6% ต่อจีดีพี เทียบกับปี 49 ที่เกินดุลบัญชีเดินสะพัด 2,174 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1% ต่อจีดีพี ขณะที่ธปท.ใช้มาตรการสำรอง 30% เพื่อดูแลการไหลเข้าของเงินทุนระยะสั้นจากต่างประเทศที่อาจเข้ามาเก็งกำไรในค่าเงินบาท นอกจากนั้น ยังเป็นผลจากเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในทิศทางทีอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ๆ
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=218110
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news04/02/08

โพสต์ที่ 323

โพสต์

ธปท.หวั่นซับไพรม์ลามทุ่ง

โพสต์ทูเดย์ ธปท.จับตาการขยายตัวของสินเชื่อบุคคล หวั่นปัญหาซับไพรม์ลามรากหญ้า


นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.เริ่มจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาจะมีผลกระทบต่อสินเชื่อส่วนบุคคลหรือไม่

ทั้งนี้ ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย ในส่วนของสินเชื่อส่วนบุคคล มองว่าในปีที่ผ่านมาสินเชื่อประเภทนี้ ขยายตัวได้ประมาณ 4-5% ไม่ถือว่าร้อนแรง และแรงกดดันในเรื่องปัญหาหนี้เสียในส่วนนี้ก็มีไม่มาก แต่ในปีนี้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องจับตาดูว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะส่งผลให้สินเชื่อส่วนบุคคลมีแนวโน้มขยายตัวได้มากขึ้นหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาในไตรมาส 4 ของปี 2550 เศรษฐกิจก็มีแนวโน้มที่จะขยายตัวมากขึ้น ก็น่าจะทำให้รายได้ของประชาชนมีเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ นายบัณฑิต กล่าว

นายบัณฑิต กล่าวว่า ผลจากการที่เศรษฐกิจฟื้นตัวในช่วงปลายปีที่ผ่านมาช่วยให้แรงกดดันต่อยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ลดลงได้ และช่วยให้ระดับเอ็นพีแอลในระบบลดลงได้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามประเด็นที่สำคัญธนาคารพาณิชย์จะต้องระมัดระวัง คือมีมาตรฐานในการปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น เพื่อจะช่วยลดแรง กดดันที่ปัญหาเอ็นพีแอลที่จะ กลับเข้ามาใหม่

นายบัณฑิต กล่าวว่า ธปท.จับตาดูผลกระทบของปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐอย่างใกล้ชิด เนื่องจากที่ผ่านมาได้เริ่มกระทบภาคธุรกิจการเงินของสหรัฐบ้างแล้ว เพราะสหรัฐในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจมีการขยายตัวเร็ว ทั้งในภาคอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ และสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาซับไพรม์ก็เริ่มที่จะกระทบภาคอสังหาริมทรัพย์ก่อน และขณะนี้ก็เริ่มกระทบเข้ามาสู่ภาคสถาบันการเงิน

อย่างไรก็ตาม ระบบการเงินไทยในปัจจุบัน เป็นที่สนใจของระบบการเงินระหว่างประเทศอยู่มากขึ้น เนื่องจากไทยอยู่ในกลุ่มภูมิภาคเอเชีย ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ ที่มีการเติบโตสูง จะมีการขยาย ตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ ธปท. ก็เริ่มพิจารณาเพิ่มช่องทางการ ลงทุนใหม่ๆ ให้ธนาคารพาณิชย์ ต่างประเทศเข้ามามีบาทบาทได้มากขึ้น โดยปัจจุบันการพัฒนา นี้อยู่ในแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 (มาสเตอร์ แพลน เฟส 2)
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=218705
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news04/02/08

โพสต์ที่ 324

โพสต์

Special Report แวดวงตลาดทุนไทย: หุ้นแบงก์โชว์ผลงานปี 50 สะท้อนความแข็งแกร่งในอนาคต

Posted on Monday, February 04, 2008
ตามปกติแล้วในแต่ละไตรมาสธุรกิจ หรือในรอบปี ธนาคารพาณิชย์จะเป็นกลุ่มแรกที่ประกาศผลการดำเนินงานออกมา ซึ่งล่าสุด 11 ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประกาศผลการดำเนินงานก่อนสอบทานออกมาครบแล้ว และภาพรวมผลประกอบการในปีที่แล้วยังสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของระบบสถาบันการเงินไทยด้วย

ธนาคารพาณิชย์ 5 ใน 11 แห่งมีตัวเลขกำไรสุทธิที่ดีขึ้นประกอบด้วย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทิสโก้ และธนาคารเกียรตินาคิน อีก 2 แห่ง มีกำไรสุทธิลดลง คือธนาคารกรุงไทยและธนาคารสินเอเซีย ขณะที่อีก 4 แห่ง คือ ธนาคารทหารไทย ธนาคารไทยธนาคาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารนครหลวงไทย มีผลขาดทุนสุทธิ

ผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปี 2550
ธนาคาร                 กำไรสุทธิ เปรียบเทียบกับปี 2549       (เพิ่มขึ้น/ลดลง)

ธนาคารไทยพาณิชย์              17,356 ล้านบาท               (+ 31.00%)
ธนาคารกรุงเทพ                    19,101 ล้านบาท               (+ 13.30%)
ธนาคารกสิกรไทย                 15,005 ล้านบาท               (+ 9.81%)
ธนาคารทิสโก้                        1,651 ล้านบาท                (+ 6.80%)
ธนาคารเกียรตินาคิน               2,154 ล้านบาท                (+ 5.90%)
ธนาคารกรุงไทย                     6,113 ล้านบาท                (- 55.70%)
ธนาคารสินเอเซีย                      342 ล้านบาท                 (- 55.00%)
     
ธนาคาร                          ขาดทุนสุทธิ  
ธนาคารทหารไทย                  43,657 ล้านบาท  
ธนาคารไทยธนาคาร                5,635 ล้านบาท  
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา               3,992 ล้านบาท  
ธนาคารนครหลวงไทย              1,929 ล้านบาท  
ที่มา: จากการรวบรวมของ Money Channel

ธนาคารไทยพาณิชย์ โชว์ผลงานประจำปี 2550 ดีที่สุด ด้วยกำไรสุทธิ 17,356 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 31% โดยปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ผลประกอบการดีขึ้น มาจากการเติบโตของรายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิที่เติบโตขึ้น 20.3% อันเป็นผลมาจากการเติบโตของสินเชื่อทุกประเภท โดยเฉพาะการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อเอสเอ็มอี นอกจากนี้ การเติบโตของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยยังเติบโตเพิ่มขึ้น 15.2%

ผลการดำเนินงานที่ดีในปี 2550 ยังเป็นแนวทางที่นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ แม่ทัพหญิงของธนาคารใบโพธิ์มุ่งมั่นสานต่อ เพราะเป็นจุดแข็งที่เดินมาถูกทางแล้ว โดยมีเป้าหมายเพิ่มสินเชื่อเข้าสู่ระบบในปี 2551 อีกไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท

เราก็จะเน้นไปทางธุรกิจขนาดใหญ่ ตามโครงการใหญ่ที่กำลังจะออกมาก ส่วนเอสเอ็มอี เราก็จะเติบโตตามที่เราได้สร้างมาในช่วง 2-3 ปีนี้ ส่วนสินเชื่อบุคคลเราเป็นที่ 1 อยู่แล้วและเราก็จะพยายามที่จะรุกให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมหรือสินเชื่อบ้าน โดยเป้าสินเชื่อจะโต 12-15 % จากปีก่อน หรือคิดเป็นจำนวนเงินประมาณแสนล้าน นางกรรณิกากล่าว

ส่วนธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของประเทศไทยอย่างธนาคารกรุงเทพ โชว์ผลการดำเนินงานปี 2550 ด้วยกำไรสุทธิ 19,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของสินเชื่อ ถึงแม้ว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา สินเชื่อเติบโตเพียง 4.1% แต่ไตรมาสสุดท้ายขยายตัวสูงถึง 4% หรือประมาณ 4 หมื่นล้านบาท

ด้านธนาคารกสิกรไทย ประกาศผลการดำเนินงานปี 2550 ด้วยกำไรสุทธิ 15,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.81% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยสินเชื่อตลอดทั้งปีเติบโต 12.5% หรือ 8.5 หมื่นล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากทางด้านเศรษฐกิจและบรรยากาศทางการเมืองที่ดีขึ้น โดยจุดเด่นธนาคารกสิกรไทย ครองตำแหน่งธนาคารที่มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิสูงสุด ที่ระดับ 4.1% และเป็นธนาคารเดียวที่มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิสูงกว่า 4%

สำหรับธนาคารทิสโก้ แม้จะเป็นธนาคารขนาดเล็กแต่โชว์ผลประกอบการปี 2550 ด้วยกำไรสุทธิ 1,651 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยความโดดเด่นของธนาคารทิสโก้ในปีที่แล้ว คือ รายได้ค่าธรรมเนียมที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้นถึง 23% รวมถึงความสดใสของรายได้จากธุรกิจประกันชีวิต ประกันธนกิจ และบริษัทหลักทรัพย์

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปีที่ผ่านมา ทิสโก้จะมีจะตั้งสำรองในอัตราที่สูง แต่นายปลิว มังกรกนก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทิสโก้ ยังยิ้มได้เพราะเป็นการตั้งที่สอดคล้องไปกับพอร์ตสินเชื่อที่เติบโตขึ้นนั่นเอง โดยในปี 2551 ธนาคารทิสโก้ ตั้งเป้าขยายสินเชื่อรวม 15-16 % นอกจากนี้ธนาคารจะขยายฐานลูกค้าเงินฝากทุกประเภทเพิ่มเป็น 100,000 บัญชี จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 35,000 บัญชี โดยจะเน้นขยายฐานลูกค้ารายย่อยให้มากขึ้น

ปีที่แล้วถ้าดูเผิน ๆ เหมือนเราตั้งสำรองเยอะ แต่ปี 50 พอร์ตเราโตเร็วมาก 15-16 % โดยเช่าซื้อโตตั้ง 20 % แน่นอนสำรองต้องเพิ่มขึ้น เพราะเราต้องสำรองด้วยระบบ Advancing เราต้องสำรองตามความเสี่ยงและ lost ที่จะเกิดขึ้นจากการคาดการณ์ พอพอร์ตโตเราก็ตั้งตามนั้นเลย อัตราเท่าเดิม แต่พอร์ตโตขึ้นมากเราก็ตั้งมากด้วยเท่านั้นเอง นายปลิวกล่าว

ด้านธนาคารกรุงไทยแม้ปี 2550 จะยังมียอดกำไรสุทธิเป็นบวก แต่ลดลง โดยมีกำไรสุทธิ 6,113 ล้านบาท ลดลง 55.70% เป็นผลจากการกันสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งได้รวมถึงการสำรองการด้อยค่าจากการลงทุนในตราสารประเภท CDOs ที่ธนาคารได้ลงทุนไว้ทั้งหมด 160 ล้านดอลลาร์ ส่วนปี 2551 ผลการดำเนินงานน่าจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาตามภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะดีขึ้น โดยจะรุกสินเชื่อในทุกกลุ่ม จากที่ได้ใช้เวลาเตรียมความพร้อมในการปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อที่เคยเป็นจุดอ่อนของธนาคารในอดีตไปหมดแล้ว โดยมีเป้าหมายการขยายสินเชื่อสุทธิที่ 6% หรือ 6 หมื่นล้านบาท

ส่วนธนาคารที่ถูกคาดหมายล่วงหน้าว่าจะต้องมีผลประกอบการที่ติดลบอย่างแน่นอน คือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาเหตุมาจากค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เช่น ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับเป้าหมายการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในอนาคตหลังจีอี แคปปิตอลเข้ามาถือหุ้น 35% นอกจากนี้ยังมีภาระตั้งสำรองการลงทุนในตราสาร CDO และการที่ธนาคารได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญไว้ทั้งจำนวนตามเกณฑ์ IAS39 ในครึ่งปีแรกของปีนี้ จึงทำให้ ปี 2550 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ขาดทุนสุทธิ จำนวน 3,992 ล้านบาท

นางเยาวลักษณ์ พูลทอง ประธานคณะเจ้าหน้าที่ ด้านการสื่อสารองค์กรและนักลงทนสัมพันธ์ บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ธนาคารลงทุนใน CDO 85 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อการบริหารสภาพคล่องที่มีอยู่ แต่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง Subprime ที่มีปัญหา และเท่ากับ 0.4% ของสินเชื่อรวมของธนาคาร และปัจจุบัน ตราสารที่ลงทุนก็ได้รับการจัดอันดับที่ระดับ A ณ เดือนธันวาคม 2550

ตามเกณฑ์ใหม่ของทางแบงก์ชาติในแง่การปันทึกทางบัญชี แม้ธนาคารจะลงทุนในลักษณะที่เป็นเพื่อถือจนครบกำหนดอายุ แต่เกณฑ์ใหม่จะต้องเปรียบเสมือน Trading ทำให้ต้องมีการตีมูลค่าตามราคายุติธรรม หรือ Mark to Market ซึ่งกำหนดไว้ภายในไตรมาส 1 ปีนี้ แต่ธนาคารได้ดำเนินการไปตั้งแต่ไตรมาส 4 ณ ธ.ค. 50 CDO ที่ Mark to Market แล้วมีผลขาดทุนอยู่ 20 % ทำให้เราต้องสำรอง 589 ล้านบาท นางเยาวลักษณ์กล่าว

ส่วนการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทจีอี แคปปิตอล ออโต้ ลีส หรือ GECAL นั้น ขณะนี้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้รับการเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติแล้ว อยู่ระหว่างการขออนุมัติจากกระทรวงการคลังเพื่อให้สามารถปล่อยกู้ต่อรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งหลังจากที่ธนาคารได้เข้าถือหุ้นของ GECAL แล้วจะทำให้สัดส่วนพอร์ตสินเชื่อของธนาคารกรุงศรีอยุธยาเปลี่ยนไปโดยสัดส่วนของสินเชื่อรายใหญ่จะอยู่ที่ 32 % สินเชื่อเพื่อธุรกิจเอสเอ็มอีอยู่ที่ 34% และสินเชื่อรายย่อยอยู่ที่ 34%

ปิดท้ายกันที่ธนาคารนครหลวงไทย ที่ประกาศผลการดำเนินงานปี 2550 ออกมาด้วยตัวเลขติดลบเช่นเดียวกัน โดยมียอดขาดทุนสุทธิ 1,929 ล้านบาท ซึ่งผลขาดทุนมีสาเหตุมากจากการจัดชั้นสินเชื่อเชิงคุณภาพและการกันสำรองสินเชื่อด้อยคุณภาพตามเกณฑ์ IAS 39 รวมทั้งนโยบายการสำรองด้อยค่าในทรัพย์สินแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อให้งบการเงินสะท้อนถึงสถานะของธนาคารที่รับรู้ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจ

นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ธนาคารนครหลวงไทยกล่าวว่า การล้างบ้านในครั้งนี้ทำให้ธนาคารนครหลวงไทยตั้งเป้าหมายว่า ในปี 2551 จะควบคุมหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือNPL ลดลงไปเหลือต่ำกว่า 5% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ระดับ 6.84%

ถ้าจะถามว่าทั้งปี เราตั้งสำรองสำหรับสินเชื่อไปเท่าไหร่ ประมาณ 7,000 ล้านสำหรับการด้อยค่าอีกประมาณ 1,300 กว่าล้านบาท เท่ากับว่าเรามีการตั้งสำรองคุณภาพสินเชื่อ 8,300 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าหากภาวะเศรษฐกิจไม่แย่จนถึงขั้นเป็นวิกฤตเศรษฐกิจอีกครั้ง การตั้งสำรองของเราน่าจะเพียงพอ ผมคิดว่าเป็นการเริ่มต้นปี 2551ของธนาคารนครหลวงไทยที่ดีมากๆ นายชัยวัฒน์กล่าว

ส่วนเรื่องพันธมิตรที่จะเข้ามาถือหุ้นในส่วนที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจะขายออกมานั้น คาดว่าปลายปี 2551 จะเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมว่าใครจะมาเป็นพันธมิตร ซึ่งในไตรมาสแรกธนาคารจะเริ่มมีที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามาดูแล

นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันแม้ว่าระบบสถาบันการเงินของไทยจะมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามากระทบ โดยเฉพาะอย่างเรื่องของวิกฤต Subprime แต่ผลประกอบการโดยรวมในปี 2550 ของธนาคารพาณิชย์ที่ออกมา ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ มั่นใจว่ายังมีความแข็งแกร่งอยู่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านตัวเลข NPL ที่ลดลง และการตั้งสำรองที่ครอบถ้วนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

เรื่อง NPL มันคงดูสูงหน่อยประมาณ 8% ขออนุญาตอ้างถอยหลังไปปี 40 NPL อยู่ที่ประมาณ 40 กว่า% แต่มันลดมาโดยตลอด เพราะ NPL มันจะเป็นอันตรายถ้าไม่มีสำรองที่ครบถ้วน ระบบเรามีสำรองที่ครบถ้วน ในปี 2549-2550 2 ปีที่ผ่านมา เพิ่มทุนมากขึ้น และตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญมากขึ้นประมาณ 90,000 ล้านบาท เพราะฉะนั้นเขาเตรียมตั้งไว้อย่างดีนะครับ นายเกริกกล่าว

นอกจากนี้ ล่าสุด แบงก์ชาติยืนยันว่าธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งหมดภาระในการกันสำรองตามเกณฑ์ IAS 39 แล้ว แม้บางแห่งจะยังมีภาระในการสำรองตามเกณฑ์ Basel II ซึ่งกำหนดใช้ภายในปีนี้ แต่เฉลี่ยทั้งระบบถือว่าน้อยมาก ทำให้ปี 2551 จะไม่มีธนาคารพาณิชย์ที่จำเป็นต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก โดยภาระที่หมดลงดังกล่าว จะส่งผลให้ระบบธนาคารพาณิชย์สามารถทำกำไรได้มากกว่าปี 2550

สอดคล้องกับมุมมองของนักวิเคราะห์ที่เชื่อมั่นว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยล่าสุดแบงก์ชาติ คาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ที่ 4.5-6.0% โดยแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจปีนี้จะมาจากการบริโภคและการลงทุนภาครัฐที่สูงขึ้น รวมทั้งการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน ทำให้นักวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ต่างๆว่าจะออกมาดีขึ้นกว่าปีก่อน

สำหรับแนวทางการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ในปีนี้ ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ร่างนโยบายกำกับแบบรวมกลุ่มเพิ่มเติมอีก 7 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่จะให้บริษัทลูกใช้เกณฑ์เดียวกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อหวังลดความเสี่ยงของกลุ่มธุรกิจเดียวกันและให้เป็นไปตามมาตรการฐานเดียวกัน ขณะเดียวกันในวันที่ 15 ก.พ.นี้จะหารือร่วมกับแบงก์พาณิชย์กำหนดนโยบายในหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้ชัดเจน
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news06/02/08

โพสต์ที่ 325

โพสต์

แบงก์เปิดศึกเงินฝากรับลงทุนพุ่ง

โพสต์ทูเดย์ แบงก์แห่ระดมเงินฝากล่วงหน้ารับรัฐบาลใหม่ลงทุน ยันไม่ได้หวังกินกำไรจากตลาด อาร์พี


นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ระดมเงินฝากพิเศษช่วงนี้ อาจเตรียมตัวปล่อยสินเชื่อจากนโยบายรัฐบาลที่เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น แต่ไม่เกี่ยวกับการนำเงินไปลงทุนในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์พี) เพราะตลาดอาร์พีหากเก็งกำไรก็ทำได้แค่วันเดียว และเมื่อดอกเบี้ยอาร์พีลดก็ได้ผลตอบแทนไม่มาก

นอกจากนี้ การเตรียมสภาพคล่องของธนาคารเพื่อนำเงินไปปล่อยกู้ต้องใช้เวลา ต้องเตรียมความพร้อมระดับหนึ่ง แม้ต้นทุนจะสูงกว่าเล็กน้อยก็ตาม

นายกอบสิทธิ์ กล่าวว่า ผลิต ภัณฑ์เงินฝาก 4 เดือน ที่ธนาคารพาณิชย์นิยมออกในช่วงนี้ ไม่ล็อกเงินฝากให้ยาวเกินไป เพราะสถานการณ์ดอกเบี้ยมีความผันผวน หากดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศทางธนาคารก็สามารถบริหารสภาพคล่องได้ไม่ลำบาก

สถานการณ์ดอกเบี้ยตอนนี้จะออกหัวหรือออกก้อยก็ได้ ถ้าดอกเบี้ยลดก็เสียโอกาสบ้าง แต่ก็เป็นการเปิดพื้นที่ไว้ นายกอบสิทธิ์ กล่าว

นายกอบสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ เห็นด้วยที่รัฐบาลจะใช้นโยบายดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการลดดอกเบี้ยช่วงนี้ เพราะยิ่งทำให้เงินเฟ้อรุนแรงมากขึ้น หากลดดอกเบี้ยคนก็จะรู้สึกว่า ยิ่งออมยิ่งจน ฉะนั้นนำเงินออกมาใช้ดีกว่าเก็บออม ซึ่งขณะนี้ดอกเบี้ยที่แท้จริงก็ติดลบอยู่แล้ว เทียบจากดอกเบี้ย 3% และเงินเฟ้อทั่วไป 4.3%

นายเดชา ตุลานันท์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การที่ธนาคารพาณิชย์ขึ้นดอกเบี้ยพิเศษในช่วงนี้ รวมถึงธนาคารกรุงเทพที่ให้ดอกเบี้ย 3% สำหรับเงินฝากประจำ 4 เดือน เพราะกลัวว่าหากรัฐบาลใหม่ยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า 30% ส่งผลให้เงินที่อยู่ในประเทศอาจไหลออก ซึ่งไม่รู้จะไหลเข้ามาอีกหรือไม่ เพราะตอนนี้ก็มีปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ทำให้สถานการณ์ต่างๆ มีความไม่แน่นอน ธนาคารจึงต้องระดมเงินไว้ก่อน

นายภากร ปีตธวัชชัย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น เงินฝากประจำ 4 เดือน ดอกเบี้ย 3% ถือว่าจ่ายดอกเบี้ยแพง สำหรับธนาคารไทยพาณิชย์คงต้องมาพิจารณาว่าจะออกผลิตภัณฑ์ตามตลาดหรือไม่

ทั้งนี้ คาดว่าสาเหตุที่ธนาคารหลายแห่งสู้ดอกเบี้ยเงินฝากช่วงนี้ ทั้งที่ดอกเบี้ยควรจะปรับลดลง อาจมีความเป็นไปได้ว่าเงินฝากไหลไปอยู่กับธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก ทำให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ต้องดึงเงินฝากกลับมา

การขึ้นดอกเบี้ยผลิตภัณฑ์พิเศษ คงไม่ใช่ดอกเบี้ยจะขึ้น แต่ธนาคารคงอยากดึงเงินฝากไม่ให้ไปที่อื่น นายภากร กล่าว

อย่างไรก็ดี อีกทางหนึ่งก็เป็นไปได้ว่าเป็นนโยบายการลงทุนของแต่ละธนาคาร หากคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยจะปรับลดลง ก็ระดมเงินตอนนี้เพื่อไปลงทุนพันธบัตร หากดอกเบี้ยปรับค่อยขายทิ้ง

ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 0.75% ส่วนดอกเบี้ยเงินฝากประจำอยู่ที่ 2-3% ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 7% ซึ่งคาดว่ามีโอกาสปรับลดลงอีก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219078
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news07/02/08

โพสต์ที่ 326

โพสต์

KTBปีนี้กำไรเริ่ดสำรองลด

สินเชื่อแบงก์ทั้งระบบปีนี้พุ่ง 2 แสนล้านบาท   ตีปีกรัฐบาลใหม่ขับเคลื่อนเมกะโปรเจ็กต์  กระตุ้นบริโภค-ลงทุนเพิ่มหนุนกำไรโต  โบรกมองปีนี้KTBกำไรหรูแซงหน้าเพื่อนเพราะแบกสำรองลดลงจากปีก่อน 50%   ยกSCBสินเชื่อโตสุดในกลุ่ม ฐานะแกร่งบริษัทในเครือหนุน  ส่วนKBANKและ BBLสินเชื่อลิ่วไม่แพ้กัน ฟันธงSCIB-TMBปีนี้กำไรฟื้น
นายธนัท  รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า  จากการประเมินผลประกอบการกลุ่มธนาคารปี2551 คาดว่าธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTB จะมีกำไรสุทธิปีนี้ 4-7 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อนถึง 145% ซึ่งสูงสุดในกลุ่มเนื่องจากแนวโน้มตั้งสำรองหนี้ที่ลดลงจากปี2550ถึง 50% หรือคาดว่าจะตั้งสำรองอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ตั้งสำรองสูงถึง 20,000 ล้านบาท  
    ส่วนธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)  BBL  คาดการกำไรสุทธิ 2 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 13% ซึ่งในปีนี้คาดว่าสินเชื่อจะขยายตัวดีกว่าปีก่อนเพราะเป็นธนาคารที่มีผลประกอบการหรือมีฐานลูกค้าที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง  และมีแนวโน้มจะมีกลุ่มลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้นในปีนี้  ซึ่งจะส่งผลต่อสินเชื่อเพิ่มสูงขึ้นด้วย      ทั้งนี้ทั้งปีคาดว่าตั้งสำรองใกล้เคียงกับปี2550
ด้านธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)  KBANK  คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 1.96 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น  13%  ซึ่งปีนี้ยังจะเน้นปล่อยสินเชื่อให้ SME  ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)  SCB  คาดว่าจะมีกำไรสุทธิปีนี้  1.96 หมื่นล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 13%เพราะฐานะที่แข็งแกร่ง และบริษัทในเครือยังมีผลประกอบการที่ดี
ส่วนธนาคารที่ขาดทุนปี2550 จะกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง  เช่น TMB  SCIB เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ นายธนัทกล่าว
ด้านนายเมฆ  เสรีกุล นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์นครหลวงไทย  จำกัดกล่าวว่า  ในปีนี้คาดว่าสินเชื่อทั้งระบบจะอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านบาท หรือเติบโต 4.4-4.5%เนื่องจากการลงทุนภาครัฐจะเริ่มมีความชัดเจนขึ้นทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเริ่มมั่นใจมากขึ้น  ส่งผลดีต่อการปล่อยสินเชื่อธนาคารเพิ่มขึ้น
  คาดว่าปีนี้SCB จะมีสินเชื่อโตสุดที่ 15% เพราะมีฐานะมั่นคง และบริษัทในเครือเติบโตต่อเนื่อง รองลงมาคือ KBANK คาดสินเชื่อโต 10-15% และ BBL สินเชื่อโต 5-7% นายเมฆ กล่าว
สำหรับกำไรสุทธิของธนาคารพาณิชย์ปี2551 คาดว่าจะเติบโตเกินคาดเพราะได้รับปัจจัยบวกจากนโยบายภาครัฐเข้ามาสนับสนุน   หากเทียบกับปี2550 ธนาคารพาณิชย์ไม่เติบโตเท่าที่ควรเนื่องจากความกังวลการตั้งสำรองของ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) TMBที่มีมากเกินไป  
     ทั้งนี้การที่ได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศช่วยกระตุ้นโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมครึ่งปีหลังหรือปลายปีนี้  ซึ่งคาดว่าแหล่งเงินที่ใช้แต่ละโครงการจะเป็นการระดมทุนโดยออกพันธบัตรมากกว่าที่จะเข้าไปกู้ธนาคารโดยตรง แม้ว่าจะมีบางแห่งที่เป็นธนาคารรัฐคอยสนับสนุนอยู่แล้ว
http://www.thunhoon.com/home/
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news08/02/08

โพสต์ที่ 327

โพสต์

ปรับแผนขายหุ้นกู้รับดบ.ขาลง

โพสต์ทูเดย์ มรดกเฟดใช้ยาแรง ทำดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศ ลูกค้าหุ้นกู้ต้องปรับแผนด่วน ด้านธนาคารเน้นหาเงินฝากสั้น


นายวิกรานต์ ปวโรจน์กิจ ผู้บริหารธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจและดอกเบี้ยในช่วงนี้ ทำให้ลูกค้ารายใหญ่ที่มีแผนการจะออกหุ้นกู้ต้องปรับแผนกันขนานใหญ่และเป็นแบบทันควัน เนื่องจาก แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศ จากที่คาด ว่าจะปรับขึ้นกลับมาอยู่ในห้วงขาลง

อย่างไรก็ดี ลูกค้าที่มีความต้องการเงินทุนก็ยังต้องเดินหน้าระดมทุนกันต่อไป เพียงแต่ต้องปรับเปลี่ยนไส้ในของแผนว่าจะออกหุ้นกู้ หรือจะใช้สินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์

ทั้งนี้ จากความผันผวนของแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย และความไม่ชัดเจนจากภาครัฐ เชื่อว่ามูลค่าการลงทุนของลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งหมายรวมทั้งหุ้นกู้และสินเชื่อร่วมหรือ ซินดิเคทโลนจะมีมูลค่าใกล้เคียงกับปีก่อนที่ระดับ 1.7-1.9 แสนล้านบาท

ตอนนี้ลูกค้ารายใหญ่ ในธุรกิจที่เกี่ยวกับโรงไฟฟ้า ไอพีพีมีการวางแผนกู้เงิน สำหรับลูกค้ากสิกรไทยที่มีแผนจะออกหุ้นกู้ขณะนี้ 4 ราย ที่จะออกภายในครึ่งปีแรก ประกอบด้วยบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย ควอลิตี้เฮ้าส์ ซึ่ง 2 บริษัทนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยวงเงินได้ อีกบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมพาณิชย์กำลังจะออกหุ้นกู้ 3 พันล้านบาท และอีกบริษัทหนึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าอยู่ในอุตสาหกรรมใด เพราะถ้าบอกไปก็จะรู้ทันที เพราะเป็นบริษัทที่ระดมทุนเป็นประจำทุกปี จะออกหุ้นกู้ 4 พันล้านบาท รวม 4 บริษัท ก็ตก 2.5-3 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่จะนำไปทดแทนเงินกู้ก้อนเดิม ที่จะครบกำหนด นายวิกรานต์ กล่าว

นายวิกรานต์ กล่าวว่า ภายในสิ้นปีคาดว่าจะทำแผนระดมทุนให้ลูกค้าทั้งในรูปหุ้นกู้และสินเชื่อร่วมไม่ต่ำกว่า 10 ราย โดยตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ที่ระดับ 30% ของตลาด

นายธีระ อภัยวงศ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ความผันผวนของดอกเบี้ยตอนนี้ทำให้ธนาคารต้องบริหารเงินฝากแบบอนุรักษนิยม โดยเน้นระดมเงินฝากระยะสั้นๆ เพื่อนำไปปล่อยสินเชื่อระยะสั้นๆ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหากับธนาคาร เพราะหากเงินฝากครบกำหนดก็มาพิจารณานโยบายดอกเบี้ยกันใหม่ สภาพคล่องของธนาคารก็ยังถือว่าใช้ได้

เศรษฐกิจทั่วโลกมีความผันผวน ดอกเบี้ยเฟดปรับลด ส่วนไทยก็คาดการณ์ได้ลำบาก ขึ้นอยู่กับเมกะโปรเจกต์ แล้วก็ดูว่าสภาพเศรษฐกิจในอนาคตจะเป็นอย่างไร นายธีระ กล่าว

ขณะที่นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เงินฝากคอมโบ ซึ่งเป็นเงินฝากประจำ 3 เดือน และ 12 เดือน รองรับกับความผันผวนของดอกเบี้ยได้เป็นอย่างดี เพราะมีทั้งแบบฝากสั้นและฝากยาว ซึ่งตอนนี้มีเงินฝากเข้ามา 2 หมื่นล้านบาท เกินกว่าเป้าแล้ว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219584
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news11/02/08

โพสต์ที่ 328

โพสต์

3แบงก์อ่วมเจอเกณฑ์คุมบริษัทลูก

โพสต์ทูเดย์ ธปท. เผยการกำกับแบบรวมกลุ่มถึงบริษัทลูกกระทบทหารไทย, นครหลวงไทย และ ไทยธนาคาร


นายพงศ์อดุล กฤษณะราช ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์และติดตามฐานะ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การนำเกณฑ์กำกับแบบรวมกลุ่มมาใช้กำกับตรวจสอบสถาบันการเงินซึ่งจะกำกับลงไปถึงบริษัทลูก และห้ามธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ผู้บริหาร กรรมการ ผู้เกี่ยวข้องงานบริหาร รวมทั้งปล่อยกู้รายใหญ่ได้ไม่เกิน 5% ของเงินกองทุนนั้น อาจกระทบต่อการขยายสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์

นายพงศ์อดุล กล่าวว่า การกำกับแบบนี้ก็เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ที่มีบริษัทลูกก็ควรมีเงินกองทุนที่เพียงพอที่จะคุ้มความเสี่ยง ไม่ว่าจะด้านเครดิต ด้านปฏิบัติการ ด้านการตลาดของบริษัทลูกด้วย โดยเฉพาะบริษัทลูกที่เป็นกลุ่มการเงิน ซึ่งธนาคารถือหุ้นเกิน 50% หรือเกิน 75% เพราะถึงที่สุดบริษัทแม่ก็ต้องแบกรับลูกได้ ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์ที่มีเงินกองทุนปริ่มๆ ตามเกณฑ์ 8.5% แต่ต้องมาแบกรับบริษัทลูกด้วยก็คงลำบากขึ้น

ผลที่ตามมาคือ การขยายสินเชื่อ ขยายธุรกิจ การรุกไปรายใหม่ก็จะลำบากขึ้น แต่แบงก์ที่แข็งแรงทุนหนาก็คงไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้อาจจะมี 2-3 แบงก์ที่น่าห่วง เช่น ธนาคารทหารไทย ไทยธนาคาร นครหลวงไทย เพราะแบงก์เหล่านี้แม้จะมีเงินทุนตามเกณฑ์ แต่ถ้าต้องมาอุ้มบริษัทลูกด้วยคงจะเหนื่อย ถ้าแบงก์ไหนไม่ไหวจะปรับอยู่ต่อไปหรือต้องรวมกับพันธมิตรใหม่ก็คงเห็นกันภายในปีนี้ นายพงศ์อดุล กล่าว

นายพงศ์อดุล กล่าวว่า การอยู่รอดของธนาคารคงไม่ได้อยู่ที่เงินกองทุนอย่างเดียว อยู่ที่การปรับตัวทางธุรกิจด้วย เพราะต่อไปต้องปรับตัวในการแข่งขันมาก โดยกฎหมายธุรกิจสถาบันการเงินจะมีผลในทางปฏิบัติวันที่ 3 ส.ค. นี้ ทำให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย (ธย.) และสถาบันการเงินขนาดเล็กต้องปรับตัวมากพอสมควร
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220098
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news11/02/08

โพสต์ที่ 329

โพสต์

นายแบงก์คาดปีนี้สถาบันการเงินจะแข่งปล่อยสินเชื่อเพื่อรายย่อยมากขึ้น เน้นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย

Posted on Friday, February 08, 2008
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ค่อนข้างเห็นด้วยกับการที่รัฐบาลจะนำนโยบายประชานิยมมาใช้ เพราะจะช่วยให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น สถาบันการเงินก็กล้าที่จะปล่อยสินเชื่อมากขึ้นเช่นกัน ส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 4.5 6% โดยมีปัจจัยบวก คือ อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลงอีก 0.25 0.5% ในปีนี้ และการลงทุนของภาครัฐ อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเช่นกัน คือ อัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน และการแข็งค่าของเงินบาท

นายชาติชายเผยว่า ในปีที่ผ่านมาสถาบันการเงินทั้งระบบมีพอร์ตสินเชื่อที่อยู่อาศัยรวม 1.45 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8 9% จากปีที่ผ่านมาที่มีพอร์ตสินเชื่อที่อยู่อาศัยรวม 1.35 ล้านล้านบาท และมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) 6.3% ของทั้งระบบ ส่วนปี 2551 คาดว่าพอร์ตสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบจะขยายตัว 8 12% เนื่องจากปัจจุบันสินเชื่อที่อยู่อาศัยไทยคิดเป็น 16% ของ GDP ขณะที่สิงคโปร์มีสินเชื่อที่อยู่อาศัย 61% ของ GDP และมาเลเซียมีสินเชื่อที่อยู่อาศัย 32% ของ GDP ดังนั้น สินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทยจึงยังมีโอกาสขยายตัวได้อีก

ปัจจุบันธนาคารกสิกรไทยมีพอร์ตสินเชื่อลูกค้ารายย่อยกว่า 1.15 แสนล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อบ้าน 9.5 หมื่นล้านบาท สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อประเภทอื่นรวม 2 หมื่นล้านบาท โดยในปี 2550 สินเชื่อบ้านขยายตัวถึง 26% เมื่อเทียบกับปี 2549 ซึ่งเป็นผลจากการเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการ ทำให้ธนาคารได้ลูกหนี้และทรัพย์สินที่มีคุณภาพ ส่วนการรีไฟแนนซ์ในปีที่ผ่านมาก็มีไม่ถึง 1%

นายชาติชายยอมรับว่า ขณะนี้สถาบันการเงินยังมีการแข่งขันเรื่องอัตราดอกเบี้ยอยู่ เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด โดยในส่วนของธนาคารกสิกรไทยได้ออกแคมเปญสินเชื่อที่อยู่อาศัย คิดดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 3 เดือน ส่วนเดือนที่ 4 12 คิดดอกเบี้ย 3.5% หรือเฉลี่ยดอกเบี้ยทั้งปีที่ 2.6% หลังจากนั้นจะคิดดอกเบี้ย MLR 0.25% ส่วนสินเชื่อบัตรเครดิตยังเป็นอัตราเดียวกับสถาบันการเงินอื่น

นายชาติชายเผยว่า ในอนาคตสถาบันการเงินจะแข่งกันปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ารายย่อยมากขึ้น เนื่องจากลูกค้ารายใหญ่จะมีช่องทางในการระดมทุนมากกว่า ทั้งการออกหุ้นกู้ และการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายลือชา ศุกรเสพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจรายย่อย ธนาคารทหารไทย เชื่อว่า ปี 2551 ยอดขายบ้านโดยรวมจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากปีนี้จะมีบ้านสร้างเสร็จเพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยก็มีโอกาสลดลงไม่เกิน 0.5% จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 3.25% นอกจากนี้ราคาวัสดุก่อสร้างก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ช่วงนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีของประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัย

ปัจจุบันธนาคารทหารไทยมีพอร์ตสินเชื่อรายย่อยประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่ออเนกประสงค์ และสินเชื่อบัตรเครดิต ส่วนปี 2551 ธนาคารตั้งเป้าที่จะปล่อยสินเชื่อรายย่อยให้ได้ 8.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.4 หมื่นล้านบาท หรือ 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยในส่วนของสินเชื่อที่อยู่อาศัยนั้น ถ้าเป็นบ้านที่อยู่ในทำเลที่ดี ก็มีโอกาสที่ลูกค้าจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะราคาบ้านจะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าสินเชื่อนี้กลายเป็นหนี้เสีย ธนาคารก็สามารถขายต่อได้เร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายระหว่างการดูแลลดลง

นายลือชาแนะว่า อยากให้ประชาชนพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ โดยประชาชนสามารถขอดูตารางเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยขอแต่ละโปรโมชั่นได้ เพื่อที่จะได้อัตราดอกเบี้ยที่คุ้มค่าที่สุด นอกจากนี้ยังควรที่จะพิจารณาด้านอื่นด้วย เช่น การให้บริการของธนาคาร และระยะเวลาการชำระเงิน ทั้งนี้ ธนาคารทหารไทยมีแคมเปญสินเชื่อ TMB Step โดยจะพิจารณาสินเชื่อจากรายได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news12/02/08

โพสต์ที่ 330

โพสต์

ไฟเขียวจำนำทะเบียนรถ

โพสต์ทูเดย์ ธปท.ไม่ห้ามบริษัทลีสซิง ในเครือแบงก์ปล่อยกู้จำนำทะเบียน แต่อนุมัติเป็นรายๆ เหตุต้องดูแลความเสี่ยงเพื่อคุ้มครองเงินประชาชน


นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ไม่ได้ห้ามธนาคารพาณิชย์และบริษัทเช่าซื้อหรือลีสซิง ในเครือธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์แต่อย่างใด เพียงแต่ ธปท.ต้องการดูแลเรื่องความ เสี่ยงของธุรกิจในเครือที่อาจส่งผลกระทบต่อฐานะของธนาคาร ซึ่งรับฝากเงินของประชาชนได้

ดังนั้น ธปท.จึงจะพิจารณาอนุญาตให้ดำเนินการเป็นกรณีๆ ไป หากบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์รายใดจะทำธุรกิจนี้ ก็สามารถขออนุญาตเข้ามาได้

นายสรสิทธิ์ กล่าวว่า ธปท.จำเป็น ต้องกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ แต่ไม่ได้กำกับดูแลบริษัทลีสซิงทั่วไปที่ไม่รับเงินฝากของประชาชน โดยจะเน้นดูแลความเสี่ยงเป็นสำคัญว่า ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นบริษัทแม่กำกับดูแลบริษัทลูกดีหรือไม่ การปล่อยกู้มีการตีราคาสูงเกินไปหรือไม่ มีการติดตามทวงถามหนี้ที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ รวมทั้งมีการติดตามควบคุมที่ดีหรือไม่ด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อธนาคารพาณิชย์

ก่อนหน้านี้ สมาคมธนาคารไทยได้ทำหนังสือสอบถามเพื่อขอความชัดเจน หลังจาก ธปท.ได้มีหนังสือมาขอร่วมมือไปที่ธนาคารพาณิชย์ขอไม่ให้บริษัทลูกของธนาคารทำการปล่อยสินเชื่อจำนำรถยนต์ เพราะห่วงผลกระทบที่อาจจะเกิดเหมือนกรณีซับไพรม์ ขณะที่บริษัทลีสซิงทั่วไป กลับทำธุรกิจนี้ได้จึงกลัวว่าจะแข่งขันไม่ได้

นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย กล่าวว่า บริษัท ยังไม่ได้ให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถในขณะนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง จึง ให้บริการเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อเพียงอย่างเดียว

ด้านนายรุ่งโรจน์ จรัสวิจิตรกุล หัวหน้าบริหารการขายทางกรุงเทพ สายสินเชื่อรายย่อย ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่า ธนาคารจะให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถเฉพาะลูกค้าเก่าที่มีประวัติดีเท่านั้น ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่าลูกค้าทั่วไป และ เท่าที่ติดตามประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมาของลูกค้าเก่ากลุ่มนี้ พบว่ากลายเป็นหนี้ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล ในสัดส่วนที่ต่ำกว่าลูกค้าเช่าซื้อทั่วไปด้วย

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า เหตุผลหลักที่ธนาคารให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ เนื่องจากให้ผลตอบแทนด้านดอกเบี้ยสูงกว่าสินเชื่อเช่าซื้อทั่วไป ขณะเดียวกันลูกค้าก็ได้รับความสะดวก ขั้นตอนอนุมัติอย่างช้าสุดก็เพียง 3 วันเท่านั้น แต่ถ้าเป็นการเช่าซื้อขั้นตอนอนุมัติต้องใช้เวลา 3-10 วัน โดยต้องเสียเวลาไปโอนรถที่กรมขนส่งทางบกอีก และที่สำคัญหากเป็นสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ลูกค้าก็ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มต่องวดอีก 7% ด้วย

สำหรับธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถนั้นสถาบันการเงิน และบริษัทลีสซิงคิดดอกเบี้ยเป็นรายเดือนประมาณ 0.77-0.8% หรือประมาณ 8-9% ต่อปี ขณะที่ธุรกิจเช่าซื้อหรือลีสซิงนั้น คิดดอกเบี้ยประมาณ 5% ต่อปี

นายองอาจ วรฉัตรธาร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งสินเอเซีย กล่าวว่า ไม่สนใจให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ เพราะเป็นตลาดที่ค่อนข้างเสี่ยง และไม่รู้ว่าลูกค้าเอาเงินกู้ที่ได้ไปทำอะไร

ด้านบริษัท ไทยพาณิชย์ลีสซิ่ง ปัจจุบันมียอดลูกค้าสินเชื่อจำนำทะเบียนรถอยู่ 3 พันคัน จากฐานลูกค้าทั้งหมด 2.7 แสนคัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220311