พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news13/12/07

โพสต์ที่ 181

โพสต์

ซิตี้คอนโดยังฮอตข้ามปี จับตาราคาขยับ5-15%

โพสต์ทูเดย์ คอนโดกลาง- บนกำลังซื้อยังแรง ปีหน้าราคาขยับ 5-15%


น.ส.อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส ประเทศไทย กล่าวว่า ในปี 2551 ตลาดคอนโดมิเนียมทั้งในระดับบนและระดับกลางจะยังอยู่ในสถานการณ์ที่ดี เนื่องจากยังมีความต้องการของทั้งคนไทยและต่างชาติอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคายัง มีโอกาสปรับขึ้นไปได้อีก

ทั้งนี้ ในราคาขายคอนโดมิเนียมระดับบนได้เพิ่มจาก 1.1 แสนบาท ต่อตารางเมตร ในช่วงไตรมาสแรก เป็น 1.23 แสนบาทต่อตารางเมตร ในช่วงสิ้นปี หรือเพิ่มขึ้น 12% ขณะที่ราคาคอนโดมิเนียมระดับกลางในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับจากตารางเมตรละ 5 หมื่นบาท เป็น 6.5-8 หมื่นบาท และในปีที่ผ่านมาราคาขยับขึ้นมาแล้วกว่า 10%

แนวโน้มราคาคอนโดมิเนียมระดับบนในปีหน้ามีโอกาสที่จะขยับขึ้นไปได้อีก 15% เพราะจำนวนสินค้ามีอยู่อย่างจำกัด เช่นเดียวกับคอนโดมิเนียมระดับกลางที่ยังมี ความต้องการซื้อใหม่เกิดขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้เป็นกำลังซื้อที่เปลี่ยนมาจากบ้านเดี่ยว แต่เป็นกำลังซื้อที่มาจากตลาดเช่าที่ยังมีอยู่จำนวนมาก โดยราคาน่าจะปรับขึ้นได้อีกไม่เกิน 5% เพราะจะเกินเพดานที่กำลังซื้อระดับกลางจะรับได้ และจะทรงตัวไปอีก 1-2 ปี น.ส.อลิวัสสา กล่าว

น.ส.อลิวัสสา กล่าวอีกว่า ทำเลที่คอนโดมิเนียมจะปรับราคาขึ้นแน่คือ ราชดำริ เพราะจะมีโครงการเปิดใหม่ที่มีโอกาสตั้งราคาขายถึงตารางเมตรละ 2 แสนบาท นอกจากนี้ หากมีโครงการที่เกิดขึ้นในทำเลที่ดีและมีขนาดที่ดินเกิน 3 ไร่ ก็จะสามารถทำให้ราคาขายขยับขึ้นไปได้อีก ส่วนทำเลต้นถนนสาทร ศาลาแดง วิทยุ หลังสวน เพลินจิต ก็มีโอกาสขยับขึ้นเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าบางโครงการมีการตั้งราคาที่สูงเกินจริง แต่เมื่อตั้งราคาที่สูงเกินไปก็จะขายได้ช้าลงด้วย

น.ส.อลิวัสสา กล่าวอีกว่า นอกจากคอนโดมิเนียมที่ยังมีแนวโน้ม ที่ดีแล้ว ตลาดรีสอร์ตเป็นอสังหาริมทรัพย์อีกประเภทที่กำลังบูม โดยได้รับความสนใจจากต่างชาติเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมากใน จ.ภูเก็ต พังงา และเกาะสมุย สุราษฎร์ธานี โดยในปีหน้าจะมีรีสอร์ตที่เปิดใหม่หลายโครงการ รวมกันแล้วมูลค่า ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208726
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news15/12/07

โพสต์ที่ 182

โพสต์

อสังหาฯภูเก็ตบูมไม่หวั่นการเมือง ราคาที่ดินพุ่ง100%ทุนนอกรุกหนัก

14 ธันวาคม พ.ศ. 2550 15:37:00

อสังหาฯระดับไฮเอ็นด์ในภูเก็ตสุดบูม ทุนนอกต่อแถวขึ้นโครงการคึกคัก ราคาที่ดินพุ่ง 100% ล่าสุดกลุ่ม "ซี เพิร์ลฯ" จับมือ "แอ็บโซลูท ไทม์แชร์" และเดวิด ลอย ขึ้นโครงการวิลล่า -คอนโดฯหรู "แอบโซลูท ซีเพิร์ล วิลล่า แอนด์สปา รีสอร์ท" พร้อมสปอร์ตคอมเพล็กซ์ระดับ 10 ดาว มูลค่ารวมพันล้าน เจาะต่างชาติ เตรียมเดินสายโรดโชว์ ฮ่องกง- จีน-อังกฤษ เคาะราคาขายเริ่มต้น 15 ล้านบาท

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
  วานนี้ (13 ธ.ค.) บริษัท ซี เพิร์ล ธุรกิจ จำกัด ดยนายสุมิตร สุนทรนนท์ ประธาน ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวการลงทุน โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่ ในจังหวัดภูเก็ต ขึ้นบนพื้นที่ 42 ไร่ บนที่ดินเขาป่าตอง  ใกล้หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต เพื่อพัฒนาเป็นวิลล่า รีสอร์ท คอนโดฯ แห่งใหม่ ในชื่อ "แอ็บโซลูท ซีเพิร์ล วิลล่า  แอนด์ สปา รีสอร์ท (Absolute Sea Pearl Villas and Spa Resort) ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท

โครงการนี้ เป็นการลงทุนโดยนักธุรกิจคนไทย คือ นายสุมิตร ประธาน กลุ่ม ซี เพิร์ล ซึ่งได้ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจต่างชาติอีก 2 ราย คือ นายไบรอัน ลันท์ ประธาน แอ็บโซลูท กรุ๊ป ซึ่งดำเนินธุรกิจบริการโรงแรม และระบบจัดสรรวันพักผ่อน หรือไทม์แชร์ริ่ง และนายเดวิด ลอยด์ อดีตนีเทนนิสวิมเบลดัน จากประเทศอังกฤษ เจ้าของสปอร์ต ซิตี้ในชื่อ  "เดวิด ลอยด์ สปอร์ตคลับ" ซึ่งเป็นสปอร์ตคลับระดับ 10 ดาว มีบริการอยู่ในหลายประเทศทั่วโลกกว่า 87 แห่งในปัจจุบัน

นายสุมิตร เผยว่า พันธมิตรต่างชาติทั้ง 2 รายนี้ จะเข้ามาร่วมทุนและบริหารการตลาด ซึ่งเน้นลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะแอ็บโซลูท ซึ่งเป็นเครือข่าย ธุรกิจไทม์แชร์ ที่มีอยู่ทั่วโลก จะเป็นผู้รับผิดชอบบริหารการตลาดโครงการ เพื่อขายให้กับลูกค้าต่างชาติ  ในส่วนของวิลล่า ซึ่งมี 36 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 400-600  ตร.เมตรขึ้นไป ราคาขายเริ่มต้นที่ 20 ล้านบาท  และคอนโดมิเนียม 48 ยูนิต ขนาด 170 ตร.เมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ยูนิตละ 15 ล้านบาท

"อสังหาฯในภูเก็ตบูมมาก โดยเฉพาะตลาดระดับไฮเอนด์ มีการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เราไม่ได้สำรวจว่ามีมากเท่าใด แต่แม้จะเปิดตัวมากก็ยังมั่นใจว่า โครงการขายได้ เพราะตลาดอสังหาฯที่ภูเก็ตเวลานี้ ลูกค้าหลักคือต่างชาติ" นายสุมิตร กล่าวและว่า ตลาดอสังหาฯที่ภูเก็ตเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์สึนามิ เมื่อ 3 ปีก่อน การลงทุนหลังจากนั้นยิ่งเพิ่มขึ้น เพราะมีการซื้อขายเปลี่ยนมือที่ดินกันอย่างคึกคัก ราคาที่ดินก็ปรับตัวสูงมาก เฉพาะราคาประเมินในบัญชีใหม่ ที่จะประกาศใช้ 1 ม.ค.2551 ราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 100%

นอกจากนี้ แม้ไทยยังมีปัญหาเรื่องการเมือง ยังรอการเลือกตั้ง แต่ผู้บริหารซี เพิร์ล เชื่อว่า จะไม่กระทบตลาอสังหาฯในภูเก็ต เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นตลาดต่างชาติ  และภูเก็ตมีศักยภาพและจุดขาย ที่ทำเล  เมืองตากอากาศชื่อดัง ที่สวยงาม และราคาอสังหาฯในภาพรวม ซึ่งยังถูกกว่า เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน  

นายไบรอัน ลันท์ ประธาน แอ็บโซลูท กรุ๊ป เผยว่า แผนการทำตลาดโครงการนี้ จะเน้นลูกค้าต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่รู้จัก ภูเก็ตเป็นอย่างดีอยู่แล้ว โดยเน้นที่กลุ่มเอ็กซ์แพท หรือชาวต่างชาติที่ทำงานในไทย หรือในประเทศใกล้เคียง ในรัศมีการบินสู่ภูเก็ตไม่เกิน 4 ชั่วโมง โดยภายหลังเปิดตัวในไทยแล้ว จะไปทำตลาดด้วยการเดินสายโรดโชว์ ที่ฮ่องกง  จีน  และอังกฤษ เชื่อว่าจะมีการตอบรับที่ดี เนื่องจากภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดัง และคาดว่าจะสามารถทำการตลาด โดยใช้เวลาไม่เกิน 6-12 เดือน

ขณะที่ขาย เดวิด ลอยด์ เจ้าของ"เดวิด ลอยด์ สปอร์ต ซิตี้ คลับ" กล่าวว่า การเข้ามาร่วมทุนครั้งนี้ เป็นโครงการแรกที่ เดวิด สปอร์ต คลับซึ่งเป็นคลับด้านกีฬาระดับไฮเอนด์ ที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นคลับระดับ 10 ดาว มีคลับให้บริการทั่วโลก 87  แห่ง เพิ่งเข้ามาเปิดการลงทุนในไทยเป็นโครงการแรก ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท จะพัฒนาบนที่ดิน 10 ไร่ด้านหน้าโครงการ เปิดเป็นสปอร์ต คลับพื้นที่ 9,000 ตร.เมตร เปิดบริการพร้อมโครงการแล้วเสร็จ ในอีก 2 ปี (ปี 2552)

นอกจากนี้ นายลอยด์ เผยว่า ยังมีแผนจะขยายการลงทุน สปอร์ต คลับต่อเนื่องในไทยอีก 3 แห่ง โดยกำลังดูทำเลที่ เกาะสมุย กรุงเทพ และพัทยา ซึ่งจะเป็นการลงทุนต่อเนื่องไปกับ กลุ่มแอ็บโซลูท  และเป็นหนึ่งในแผนงานที่ เดวิด สปอร์ตคลับ ตั้งเป้าว่าจะเปิดการลงทุนคลับใหม่ในหลายประเทศ อีก 10 แห่งภายใน 2 ปี  

ผู้บริหารต่างชาติทั้ง 2 รายกล่าวตรงกันว่า มีความมั่นใจต่อการลงทุนอสังหาฯในไทย เพราะมองเรื่อง ทำเล ความพร้อม และราคาที่ยังสามารถแข่งขันในตลาดได้ เมื่อเทียบกับอสังหาฯระดับเดียวกันในหลายประเทศ

อนึ่ง สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯในภูเก็ต นอกจากกลุ่ม ซี เพิร์ล ยังมีผู้ประกอบการทั้งในท้องถิ่น  และจากส่วนกลาง โดยเฉพาะผู้ประกอบการต่างชาติ ได้ขยายเข้ามาลงทุนในภูเก็ตเพิ่มขึ้นมาก การก่อสร้างโครงการมีพบเห็นได้ทั่วไป โดยเฉพาะที่ดินบนไหล่เขา กลายเป็นทำเลเป้าหมาย ที่นักลงทุนและนักพัฒนาจากต่างชาติให้ ความสนใจมากเป็นพิเศษ เนื่องจากราคาที่ดินยังไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับทำเลที่ดินริมหาด ซึ่งปัจจุบัน ราคาที่ดินริมหาดป่าตอง ขายกันสูงถึง 100 ล้านบาท/ไร่  ขณะที่ดินบนเขายังพอมีที่ราคา 15- 20 ล้านบาท/ไร่
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/1 ... sid=211464
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news15/12/07

โพสต์ที่ 183

โพสต์

ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จในกทม.9เดือนลดลง 14%

12 ธันวาคม พ.ศ. 2550 15:38:00

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เผยผลสำรวจ จำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ทั้งหมดในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2550 ในเขตกรุงเทพฯและ 5 จังหวัดปริมณฑล ทั้งแนวราบและแนวสูงรวมกันมี 52,135 หน่วย ลดลงร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับ 3 ไตรมาสแรกของปี 2549 ซึ่งมี 60,734 หน่วย โดยที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูงมีจำนวนทรงตัว ส่วนที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบมีจำนวนลดลงถึงร้อยละ 18 ทำให้สัดส่วนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ประเภทอาคารสูงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25 ของที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ทุกประเภทรวมกันในทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑล

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า จำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล รอบ 3 ไตรมาสแรก เฉพาะประเภทอาคารสูงมี 13,146 หน่วย ถือว่าทรงตัวใกล้เคียงกับปีที่แล้วซึ่งมี 13,243 หน่วย โดยในจำนวนที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูงสร้างเสร็จจดทะเบียนทั้งหมดนี้อยู่ในกรุงเทพมหานครจังหวัดเดียว 11,696 หน่วยหรือมากถึงร้อยละ 89 และอีกร้อยละ 10 อยู่ในจังหวัดนนทบุรี ที่เหลืออีกร้อยละ 1 อยู่ในจังหวัดนครปฐม ทั้งนี้ จำนวนหน่วยอาคารสูงสร้างเสร็จจดทะเบียนในไตรมาสที่ 3 ไตรมาสเดียวมีจำนวนมากกว่าสองไตรมาสแรกรวมกัน

ในรอบ 3 ไตรมาสแรก พื้นที่ในจังหวัดกรุงเทพฯ ที่มีจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนประเภทอาคารสูงมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ เขตพญาไท จำนวน 1,539 หน่วย เขตยานนาวา 1,517 หน่วย และเขตภาษีเจริญ 1,516 หน่วย และจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูงสร้างเสร็จจดทะเบียนรวม 11,696 หน่วยในกรุงเทพฯนั้น คิดเป็นสัดส่วนมากถึงประมาณร้อยละ 40 ของที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ทุกประเภทรวมกัน 29,068 หน่วยในกรุงเทพฯจังหวัดเดียว อีกร้อยละ 60 หรือ 17,372 หน่วยเป็นที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ประเภทแนวราบ

เปรียบเทียบเฉพาะในเขตจังหวัดกรุงเทพมหานคร มีที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูงสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 43 จาก 8,170 หน่วยใน 3 ไตรมาสแรกปี 2549 เป็น 11,696 หน่วย ใน 3 ไตรมาสแรกปีนี้ ขณะเดียวกันที่อยู่อาศัยประเภทอาคารสูงสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ในเขตจังหวัดปริมณฑลกลับลดลงมากถึงร้อยละ 71 จาก 5,073 หน่วยใน 3 ไตรมาสแรกปี 2549 เหลือเพียง 1,450 หน่วยใน 3 ไตรมาสแรกปีนี้

สำหรับที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่มีจำนวนรวม 38,989 หน่วยใน 3 ไตรมาสแรกปีนี้ ลดลงมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งมี 47,491 หน่วย โดยแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 28,366 หน่วย บ้านแฝด 899 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์และอาคารพาณิชย์ 9,724 หน่วย

อนึ่ง ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ประมาณการตัวเลขที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่สำหรับปี 2550 ทั้งปีที่ประมาณ 70,000 72,000 หน่วย เทียบกับปี 2549 ทั้งปีซึ่งมี 78,116 หน่วยและปี 2548 ทั้งปีซึ่งมี 72,072 หน่วย
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/1 ... sid=210682
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news18/12/07

โพสต์ที่ 184

โพสต์

แสนอาคารทั่วไทยสะท้าน

โพสต์ทูเดย์ แสนอาคารทั่วประเทศโดนแน่ กรมโยธาฯ ยื่นคำขาด เจ้าของอาคารต้องรายงานผลตรวจสอบให้ทันเส้นตาย 29 ธ.ค.นี้


นายสมชาย ชุ่มรัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยไม่มีนโยบาย ยืดเวลาให้เจ้าของอาคารส่งรายงานการตรวจสอบอาคาร ภายในกำหนดวันที่ 29 ธ.ค.นี้ เนื่องจากได้ให้เวลาเจ้าของอาคารเตรียมตัวมานานถึง 2 ปี ในขณะที่กรมฯ ได้มีหนังสือแจ้งให้เจ้าของอาคารทราบแล้ว จะอ้างว่าไม่มีการประชาสัมพันธ์ให้ทราบไม่ได้

กฎหมายดังกล่าวออกมา 2 ปีแล้ว และได้ออกหนังสือแจ้งให้ เจ้าของอาคารที่เกี่ยวข้องทราบ การที่ออกมาบอกว่า กรมฯ ไม่มีการประชาสัมพันธ์ให้ทราบในช่วงก่อนหน้านี้ จึงมองได้ว่า เป็นเหตุผลของคนที่มีเจตนาจะหลบเลี่ยง และไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม นายสมชาย กล่าว

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาภาคเอกชน โดยสภาหอการค้าไทย ได้พยายามขอ ยืดเวลาการตรวจสอบอาคารออกไปอีก 180 วัน โดยยื่นหนังสือไปยัง รมว.มหาดไทย แต่อธิบดีกรมโยธาฯ ยืนยันว่า ยังไม่มีนโยบายใดๆ จากกระทรวงมหาดไทย และถึงแม้ว่าจะขยายเวลาให้ ก็ไม่สามารถแก้ไขกฎกระทรวงได้ทัน

ดังนั้น เจ้าของอาคารที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ จะต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนกำหนดเวลา โดยขณะนี้มีจำนวนผู้ตรวจสอบอาคารอยู่กว่า 1 พันราย ซึ่งคิดว่าเพียงพอที่จะตรวจสอบอาคารทั้งหมดได้ ส่วนค่าใช้จ่ายในการตรวจ กรมฯ ได้ออกราคาอ้างอิงให้แล้ว จะอ้างว่าราคาที่ว่าจ้างกันอยู่ในขณะนี้ไม่ได้มาตรฐานไม่ได้ และเป็นเรื่องที่ เจ้าของอาคารจะต้องตกลงกับ ผู้ตรวจสอบเอง

ตามกฎกระทรวง ได้กำหนดประเภทอาคารที่ต้องจัดให้มี ผู้ตรวจสอบ พ.ศ. 2548 โดยกำหนดโทษในกรณีที่เจ้าของอาคารไม่จัดให้มีการตรวจสอบอาคาร จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับเป็นรายวันอีกวันละไม่เกิน 1 หมื่นบาท

สำหรับอาคาร 9 ประเภท ประกอบด้วย อาคารสูงตั้งแต่ 23 ม.ขึ้นไป อาคารขนาดใหญ่พิเศษ พื้นที่ตั้งแต่ 1 หมื่น ตร.ม. อาคารชุมนุมคน พื้นที่ตั้งแต่ 1 พัน ตร.ม.ขึ้นไป โรงมหรสพ โรงแรม 80 ห้องขึ้นไป สถานบริการ พื้นที่ตั้งแต่ 200 ตร.ม. อาคารชุด หรืออาคารพัก อาศัยรวม พื้นที่ 2 พัน ตร.ม.ขึ้นไป โรงงานสูงกว่า 1 ชั้น และมีพื้นที่ ตั้งแต่ 5 พัน ตร.ม. ป้ายสูงจากพื้นดินตั้งแต่ 15 ม. หรือมีพื้นที่ตั้งแต่ 50 ตร.ม. หรือป้ายที่ติดตั้งบนหลังคา พื้นที่ตั้งแต่ 25 ตร.ม. โดยในส่วนของอาคารชุดยังได้รับการยกเว้น

แหล่งข่าวจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า อาคารทั้ง 9 ประเภท ที่มีจำนวนเป็นแสนอาคารทั่วประเทศ จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะในขณะนี้มีเจ้าของอาคารที่ตรวจสอบอาคารไปแล้ว ไม่ถึง 20% เนื่องจากที่ผ่านมา ผู้ตรวจสอบไม่เพียงพอ และหากไม่ทันกำหนด เชื่อว่าจะเกิดการเรียกสินบนอย่างแน่นอน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209645
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news19/12/07

โพสต์ที่ 185

โพสต์

สต็อกบ้านปี 51 พุ่งแสนหน่วย บ้านเดี่ยว น่าห่วงแชมป์ขายอืด

19 ธันวาคม พ.ศ. 2550 11:30:00
 
เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แจงข้อมูลบ้านค้างสต็อก รอขายในปี 2551 กว่า 1 แสนหน่วย รวมมูลค่ากว่า 2.3 แสนล้านบาท รวมกับสินค้าบ้านใหม่จ่อคิวเปิดเพิ่มอีก 113 โครงการ ระบุบ้านเดี่ยว อาการน่าเป็นห่วง เหตุยอดขายอืดเหลือขายมากที่สุดกว่า 4 หมื่นยูนิต

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
นายวสันต์ คงจันทร์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2551 อยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง  เนื่องจากมีสินค้าค้างสต็อกต่อเนื่องจากปีนี้กว่า 1 แสนหน่วย โดยมาจากปริมาณที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ในแต่ละปี อยู่ที่ประมาณ 66,000 ยูนิต ในจำนวนนี้จำหน่ายออกจากตลาด มีการซื้อขายในแต่ละปีประมาณ 60% ส่วนที่เหลือเป็นยอดขายสะสมในปีถัดไป และยอดสะสมจากหลายปีต่อเนื่องมา ทำให้ในปีนี้ มีปริมาณที่อยู่อาศัยรอขายในตลาดทั้งสิ้น 1.1 แสนยูนิต รวมมูลค่าประมาณ 2.3 แสนล้านบาท มูลค่าดังกล่าวคิดโดยใช้ฐานราคาเฉลี่ย 2.5 ล้านบาทต่อยูนิต

จากจำนวนบ้านค้างสต็อกดังกล่าว แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 40,000 ยูนิต ทาวน์เฮ้าส์ 25,000 ยูนิต และ คอนโดมิเนียม 25,000 ยูนิต  และหากพิจารณาจากจำนวนหน่วยที่เหลือขายแล้วนั้น พบว่า สินค้าบ้านเดี่ยวน่าเป็นห่วงมากที่สุด เนื่องจากว่าปริมาณการขายลดลงอย่างเห็นได้ชัด ต่างจากที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ซึ่งมีจำนวนหน่วยที่เหลือขายนั้น หากไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ออกมาเลย จะใช้เวลาขายเพียงไม่เกิน 7-8 เดือน

ทั้งนี้ ในรอบปีที่ผ่านมาพบว่ายอดขายบ้านเดี่ยวอยู่ที่ 8,000-9,000 ยูนิต และหากยอดขายบ้านเดี่ยวในแต่ละปียังอยู่ในระดับนี้อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าปริมาณบ้านเดี่ยวที่มีอยู่ในขณะนี้ จะใช้เวลาถึง 4 ปีในการขาย โดยไม่จำเป็นต้องมีการเปิดตัวใหม่ ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์ซึ่งปีนี้มียอดขาย 1-1.2 หมื่นยูนิต และคอนโดมิเนียม มียอดขายทั้งปีที่ 3.5 หมื่นยูนิต

นายวสันต์ ยังกล่าวด้วยว่า จากการสำรวจล่าสุด พบว่ามีโครงการอสังหาฯ ใหม่ ที่รอเปิดตัวในปี 2551 ประมาณ 113 โครงการ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 32 โครงการ  ทาวน์เฮ้าส์ 18 โครงการ และคอนโดมิเนียม 60 โครงการ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอสและรถไฟฟ้าใต้ดิน (เอ็มอาร์ที) รวมถึงส่วนต่อขยายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/1 ... sid=212873
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news20/12/07

โพสต์ที่ 186

โพสต์

รัฐวาง 7 ยุทธศาสตร์พัฒนาที่อยู่อาศัย ข่าว 17.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, December 20, 2007
นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนากรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ บอกว่า คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย และร่างระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติ เพื่อให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยเป็นระบบ และเหมาะสม โดยมอบให้การเคหะแห่งชาติ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ศึกษารายละเอียดของนโยบาย และตั้งให้คณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติขึ้นมาอีก 1 ชุด

ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ชาติฯ จะประกอบด้วย 7 ยุทธศาสตร์ 47 มาตรการ เช่น การผลักดันเรื่องที่อยู่อาศัยให้เป็นวาระแห่งชาติ การพัฒนาที่ดินและสาธารณูปโภคของรัฐให้สอดคล้องกับการพัฒนาที่อยู่อาศัย การเสริมสร้างระบบการเงินและระบบสินเชื่อ ที่เอื้อต่อการมีที่อยู่อาศัยของประชาชนทุกระดับ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news24/12/07

โพสต์ที่ 187

โพสต์

กู้ซื้อบ้านได้100%ไม่ต้องดาวน์ ธอส.นำร่องกำเงินปล่อยไม่อั้น

ธอส.แจ้งข่าวดีรับปีใหม่ เดินหน้าเต็มสูบดันตั้งบริษัทประกันสินเชื่อบ้าน เปิดมิติใหม่วงการอสังหาฯ หลังได้รับไฟเขียวจาก ครม. แบงก์พาณิชย์-บริษัทประกันภัยประสานเสียงรับ สนใจร่วมทุนคึกคัก ดีเดย์เปิดให้บริการกลางปีหน้าแน่ คนอยากมีบ้านเฮลั่น กู้ได้เต็ม 100% ไม่จำเป็นต้องวางเงินดาวน์ กลุ่มมีเงินเดือนประจำแต่ไม่มีเงินออมทั้งพนักงานโรงแรม ห้าง บริษัทเอกชน ฯลฯ แจ็กพอต ธอส.เตรียมนำร่องปล่อยกู้ไม่อั้น ชี้ผลพลอยได้ขยายฐานลูกค้าได้อีกเพียบ

นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2550 เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ ธอส.ดำเนินการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อดำเนินธุรกิจประกัน สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (mortgage insurance) เพื่อส่งเสริมให้ผู้ไม่มีเงินออมสามารถซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น ขณะนี้ ธอส.อยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทประกันภัย บริษัทประกันชีวิต และธนาคารพาณิชย์หลายๆ แห่ง เพื่อเตรียมการจัดตั้งบริษัทประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย คาดว่ากลางปี 2551 การดำเนินการต่างๆ จะเสร็จเรียบร้อย

จากนั้นจะสามารถเดินหน้าทำธุรกิจได้ทันที โดย ธอส.จะสามารถปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่ไม่มีเงินออมแต่ต้องการยื่นขอสินเชื่อซื้อบ้าน 90-100% ของมูลค่าหลักประกันได้ เพียงแต่ ลูกค้ารายนั้นๆ จะต้องใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในส่วนของเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายเพิ่มนอกเหนือจากค่างวดบ้าน อย่างไรก็ตามในส่วนอัตราค่าเบี้ยประกันขณะนี้ยังอยู่ระหว่างจัดทำหลักเกณฑ์เงื่อนไขในรายละเอียด ทำให้ไม่สามารถบอกเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนได้ แต่ยืนยันได้ว่าจะไม่เพิ่มภาระให้กับลูกค้ามากนัก

ทั้งนี้ลูกค้าที่จะได้รับประโยชน์จากการจัดตั้งบริษัทประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มหลักๆ จะเป็นลูกค้าที่มีเงินเดือนเป็นรายได้ประจำ เพียงแต่ไม่มีเงินออม เช่น กลุ่มที่ทำงานเป็นพนักงานโรงแรม ศูนย์การค้า พนักงานบริษัทเอกชน เป็นต้น ทำให้ที่ผ่านมาประสบปัญหาในการยื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เนื่องจากหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินส่วนใหญ่จะให้ลูกค้าต้องวางเงินดาวน์ก้อนหนึ่งประมาณ 20% ของราคาบ้านก่อน ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้และไม่สามารถซื้อบ้านได้ ทั้งๆ ที่มีรายได้ประจำและมีความสามารถเพียงพอที่จะผ่อนค่าเงินกู้ได้

"หลัง ครม.มีมติให้ ธอส.ร่วมทุนกับเอกชนจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้น กำลังเร่งดำเนินการตามแผนที่วางไว้ รวมทั้งร่างหลักเกณฑ์ในการปล่อยสินเชื่อภายใต้โครงการ เพื่อให้เป็นมาตรฐานและสามารถใช้ได้กับทุกสถาบันการเงิน"

นายขรรค์กล่าวว่า ที่ผ่านมา ธอส.ได้เจรจาเรื่องนี้กับธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง อาทิ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย ฯลฯ บริษัทประกันภัย 23 แห่ง และบริษัทประกันชีวิตอีก 3 แห่ง ปรากฏว่าทุกสถาบันต่างให้ความสนใจที่จะเข้ามาร่วมทุนในบริษัทใหม่ที่ ธอส.จะจัดตั้งขึ้น เพราะเห็นว่าเป็นโครงการที่จะช่วยลดความเสี่ยงให้กับสถาบันการเงินในประเด็นการปล่อย สินเชื่อซื้อบ้าน และทำให้สถาบันการเงินกล้าที่จะปล่อยสินเชื่อให้กับผู้บริโภคที่ต้องการมีบ้านเป็นของตนเองมากขึ้น

"จริงๆ แล้วเราไม่ควรเข้าไปยุ่งในบริษัทนี้ เพราะว่าเราให้กู้ในส่วน 80% ไปแล้ว ถ้ายังไปมีส่วนในการประกันสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอีก 20% ตามทฤษฎีแล้วไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเราไม่ลงมายุ่งตรงนี้บริษัทนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะว่าการที่จะให้บริษัทประกันเปิดใหม่ขึ้นมานั้น รัฐปิดประตูหมดแล้ว ประเด็นคือเราต้องตั้งบริษัทนี้ขึ้นมาให้ได้ก่อน เพราะเป็นสิ่งที่เราต้องการทำให้ธุรกิจอสังหาฯเติบโตอย่างยั่งยืน เหมือนในอดีตที่ผ่านมาเราได้ตั้งเครดิตบูโร หรือศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ตลาดบ้านมือสองที่ธนาคารร่วมสร้างขึ้นมา และในอนาคตก็จะเป็นเรื่องซีเคียวริไทเซชั่น

เพราะนอกเหนือจาก ธอส.จะเป็นผู้ให้กู้ในเรื่องของอสังหาฯแล้ว ยังต้องพยายามประคับประคองให้ธุรกิจนี้เติบโตได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่จะปล่อยให้เป็นไปตามวัฏจักร จนเกิดปัญหาฟองสบู่ หรือให้ล้มลุกคลุกคลาน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะเติบโตแบบยั่งยืนไม่ได้ เมื่อสิ่งเหล่านี้สามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้ และเห็นว่าในต่างประเทศก็นำระบบนี้มาใช้ จึงอยากเอามาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยด้วย

นายขรรค์กล่าวว่า บริษัทประกันสินเชื่อฯจะช่วยให้ ธอส.เปิดประตูให้กับลูกค้าที่ไม่มีเงินออมแต่ต้องการมีบ้านให้สามารถที่จะกู้ได้ง่ายขึ้น โดยบริษัทประกันสินเชื่อฯจะเข้ามาแบกรับในส่วนของเงินดาวน์ เช่น ผู้ต้องการกู้ซื้อบ้านในราคา 1 ล้านบาท ปกติสถาบันการเงินจะไม่ให้กู้เต็มวงเงินที่ซื้อบ้านคือ 1 ล้านบาท แต่จะให้วางเงินดาวน์จำนวน 2 แสนบาท หรือ 20% เมื่อมีบริษัทประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย บริษัทประกันสินเชื่อฯก็จะรับค้ำประกันสินเชื่อ 20% ให้ ส่วนที่เหลือ 80% จะให้ธนาคารที่ปล่อยกู้รับความเสี่ยงเองในกรณีเกิดเป็นหนี้เสีย แบงก์ที่ปล่อยกู้ก็จะแบกรับความเสี่ยงในวงเงินเพียง 8 แสนบาท ส่วนอีก 2 แสนบาท ก็เป็นความเสี่ยงของบริษัทประกัน

นายขรรค์กล่าวว่า บริษัทประกันสินเชื่อฯจะเข้าไปจับกลุ่มลูกค้ากลุ่มที่ไม่มีเงินออม ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินตลอดเวลา ไม่สามารถที่จะออมได้ อยากจะกู้ซื้อบ้านแต่ก็กู้ไม่ได้ เพราะจะต้องมีเงินดาวน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าอยากได้บ้านก็ต้องไปกู้เงินนอกระบบมาเป็นเงินดาวน์ สิ่งที่ตามมาคือการเป็นหนี้ และต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่ค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ทำงานอยู่ในภาคบริการเป็นหลัก

"นอกจากนี้ตลาดสินเชื่อตอนนี้เปรียบเหมือน กับแท็งก์น้ำที่น้ำกำลังจะหมดแท็งก์แล้ว ก็ต้องหาอะไรมาเติมแท็งก์ให้มันเพิ่มขึ้น หากโครงการประกันสินเชื่อฯนี้ตั้งสำเร็จ ก็เท่ากับว่าเป็นการขยายฐานลูกค้าให้กับธนาคารด้วย" นายขรรค์กล่าวและว่า

สำหรับหลักเกณฑ์ในการปล่อยสินเชื่อนั้นขึ้นอยู่กับรายได้ของผู้กู้เป็นหลัก โดยที่บริษัทประกันสินเชื่อจะต้องเป็นผู้วางหลักเกณฑ์ร่วมกับสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้รวมทั้งร่วมเซตระบบกับธนาคารให้เป็นระบบมาตรฐานสากลเดียวกัน กรณีการผ่อนชำระค่าเบี้ยประกันนั้นขณะนี้ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดที่ชัดเจนได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการวางกรอบและหลักเกณฑ์ทั้งหมด ในเบื้องต้นเรตการจัดเก็บกรมธรรม์ประกันสินเชื่อฯนั้นผู้กู้จะต้องผ่อนชำระค่ากรมธรรม์ประกันสินเชื่อฯพร้อมกับค่างวดบ้านไปจนกว่าวงเงินต้นลดลงต่ำกว่า 80% หรือตามที่สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้กำหนด

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวงเงินที่ขอประกันสินเชื่อและระยะเวลาในการกู้ ซึ่งไม่สามารถให้รายละเอียดได้ขณะนี้ เนื่องจากต้องรอผลการศึกษาที่ทำเป็นแบบมาตรฐานก่อนที่จะนำมาปรับใช้ให้เกิดความเหมาะสมกับสภาพตลาดของเมืองไทย โดยที่ไม่เป็นภาระของผู้กู้มากเกินไป

แหล่งข่าวจาก ธอส.เปิดเผยเพิ่มเติมว่า บริษัทประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ ธอส.จะจัดตั้งขึ้น โดยให้บริษัทประกันภัยและสถาบันการเงินเข้ามาร่วมถือหุ้นนั้น เบื้องต้น ธอส.จะเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 25% ของจำนวนเงินหรือหุ้นทั้งหมด จากนั้นภายในระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่ประกอบกิจการ ธอส.จะลดสัดส่วนการถือหุ้นให้เหลือ 5% หรือน้อยกว่า โดยจะดำเนินธุรกิจเฉพาะด้านการประกันแต่สินเชื่อที่อยู่อาศัย (mono line) เพียงอย่างเดียว ไม่รับประกันภัยประเภทอื่น เนื่องจากการประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัยต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และเป็นการประกันความเสี่ยงทางการเงินไม่ใช่ประกันวินาศภัยหรือการประกันชีวิตแบบทั่วๆ ไป

คาดว่าจะใช้ทุนจดทะเบียนเบื้องต้น 600 ล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ที่ 1,200 ล้านบาท และจะนำผลกำไรที่เกิดขึ้นเพิ่มทุนไปเรื่อยๆ โดยผู้ถือหุ้นหลักมาจากบริษัทประกันภัยที่ทำธุรกรรมอยู่กับ ธอส., บริษัทประกันชีวิต, สถาบันการเงินของรัฐและแบงก์พาณิชย์

"ตอนนี้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ส่งร่างกฎหมายฉบับนี้ไปที่กฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา เหลือแค่ตรวจถ้อยคำให้เหมาะสม จากนั้นเรื่องก็จะส่งกลับมาให้ ครม.พิจารณาอีกครั้งเพื่อทราบ ก่อนจะประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ทัน มั่นใจว่าประมาณกลางปี 2551 คงเปิดให้บริการได้" แหล่งข่าวกล่าว
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news24/12/07

โพสต์ที่ 188

โพสต์

กระเบื้องหลังคายุค "ขอดน้ำก้นบ่อ" คู่กัด "ตราช้าง-ตราเพชร" ฝ่าด่านหินปีชวด ชิงดำตลาดรีโนเวต

เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก่อนจะผ่านพ้นปี 2550 ว่ากันว่าวัสดุก่อสร้างในกลุ่ม "กระเบื้องหลังคา" มูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา เป็นปีแห่งความยากลำบากตามที่คาดการณ์กันไว้

มุมมองของผู้ผลิตยักษ์ใหญ่อย่าง "ตราช้าง" ประมาณการว่า ภาพรวมตลาดกระเบื้องหลังคา ปีนี้หดตัวลงถึง 15% ส่วน "ตราเพชร" มองภาพรวมเชิงบวกกว่าเล็กน้อย กล่าวคือ ตลาดทรงตัวถึงติดลบเล็กน้อยเท่านั้น เป็นผลพวงมาจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาและเทรนด์ธุรกิจอสังหาฯที่เติบโตในเซ็กเมนต์คอนโดมิเนียมมากกว่าโครงการ บ้านจัดสรร

ขณะที่แนวโน้มตลาดปี 2551 ยังเต็มไปด้วยปัจจัยลบ แต่ทุกคนต่างยังมีความหวังลึกๆ ว่า หลังจากผ่านพ้นการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 23 ธันวาคม และฟอร์มทีมรัฐบาลแล้ว สถานการณ์เศรษฐกิจน่าจะเริ่มกระเตื้องขึ้น

"...ปีหน้าคงไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว" เป็นบทสรุปของ "ธงชัย โสภณ" ผู้อำนวยการ ฝ่ายการตลาด บริษัท กระเบื้องกระดาษไทย จำกัด ธุรกิจในเครือซิเมนต์ไทย และ "สาธิต

สุดบรรทัด" รองกรรมการผู้จัดการสายงานการขายและการตลาด บมจ.กระเบื้องหลังคาตราเพชร เมื่อ "ประชาชาติธุรกิจ" ตั้งคำถามว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะถึงคิว "เผาจริง" หรือไม่ !

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ผลิตหลังคาทั้ง 2 แบรนด์วางกลยุทธ์ไว้คล้ายๆ กันคือ การมุ่งเจาะตลาด รีโนเวต (ปรับปรุงซ่อมแซม) ซึ่งน่าจะเป็นทางออกในภาวะที่เศรษฐกิจรอจังหวะการฟื้นตัว

ภาวะแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง นำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน แต่แตกต่างที่กลยุทธ์ สมรภูมิการแข่งขันปีหน้าระหว่างแบรนด์ลีดเดอร์ทั้งสองรายจึงน่าสนใจว่า "ตราช้าง" กับ "ตราเพชร" จะงัดทีเด็ดอะไรออกมาประชันกันบ้าง

"ตราช้าง" นำร่อง "ขายสินค้าพ่วงสินค้า"

ปี 2551 ที่หลายคนตั้งตารอนั้น "ตราช้าง" ในฐานะแบรนด์ลีดเดอร์ตลาดหลังคาได้ปรับกลยุทธ์หันมาใช้สินค้าเป็นระบบมากขึ้น ทั้งในแง่ "หลังคา" และ "งานผนัง" โดยในกลุ่มหลังคาจะ ชู "ระบบหลังคาระบายอากาศ" รูปแบบคือการนำเสนอผลิตภัณฑ์หลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์ ควบคู่กับฉนวนกันความร้อน และฝ้าเพดาน พร้อมคำนวณการติดตั้งฝ้าเพดานให้มีจำนวนช่องระบายอากาศในสัดส่วนที่เหมาะสม ทดแทนการมุ่งขายสินค้าเพียงอย่างเดียว เพื่อให้หลังคาสามารถระบายความร้อนได้ดีที่สุด

ประเมินว่าบ้านที่ติดตั้งระบบหลังคาระบายอากาศช่วยลดอุณหภูมิลงได้อีกประมาณ 2 องศาเซลเซียส นั่นหมายถึงการลดค่าไฟฟ้าได้ส่วนหนึ่ง งานนี้บริษัทวางแผนเปิดตัวผ่านศูนย์ให้บริการติดตั้งหลังคาครบวงจร "ซิเมนต์ไทย รูฟฟิ่ง เซ็นเตอร์" ตามร้านซิเมนต์ไทยโฮมมาร์ท ภายในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2551

ส่วนในกลุ่มสินค้างานผนัง หลังจากปีนี้บริษัทกระเบื้องกระดาษไทยประกาศตัวเป็นผู้ผลิตหลังคา ไม้สังเคราะห์ และแผ่นบอร์ดสำหรับงานผนังและฝ้ารายแรกที่ผลิตสินค้าแบบปลอดส่วนผสมสารใยหินทั้งหมด ส่งผลให้คุณสมบัติแผ่น "สมาร์ต บอร์ด" ตราช้างเหนียว ทนทาน มากขึ้น ขยายผลในการนำไปใช้งานได้ทั้งผนังภายในและภายนอกอาคาร จากเดิมที่ใช้ติดตั้งกับงานฝ้าเพดานเท่านั้น

ก้าวถัดไปในปีหน้า จะเริ่มแผนการตลาดเชิงรุกด้วยการขายสินค้าเป็นระบบเช่นเดียวกัน ได้แก่ 1)ระบบผนังกันเสียง 2)ระบบผนังทนไฟ 3)ระบบผนังระบายอากาศลดความร้อน ถือเป็น "โปรดักต์ไฮไลต์" ก็ว่าได้ เพราะเป็นการขายแผ่นสมาร์ตบอร์ดที่มีการติดตั้งฉนวนความร้อน พร้อมกับใช้เทคนิคการเว้นช่องระบายอากาศตรงกลางแผ่นบอร์ด 2 แผ่นที่นำมาประกบกัน โดยชื่อที่เรียกว่า "composite wall" (ผนังประกอบ)

"การขายสินค้าเป็นระบบเรามุ่งไปที่ตลาดบ้านเก่าที่ต้องการเปลี่ยนหลังคาเป็นหลัก ถ้าลูกค้าต้องการหลังคาหรือระบบผนังที่ระบายอากาศได้ดีขึ้นต้องนึกถึงตราช้าง โดยเฉพาะระบบผนังสมาร์ต บอร์ดเราเชื่อว่าในอนาคตจะเข้ามาทดแทนผนังระบบก่ออิฐฉาบปูน ต่อไปการต่อเติมบ้านจะง่ายขึ้นไม่ต้องมีคาน แต่ใช้แผ่นบอรด์ติดตั้งได้เลย" ธงชัย โสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ของ "กระเบื้องกระดาษไทย" บอกกับ "ประชาชาติธุรกิจ"

โดยเชื่อว่าจากกลยุทธ์ทั้งหมดจะช่วยผลักดันยอดขายบริษัทในปี 2551 จำนวน 6,500 ล้านบาท

ทั้งนี้ ตัวเลข 6,500 ล้านบาทดังกล่าว มีนัยของความพยายามที่จะ "ฟื้นฟู" เป้าหมายยอดขายของปี 2550 ที่คาดว่าจนถึงสิ้นปีจะมียอดขายรวมประมาณ 6,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยังติดลบอยู่ 15-20% (เป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 2550 คือมากกว่า 7,000 ล้านบาท)

"ตราเพชร" ขายสินค้าพ่วง (ทีมช่าง) บริการ

ด้าน "กระเบื้องหลังคาตราเพชร" ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 25% ให้มุมมองว่า กลุ่มบ้านเก่าที่ต้องการปรับเปลี่ยนหลังคาเป็นตลาดที่ยังสดใสอยู่ แนวทางที่วางไว้คือการขยาย "ทีมช่าง" เหมามุงหลังคารองรับลูกค้าที่ต้องปรับเปลี่ยนหลังคาใหม่ ในรูปแบบการขาย "สินค้า" พ่วง "บริการ"

โดยเตรียมจัดตั้ง "ศูนย์อบรมช่าง" ขึ้นที่จังหวัดสระบุรี เพื่อเป็นศูนย์กลางในการจัดฝึกอบรมรองรับการขยายทีมช่าง จากปัจจุบันที่มีเครือข่ายช่างรองรับการติดตั้งหลังคาได้สูงสุดเดือนละ 100 ยูนิต คาดว่าในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 2 เท่า

ส่วนการให้บริการจะเริ่มขยายออกสู่ตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น โดยอาศัยร้านผู้แทนจำหน่ายในจังหวัดใหญ่ในแต่ละภูมิภาค

เป็นศูนย์กลางรองรับการจัดหาและติดต่อช่างให้กับลูกค้า คิดค่าบริการเหมามุงหลังคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 200 บาท ระยะเวลารับประกันนาน 5 ปี

ในการขยายทีมติดตั้งหลังคายังเชื่อมโยงกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มหลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์แบบกระเบื้องว่าวภายใต้แบรนด์ "เจียระไน" ที่จะมีการเปิดตัวหลังคารูปทรงใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ได้แก่ รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตามแผนจะดีเดย์ประมาณช่วงต้นปีหน้า

มีการใส่นวัตกรรมให้กับกระเบื้องรุ่นใหม่ด้วยการปรับเปลี่ยนระบบการติดตั้งแบบแห้ง คือ ใช้การยึดด้วยสกรูเป็นหลัก แทนการฉาบด้วยปูน โดยเฉพาะตลาดโครงการสปา รีสอร์ต ที่กำลังนิยมใช้หลังคาประเภทนี้ และมีความเป็นไปได้ในอนาคต "หลังคา" จะเป็นสินค้า "กึ่งๆ แฟชั่น" มากขึ้น

"เราหวังว่าในปีหน้างานโครงการบ้านจัดสรร ที่เคยชะลอแผนลงทุนไปจำนวนมากจะเริ่มกลับมา อย่างไรก็ตามกลุ่มบ้านเก่าที่ปรับปรุงซ่อมแซมหลังคายังเป็นตลาดที่สดใส และช่วยผลักดันให้มียอดขายในปีหน้าประมาณ 2,750 ล้านบาท เติบโตจากปีนี้ประมาณ 10%" สาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.กระเบื้องหลังคาตราเพชร บอกถึงเป้าหมาย

ต่างค่ายต่างกลยุทธ์ ทำงานหนักกันขนาดนี้ เป็นเรื่องต้องติดตามอย่างใกล้ชิด จะสามารถ recover ตัวเลขตลาดรวม 1 หมื่นล้านบาทได้ หรือไม่
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0217
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news25/12/07

โพสต์ที่ 189

โพสต์

รัฐบาลฟื้นอสังหาฯไตรมาส2

โพสต์ทูเดย์ หากการจับขั้วตั้งรัฐบาลขัดแย้งไม่รุนแรง ผู้ประกอบการอสังหาฯ ระบุความเชื่อมั่นการลงทุนจะเริ่มฟื้นไตรมาส 2


นายอิสระ บุญยัง อุปนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า หลังการเลือกตั้ง ต้องการให้ทุกฝ่ายยอมรับผลคะแนนที่ออกมา เพราะถือว่าดำเนินการตามความสุจริตยุติธรรม ทุกฝ่ายต้องเคารพกติกา

ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลจะมาจากขั้วพรรคการเมืองใดก็ตาม ซึ่งอาจมีความไม่ลงรอยกันในการเจรจา แต่อย่าให้ปรากฏความขัดแย้งที่รุนแรง แม้ว่าจากผลการเลือกตั้งในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอาจจะไม่สอดคล้องกัน แต่ต้องยอมรับผลคะแนนทั้งประเทศ

การเลือกตั้งสะท้อนให้เห็นถึงการเริ่มต้นความสมานฉันท์แล้ว แต่จะราบรื่นมากหรือไม่คงไม่หวังขนาดนั้น แต่ก็สร้างความเชื่อมั่น ให้กับประชาชนได้ระดับหนึ่ง ที่สำคัญคือ สานต่อนโยบายที่ให้ไว้กับประชาชนตอนหาเสียง แม้ว่าจะทำทุกเรื่องไม่ได้ แต่ควรทำเรื่องที่ คั่งค้างอยู่ โดยเฉพาะการลงทุนเมกะโปรเจกต์ นายอิสระ กล่าว

ส่วนทีมเศรษฐกิจของทั้ง 2 พรรคที่ได้เสียงอันดับ 1 และ 2 ไม่แตกต่างกันมากนัก ซึ่งพรรคพลังประชาชนก็มาจากพรรคไทยรักไทยเดิม

ด้านประชาธิปัตย์เองก็มีทีมเศรษฐกิจอยู่หลายท่าน และนโยบายก็เห็นประกาศกันช่วงหาเสียงก่อนการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าลงทุนต่อสำหรับโครงการขนาดใหญ่ หรือเมกะโปรเจกต์ การปฏิรูปการศึกษา การพัฒนาระบบชลประทาน ฯลฯ โดยตัวบุคคลมีความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ อย่างไร ก็ตาม ขณะที่การปลดล็อกมาตรการกันสำรอง 30% มีเพียงประชาธิปัตย์ ยืนยันชัดเจนว่าจะดำเนินการ

หากการจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่มีความขัดแย้งรุนแรง เชื่อว่าจะ ส่งผลให้เศรษฐกิจและภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวได้ในไตรมาส 2 ปีหน้า หลังจากที่ผ่านมาการลงทุนและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในภาวะชะลอตัวตลอด ซึ่งเมื่อ 2 ส่วนฟื้นตัว จะส่งผลต่อการซื้อบ้านที่เป็นการจับจ่ายใช้สอยที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต จากทั้งปีนี้ที่ผ่านมา อสังหาฯ เติบโตเฉพาะกลุ่มซิตี คอนโดมิเนียม และถ้ารัฐบาลมีการขยายการลงทุนการขนส่งระบบราง เชื่อว่าจะทำให้บ้านเดี่ยวในเขตชานเมืองฟื้นตัวกลับมามีการเติบโตได้ นายอิสระ กล่าว

ด้านนายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติมีความพร้อม ที่จะเข้ามาลงทุนในไทย เนื่องจากมีความพร้อมด้านปัจจัยพื้นฐาน ส่วนนโยบายการแก้ไข พ.รบ.การประกอบธุรกิจต่างด้าว (นอมินี) และการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทยของ ทั้ง 2 พรรคใหญ่ค่อนข้างชัดที่จะดำเนินการ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=210883
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news27/12/07

โพสต์ที่ 190

โพสต์

เมื่อ"เจริญ-เจียรวนนท์"คิดรวบอสังหาฯ เวทีนี้"รายเล็ก"สั่นสะท้าน-แลนด์ฯตั้งป้อมสู้??

โดย ผู้จัดการออนไลน์
27 ธันวาคม 2550 08:01 น.
 
      สมรภูมิการแข่งขันในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ช่วงปี 2550 กลายเป็นเวทีการแข่งขันของผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีเพียงไม่กี่ค่าย "ช่วงชิง" ความได้เปรียบในเรื่องของกำลังเงิน คอนเน็กชันกับสถาบันการเงิน และทรัพยากรบุคคลในการรุกคืบขยายโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายตลาด และเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น
     
      ความเคลื่อนไหวของการลงทุนของรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น บริษัทแอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เจ้าตลาดคอนโดมิเนียม ,บริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ที่เพิ่มพอร์ตโครงการคอนโดฯอย่างหนักในช่วงปี 2550 ,บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่มีบริษัทพลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กำลังสำคัญในการหนุนการเติบโตบริษัทแม่ โดยเฉพาะโครงการคอนโดฯแบรนด์ต่างๆของพลัส สามารถแทรกซึมเข้าสู่ตลาด จนได้รับตอบรับจากลูกค้าอย่างล้นหลาม หรือแม้แต่เจ้าตลาดทาวน์เฮาส์อย่างบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เริ่มแตกเซกเม้นท์โครงการคอนโดฯเข้าสู่ตลาด
     
      ซึ่งความสำเร็จของยอดขายของบริษัทขนาดใหญ่ นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายแล้ว แบรนด์ของแต่ละบริษัท ที่เข้มแข็ง ก็มีส่วนทำให้เกิดการรับยอมจากลูกค้าอย่างมาก และมีส่วนสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่โครงการของบริษัทอย่างต่อเนื่อง
     
      ...ในเมื่อบริษัทคู่แข่งพาเหรดเร่งสร้างแบรนด์ผ่านการขยายโครงการใหม่ๆ แต่ดูเหมือนว่า "ยักษ์ใหญ่"อย่างบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) การเคลื่อนไหว "จะเชื่องช้าลง"??
      ...หรือด้วยความเป็นบริษัทใหญ่ ทุกก้าวย่าง ต้องมั่นใจและมั่นคง
      ...หรือด้วยเอกลักษณ์ของแลนด์ฯ ที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์บ้านที่เน้นคุณภาพ มั่นคง ไม่หวือหวา จนดูคล้ายว่า "สินค้า"ของแลนด์ฯจะตอบโจทย์เฉพาะกลุ่มลูกค้าวัยกลางคนขึ้นไป
      ....จนนำไปสู่ การทุ่มงบกว่า 400 ล้านบาท เพื่อรีแบรนด์ดิ้งภาพของแลนด์ฯครั้งใหญ่
     
      ถึงแม้แลนด์ฯ อาจจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดอสังหาฯไปบ้าง แต่ใช่ว่าอาณาจักรของแลนด์ฯจะสั่นคลอน เพราะไม่ใช่มีแค่ธุรกิจอสังหาฯเท่านั้น ความใหญ่และเครือข่ายทางธุรกิจของแลนด์ฯ ก็เปรียบได้กับธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ที่ทำธุรกิจครบวงจร เพราะแลนด์ฯทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งธุรกิจขายบ้าน ที่รวมถึงบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่เจ้าตลาดบ้านหรู และขณะนี้กำลังผลักดันให้บริษัท คาซ่า วิลล์ จำกัด เข้ามารุกตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูงระดับกลางถึงล่าง เพื่อต่อยอดฐานลูกค้าของกลุ่ม
     
      ธุรกิจวัสดุก่อสร้างอย่างบริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายคอนกรีตมวลเบา ,บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน นอกจากนี้ ยังมีธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย ที่สนับสนุนสินเชื่อให้แก่โครงการของเครือแลนด์ฯ
     
      ขณะที่ฐานะการเงินของแลนด์ฯ ณ สิ้นเดือนก.ย.2550 มีสินทรัพย์รวมเพิ่มเป็น 41,913.35 ล้านบาท(ณ สิ้นปี 2546 อยู่ที่ 31,585.13 ล้านบาท) ส่วนของผู้ถือหุ้น 23,137.64 ล้านบาท ชำระแล้วล่าสุด 8,666.40 ล้านบาท รายได้รวม 14,985.95 ล้านบาท (เทียบกับปี 2548 รายได้รวมสูงถึง 23,923.64 ล้านบาท) กำไรสุทธิ 2,406.06 ล้านบาท (เทียบกับปี 2546 สูงถึง 6,190.84 ล้านบาท) โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ก.ย.ปี 50 อยู่ที่ 65,047.96 ล้านบาท (เทียบกับปี 46 มูลค่าหลักทรัพย์อยู่ที่ 86,097.47 ล้านบาท)
     
      เมื่อ"เจ้าสัว"เปิดเกมรุกอสังหาฯ
      ทีซีซีฯรวบตลาดบน-เครือข่ายUVเน้นตลาดล่าง
      แหล่งข่าวในวงการอสังหาฯ กล่าวว่า การแข่งขันในธุรกิจอสังหาฯนับจากนี้ จะมีความรุนแรงและจะเป็นตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองอย่างมาก คือ กลุ่มของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าพ่อน้ำเมา และกลุ่มของนายธนินทร์ เจียรวนนท์ เครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) ที่ในปีนี้ ทั้ง2กลุ่มเจ้าสัว เปิดเกมรุกตลาดอสังหาฯอย่างเต็มที่
     
      "รูปแบบการลงทุนของสองกลุ่ม แม้จะมีความต่างกัน แต่มุ่งหมายเดียวกัน มองว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ยังมีแนวโน้มเติบโต ประกอบกับความเป็นคนที่ชื่นชอบสะสมที่ดินมาแต่ก่อนแล้ว จึงเป็นกลุ่มเจ้าสัวในเมืองไทยเพียงไม่กี่คนที่มีแลนด์แบงก์ในมือจำนวนมาก "แหล่งข่าวกล่าวและว่า
     
      ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มนายเจริญ ไม่ใช่จะเริ่มมาบุกตลาดในช่วงปีนี้ แต่ที่ผ่านมา การลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น จะผ่านกลุ่มบริษัท ทีซีซีแลนด์ จำกัด และมีการแยกกลุ่มธุรกิจต่างๆ ออกเป็น 7 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มลงทุนและพัฒนาโครงการ กลุ่มโรงแรม กลุ่มอาคารสำนักงาน กลุ่มอาคารศูนย์การค้า กลุ่มสนามกอล์ฟและสโมสร กลุ่มธุรกิจการประชุมและนิทรรศการและกลุ่มพัฒนาที่ดินเพื่อการเกษตร และยุทธศาสตร์ใหม่ของกลุ่มที.ซี.ซี.แลนด์ฯกำหนดแผน 5 ปีที่จะนำที่ดินของกลุ่มมาพัฒนาโครงการใหม่และต่อเนื่องรวมถึง 18 โครงการ มูลค่าไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท กระจายไปทุกทำเลครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภาคใต้ อย่างเมืองท่องเที่ยวภูเก็ต สมุย และกระบี่ ที่จะพัฒนาทั้งโครงการที่อยู่อาศัยและโครงการที่รองรับการท่องเที่ยว เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การดึงแลนด์แบงก์ของกลุ่มออกมาพัฒนา กลับพบว่ามีสัดส่วนเพียง 20%
     
      แต่เหนืออื่นใดแล้ว การลงทุนของทีซีซี แลนด์ฯคงไม่มองเพียงแต่ ใช้เงินลงทุนของบริษัทมาขยายโครงการ การมองข้ามชอตไปถึงการเพิ่มมูลค่าเม็ดเงินที่หว่านลงทุน ต้องกลับมา??
     
      นั่นจึงเหตุผลที่ทางกลุ่ม มีแนวทางที่จะนำโครงการที่มีอยู่ มาจัดพอร์ตทั้งพอร์ตของโรงแรม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า มาระดมทุนผ่านการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และเป็นการระดมทุนที่มีเม็ดเงินมหาศาล ซึ่งวัลลภา ไตรโสรัส ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด ระบุว่า
     
      "หากทำทั้งหมดแล้ว มูลค่าไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท แต่แนวทางจะทำกองทุนทีละกองออกมาก่อน เพราะเราต้องดูแต่ละโครงการมีกระแสเงินสดที่เข้ามาสม่ำเสมอ ซึ่งประเภทโครงการที่จะนำเข้ามาสู่กองทุนอสังหาฯจะแยกเป็นประเภทไป "นางวัลลภากล่าวก่อนหน้านี้
     
      นี้อาจจะหมายความว่า กลุ่มธุรกิจอสังหาฯของนายเจริญ กำลังก้าวสู่บริษัทชั้นนำของโลก ซึ่งแนวโน้มแล้ว เป็นไปได้ ???
     
      ขณะที่ การต่อยอดธุรกิจทางด้านอสังหาฯของกลุ่มไม่ได้หยุดนิ่ง บริษัท ที.ซี.ซี. แคปปิตอล แลนด์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับบริษัท แคปปิตอล แลนด์ จำกัด จากสิงคโปร์ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเพิ่มได้เปรียบในธุรกิจอสังหาฯให้แก่กลุ่มมากขึ้น ทั้งโครงการคอนโดฯและบ้านจัดสรรระดับหรู เช่น โครงการพลาซ่า แอทธินี เรสซิเด้นท์, วิลล่าราชครู, The Empire Place มูลค่ารวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท
     
      แต่ที่ชอกวงการอสังหาฯ และโชว์ถึงศักยภาพของกลุ่มนายเจริญอย่างเต็มที่ ก็เมื่อ ได้เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ถือเป็นการรุกคืบในธุรกิจอสังหาฯอย่างมีนัยยสำคัญ เนื่องจากเป็นการสร้างเครือข่ายและปิดจุดอ่อนของกลุ่ม เพราะที่ผ่านมา โครงการอสังหาฯที่กลุ่มนายเจริญลงทุน จะเป็นโครงการขนาดใหญ่และมีมูลค่าสูง แต่การเข้าถือหุ้นในยูนิเวนเจอร์ฯ จะช่วยเสริมศักยภาพให้เกิดความหลากหลายในตัวสินค้า โดยผ่านทางบริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด และบริษัท ปริญเวนเจอร์ จำกัด บริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้นร่วมกับพันธมิตรอย่าง บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เจ้าตลาดในตลาดคอนโดฯ และบริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ขณะนี้ มีการขยับขยายโครงการแนวราบและคอนโดฯระดับกลางมากขึ้น
     
      "ธนินท์ เจียรวนนท์"พลิกฟื้นธุรกิจอสังหาฯ
      การขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาฯของกลุ่มนายเจริญแล้ว ก็พอที่จะวงการอสังหาฯสะเทือน ซึ่งเชื่อว่าแม้แต่ค่ายแลนด์ฯ ก็คงต้องปรับแผนและเตรียมรับมือกับ "ช้าง" ที่จะตีรวบตลาดอสังหาฯ
     
      แต่ใช่ว่าจะมี "ช้าง"จากค่ายน้ำเมาอย่างเดียว แต่การกลับมาของ"นายธนินทร์ เจียรวนนท์"เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ก็หวนคืนสังเวียนในธุรกิจอสังหาฯอีกครั้ง หลังจากธุรกิจในเครืออย่าง บริษัท ซีพี แลนด์ จำกัด ต้องเจอมรสุมจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจช่วงปี 2540 มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้บริษัทต้องดำเนินการเคลียร์หนี้ก้อนโต ผ่านกระบวนการตีโอนทรัพย์ชำระหนี้, นำที่ดินบางแปลงออกมาพัฒนา เป็นต้น
     
      และนับจากนี้ไป ซีพี แลนด์ฯจะกลับมาเรียกคืนความยิ่งใหญ่ในธุรกิจอสังหาฯอีกครั้ง ??
     
      นายสุนทร อรุณานนท์ชัย รองประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ปัจจุบันที่ดินปลอดจำนองและชำระหนี้สินหมดแล้ว พร้อมจะรุกธุรกิจอสังหาฯ โดยเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยจะดำเนินการภายใต้ บริษัท ซีพี แลนด์ แห่งเดียว จากที่ก่อนหน้านี้จะมีบริษัทย่อยที่รับดูแลแต่ละโครงการกว่า 10 บริษัท และแผนลงทุนในธุรกิจที่อยู่อาศัยดังกล่าว สืบเนื่องจากการที่ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ได้ให้นโยบายกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่ดินว่า ต้องการให้พัฒนาที่อยู่อาศัยในเมือง โดยไม่จำเป็นต้องอยู่กลางเมือง แต่เน้นทำเลที่มีระบบโครงข่ายคมนาคม เข้าถึงระหว่างเมืองกับชุมชนชานเมืองเพื่อลดปัญหาความแออัด
     
      แผนที่ว่า ทางบริษัทจะเน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายระดับกลาง-สูง กลุ่มคนทำงานที่มีฐานรายได้ ต่อครอบครัวตั้งแต่ 30,000 บาท/เดือน โดยปัจจุบัน ซีพี แลนด์ มีที่ดินทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดอยู่ 5,000 ไร่ กว่า 3,000 ไร่ อยู่ที่จังหวัดระยอง ซึ่งเดิมมีแผนจะพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรม ส่วนที่เหลือกระจายอยู่ทั่วไป เป็นพื้นที่ซึ่งซื้อเก็บไว้ค่อนข้างนาน ได้เปรียบคู่แข่งรายอื่นในเรื่องต้นทุนที่ถูกเกือบ 50%
     
      โดยในเบื้องต้น จะนำที่ดิน 5 แปลงออกมาพัฒนารวมมูลค่าเกือบ 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างรายได้ต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี โดยมีแผนที่จะเปิดโครงการคอนโดฯ อาคารสำนักงาน และที่อยู่อาศัยแนวราบ ประกอบด้วย 1.คอนโดมิเนียม ที่พัทยา ใต้เนื้อที่ 30 ไร่ จำนวน 10 อาคารๆ สูง 7 ชั้น จำนวน 700 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอย 45 -135 ตารางเมตร ราคาขายเฉลี่ย 4-4.5 หมื่นบาท/ตารางเมตร หรือราคาเริ่มต้น 1.9 ล้านบาท มูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท
     
      2. คอนโดฯ ย่านศรีนครินทร์ เนื้อที่เกือบ 5 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารสูง 8 ชั้น 3 อาคารจำนวน 550 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอย 36 ตร.ม.และ 60 ตร.ม.ราคาขายเริ่มต้น 9 แสนบาท มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท
     
      3.โครงการอาคารสำนักงาน ที่จังหวัดขอนแก่น เป็นอาคารสูง 10 ชั้น พื้นที่ขายรวม 9,000 ตร.ม. โครงการดังกล่าวพัฒนาเพื่อเช่าราคา 270-280 บาท/ตารางเมตร/เดือน มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท ที่ดินในบริเวณดังกล่าวมี 50 ไร่ แบ่งให้โลตัสเช่า 30 ไร่ที่เหลือ ซีพี แลนด์ นำมาพัฒนาเป็นอาคารสำนักงาน
     
      4.โครงการที่ ถ.ประชาร่วมใจ ย่านมีนบุรี เนื้อที่ 70 ไร่ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวภายใต้ชื่อ โคซี่ พาร์ค จำนวน 274 ยูนิต บนเนื้อที่ตั้งแต่ 50 ตารางวาขึ้นไป ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 130 ตร.ม.ราคาขาย 2.5 ล้านบาทขึ้นไป มูลค่าโครงการรวม 960 ล้านบาท และ 5.โครงการที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื้อที่ 70 ไร่ ภายใต้ชื่อ ซิตี้ โฮม พาร์ค พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 320 ยูนิต บ้านแฝดราคาเริ่ม 1.9 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท มูลค่ารวม 960 ล้านบาท
     
      ดันแมกโนเลียฯต่อยอดธุรกิจในเครือ
      คงไม่ใช่มีเพียงซีพีแลนด์ฯที่จะเป็น "จิ๊กซอว์"ในการรุกคืบธุรกิจอสังหาฯแล้ว ในฟากของบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือ ดีที กรุ๊ป ที่มีนางสาวทิพาภรณ์ เจียรวนนท์ เป็นประธานบริหาร ลูกสาวคนเล็กของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ถือหุ้นอยู่ 60% แม้จะเริ่มเข้าสู่ธุรกิจอสังหาฯ แต่ผลงานที่ผ่านมา ก็การันตีให้เห็นถึงคุณภาพของการพัฒนาโครงการ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา มุมมองของการลงทุนของบริษัทจะถูกสะท้อนออกมาจากนายวิศิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ขณะที่ประธานบริหารจะค่อนข้างเก็บตัว
     
      ซึ่งตามแผนงานเฉพาะในปี 2550 ทางบริษัทแมกโนเลียฯมีการเปิดตัว 2 โครงการใหม่ ประกอบด้วย โครงการบ้านแมกโนเลียโซนบางนา และโครงการคอนโดฯ พัทยา ติดโลตัส พัทยา เนื้อที่ 29 ไร่ รวมกว่า 700 ยูนิต ราคาตั้งแต่ 1 ล้านต้นๆ ซึ่งบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท ซีพีแลนด์ จำกัด ในเครือซีพี โดยจะเปิดการ
      ขายได้ในเดือนธ.ค.นี้
     
      และเพื่อต่อยอดบนความสำเร็จของบริษัทแมกโนเลียฯแล้ว ในปี 2551 ได้กำหนดแผนการลงทุนใหม่อีก 7 โครงการ ครอบคลุมทำเลกรุงเทพฯ และพัทยา ชะอำ หัวหิน ทั้ง โรงแรม รีสอร์ต บ้านเดี่ยว คอนโดฯ และอาคารสำนักงาน เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ทั้งการลงทุนโดยตรงและร่วมทุนกับซีพีแลนด์ รวมมูลค่า 3,500 ล้านบาท และในระยะ 7 ปีข้างหน้า จะขึ้นเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่มียอดรับรู้รายได้ติด 1 ใน 5 อันดับแรกของประเทศไทย หรือมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท
     
      ทั้งนี้ ทางกลุ่มดีทีฯตั้งเป้าในปี 2550 จะมีรายได้ที่ 2,500ล้านบาท จากที่ในปีที่ผ่านมา มีรายได้รวม 800 ล้านบาท โดยรายได้กว่า 70% จะมาจากกลุ่มบริษัท แมกโนเลีย ฯ และจะมาจากกลุ่มงานรับเหมาก่อสร้างอีก 800ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจากลุ่ม ดีทีโกล บอล
     
      ....นี้เป็นเพียง "สมรภูมิ"ของบริษัทอสังหาฯระดับช้าง ที่กำลังชิงความได้เปรียบในภาวะที่ตลาดรวมอสังหาฯชะลอตัวลง ซึ่งคงเป็นการมองการณ์ไกล เพราะบริษัทขนาดใหญ่ได้เปรียบในเรื่องของสายป่านการเงินที่สามารถลงทุน และเก็บเกี่ยว "ผลกำไร"ในยามที่เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น ต่างกับบริษัทอสังหาฯขนาดเล็กและกลาง ในยามนี้ เวลานี้ ต้องประครององค์กรให้อยู่รอด?
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000153961
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news27/12/07

โพสต์ที่ 191

โพสต์

ตลาดสีทาอาคารปี 50 โต 3% ลุ้นฟื้นตัวหลังเลือกตั้ง

25 ธันวาคม พ.ศ. 2550 16:14:00

ธุรกิจสีทาอาคารปี 50 ซึมตามเศราฐกิจ อสังหาฯ ส่งผลตลาดมีการแข่งขันที่รุนแรง เพื่อแย่งลูกค้าตลาดขายปลีก ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยปัจจุบันสัดส่วนการขายสีทาอาคารในตลาดรวมแบ่งออกเป็น2 ส่วนคือ กลุ่มตลาดขายปลีก80% และตลาดโครงการ20%

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากผลกระทบด้านการเมือง ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมชะลอตัว ลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยวราคาแพง นอกจกานี้ยังเผชิญปัจจัยลบด้านภาวะเงินเฟ้อถีบตัวสูงขึ้นจากต้นทุนการผลิตและราคาน้ำมัน ส่งผลให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่หดตัวลง ทำให้พฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคใช้เวลาในการตัดสินใจมากขึ้น และคุมค่าใช้จ่ายมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันไปเลือกซื้อสีทาอาคารที่มีราคาต่ำมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดสรีระดับบนได้รับผลกระทบด้านยอดขายอย่างมาก

โดยในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการสีทาอาคารหลายๆราย มีการคุมต้นทุนด้านการโฆษณาและหันไปทำกิจกรรมการตลาดเข้าถึงตัวลูกค้าโดยตรง และต่างก็คาดหวังว่าในปี 2551 เมื่อรัฐบาลใหม่ มีการผลักดันการลงทุนเมกกะโปรเจคต่าง จะช่วยฟื้นความมั่นใจ ทั้งผู้บริโภคและการลงทุน
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/2 ... sid=214927
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news02/01/08

โพสต์ที่ 192

โพสต์

ต้นทุนพุ่งป่วนตลาดซิตี้คอนโด

โพสต์ทูเดย์ เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ชี้ต้นทุนพุ่งทำตลาดคอนโดป่วน จับตามือใหม่เริ่มออกอาการ


นายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส กล่าวว่า ปัญหาของซิตี้ คอนโดมิเนียมที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในปีนี้ คือปัญหาเรื่องต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการ ไม่สามารถคุมต้นทุนได้จนต้องหยุดสร้าง

นอกจากนี้ ยังพบว่า ปัจจุบันในตลาดคอนโดมิเนียมมีการซื้อขายในลักษณะเก็งกำไรและซื้อเพื่อลงทุนสูงถึง 30-40% แต่การซื้อลักษณะนี้ยังไม่ได้สร้างปัญหาให้กับตลาด เพราะตัวเลขยังไม่สูงเกินไปนัก

ขณะที่ในปี 2550 มีโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่รวมกว่า 3 หมื่นหน่วย ซึ่งโดยภาพรวมยังไม่มีสัญญาณของภาวะสินค้าล้นตลาด

นายวสันต์ กล่าวอีกว่า สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมในปีนี้ คงจะยังเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยม และยังขายดี อย่างไรก็ตาม หากสภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น และรัฐบาลมีนโยบายผลักดันโครงการรถไฟฟ้าต่อเนื่อง ตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ที่อยู่ชานเมืองจะเริ่มกลับมา และจะเป็นคู่แข่งขันของตลาดซิตี้ คอนโดมิเนียมในปีนี้

ขณะเดียวกันต้นทุนก่อสร้างจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันยังขยับสูงขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง ทำให้ราคาวัสดุซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียมสูงตามไปด้วย โดยคาดว่าต้นทุนการก่อสร้างจะปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 5-10%

ด้านนายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ได้คาดการณ์ไว้ว่าในปีนี้ ผู้บริโภคที่ผ่อนคอนโดมิเนียมจะมีปัญหา หากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น จะทำให้ไม่สามารถโอนได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=212229
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news02/01/08

โพสต์ที่ 193

โพสต์

พาณิชย์ปรับราคาแนะนำเหล็กเดือนม.ค.51เพิ่ม2บาทต่อกก.

29 ธันวาคม พ.ศ. 2550 11:00:00

กรมการค้าภายในประกาศราคาแนะนำเหล็ก ประจำเดือนมกราคม 2551 ให้ปรับราคาเพิ่มก.ก.ละ2บาท ชี้ราคาวัตถุดิบนำเข้าเพิ่มสูงขึ้นภาวะการค้าตึงตัว

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
นางวัชรี วิมุกตายน รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาราคาเหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาราคาเหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ซึ่งประกอบด้วย สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ได้ติดตามสถานการณ์การค้าเหล็ก และวัตถุดิบได้แก่ เศษเหล็ก เหล็กแท่งยาว และเหล็กแท่งแบน ในตลาดโลกอย่างใกล้ชิด ปรากฏว่าปริมาณวัตถุดิบดังกล่าวค่อนข้างตึงตัวหาซื้อได้ยาก เนื่องจากความต้องการใช้เหล็กของโลกมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน บราซิล รัสเซีย และอินเดีย

ส่งผลให้ราคาเหล็กและวัตถุดิบในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเหล็กแท่งยาว ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กเส้น ราคาปรับเพิ่มจากตันละ 620 USD ในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนธันวาคม 2550 เป็นตันละ 670 USDในปัจจุบันหรือสูงขึ้นประมาณตันละ 1,500 บาท และมีแนวโน้มว่าราคา จะสูงขึ้นอีก เนื่องจากราคาสินแร่เหล็กปรับเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 30-50 อีกทั้งอัตราค่าระวางเรือได้มีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่ปริมาณเรือบรรทุกไม่เพียงพอกับความต้องการ

นอกจากนี้ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ยังได้ประกาศปรับเพิ่มอัตราภาษีส่งออกสินค้าเหล็กกึ่งสำเร็จรูปได้แก่ เหล็กแท่งยาว(BILLET) เหล็กแท่งแบน (SLAB) จากเดิมร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 25 โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2551 ซึ่งจะทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้นประมาณ ตันละ 67 USD หรือ 2,000 บาท

จากสถานการณ์ข้างต้นส่งผลให้การนำเข้าวัตถุดิบเหล็กแท่งยาวในช่วงต้นปี 2551 เพิ่มสูงขึ้นประมาณ ตันละ 3,500 บาท เพื่อให้ราคาเหล็กเส้นที่จำหน่ายในประเทศมีราคาที่เหมาะสมสอดคล้องกับต้นทุนที่สูงขึ้น และป้องกันมิให้เกิดปัญหาปริมาณเหล็กในประเทศไม่เพียงพอกับความต้องการในช่วงฤดูการก่อสร้างไตรมาสที่ 1และ ไตรมาสที่ 2 ปี 2551 อันจะส่งผลต่อภาคการก่อสร้างของประเทศ

คณะอนุกรรมการฯ จึงมีมติกำหนดราคาแนะนำเหล็กประจำเดือนมกราคม 2551 โดยกำหนดราคาแนะนำเหล็กแผ่นสูงขึ้นจากเดือนธันวาคม 2550 กก.ละ 1.00 บาท โดยให้มีผลในปักษ์ที่ 2 ของเดือนมกราคม 2551 และกำหนดราคาแนะนำเหล็กเส้นสูงขึ้นจากเดือนธันวาคม 2550 กก.ละ 2.00 บาท โดยให้ทยอยปรับเพิ่มปักษ์ละ 1.00 บาท ดังนี้1. เหล็กแผ่น เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน กก.ละ 28.00 - 28.50 บาท และเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดแผ่น กก.ละ 29.00 - 30.00 บาท

2.เหล็กเส้นเหล็กเส้นกลม SR 24 ตามมาตรฐาน มอก. ความยาวเส้นละ 10 ม. ราคา ณ โรงงาน เป็นเงินสดใน กทม. และปริมณฑล ไม่รวม VAT ขนาด 6 มม. ราคา 26,450 บาท/ตัน ขนาด 9 มม. ราคา 25,950 บาท/ตัน ขนาด 12 มม. ราคา 25,350 บาท/ตัน ส่วนราคาขายปลีกระดับซาปั้วเป็นราคาเงินสด ขนาด 6 มม. ราคาประมาณเส้นละ 65.01 บาท ขนาด 9 มม. ราคาประมาณเส้นละ 141.74 บาท ขนาด 12 มม. ราคาประมาณเส้นละ 246.06 บาท

เหล็กข้ออ้อย SD 30 ตามมาตรฐาน มอก. ความยาวเส้นละ 10 ม. ราคา ณ โรงงาน เป็นเงินสดใน กทม. และปริมณฑล ไม่รวม VAT ขนาด 12 มม. ราคา 25,350 บาท/ตัน ส่วนราคาขายปลีกระดับซาปั้วเป็นราคาเงินสด ราคาประมาณเส้นละ 246.05 บาท

เหล็กข้ออ้อย SD 40 ตามมาตรฐาน มอก. ความยาวเส้นละ 10 ม. ราคา ณ โรงงาน เป็นเงินสดใน กทม. และปริมณฑล ไม่รวม VAT ขนาด 12 มม. ราคา 25,550 บาท/ตัน ขนาด 16 มม., 20 มม., 25 มม., 28 มม., 32 มม. ราคา 25,250 บาท/ตัน ส่วนราคาขายปลีกระดับซาปั้วเป็นราคาเงินสด ขนาด 12 มม. ราคาประมาณเส้นละ 247.95 บาท ขนาด 16 มม. ราคาประมาณเส้นละ 436.56 บาท ขนาด 20 มม. ราคาประมาณเส้นละ 682.23 บาท ส่วนขนาด 25 มม., 28 มม., และ 32 มม. เป็นเหล็กข้ออ้อย ขนาดใหญ่ใช้เฉพาะการก่อสร้างขนาดใหญ่ จึงไม่มีการกำหนดราคาขายปลีก

กรมการค้าภายในจะติดตามสถานการณ์และราคาวัตถุดิบในตลาดโลกอย่างใกล้ชิดต่อไป หากสถานการณ์ราคาวัตถุดิบลดลงก็จะประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาเหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณเพื่อพิจารณาปรับลดราคาเหล็กลงต่อไป
http://www.bangkokbiznews.com/2007/12/2 ... sid=216395
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news03/01/08

โพสต์ที่ 194

โพสต์

เปิดประมูลสายสีแดงมี.ค.

กระทรวงคมนาคม พร้อมเปิดประมูลรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต ในเดือนมีนาคม 2551 และลงนามกับผู้รับเหมาเดือนกันยายน 2551 ใช้เวลาก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2555 ด้านบล.เคจีไอ มองหุ้นรับเหมาก่อสร้างระยะยาวมีแนวโน้มสดใส เพราะต้นทุนได้สะท้อนราคาวัสดุก่อสร้างไปแล้วส่งผลให้กำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ชู CK เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม จากปัจจัยหนุน TTW เข้าจดทะเบียนในไตรมาส 1/2551  และเซ็นสัญญาก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าน้ำบาก มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท
    นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า  โครงการก่อสร้างรถไฟสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต จะเปิดประมูลได้ในเดือนมีนาคม 2551 และจะสามารถลงนามในสัญญากับผู้รับเหมาได้ในเดือนกันยายน 2551 โดยจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551- ตุลาคม 2555
 ส่วนการประกวดราคาโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน  มีความคืบหน้าไป 80%  คาดว่าลงนามได้ในเดือนเมษายน 2551 ขณะที่โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-แหลมฉบัง จำเป็นต้องเลื่อนการประมูลออกไปก่อน เนื่องจากมีปัญหาการตีความกฎหมาย
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ จำกัด (มหาชน) มองหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างในระยะยาวมีแนวโน้มสดใส ถึงจะประเมินว่าระยะสั้นผลประกอบการของกลุ่มรับเหมาจะยังไม่ดีนัก  แต่ระยะยาวเชื่อว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นมาก
    เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นตั้งแต่ปี 2551 น่าได้รับผลกระทบน้อยจากการเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง โดยโครงการที่รับก่อนปี 2548 ซึ่งเป็นปีที่ราคาวัสดุก่อสร้างเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง เริ่มทยอยส่งมอบตั้งแต่ปี 2550 และเหลือที่จะส่งมอบอีกเล็กน้อยในปี 2551 ทำให้เชื่อว่าการต้องปรับเพิ่มต้นทุนให้สะท้อนราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น น่าจะน้อยลง และส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
    ขณะเดียวกันวัฏจักรของการลงทุนรอบใหม่ๆ น่าจะเริ่มเห็นไปรูปเป็นร่างในปี 2551 เป็นต้นไป โดยโครงการในประเทศน่าจะมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าเป็นโครงการหลัก นอกจากนี้ โครงการในต่างประเทศซึ่งอยู่ในแผนการเข้าประมูลน่าจะเป็นอีกปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของรายได้และกำไรในอนาคต
    ฝ่ายวิจัยคงน้ำหนักเท่ากับตลาด โดยเลือก  CK เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม และเชื่อว่าราคาหุ้นกลุ่มรับเหมาในช่วงสั้นยังน่าจะได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงในช่วง 1-2 ไตรมาสข้างหน้า
โดยให้ราคาเป้าหมาย 10.10 บาท
    เนื่องจากเชื่อว่ามีปัจจัยสนับสนุนการลงทุนเด่นที่สุดในกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบันทึกกำไรจากการขายหุ้น TTW ซึ่งคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดราวไตรมาส  1/2551  ซึ่งในช่วงกลางปี 2551 น่าจะมีการเซ็นสัญญาก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าน้ำบาก มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท
http://www.thunhoon.com/home/
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news04/01/08

โพสต์ที่ 195

โพสต์

ผ่าน5รายร่วมวง ประมูลอี-ออกชัน สร้างรถไฟรางคู่

โพสต์ทูเดย์ ร.ฟ.ท.คาดเปิดให้เอกชน 5 กลุ่ม ที่ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้น ร่วมประมูลอี-ออกชัน รถไฟรางคู่ 14 ม.ค. นี้.


นายนคร จันทศร รักษาการผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาโครงการก่อสร้างรถไฟทาง คู่สายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-แหลมฉบัง ระยะทาง 78 กม. กล่าวว่า มีบริษัทผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้นรวม 5 กลุ่ม จากที่ยื่นข้อเสนอทั้งหมด 8 กลุ่ม โดยคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาจะประชุมในสัปดาห์หน้า เพื่อกำหนดวันยื่นค่าก่อสร้าง

ด้านแหล่งข่าวจาก ร.ฟ.ท. เปิดเผยว่า ร.ฟ.ท.จะเปิดให้บริษัททั้ง 5 กลุ่ม ยื่นข้อ เสนอประกวดราคาด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ หรืออี-ออกชัน (e-Auction) ในวันที่ 14 ม.ค. 2551 จากนั้นคณะกรรมการพิจารณาผลจะประชุมพิจารณาว่าจะรับราคาของบริษัทที่เสนอค่าก่อสร้างต่ำสุดหรือไม่ ก่อนจะเสนอให้คณะกรรมการ ร.ฟ.ท.อนุมัติการว่าจ้าง โดยกำหนดราคากลางไว้ที่ 5,292 ล้านบาท

ร.ฟ.ท.ต้องส่งเรื่องไปยังสำนักงบประมาณ เพื่อให้ความเห็นชอบวงเงินค่าจ้าง โดยคาดว่าจะได้บริษัทผู้ชนะในเดือน ก.พ. หรือเดือน มี.ค. นี้ แหล่งข่าวเปิดเผย

นายสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม รมช. คมนาคม กล่าวว่า การประกวดราคาก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่นั้น ร.ฟ.ท.สามารถดำเนินการประกวดราคาต่อไปตามขั้นตอน โดยไม่จำเป็นต้องรอรัฐบาลชุดใหม่ เพราะเป็นอำนาจอนุมัติของคณะกรรมการ ร.ฟ.ท.

ทั้งนี้ นายสรรเสริญยังมอบนโยบายให้บอร์ด ร.ฟ.ท.ชุดใหม่ เร่งสานงานที่ค้างอยู่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าสายสีแดง รวมทั้งโครงการทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หรือแอร์พอร์ต เรลลิงก์

สำหรับบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ 5 ราย ที่ผ่านเข้าร่วมอี-ออกชัน ประกอบด้วย 1.บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล๊อปเมนต์ (ITD) 2.กิจการร่วมค้า CKTU J/V 3.บริษัท เอ.เอส.แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) 4.กิจการร่วมค้า ที.เอส.ซี. และ 5.กิจการ ร่วมค้า JNC JOINT VENTURE
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=212604
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news08/01/08

โพสต์ที่ 196

โพสต์

ราคาประเมินดันต้นทุนซื้อบ้านพุ่ง

โพสต์ทูเดย์ ราคาประเมินที่ดินใหม่ดันต้นทุนซื้อบ้านเพิ่ม บ้านมือสองอ่วมเจอสองเด้ง หลังมาตรการหมดอายุ


นายสมศักดิ์ ชุติศิลป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีซี.พี. เฮ้าส์ซิ่ง กล่าวว่า ราคาประเมินที่ดินที่เพิ่งประกาศใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2551 จะทำให้ในพื้นที่ที่ถูกปรับขึ้นค่าธรรมเนียมในการโอนบ้าน ราคาจะปรับขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเป็นต้นทุนที่ผู้ซื้อบ้านจะต้องจ่ายเพิ่ม

ขณะเดียวกัน ความเข้าใจผิดของผู้ที่ขายบ้านมือสองที่คิดว่า เมื่อราคาประเมินปรับขึ้น ราคาขายก็ควรจะปรับเพิ่มขึ้นด้วย ย่อมทำให้ผู้ขายปรับราคาขายขึ้นตาม

ประกอบกับในช่วงปลายปีที่ผ่านมา มีการเร่งโอนเพื่อให้ทันมาตรการลดหย่อนภาษีที่หมดอายุลงในสิ้นปี ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จะทำให้เกิดการชะลอซื้อบ้านมือสองในช่วงไตรมาสแรก

นายวิศิษฐ์ คุณาทรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรียลตี้เวิลด์ อัลไลแอนซ์ กล่าวว่า ในปี 2551 ผู้ซื้อบ้านมือสองจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมโอนตามปกติ คือ 2% หลังจากที่ภาครัฐลดหย่อน ค่าธรรมเนียมเหลือ 0.01% เป็น เวลา 2 ปี สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2550

นอกจากนี้ ราคาประเมินที่ดินที่ประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2551 จะทำให้ผู้ซื้อบ้านต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นในพื้นที่ที่ราคาประเมินปรับขึ้น เท่ากับว่าผู้ซื้อบ้านมือสองในปีนี้เสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม 2 ต่อ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

นอกจากนี้ หากดูจากค่าธรรมเนียมที่กลับมาใช้ในอัตรา เดิมแล้ว จะเพิ่มภาระให้กับ ผู้ซื้ออีกประมาณ 3% และ ค่าธรรมเนียมที่จะเพิ่มขึ้นตาม ราคาประเมินที่ปรับขึ้นแต่ละพื้นที่ ที่แตกต่างกัน ซึ่งทั้งหมดเป็น ภาระที่ผู้ซื้อบ้านมือสองจะต้องจ่ายเพิ่มในปีนี้

ด้านนายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ราคาประเมินใหม่จะมีผลกระทบ ต่อการจ่ายค่าธรรมเนียมของ ผู้ซื้อบ้านใหม่ แต่คงจะกระทบ เพียงเล็กน้อย เพราะราคา ประเมินที่ดินจะใช้สำหรับการจัด เก็บค่าธรรมเนียมการโอนที่จะต้องเสีย 2% โดยที่ผู้ซื้อและผู้ขายจะออกคนละครึ่ง เท่ากับว่าในส่วนของ ผู้ซื้อจะเพิ่มขึ้นในส่วนที่จะต้อง จ่าย 1% เท่านั้น ส่วนค่าธรรมเนียมจดจำนองจะคิดจากวงเงินกู้ และภาษีธุรกิจเฉพาะกับภาษีเงินได้จะ คิดจากราคาซื้อขาย

ทั้งนี้ ราคาประเมินที่ดินในรอบบัญชี 2551-2554 พบว่า ราคาได้ปรับขึ้นโดยเฉลี่ย 26.90%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=213283
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news08/01/08

โพสต์ที่ 197

โพสต์

ปูนขึ้นราคาวัสดุอ่วมต้นทุนพุ่ง 10% สถานการณ์อสังหาฯ โคมา

โดย ผู้จัดการออนไลน์
8 มกราคม 2551 09:40 น.  

      ดีคอน ระบุ ผู้ผลิตแผ่นพื้นสำเร็จรูป-วัสดุงานพรีแคส อ่วม เล็งปรับขึ้นราคาสินค้า 10% หลังปูนขึ้นราคา 13% แถมราคาน้ำมันขึ้นรายวัน ระบุ อสังหาฯ ทั้งต้นน้ำ-ปลายน้ำกระทบหนักบางบริษัทลดเงินเดือนพนักงาน เชื่อสถานการณ์ชะลอต่อเนื่องถึงปี 53 แนะลดต้นทุนการผลิต เพิ่มคุณภาพ ตรวจสอบระบบขนส่งป้องกันการขโมยน้ำมัน
     
      นายวิทวัส พรกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดีคอนโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิต เสาเข็มและแผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป อิฐมวลเบา แบรนด์ ดี-คอน เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาอุตสาหกรรมหมวดวัสดุก่อสร้างทั้งหมดได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากปัจจัยลบหลายประการ โดยเริ่มตั้งแต่ ธุรกิจต้นน้ำ เช่น ที่ปรึกษาโครงการ บริษัทรับออกแบบ งานลดลงกว่า 50% บางบริษัทถึงขั้นลดเงินเดือนพนักงาน
     
      ในหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัยแนวราบได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้กำลังซื้อลดลง แต่ในธุรกิจนี้ยังมีตลาดคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าที่ยังมีทิศทางที่ดีอยู่ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ชะลอการพัฒนาโครงการใหม่ เน้นขายสินค้าเก่าที่มีอยู่ในมือให้หมดไปหรือเปิดเฟสใหม่ในโครงการเดิมเท่านั้น
     
      ในส่วนของธุรกิจเสาเข็ม มีการแข่งขันค่อนข้างสูงในช่วงที่ผ่านมาประกอบกับงานที่มีอยู่ลดน้อยลงจากการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นผลกระทบมากที่สุด คือ การปรับขึ้นราคาของปูนซีเมนต์ประมาณ 13% ของราคาขาย ซึ่งปูนคิดเป็น 80% ของต้นทุนการผลิต ซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตงานพรีแคส เพิ่มขึ้นถึง 10% ในขณะที่กำไรในธุรกิจนี้มีเพียง 5-6% เท่านั้น
     
      ปูนขึ้นราคาต้นทุนเราก็ขึ้นตาม แถมค่าขนส่งก็ขึ้นตามด้วย แม้จะบอกว่าปรับขึ้นในส่วนที่ให้ส่วนลดการขาย แต่ในทางปฏิบัติแล้วดีลเลอร์ก็ต้องขึ้นราคาขายตามอยู่ดี ทำให้แทบไม่เหลือกำไร ดังนั้น เราจำเป็นขึ้นขึ้นราคาสินค้าประมาณ 10% เช่นกันเพื่อให้อยู่รอดได้ ถ้าใครขายราคาเดิมในปีนี้ก็ขาดทุน นายวิทวัส กล่าว
     
      ส่วนภาวะของตลาดอิฐมวลเบานั้น สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น หากพิจารณาจากผลประกอบการของผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ ทุกบริษัทมีผลประกอบการติดลบ โดยในส่วนของดีคอนเองติดลบเดือนละ 2 ล้านบาท จากการหักค่าเสื่อมเครื่องจักรโรงงาน อย่างไรก็ตามสถานการณ์การขายมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายเดือนละ 2-3 แสนก้อน หากขายได้มากกว่านี้ก็จะทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น
     
      ปัจจุบันการแข่งขันในเรื่องราคานั้นไม่ค่อยมีให้เห็น เนื่องจากราคาที่เสนอขายปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 18 บาท/ก้อน ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงก่อนนี้ที่ราคา 15-16 บาท/ก้อน ซึ่งราคาปกติต้องอยู่ที่ 20 บาท/ก้อนจึงจะเหมาะสมกับต้นทุนในปัจจุบันและมีกำไรบ้าง แต่เชื่อว่าจากต้นทุนที่ปรับขึ้นจะทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถลดราคาลงได้อีก แต่จะมีการปรับขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น สำหรับผลประกอบการของดีคอนในปี 50 มียอดขายรวม 670 ล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปี 600-700 ล้านบาท
     
      ส่วนในปี 2551 นี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายและกำไรเท่ากับปี 2550 เนื่องจากเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจในปี 2551 จะยังคงชะลอตัวไปในทางติดลบต่อเนื่อง ซึ่งหากพิจารณาจากพื้นฐานของจีดีพี ได้แก่ 1.การส่งออก มีปัญหาเรื่องเงินบาทแข็งค่าทำ แม้ว่าจะส่งออกได้มาก แต่มูลค่าลดลง 2.การลงทุนภาครัฐ การเป็นรัฐบาลที่ไม่แข็งแรงเพราะรัฐบาลใหม่มีที่ฐานเสียงที่ก่ำกึงจะเป็นรัฐบาลที่อยู่ไม่ยาวนาน หรือไม่มั่นคงเท่าที่ควร เชื่อว่าจะไม่มีการลงทุนมากนักจากรัฐบาลชุดนี้
     
      3.การลงทุนภาคเอกชน มีการชะลอตัวจากความไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจและรัฐบาล 4.การบริโภคภาคประชาชน ไม่มีความเชื่อมั่นจึงไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับค่าครองชีพสูงขึ้นทำให้กำลังซื้อลดลง
     
      ทั้ง 4 ข้อสะท้อนว่าเศรษฐกิจในปี 2551 จะยังไม่ดีขึ้นแต่อาจจะทรุดตัวลง และเชื่อว่ากว่าจะปรับตัวดีขึ้นน่าจะเป็นปี 2553
     
      นายวิทวัส กล่าวว่า ทางรอดของผู้ประกอบการนั้น จะต้องปรับลดต้นทุนการผลิตให้ได้มากที่สุด ในขณะที่สินค้าต้องมีคุณภาพสูงสุด ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากมากสำหรับผู้ประกอบการ นอกจากนี้ยังต้องปรับระบบขนส่งโดยหันมาใช้แก๊ส พร้อมทั้งควบคุมการโกงน้ำมันของการขนส่ง เพราะจากสถิติมีการขโมยน้ำมันกว่า 90% ดังนั้น เราจึงติดตั้งระบบติดตามด้วยดาวเทียมพร้อมทั้งระบบตรวจสอบรถขนส่ง เพื่อไม่ให้เกิดการคอร์รัปชันขึ้น
     
      สำหรับ ดีคอน ในส่วนการลงทุนใหม่นั้นจะยังไม่เกิดขึ้นในปีนี้ รวมไปถึงการออกผลิตภัณฑ์ เนื่องจากจะทำให้มีต้นทุนเพิ่ม รวมไปถึงค่าการตลาดที่ต้องประชาสัมพันธ์สินค้าใหม่ดังกล่าว ดังนั้นในปีนี้จะเน้นขายผลิตภัณฑ์เก่า พัฒนาให้ดีขึ้น รวมไปถึงการบริการ
     
      ในปีนี้ไม่หวังมาก แค่ทำให้เท่ากับปีที่แล้วก็พอใจแล้ว ปีนี้จะเน้นไปที่การล้างหนี้ที่มีอยู่ประมาณ 100 ล้านบาท โดยจะเน้นขายโครงการจัดสรร โดยจะขายที่ดินเปล่า ถมแล้วในโครงการบ้านอรดา ซึ่งมีมูลค่าเหลือขายประมาณ 200-300 ล้านบาท โดยจะขายลดราคากว่า 50% จากเดิมราคาตารางวาละ 20,000 บาท ลดเหลือ 10,000 บาท/ตร.ว.หรือบางแปลงเหลือ 8,000 บาท/ตร.ว.เชื่อว่า เราลดราคาขนาดนี้น่าจะขายได้หมดเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ นายวิทวัสกล่าว
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000002198
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news11/01/08

โพสต์ที่ 198

โพสต์

ภาคธุรกิจอสังหาฯ แนะรัฐบาลใหม่ เชื่อการลงทุนชัดเจนขึ้นช่วงไตรมาส2

ประธานคณะกรรมการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เชื่อสภาพการลงทุนของไทยจะชัดเจนมากขึ้นช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2551 พร้อมเรียกร้องรัฐบาลชุดใหม่เร่งผลักดันการก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ และระบบขนส่งสาธารณะ


นายประสงค์ เอาฬาร ประธานคณะกรรมการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ปี 2551 ว่าจะเติบโตได้ดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลใหม่ที่จะใช้งบประมาณกระตุ้นโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) หากภาครัฐมีการเดินหน้าโครงการต่างๆ เกิดการประมูล จะเกิดการลงทุนในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ทั้งนี้ เชื่อว่าน่าจะเห็นความชัดเจนการลงทุนในไตรมาส 2 ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม หากดูภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีที่ผ่านมาไม่ค่อยดีนัก โดยมียอดขายอสังหาริมทรัพย์เพียง 73,000 ยูนิต หากเทียบกับปี 2548 มียอดขายกว่า 77,000 ยูนิต

ดังนั้น ในปีนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตหรือไม่ ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาลผ่านโครงการต่างๆ ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลใหม่หากมีแนวนโยบายชัดเจน น่าจะทำให้เกิดการลงทุน ประชาชนจะจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อภาคธุรกิจต่างๆ
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news18/01/08

โพสต์ที่ 199

โพสต์

อสังหาสุดอั้น'ปูน-เหล็กเส้น'พุ่ง30% กัดฟันปรับราคาบ้าน-ห้องชุดยกแผง  
 
อสังหาฯป่วน เจอพิษวัสดุก่อสร้างฟาดหาง ล่าสุดเหล็กเส้นทำสถิติใหม่ 3 เดือนราคาพุ่ง 30% ถล่มซ้ำหลังปูนซีเมนต์ขยับขึ้นไปแล้วล่วงหน้าตั้งแต่ปลายปี ิ50 สุดอั้นประกาศปรับราคาขายบ้าน-คอนโดฯ ยกแผง 5-10%

ผลพวงจากวัสดุก่อสร้างบางตัวที่ปรับขึ้นราคาในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวราบและแนวสูง ที่น่าจับตามองคือ นอกจากวัสดุก่อสร้างหลักอย่างปูนซีเมนต์ได้ประกาศปรับขึ้นไปช่วงก่อนหน้านี้แล้วตันละ 200 บาท หรือถุงละประมาณ 10 บาท เพื่อรักษาระดับมาร์จิ้น หลังจากต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมัน สถานการณ์ราคาวัสดุก่อสร้างอีกตัวที่น่าจับตามองคือ เหล็กเส้น ที่ราคาผันผวนอย่างมากตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้

ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งในกลุ่มบริษัทพัฒนาที่ดินและบริษัทรับสร้างบ้าน ต้องตัดสินใจประกาศปรับขึ้นราคาขายบ้านและคอนโดฯ รวมทั้งราคาค่าก่อสร้างบ้านขึ้น โดยเฉลี่ยตั้งแต่ 3-7% เพราะไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมากได้อีก แม้ผู้ผลิตวัสดุประเภทอื่น อาทิ สุขภัณฑ์ กระเบื้อง ฯลฯ ยังคงตรึงราคาขายในระดับเท่าเดิม เนื่องจากเกรงว่าการปรับขึ้นราคาอาจส่งผลกระทบต่อยอดขาย เนื่องจากตลาดโดยรวมชะลอตัวจากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและการเมือง

นายสุนทร สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฉลิมนคร จำกัด เจ้าของโครงการบ้านสถาพร รังสิต-นครนายก คลอง 3 เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา ต้นทุนค่าก่อสร้างบ้านปรับเพิ่มสูงขึ้นตลอด หลักๆ มาจากวัสดุก่อสร้างหลักบางตัวปรับขึ้นราคา ได้แก่ 1)เหล็กเส้น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาปรับขึ้นมาแล้วประมาณ 50% ซึ่งในการก่อสร้างบ้าน 1 หลัง การใช้เหล็กเส้นคิดเป็นสัดส่วน 7-8% ของค่าก่อสร้างทั้งหมด ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นมาก 2)ไม้ ปรับขึ้นประมาณ 5% 3)ปูนซีเมนต์ ปรับขึ้นประมาณ 5-10% และ 4)ค่าแรงขั้นต่ำ ปรับขึ้นประมาณ 3% จาก 190 บาท เป็น 196 บาท เบ็ดเสร็จทำให้ต้นทุนค่าก่อสร้างบ้านโดยรวมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาปรับขึ้นแล้วประมาณ 12% หรือเฉลี่ยปีละ 4%

ไม่รวมราคาประเมินที่ดินฉบับใหม่ที่ปรับขึ้นทั่วประเทศ อย่างจังหวัดปทุมธานีราคาประเมินที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างปรับขึ้นเฉลี่ย 10-15% เท่ากับว่าภาระจ่ายค่าธรรมเนียมการโอนเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการจำต้องปรับราคาขายบ้านและคอนโดฯเพิ่มโดยเฉลี่ย 5%

@อสังหาฯสุดอั้นต้นทุน-ขึ้นราคายกแผง

นายวิษณุ สุชาติล้ำพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP ให้ความเป็นในทำนองเดียวกันว่า เวลานี้ผู้ประกอบการประสบปัญหาราคาเหล็กปรับตัวสูงขึ้นมาก ขณะเดียวกันก็ค่อนข้างผันผวนคาดการณ์ได้ลำบาก สาเหตุมาจากปริมาณความต้องการเหล็กในประเทศ และในตลาดโลกมีเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนค่าก่อสร้างปรับขึ้นกว่า 10% ทำให้หลายๆ บริษัทต้องปรับราคาบ้านและคอนโดฯขึ้นตาม แม้ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันจะยังไม่

สามารถปรับราคาขายบ้านให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงได้ทั้งหมด เนื่องจากตลาดมีการแข่งขันสูง
นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เจ้าของโครงการบ้านหรู "บ้านแมกโนเลีย" เปิดเผยว่า ปีนี้ต้นทุนค่าก่อสร้างน่าจะปรับขึ้นอย่างน้อย 5-10% เนื่องจากความผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้างและน้ำมันที่มีราคาแพงขึ้น อย่างเหล็กราคาปรับราคาขึ้นถึง 40-50% ทำให้โครงการใหม่ที่บริษัทจะเปิดตัวในปีนี้ 8 โครงการ ช่วงไตรมาสที่ 3 และที่ 4 และขณะนี้กำลังออกแบบอาจต้องปรับขึ้น แต่ต้องรอดูต้นทุนในช่วงที่จะเปิดตัวโครงการจริงๆ ก่อน จากนั้นจึงจะกำหนดราคาขาย

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า จากการสำรวจโดยสอบถามผู้ประกอบการหลายบริษัท ส่วนใหญ่อยู่ระหว่างพิจารณาปรับราคาขายบ้านและคอนโดฯ อย่างไรก็ตาม จากที่ตลาดบ้านโดยรวมชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้ยังไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้เต็มที่ เพียงแค่ปรับขึ้นเพื่อลดภาระด้านต้นทุนตามความจำเป็นเฉลี่ย 3-5% และบางรายปรับ 5-10% อาทิ ปริญสิริ, ศุภาลัย, เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้, พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, ธารารมณ์ เป็นต้น

พลิกกลยุทธ์รับมือ

ขณะเดียวกัน มีการปรับแผนการพัฒนาโครงการเพื่อให้สอดรับกับกำลังซื้อที่ลดลงด้วย เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ การนำระบบก่อสร้างสำเร็จรูปมาใช้ ปรับขนาดบ้าน และห้องชุดให้เล็กลง เป็นต้น
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
บริษัทรับมือปัญหาต้นทุนวัสดุ โดยใช้วิธีสั่งซื้อวัสดุล่วงหน้า และอาศัยการทำธุรกิจครบวงจรมีโรงงานผลิตพรีแคสต์ บริษัทก่อสร้าง ฯลฯ ช่วยลดต้นทุน อย่างไรก็ตาม ปีนี้คงต้องปรับราคาขายบ้านใหม่เพิ่ม 2-3%
ขณะที่นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มองว่า โดยรวมราคาบ้านในปีนี้น่าจะปรับขึ้น 5-10% ผลจากต้นทุนวัสดุและราคาน้ำมัน รวมทั้งต้นทุนที่ดินที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องมีการบริการจัดการที่ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งการบริหารด้านต้นทุนก่อสร้าง การตลาด การบริหางานขาย นอกจากนี้จะต้องออกโปรดักต์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้

@ รับสร้างบ้านปรับราคาเฉลี่ย 5%

สำหรับความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบธุรกิจรับสร้างบ้าน ปรากฏว่าหลายรายประกาศปรับราคาก่อสร้างบ้านเช่นเดียวกัน โดยนายวิสิฐษ์ โมไนยพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรี.ดี.เฮ้าซิ่ง จำกัด กล่าวว่า การปรับขึ้นราคาเหล็กเส้นรอบนี้กระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างบ้านมาก สำหรับบริษัทเตรียมปรับขึ้นราคาบ้านในกลุ่มราคาตั้งแต่ 4 ล้านบาทขึ้นไป ขึ้นอีก 5-8% จาก ตร.ม.ละ 1.3-1.4 หมื่นบาท เป็น 1.4-1.5 หมื่นบาท แต่เพื่อไม่ให้เป็นการผลักภาระผู้บริโภคมากเกินไปจะใช้วิธีปรับสเป็กวัสดุให้ดีขึ้นด้วย
นางพัชรา ตัณฑยรรยง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มีนบุรีรับสร้างบ้าน จำกัด กล่าวว่า ได้ปรับขึ้นราคาบ้าน 5-7% นับตั้งแต่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาบ้านในสเป็กวัสดุคลาสสิกปรับขึ้นเป็น 1.3 หมื่นบาท/ตร.ม. สเป็กสแตนดาร์ดปรับขึ้นเป็น 1.4-1.5 หมื่นบาท/ตร.ม. สเป็กพรีเมี่ยม ปรับขึ้นเป็น 1.6-1.8 หมื่นบาท/ตร.ม.
นอกจากนี้ "บิวท์ ทู บิวด์" และบริษัทในเครือ คือ "บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์" ได้ปรับขึ้นราคาบ้านเฉลี่ย 5% ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้ราคาบ้านของบิวท์ ทู บิวด์ ปรับขึ้นเป็น 1.35-1.8 หมื่นบาท/ตร.ม. บางกอกเฮ้าส์ฯปรับขึ้นเป็น 7.8-1.1 หมื่นบาท/ตร.ม. เช่นเดียวกับ "แลนดี้โฮม" ปรับขึ้นราคาบ้านไปแล้ว 5%

@ 3 เดือนเศษ เหล็กเส้นขึ้นราคา 30%

นายเสนอ ตระกูลสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตระกูลสุขค้าวัสดุก่อสร้าง จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ราคาเหล็กเส้นในช่วงที่ผ่านมาว่า ผันผวนอย่างมาก โดยราคาซื้อขายเหล็กเส้นหน้าโรงงานได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2550 จากเดิมราคาเฉลี่ย 18.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 24 บาทเศษ/กิโลกรัมในช่วงนี้ หรือปรับขึ้น 30% ภายในเวลาแค่ 3 เดือนเศษ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  
สาเหตุหลักที่ราคาเหล็กเส้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากทั้งที่ภาคการก่อสร้างในช่วงที่ผ่านมายังคงชะลอ มาจากปัญหาเดิมๆ คือ 1)วัตถุดิบ (บิลเลต) ในตลาดโลกขาดแคลน จากที่จีน อินเดีย เวียดนาม ต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้น 2)จีนลดการสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับผู้ส่งออกเหล็ก ทำให้การส่งออกบิลเลตลดลง และ 3)ค่าระวางเรือขนส่งที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาซื้อขายบิลเลตในตลาดปรับขึ้นจาก 560-570 ดอลลาร์/ตัน ในเดือนกันยายน 2550 เป็น 720 ดอลลาร์/ตัน ในปัจจุบันสูงเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกัน
"ก่อนหน้านี้ในวงการเหล็กคาดการณ์ว่า หากจีนก่อสร้างสนามกีฬาโอลิมปิกแล้วเสร็จ ประมาณปี 2008 น่าจะทำให้ราคาซื้อขายบิลเลตในตลาดโลกลดลง เพราะไม่มีความจำเป็นต้องใช้เหล็กมากอีก แต่ผิดคาด เพราะราคาบิลเลตยังพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง"
มีการวิเคราะห์กันว่า การที่ราคาบิลเลตยังพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง อาจมาจากการตัดสินใจย้ายโรงงานถลุงเหล็กขนาดใหญ่ 3 แห่งออกจากเมืองปักกิ่ง เพื่อลดการสร้างมลพิษก่อนที่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกจะเริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ ทำให้จีนต้องสต๊อกบิลเลตไว้เป็นจำนวนมาก
นายเสนอกล่าวต่อว่า แม้ราคาบิลเลตในตลาดโลกปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แต่ขณะนี้ไม่มีโรงงานรีดเหล็กเส้นในไทยสั่งบิลเลตเข้ามาสต๊อกไว้ ซึ่งน่าจะมาจาก 2 เหตุผล คือ 1)วิเคราะห์กันว่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นอีกในช่วง 1-2 เดือนนี้ และ 2)มีความกังวลว่าสุดท้ายกระทรวงพาณิชย์จะประกาศปรับขึ้นเพดานราคาขายเหล็กเส้นหน้าโรงงานตามต้นทุนที่แท้จริงหรือไม่
สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นขณะนี้ ยังไม่ถึงขั้นเหล็กเส้นขาดตลาด แต่พอมีสัญญาณให้เห็นบ้าง เพราะราคาเหล็กที่ปรับขึ้นต่อเนื่องทำให้บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่บางบริษัทที่มีอำนาจต่อรองสูงสั่งซื้อเหล็กไปสต๊อกไว้เพิ่มขึ้น เช่น จากเดิมเคยสต๊อกไว้ใช้งาน 1-2 เดือน ก็เพิ่มเป็น 3-4 เดือน ทำให้เหล็กเส้นบางขนาดมีสินค้าไม่พอขาย ร้านค้าบางแห่งต้องใช้วิธีซื้อจากร้านค้าที่รู้จักกัน ซึ่งมีผลให้ต้องตั้งราคาขายสูงขึ้นอีกเพราะต้องบวกต้นทุนค่าขนส่ง
"ถามว่าราคาเหล็กเส้นจะขยับไปถึงเท่าไรคงตอบยาก แต่เป็นไปได้ว่าในปีนี้จะได้เห็นราคาบิลเลตในตลาดโลกทะลุ 800-900 บาท/ตัน และเมื่อนั้นอาจได้เหล็กเส้นขาย 3 กิโล 100 บาท หรือทะลุกิโลกรัมละ 34 บาท" นายเสนอกล่าว
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 22&catid=2
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news23/01/08

โพสต์ที่ 200

โพสต์

เปิดลายแทงทำเลทองปีหนู

โพสต์ทูเดย์ เอเจนซี่ฯ เปิดโผทำเลดาวรุ่งปี 2551 อิงรถไฟฟ้า-ถนนตัดใหม่


นายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส กล่าวว่า ทำเลที่มีความโดดเด่นในแง่ของ การลงทุน และการอยู่อาศัยในปี 2551 จะเป็นทำเลที่มีการก่อสร้างสาธารณูปโภค และ การลงทุนขนาดใหญ่ ได้แก่ ย่านบางซื่อ บางบัวทอง รัตนาธิเบศร์ และบางใหญ่ ที่จะมีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อ

ย่านถนนแจ้งวัฒนะ ที่มีโครงการศูนย์ราชการที่จะสร้างเสร็จ และย้ายหน่วยงานของรัฐ และข้าราชการประมาณ 3 หมื่นคน ในปลายปีนี้ จะทำให้ทำเลดังกล่าวมีศักยภาพสูง และถือเป็นเมืองบริวารแห่งใหม่ของ กทม. นอกจากนี้ ในย่านตอนเหนือของ กทม. ได้แก่ สะพานใหม่ และวัชรพล เป็นอีกทำเลที่จะมีศักยภาพเพิ่มขึ้นจากโครงการถนนตัดใหม่ และรถไฟฟ้าสายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่

นอกจากนี้ ทำเลที่อยู่ในแนวรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ที่จะเปิดให้บริการในปีนี้ ได้แก่ ย่านพัฒนาการ ศรีนครินทร์ อ่อนนุช ลาดกระบัง และทำเลถนนตัดใหม่วงแหวนด้านใต้ ได้แก่ ย่านสุขสวัสดิ์ และประชาอุทิศ จะเป็นทำเล ที่โดดเด่นในปีนี้เช่นกัน

นายวสันต์ กล่าวว่า สำหรับในปีที่ผ่านมามีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดใหม่รวมทั้งสิ้น 356 โครงการ จำนวน 81,364 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 186,250 ล้านบาท หากเทียบกับปี 2549 จะพบว่า จำนวนโครงการใหม่ในปี 2550 เพิ่มขึ้น 23% แต่มูลค่าโครงการเท่ากับปี 2549 โดยอาคารชุดมีการเปิดตัวมากที่สุด 4.4 หมื่นยูนิต หรือกว่า 50% ทาวน์เฮาส์เป็นอันดับ 2 จำนวน 1.7 หมื่นหน่วย ส่วนบ้านเดี่ยวมีการเปิดตัว 1.1 หมื่นหน่วย บ้านแฝด 5.6 พันหน่วย อาคารพาณิชย์ 1.6 พันหน่วย และที่ดินจัดสรร 40 หน่วย

ขณะที่สต๊อกบ้านที่รอการซื้อ-ขาย ทั้งที่สร้างเสร็จแล้ว และเป็นโครงการที่ยังไม่ได้สร้าง ณ สิ้นปี 2550 มีจำนวน 1.08 แสนหน่วย ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2548 ที่มีสต๊อกบ้านรอการซื้อ-ขาย 7.7 หมื่นหน่วย โดยจะใช้เวลาระบายออก ประมาณ 1 ปี-1 ปีครึ่ง ซึ่งยังถือว่าอยู่ในภาวะปกติ ส่วนสต๊อกบ้านจะเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหลังมี รัฐบาลใหม่
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=216361
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news23/01/08

โพสต์ที่ 201

โพสต์

คาดราคาเหล็กปีนี้เพิ่มขึ้น 10 - 15% ดันราคาบ้านเพิ่ม 2 -3%

Date:  2008-01-23 15:01:36
Source: OTH

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ขณะนี้ราคาเหล็กในตลาดโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยราคาเหล็กปี 2550 เพิ่มขึ้น 10 - 15% เมื่อเทียบกับปี 2549 ส่วนราคาเหล็กปีนี้ก็มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอีก 10 - 15% เช่นกัน โดยมีสาเหตุมาจากราคาสินแร่เหล็กในปีนี้เพิ่มขึ้น 25 - 30% อันเนื่องมาจากค่าขนส่งทางเรือที่เพิ่มขึ้นกว่า 50% หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น และจำนวนเรือที่ใช้ในการขนส่งมีไม่เพียงพอ รวมถึงการที่จีนควบคุมการส่งออกเหล็กแท่งทรงยาว (Billet) ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กเส้น และต้องการส่งออกเหล็กในรูปแบบสินค้าสำเร็จรูปมากขึ้น

สำหรับราคาเหล็กในไทยก็เพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลกเช่นกัน โดยขณะนี้เศษเหล็กมีราคา 15 บาท/กก. สูงกว่าก่อนหน้านี้ที่มีราคาประมาณ 7 - 8 บาท/กก. เนื่องจากไทยไม่มีอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ ทำให้ต้องนำเข้าเหล็กเพียงอย่างเดียว ซึ่งราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้น ก็จะกระทบต่อราคาสินค้าที่ต้องใช้เหล็กเป็นส่วนประกอบด้วย

นายพยุงศักดิ์ยอมรับว่า ในช่วงที่ราคาเหล็กเพิ่มขึ้นนี้ อาจจะทำให้ผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้เหล็กกักตุนสินค้าไว้ เพื่อลดต้นทุน แต่เชื่อว่าจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาขาดแคลนเหล็ก หากภาครัฐปล่อยให้ราคาเหล็กเป็นไปตามกลไกตลาด

นายพยุงศักดิ์ฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ด้วยว่า อยากให้เร่งสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคด้วยการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน และเร่งลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ ซึ่งจะทำให้ภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ขับเคลื่อนตามไปด้วย ส่วนปัญหาที่เกิดจากปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น ราคาน้ำมัน ปัญหาค่าเงิน และปัญหา Subprime เป็นสิ่งที่ไทยไม่สามารถแก้ไขได้ ทางการจึงควรช่วยผู้ประกอบการปรับตัวด้วย

นายอธิป พีชานนท์ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย ในฐานะนายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์พอสมควร โดยในส่วนของบ้านเดี่ยวมีการใช้เหล็กประมาณ 10% ของวัสดุก่อสร้าง ส่วนคอนโดมิเนียมจะใช้เหล็กมากกว่า 10% ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของแต่ละโครงการ นอกจากนี้ราคาวัตถุดิบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่น ปูนซิเมนต์ ก็ปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ก็มีผลให้ประชาชนต้องซื้อบ้านในราคาที่สูงขึ้น ส่วนผู้ประกอบการที่ไม่สามารถปรับราคาขายได้ เพราะมีเหตุจำเป็น เช่น คู่แข่งไม่ลดราคาขาย ก็อาจจะต้องลดกำไรขั้นต้นลงประมาณ 1 - 3% จากปัจจุบันที่มีกำไรขั้นต้นกว่า 30%

นายอธิปบอกว่า ขณะนี้ผู้รับเหมาก่อสร้างได้ขอปรับเพิ่มราคาสร้างบ้านรอบใหม่แล้ว ทำให้ราคาบ้านรอบใหม่จะเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 2 - 3% สำหรับราคาบ้านของศุภาลัย จะเริ่มปรับขึ้นในเดือน ก.พ. 2551 และมีบางโครงการที่จะปรับเพิ่มในช่วงไตรมาสที่ 2/2551 ส่วนกำไรขั้นต้นของศุภาลัยอยู่ที่ประมาณ 40%

นายอธิปฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ด้วยว่า อยากให้ภาครัฐกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ดูแลเงินเฟ้อไม่ให้สูงเกินไป และการทำให้ธุรกิจโดยรวมสามารถขยายตัวได้ รวมถึงการเร่งการลงทุนของภาครัฐ เพราะขณะนี้ข้าราชการมีความพร้อมแล้ว เหลือเพียงผู้สั่งการเท่านั้น
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news31/01/08

โพสต์ที่ 202

โพสต์

ฟันธงปี 2551 เป็นขาขึ้นของหุ้นกลุ่มนิคม ขาลงกลุ่มรับเหมาและพัฒนาอสังหาฯ
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, January 31, 2008
กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่ายส่อแววทรุดหลังต้นทุนพุ่ง

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. เอเซียพลัส กล่าวว่า กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่ายมีกำไรจากการดำเนินงานลดลงอย่างต่อเนื่องหลังต้นทุนปรับตัวสูงขึ้น การแข่งขันที่รุนแรง และกำลังซื้อของประชาชนที่ลดลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับขึ้นราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้ โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดมิเนียมที่ไม่สามารถบันทึกรายได้เข้ามาได้ แต่มีค่าใช้จ่ายไปแล้ว จึงมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) เฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรมที่ 10%

สำหรับกลุ่มนี้ บล. เอเซียพลัส จะให้ความสนใจในหุ้นบมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) เพราะสามารถก่อสร้างและส่งมอบงานได้รวดเร็ว และยังมีอัตราหนี้สินต่อทุนสุทธิ (Net Gearing) เพียง 0.53% ขณะที่ราคาหุ้นยังถูกเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้นำในตลาด ส่วนบมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) ยังมีราคาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีในบางช่วง และยังมีกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่องและไม่ผันผวน จึงยังสามารถลงทุนได้เช่นกัน

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. นครหลวงไทย กล่าวว่า กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยได้เข้าสู่ช่วงขาลงแล้ว และยังมีความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่องจากการปรับการบันทึกรายได้แบบใหม่ และการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment, EIA) ด้วยเช่นกัน ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจก็ยังไม่ดีไปกว่าปี 2550 จึงให้น้ำหนักในเชิงลบ

ทั้งนี้ บล. นครหลวงไทย มอง บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) เป็นบริษัทที่มีความเสี่ยงด้านภาระหนี้ต่ำ และมีธนาคารพาณิชย์เป็นของตนเอง จึงสามารถอำนวยความสะดวกด้านการให้บริการสินเชื่อแก่ลูกค้าได้ อย่างไรก็ตาม จากการที่ LH เป็นผู้นำในตลาด ทำให้อาจมีแรงขายจากต่างชาติได้ในระยะสั้น ส่วนบมจ. ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) ยังสามารถลงทุนตามข่าวได้เช่นกัน เพราะอาจมีการเพิ่มทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการขยายตัวได้อย่างโดดเด่น และมีอัตราการจ่ายปันผลสูงขึ้นได้

นางอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า การบันทึกรายได้ตามมาตรฐานใหม่ จะกระทบต่อสภาพคล่องของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะบริษัทที่มีหนี้สูง ได้แก่ บมจ. แสนสิริ (SIRI) บมจ. ปริญสิริ (PRIN) บมจ. ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) และ บมจ. ศุภาลัย (SPALI) เป็นต้น จึงต้องเลือกลงทุนรายตัว โดย PS และ QH ถือเป็นหุ้นที่น่าสนใจ เพราะสร้างโครงการและส่งมอบได้เร็ว จึงไม่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ QH ยังสามารถขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ได้อีก ซึ่งจะทำให้บริหารภาระหนี้ได้ดีขึ้น

กลุ่มรับเหมาแย่สุดหลังกำไรต่ำ

นายเทิดศักดิ์กล่าวว่า แม้ว่ากลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะมีงานในมือเป็นจำนวนมาก แต่มีอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) เพียง 1% และเนื่องจากงานในมือได้กำหนดไว้ที่ราคาต้นทุนเก่า แต่ในขณะนี้ราคาต้นทุนได้ปรับเพิ่มขึ้นไปมากแล้ว จึงอาจกระทบต่อกำไรจากการดำเนินงานได้ และยังมีโอกาสแข่งขันกันตัดราคากันสูง จึงไม่น่าสนใจลงทุนในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม บล. เอเซียพลัสให้น้ำหนักการลงทุนที่บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) และ บมจ. ช.การช่าง (CK) เพราะยังมีปัจจัยบวกที่จะเข้ามาอีก โดยเฉพาะ CK ที่มีแนวโน้มจะนำบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในปีนี้

ด้านนายสุกิจมองว่า แม้ว่ารัฐบาลใหม่จะมีความชัดเจน แต่โครงเมกะโปรเจ็กต์ก็ยังอาจเริ่มประมูลไม่ทันภายในปีนี้ ขณะที่ราคาเหล็กก็ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังต้องจับตาราคากลางของผู้ชนะประมูลโครงการว่าเป็นอย่างไร ซึ่งหากเป็นราคาต่ำเกินไป ก็จะกระทบราคาหุ้นในอนาคต จึงไม่แนะนำให้ลงทุนในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาก็มีแรงกดดันต่อหุ้นบมจ. ซีฟโก้ (SEAFCO) น้อยลง และยังมีโอกาสรับงานใหม่ ๆ ที่จะได้รับเงินก่อนผู้ประกอบการประเภทอื่น จึงยังมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นได้ในปีนี้

ส่วนนางอาภาภรณ์มองว่า กลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะมีภาระที่จะต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบกำไรของบริษัท ขณะที่รัฐบาลยังมีนโยบายให้ผู้ประกอบการต้องไปเวนคืนที่ดินเอง ทำให้ดำเนินธุรกิจได้ยากขึ้น จึงแนะนำ Underweight สำหรับหุ้นกลุ่มนี้

ด้านนายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัยหลักทรัพย์ บล. พัฒนสิน กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มรับเหมาในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับลดลง จากงานประมูลที่น้อยลงในช่วงผ่านที่มาทำให้บริษัทในกลุ่มนี้ต้องหันมารับสร้างบ้านแทน

กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มสดใสที่สุด

นายเทิดศักดิ์มองว่า กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เป็นกลุ่มที่น่าสนใจในปีนี้ เนื่องจากมีแนวโน้มรายได้ที่มากกว่าปี 2550 และมีประสิทธิภาพในการทำกำไรดีที่สุดในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยมี Net Profit สูงถึง 20% และยังมีอนาคตที่ดีจากการขอส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกบริษัทในกลุ่มก็มียอดขายที่ดินในปี 2550 เพิ่มขึ้นทุกบริษัท ทั้ง บมจ. อมตะ คอร์ปอเรชั่น (AMATA) บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) บมจ. โรจนะ (ROJANA) และ บมจ. นวนคร (NNCL) โดย NNCL ที่มีโครงสร้างธุรกิจที่มั่นคง มีการกระจายรายได้ที่ดี และจ่ายปันผลสูง ขณะที่ ROJANA ที่ราคาหุ้นปรับลดลงไปพอสมควร มีโครงสร้างรายได้ที่ดี และมียอดการขอสร้างโครงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในขณะนี้

นายสุกิจกล่าวว่า กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจะเป็นธุรกิจเดียวในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นขาขึ้น เพราะรัฐบาลใหม่ที่ชัดเจน ทำให้มีความมั่นใจในการลงทุนเพิ่มขึ้น โดย AMATA มียอดขายที่ดินเพิ่มขึ้นมากในครึ่งปีหลังของปี 2550 จึงมีความน่าสนใจลงทุน เพราะจะมีอัตราการเติบโตได้มากในปีนี้

นายถนอมศักดิ์กล่าวว่า นิคมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง หลังผู้ประกอบการเริ่มใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาก จนต้องลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่ม จึงมองหุ้นในกลุ่มนี้ว่ายังมีอนาคตที่ดี

นางอาภาภรณ์กล่าวว่า บริษัทแต่ละแห่งยังสามารถขายที่ดินได้แม้ว่าจะมีปัจจัยการเมืองเข้ามากดดัน โดย บล. ดีบีเอสฯเชื่อว่า จากรัฐบาลใหม่ที่ชัดเจนที่ทำให้มีความเชื่อมั่นในการลงทุนเพิ่มขึ้นนั้น จะทำให้ AMATA ที่พึ่งพิงรายได้จากยอดขายที่ดินมากที่สุด มีอัตราการขยายตัวได้ดีที่สุด แต่หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาด ก็อาจต้องเลือกลงทุนในหุ้นที่กระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า เช่น ROJANA เพราะมีรายได้ที่มั่นคงจากธุรกิจไฟฟ้าและน้ำ สูงถึง 60% ของรายได้รวม และยังมีปันผลดีอีกด้วย

ผลตอบแทนสูงต้องกองทุนอสังหาริมทรัพย์

นายเทิดศักดิ์กล่าวว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ แบ่งได้เป็นกลุ่มที่เช่าสินทรัพย์ (Lease Hold) ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สนามบินสมุย (SPF) และ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทลโกรท (CPNRF) ส่วน กองทุนที่ซื้อกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ (Free Hold) ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND)

นายถนอมศักดิ์กล่าวว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เหมาะกับการลงทุนในตลาดขาลง เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่สูงเมื่อเทียบกับการฝากเงิน แต่ยังมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ จึงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจนอกเหนือจากนิคมอุตสาหกรรมเช่นกัน

นางอาภาภรณ์กล่าวว่า หุ้นที่น่าลงทุนในกลุ่มนี้ คือ TFUND, CPNRF และ SPF เนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนสูงจากการจ่ายปันผลที่สูงกว่า 8% จึงเหมาะลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้

ต้นทุนพุ่งกดดันกลุ่มวัสดุก่อสร้างแย่

นายเทิดศักดิ์กล่าวว่า ในปี 2550 กลุ่มวัสดุก่อสร้างได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จึงต้องเลือกลงทุนรายตัว เช่น บล. ทีพีไอโพลีน (TPIPL) ที่ราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบไปมากกว่าความเป็นจริงแล้ว จึงสามารถเข้าลงทุนได้ ส่วนกลุ่มเหล็กปลายน้ำที่มีนโยบายจัดเก็บสินค้าคงคลังเป็นระยะเวลาสั้น ๆ จะไม่ได้รับผลกระทบจากราคาเหล็กที่สูงขึ้น ก็น่าลงทุนเช่นกัน โดย บมจ. ค้าเหล็กไทย (TMT) เป็นหุ้นประเภทดังกล่าว และยังมีอัตราผลตอบแทนสูงมากกว่า 10% อีกด้วย ส่วนบมจ. เอ็ม.ซี.เอส.สตีล (MCS) ก็ยังมีกำหนดการส่งมอบสินค้าอีกเป็นจำนวนมาก จึงไม่น่ากังวลเรื่องรายได้ในปีนี้

ส่วนบล. ดีบีเอสฯ ให้ความสนใจ บมจ. ทาทา สตีล (ประเทศไทย) ( TSTH) เพราะเชื่อว่าจะได้รับประโยชน์จากราคาเหล็กที่เพิ่มสูงขึ้น และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีกว่าผู้ประกอบการรายอื่น มีบริษัทแม่ที่แข็งแกร่ง และมีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

แนะเลือกลงทุนหุ้นรายตัว-จับจังหวะก่อนเข้าซื้อ

นายเทิดศักดิ์กล่าวว่า จากภาพรวมดัชนีที่ชะลอตัวในขณะนี้นั้น ก็ยังเชื่อว่าหากนักลงทุนมีเงินเย็นก็สามารถลงทุนได้ แต่ต้องเลือกลงทุนรายตัว เพราะหุ้นไทยยังมีอนาคตที่ดี ขณะที่บล. ดีบีเอสฯ และบล. นครหลวงไทย เชื่อว่าปัญหา Subprime ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อต่อไปได้อีก ก็อาจทำให้ดัชนีหุ้นปรับลดลงไปต่ำกว่า 700 จุด ได้ในระยะสั้น แต่โดยพื้นฐานแล้ว หุ้นไทยยังอยู่ได้ที่ 800-900 จุด

ด้านนายถนอมศักดิ์กล่าวเสริมว่า นักลงทุนควรจับจังหวะที่เข้าลงทุนให้ได้ โดยหากเป็นช่วงเวลาที่หุ้นไทยมีทิศทางที่ดี ควรเลือกลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ เพราะนักลงทุนต่างชาติจะเข้าซื้อ และทนต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจได้  
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Sto ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news01/02/08

โพสต์ที่ 203

โพสต์

เหล็กขู่ตรึงราคาขาดตลาด

โพสต์ทูเดย์ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กขู่เหล็กเส้นมีแนวโน้มขาดตลาด หลังกรมการค้าภายในมี ท่าทียังไม่ให้ปรับราคาตามข้อตกลงเดิม


นายนิกร สุศิริวัฒนนนท์ เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาสำคัญที่อุตสาหกรรมเหล็กกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้คือ วัตถุดิบ ทั้งสินแร่ เศษเหล็ก และเหล็กแท่งยาว ปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กรมการค้าภายในมีท่าทีว่าจะไม่ให้ขึ้นราคาแนะนำขายเหล็ก เส้น และเหล็กแผ่นประจำเดือน ก.พ. 2551 อีก กก.ละ 1.50 บาท ในวันที่ 1 ก.พ. และอีก 1.50 บาท ในวันที่ 15 ก.พ. ทำให้ผู้ผลิตหลายรายเริ่มเห็นว่า หากยังคงผลิตต่อไปอาจจะไม่คุ้มค่า จึงอาจจะชะลอการผลิตและส่งผลให้เหล็กเส้นขาดตลาด

ที่จริงการขึ้นราคาคือวิธี แก้แบบตรงไปตรงมา เพราะเรา ไม่ได้คิดเองมีการประชุมร่วมกับสมาคมก่อสร้างด้วย และกรมการค้าภายในเองก็เห็นชอบแล้ว แต่เมื่อ มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองคงต้องรอไปก่อน และเชื่อว่าเป็นธรรมเนียมที่ รมว.ใหม่อาจจะขอให้ชะลอการขึ้นราคาเพื่อทำผลงานในช่วงแรก ถ้าเป็นแบบนี้อยู่เฉยๆ ดีกว่าไม่ เจ็บตัว นายนิกร กล่าว

ทั้งนี้ ยืนยันว่า อุตสาห กรรมเหล็กของไทยมีความจำเป็นต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ แม้ว่าราคาวัตถุดิบจะขึ้นไปมากเพียงใดก็ยังจำเป็นต้องซื้อ โดยราคาเหล็กแท่งยาวปรับราคาสูงขึ้นมากอยู่ที่ 750 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากเดือน ธ.ค. อยู่ที่ 610-670 เหรียญสหรัฐ/ตัน เศษเหล็กอยู่ที่ 500-550 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากเดือน ธ.ค. อยู่ที่ 390-420 เหรียญสหรัฐ/ตัน และกำลังเริ่มประสบปัญหาวัตถุดิบมีไม่เพียงพอด้วย ส่วนปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐ และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นยังไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=218231
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news01/02/08

โพสต์ที่ 204

โพสต์

ธอส.รับหน้ารัฐบาลใหม่ ชงข้อมูลแก้ภาคอสังหาฯ

โพสต์ทูเดย์ ธอส.เตรียมชงข้อมูลเสนอ ครม. กระตุ้นภาคอสังหาฯ เชื่อรัฐบาลใหม่สานต่อมาตรการเดิม


นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า อยู่ระหว่างการเตรียมข้อมูลเพื่อรายงานต่อคณะรัฐมนตรี ชุดใหม่ ถึงแนวทางการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งโครงการที่ดำเนินการอยู่แล้ว และโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงเรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุน โดยจะหารือร่วมกับภาคเอกชนถึงแนวทางที่จะนำมาใช้ในการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์

โครงการที่ธนาคารดำเนินการอยู่ในขณะนี้ คือ การปล่อยสินเชื่อให้โครงการบ้านเอื้ออาทร บ้านมั่นคง และโครงการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้กับข้าราชการในโครงการ ธอส.-กบข. โดยในส่วนของโครงการบ้านเอื้ออาทรในปีนี้ จะมีบ้านสร้างเสร็จ 7 หมื่นหลัง ที่จะต้องปล่อยกู้ในวงเงิน 2 หมื่นล้านบาท ส่วนโครงการ ธอส.-กบข. จะดำเนินการต่อระยะที่ 5

เชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่จะมีมาตรการออกมากระตุ้นให้คนซื้อบ้าน เพราะมาตรการที่เคยใช้ เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอน ลดค่าธรรมเนียมจดจำนอง ลดภาษีธุรกิจเฉพาะ ฯลฯ ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์มาแล้ว นายขรรค์ กล่าว

สำหรับกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐลดดอกเบี้ยลงอีก อาจทำให้เงินไหลเข้าและส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น ซึ่งต้องติดตามดูสถานการณ์ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ และขึ้นอยู่กับคณะกรรมการการเงิน ว่าจะตัดสินใจในเรื่องนี้อย่างไร แต่โดยส่วนตัวเห็นว่าดอกเบี้ยควรจะลดลงได้ 25 สตางค์

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ธนาคารยังแข่งขันระดมเงินฝาก และธนาคารแห่งประเทศไทยเตรียมจะออกพันธบัตรอีก 5 หมื่นล้านบาท ดอกเบี้ย 3-4% ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศคงจะไม่ลงเร็วเท่ากับอเมริกา โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวน่าจะเห็นผลในการชะลอภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ช่วงกลางปีนี้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=218240
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news01/02/08

โพสต์ที่ 205

โพสต์

ธุรกิจเหล็กสดใส

โดย Post Digital 1 กุมภาพันธ์ 2551 12:29 น.

เลขาฯ บีโอไอ ระบุมีผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลกจากญี่ปุ่น-จีนสนใจเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำในไทยไม่ต่ำกว่า 4-5 ล้านตัน/ปี มีเม็ดเงินลงทุนรายละไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท

นายสาธิต ชาญเชาว์กุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า จากการที่บีโอไอเปิดให้ผู้ประกอบการเหล็กต้นน้ำสำหรับ การผลิตเหล็กคุณภาพสูงยื่นแสดงเจตจำนงลงทุนอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำในไทยและสิทธิการรับเสนอเมื่อวานนี้ (31 ม.ค.) ปรากฏว่ามีผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลกใน 5 อันดับแรกแสดงความสนใจจำนวน 3 ราย ประกอบด้วย บริษัท นิปปอนสตีล บริษัท เจเอฟอี จากประเทศญี่ปุ่น และบริษัท BAOSTEEL จากจีน ซึ่งหลังจากนี้จะต้องมาพูดคุยในรายละเอียดว่าทุกรายแสดงความสนใจจะผลิตจำนวนเท่าใดและที่ไหน คาดว่าแต่ละรายจะมีการลงทุนไม่ต่ำกว่า 4-5 ล้านตันต่อปี เม็ดเงินลงทุนรายละไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท และจะใช้พื้นที่รายละไม่ต่ำกว่า 5,000-10,000 ไร่ โดยต้องยอมรับว่าในขณะนี้พื้นที่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) เต็มหมดแล้ว จึงต้องหาพื้นที่ใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (เซาเทิร์นซีบอร์ด) จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่จะเข้ามาดำเนินการในเรื่องนี้

ส่วนประเด็นปัญหาความขัดแย้งการสร้างเหล็กต้นน้ำในเครือสหวิริยา ระหว่างชาวบ้านกับโรงงานนั้น เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า เรื่องนี้ได้กำหนดไว้ชัดในหลักเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุนเหล็กต้นน้ำว่า โรงงานจะเกิดขึ้นได้ต้องมีพื้นที่ที่สามารถทำความเข้าใจกับประชาชนไม่ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งและมลพิษ ขณะเดียวกันต้องส่งเสริมเรื่องการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งต้องเป็นการผลิตเหล็กคุณภาพสูง หากเหล็กต้นน้ำสามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศไทย จะทำให้ลดต้นทุนการผลิตได้มหาศาลและเกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากมาย โดยปัจจุบันไทยมีความต้องการเหล็กประมาณ 12.5 - 13 ล้านตันต่อปี ในจำนวนนี้ 4.5 ล้านตัน เป็นเหล็กคุณภาพสูงที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ ไฟฟ้า อาหารกระป๋อง ส่วนอีก 8 ล้านตัน จะเป็นเหล็กคุณภาพทั่วไปที่ใช้ในการก่อสร้างและท่อต่าง ๆ ซึ่งในประเด็นเครือสหวิริยา หากจะเสนอการก่อสร้างเหล็กต้นน้ำเข้ามาใหม่ จะอยู่ในหลักเกณฑ์การผลิตเหล็กเกรดคุณภาพทั่วไป

นายสาธิต กล่าวอีกว่า เมื่อมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งแล้ว คาดว่าจะสร้างความมั่นใจในด้านการลงทุนมากขึ้น ซึ่งล่าสุดในการสัมมนาหอการค้าญี่ปุ่น นักธุรกิจญี่ปุ่นระบุว่ามีความเชื่อมั่นมากขึ้น และคงจะเกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยบีโอไอ คาดว่าเม็ดเงินขอส่งเสริมการลงทุนปีนี้ไม่น่าจะต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท จากปีที่แล้วมีการขอส่งเสริมการลงทุนประมาณ 650,000 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=218316
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news04/02/08

โพสต์ที่ 206

โพสต์

อสังหาฯเหนือ รอรัฐบาลหมัก ฟื้นอารมณ์ซื้อ

โพสต์ทูเดย์ อสังหาฯ เชียงใหม่รอรัฐบาลหมัก 1 ฟื้นชีพ หลังตลาด หดตัวเกือบ 30%


นายจรินทร์ พงษ์เย็น ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายโครงการบ้าน 3 บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ ซึ่งดูแลโครงการแนวราบใน จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า รัฐบาลใหม่จะช่วยฟื้นความมั่นใจให้แก่ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ใน จ.เชียงใหม่ เนื่องจากคนในพื้นที่มีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์ทางการเมือง

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาสำนักงาน ที่ดิน จ.เชียงใหม่ มีรายได้จากการ ทำธุรกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ลดลงต่อเนื่อง จากปี 2548 ที่มูลค่า 1.36 พันล้านบาท เหลือ 1.25 พันล้านบาท ในปี 2549 และ 902 ล้านบาท ในปี 2550

ขณะเดียวกันตัวเลขการขอมิเตอร์ไฟฟ้าลดลง 18% ตามลำดับจาก 12,689 มิเตอร์ ในปี 2549 เหลือ 10,466 มิเตอร์ ในปี 2550 และ จำนวนการขอบ้านเลขที่ลดลง 2% จาก 6,411 หลังเหลือ 6,262 หลัง

แม้ว่าความต้องการซื้อบ้านจะลดลง แต่เป็นเพราะไม่มั่นใจใน สถานการณ์ทางการเมือง ขณะที่กำลังซื้อยังคนมีอยู่สูง จากตัวเลขการออมเงินของคนใน จ.เชียงใหม่ พบว่าเพิ่มขึ้นจาก 1.6 พันล้านบาทในปี 2548 เป็น 1.8 พันล้านบาท ในปี 2549 นายจรินทร์ กล่าว

ขณะที่ตัวเลขการจดทะเบียนบ้านใหม่ใน จ.เชียงใหม่ หดตัวลง 10% จากจำนวนจดทะเบียนเฉลี่ย ต่อปี 8 พันถึง 1 หมื่นหลัง โดยตัวเลขจดทะเบียนจำนวน 80% เป็นบ้านระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท

สำหรับบ้านระดับราคา 2 ล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะโครงการ ติดถนนใหญ่ที่มีขนาด 50 ไร่ขึ้นไป มีอยู่ 20 โครงการในเชียงใหม่ ยังคงเติบโตต่อเนื่องสวนทางตลาด ในปีที่ผ่านมา 20 โครงการนี้มียอดขาย รวม 1.9 พันล้านบาท สูงขึ้นจากปี 2549 ซึ่งมียอดขาย 1.8 พันล้านบาท สำหรับปีนี้ บริษัทจะเปิดตัว 14 โครงการใหม่
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=218737
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news05/02/08

โพสต์ที่ 207

โพสต์

ระวังหุ้นรับเหมาวิ่งชั่ววูบ

โพสต์ทูเดย์ นักวิเคราะห์เตือน หุ้นรับเหมาก่อสร้างคึกช่วงสั้นตามลมปากนายกรัฐมนตรี ลุยสร้างรถไฟฟ้า 5 แสนล้าน STEC-ซินเท็ค สู้


ตลาดหุ้นวันที่ 4 ก.พ. ดัชนีสวิงสุดๆ ระหว่างวันแกว่งเกือบ 20 จุด นับจากช่วงเช้าที่ขึ้นไปสูงสุด 828.79 จุด และช่วงบ่ายอ่อนลงต่ำสุด 809.64 จุด ก่อนจะปิดที่ 811.56 จุด เพิ่มขึ้น 0.70 จุด หรือ 0.09% ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 36,311.79 ล้านบาท

ตลาดหุ้นไทยปิดบวกเล็กน้อย เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นย่านเอเชียที่เด้งแรง 2-3% แม้นักลงทุนต่างชาติยังซื้อหุ้นไทยหนัก 6,795 ล้านบาท เพราะสถาบันและรายย่อยขนหุ้นมาขายทำกำไร 2,994 ล้านบาท และ 3,801 ล้านบาท ตามลำดับ

บล.เจพีมอร์แกน ออกบทวิเคราะห์เมื่อวานนี้ โดยมีมุมมองเป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย หลังการเมืองลงตัว และได้รัฐบาลใหม่จะส่งผลให้หุ้นปัจจัยพื้นฐานดีน่าลงทุน โดยคาดว่าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่วิเคราะห์อยู่ กำไรจะโต 20% ในปีนี้ และจะดันให้ ดัชนีขึ้นไปถึง 970 จุด

นอกจากนี้ แนะให้ลงทุนหุ้นที่ได้ดีจากกำลังซื้อภายในประเทศที่จะฟื้นตัวตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์

เมื่อวานนี้ หุ้นรับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์คึกคัก หลังจากนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ประกาศลงทุนโครงการรถไฟฟ้า 9 สาย ด้วยเงินลงทุน 5 แสนล้านบาท หนุนให้ดัชนีกลุ่มปิด 69.35 จุด บวก 1.19 จุด หรือ 1.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 4,705 ล้านบาท โดยเฉพาะหุ้นรับเหมาขนาดใหญ่ เช่น บริษัท ช.การช่าง (CK) ปิด 8.55 บาท บวก 6.21% บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ปิด 9.40 บาท บวก 5.03% บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ปิด 6.55 บาท บวก 3.15%

บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ให้น้ำหนักหุ้นรับเหมาก่อสร้างเท่ากับตลาด เพราะกระแสรัฐบาลใหม่ที่เร่งโครง การรถไฟฟ้าจะกระตุ้นราคาหุ้นระยะสั้นเท่านั้น แต่ในระยะกลางถึงยาว ยังต้องระมัดระวังในเรื่องความล่าช้าของโครงการที่มักเกิดขึ้นบ่อย

ระยะสั้นหุ้นรับเหมาก่อสร้างอาจ Trading ได้ แต่ต้องระมัดระวัง หากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน และถ้าราคาหุ้นขึ้นแรง ก็หาจังหวะทยอยขายทำกำไร ITD ราคาพื้นฐาน 8.61 บาท CK ราคาพื้นฐาน 8.82 บาท และ STEC ราคาพื้นฐาน 5.15 บาท ดีบีเอสฯ ระบุ

แหล่งข่าวจาก STEC เปิดเผยว่า ยืนยันจะเข้าร่วมประมูลโครงการ รถไฟฟ้า 9 สาย อย่างแน่นอน โดยจะร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศเข้าร่วมประมูลโครงการ ซึ่งคาดว่ามีโอกาสที่จะได้รับงานค่อนข้างสูง เพราะที่ผ่านมามีประสบการณ์ในการก่อสร้างโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ ซึ่งจะทำให้ผลดำเนินงานปีนี้มีกำไร

นายสมชาย ศิริเลิศพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างประมูลรถไฟฟ้าสายสีแดง หากสำเร็จจะทำให้มีประสบการณ์เพื่อจะเข้าร่วมประมูลรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ได้ และปีนี้คาดว่ารายได้จะโต 15% จากปี 2550 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 3.3 พันล้านบาท

นางนิจพร จรณะจิตต์ กรรมการรองประธานบริหารอาวุโส ITD แจ้งว่า ได้เซ็นสัญญาก่อสร้าง 2 โครงการใหม่ มูลค่า 899 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=218923
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news05/02/08

โพสต์ที่ 208

โพสต์

การเมืองนิ่งดันยอดขายบ้านพุ่ง

โพสต์ทูเดย์ กำลังซื้อบ้านเด้งรับการเมืองมีความชัดเจน ยอดขายเดือน ม.ค. ขยับขึ้น 10-20%


นายไพโรจน์ สุขจั่น ประธานกรรมการ บริษัท บัวทอง พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า สถานการณ์การซื้อ-ขายบ้าน ภายหลังการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างเรียบร้อยทำให้ยอดขายบ้านเริ่มดีขึ้นตั้งแต่กลางเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นประกอบกับบ้านจะปรับราคาขายเพิ่ม ทำให้ผู้ที่ต้องการซื้ออยู่แล้ว รีบตัดสินใจก่อนบ้านจะขึ้นราคา

ขณะที่นายอธิป พีชานนท์ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย กล่าวว่า จำนวนคนเข้าเยี่ยมชมโครงการและยอดขายของบริษัทในเดือน ม.ค. เพิ่มขึ้นประมาณ 10-20% ซึ่งคาดว่าบริษัทอื่นน่าจะมีตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน เนื่องจากมีคนที่ต้องการบ้านได้ชะลอการซื้อจากปีที่แล้ว เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น และกลับมาซื้อในช่วงต้นปี

ด้านนายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กล่าวว่า ยอดขายในช่วงเดือน ม.ค. ดีขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยการขายส่วนใหญ่ จะเป็นการระบายสต๊อกเก่าที่ยังเหลืออยู่ไม่มาก ในส่วนของบริษัทได้จัดแคมเปญบ้านราคาเดิม เพื่อระบายสต๊อกที่เหลืออยู่เช่นกัน

นายวสันต์ เคียงศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพร์ส เห็นว่า ในช่วงเดือน ม.ค. ถือว่ายอดขายดีกว่าปีที่แล้ว แต่หากเทียบกับเดือน ธ.ค. 2550 ที่ผ่านมาอาจจะชะลอลงเล็กน้อย แต่แนวโน้มตลาดน่าจะดีขึ้นในช่วงเดือน ก.พ. ต่อเนื่องถึงเดือน มี.ค. บริษัทจึงได้ ออกโปรโมชันรับความต้องการซื้อ ที่จะคึกคักขึ้นด้วยการลดค่าธรรม เนียมโอน หรือมอบส่วนลดตั้งแต่ 5 หมื่น-5 แสนบาท

นายวิเชียร แพทยานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ้าพระยามหานคร ด้วยความเชื่อมั่นว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะมีอายุอยู่ถึง 2 ปี และจะใช้นโยบายประชานิยมที่มีผลในทางบวกต่อเศรษฐกิจ สามารถผลักดันให้ตัวเลขจีดีพีสูงได้ถึง 5%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=218952
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news06/02/08

โพสต์ที่ 209

โพสต์

คอนโดเฮสผ.ยอมถอย

โพสต์ทูเดย์ คอนโดฯ ได้เฮ สผ.ปลดล็อกคลายกฎเพิ่มพื้นที่สีเขียว ในโครงการ


นายเกษมสันต์ จิณณวาโส เลขาธิการสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้ สผ. จะเชิญคณะกรรมการผู้ชำนาญการมาประชุม เพื่อทบทวนมาตรการ การจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบกับโครงการที่พักอาศัย โดยเฉพาะเรื่องการ ให้ปลูกต้นไม้เพื่อลดความร้อน จากเครื่องปรับอากาศในโครงการอาคารชุด ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปจากการประชุมครั้งนี้

รายงานข่าวแจ้งว่า ล่าสุดได้ มีการเชิญตัวแทนที่เกี่ยวข้อง เช่น สผ. กฤษฎีกา กรมโยธาธิการ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น มาหารือเพื่อ แก้ปัญหาในการจัดให้มีพื้นที่สีเขียวในโครงการอาคารชุดที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยที่ประชุมเห็นว่าควรจะยกเลิกมาตรการดังกล่าว และส่งให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณาต่อในสัปดาห์นี้

เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้ประกอบการโครงการอาคารชุดจำนวนมากร้องเรียนไปยัง สผ. โดยเฉพาะเงื่อนไขที่ให้ปลูกต้นไม้ยืนต้น 1 ต้นต่อเครื่องปรับอากาศขนาด 2 ตัน ในโครงการอาคารชุด ทำให้ต้องเพิ่มขนาดพื้นที่โครงการและราคาขาย ส่งผลให้กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางได้รับความเดือดร้อน

สผ.จึงมีนโยบายที่จะรวบรวมมาตรการต่างๆ ที่ออกโดยคณะกรรมการผู้ชำนาญการ และได้กำหนดเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการปฏิบัติ ในการจัดทำรายงาน การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โดยให้พิจารณาว่า มาตรการใดที่ออกโดยมีระเบียบข้อกฎหมายรองรับชัดเจน ยังยึดถือให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตาม

สำหรับมาตรการที่อาศัยหลักเกณฑ์ทางวิชาการมาใช้เป็นแนวทาง ให้พิจารณาว่ามาตรการใดจำเป็นต้องคงเอาไว้ มาตรการใด ที่จะต้องมีการปรับปรุงแก้ไข หรือทบทวนตามข้อเสนอของเอกชน เพื่อจะได้นำเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการผู้ชำนาญการ หลังจากนั้นจะเชิญภาคเอกชนมาหารือเพื่อหาทางออกร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม สผ.ยังมีแนวคิด ที่จะนำการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นกลับมาใช้อีกครั้ง หลังจากที่หยุดไป โดยอยู่ระหว่างการรอนโยบายจาก รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคนใหม่ ว่าจะมีแนวทางอย่างไร

ด้านนายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กล่าวว่า มีคอนโดมิเนียมที่ขายไปแล้ว แต่ยังก่อสร้างไม่ได้ เพราะติดเงื่อนไขดังกล่าวกว่า 30 โครงการ ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด และผู้ประกอบการรายเล็ก ซึ่งจะส่งผลกระทบไปยังผู้ที่ซื้อโครงการไปแล้ว เพราะโครงการจะล่าช้ากว่ากำหนด

บริษัทกำลังรอดูความชัดเจนในเรื่องนี้ หาก สผ.ยอมผ่อนปรนให้ก็จะเริ่มพัฒนาโครงการคอนโด มิเนียมบนถนนรัชดาฯ ต่อ แต่ถ้ายังไม่ผ่อนปรน คงจะต้องปรับรูปแบบโครงการใหม่ โดยครึ่งหนึ่งจะพัฒนาเป็นอาคารแนวราบ และอีกครึ่งหนึ่งจะพัฒนาเป็นอาคารแนวสูง ซึ่งเมื่อลองคำนวณราคาขายใหม่แล้ว จะต้องปรับจาก 5.5 หมื่นบาทต่อ ตร.ม. เป็น 7 หมื่นบาทต่อ ตร.ม.
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219184
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news07/02/08

โพสต์ที่ 210

โพสต์

ตลาดบ้านฮึด อัดโปรโมชัน โละสต๊อกเก่า

โพสต์ทูเดย์ ค่ายอสังหาริมทรัพย์ อัดโปรโมชันระบายสต๊อกเก่าชูบ้านราคาเดิมก่อนปรับราคาใหม่ ล่อใจคนซื้ออัดแคมเปญยาวตรุษจีน-วาเลนไทน์


แหล่งข่าวจากบริษัทพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า บริษัทพัฒนาที่ดินได้พยายามระบายสต๊อกบ้านเก่าที่ยังคงค้างอยู่ โดยอาศัยเทศกาลตรุษจีนและวาเลนไทน์ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ โดยส่วนใหญ่จะใช้แคมเปญบ้านราคาเดิม เพื่อกระตุ้นคนที่ต้องการซื้อให้รีบตัดสินใจก่อนที่บ้านในล็อตใหม่จะปรับราคาตามต้นทุนก่อสร้างที่ปรับเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วงเดือน ก.พ.ของปีนี้ มีบริษัทพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรจัดกิจกรรมการส่งเสริมการขายกันอย่างคึกคักตลอดทั้งเดือน อาทิ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง โดยนายสมนึก ตันฑเทอดธรรม รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า บริษัทยังคงตรึงราคาบ้านในราคาเดิม โดยล่าสุดได้จัดแคมเปญ The Month Of Love บ้านนี้มีรักตลอดเดือน ก.พ. มอบสิทธิพิเศษถึง 14 รายการให้กับผู้ซื้อบ้าน

นายวิษณุ สุชาติล้ำพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า บริษัทได้จัดกิจกรรมในเทศกาลวันแห่งความรัก สำหรับผู้ที่สนใจจองบ้านสไตล์ Urbanion ใน 5 โครงการของบริษัท ด้วยโปรโมชันพิเศษ รักแรกพบ...กับบ้านราคาเดียว เริ่มต้น 2.99 ล้านบาท

นายดลพิพัฒน์ ปรีดาวิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาพัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ กล่าวว่า บริษัทจัดกิจกรรมการตลาดต้อนรับตรุษจีนด้วยการจัดบูธแนะนำโครงการ พร้อมจัดแคมเปญโชค 3 ชั้น Chinese New Year Menu
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219408