ถามชาว VI ครับเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
katin
Verified User
โพสต์: 222
ผู้ติดตาม: 0

ถามชาว VI ครับเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

จากที่ผมได้อ่านหนังสือของ VI หลาย ๆ ท่าน ว่าต้องลงทุนในหุ้นมาก ๆ อย่างอาจารย์ ดร.นิเวศน์ ท่านก็ลงทุนในหุ้น 100% ซึ่งผมเองเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านก็ลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่สูง

แล้วทุกท่านมีการบริหารความเสี่ยงเรื่องวิกฤติกันอย่างไรครับ

ส่วนตัวผมเองเพิ่งเริ่มลงทุนยังไม่ถึงปีเลยครับ เลยไม่ทราบว่าหลาย ๆ ท่านใช้กลยุทธกันอย่างไรบ้างครับ

รบกวนขอคำชี้แนะด้วยนะครับ
ขอบคุณมากครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
บูรพาไม่แพ้
Verified User
โพสต์: 2533
ผู้ติดตาม: 1

Re: ถามชาว VI ครับเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ผมเข้ามาลงทุนได้จะครบสองปีแล้วก็ลงทุนเต็มร้อยตลอด ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์ที่ราชประสงค์หรือวิกฤติที่ยุโรป ผมก็ยังเต็มร้อยอยู่อาจเป็นเพราะผมไม่เก่งพอที่จะคาดการณ์ในอนาคตได้และผมไม่เก่งพอที่จะคำนวนหามูลค่าของหุ้นตัวๆนั้นได้ ผมเลยใช้วิธีลงทุนแบบเด็กๆ(ตามคำนิยามของท่าน ดร.นิเวศ) คือซื้อแล้วถือไว้นานๆ ผมไม่รู้หรอกว่ามันมีมูลค่าเท่าไหร่ ผมรู้แค่ว่ามันจะต้องโตอีก ผมแค่อยากจะบอกว่า แล้วมันก็ผ่านไป :D
katin
Verified User
โพสต์: 222
ผู้ติดตาม: 0

Re: ถามชาว VI ครับเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขออนุญาตนำบทความจากหนังสือ "ตามรอยเซียม" โดย คุณวิกรม เกษมวุฒิ ครับ

สัญญาณของตลาดขาขึ้นสุดขีด
1. เงินเป็นเหมือนเศษขยะ
“เงินเหมือนเศษขยะ” คำๆ นี้ ผู้จัดการกองทุนในสหรัฐอเมริกาเป็นผู้คิดสร้างขึ้น ทัศนะการมองเห็นเงินเหมือนเศษขยะ ก่อให้เกิดผลที่ตามมาภายหลัง คือการที่นักลงทุนสถาบันถือเงินสดไว้น้อยมากจนเป็นภัยที่ชัดแจ้ง แสดงสัญญาณว่าเกือบทุกกองทุนได้ลงทุนซื้อหุ้นเต็มที่แล้ว จนไม่มีกำลังเงินที่จะมาซื้อผลักดันให้หุ้นขึ้นไปได้อีก

2. หุ้นที่มีราคาสมเหตุผล หายาก
ในขณะที่ตลาดหุ้นสูงสุดขีด คี่าพี/อี เรโช โดยเฉลี่ยของทั้งตลาด จะอยู่ในระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับอดีต อัตราของเงินปันผลตอบแทนโดยเฉลี่ยจะต่ำมาก และราคาหุ้นจะสูงกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชีอย่างมากมาย
สำหรับนักลงทุนผู้ชาญฉลาด เมื่อตลาดมาถึงจุดดังกล่าวข้างต้นนี้ เขาจะขายหุ้นออกไปจนเกือบหมดสิ้นแล้ว เพราะในเวลานั้น จะมีหุ้นน้อยตัวเต็มทีที่พอจะยังลงทุนซื้อได้ในราคาสมเหตุผล

3. อัตราดอกเบี้ย
ในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังบ้าคลั่ง อัตราดอกเบี้ยมักจะกำลังขึ้นหรือขึ้นไปบ้างแล้ว ตั้งแต่ต้นปี 2537 มาจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2538 ดอกเบี้ยขึ้นทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 7 ครั้งแล้ว หัวใจที่ให้สังเกตก็คือว่าสัญญาณของตลาดขาขึ้นที่กำลังไต่สู่จุดสูงสุด อัตราดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น และเมื่อตลาดหุ้นขึ้นสูงปรี๊ดถึงจุดระเบิดพังไป ตอนนั้นแหละอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับที่สูงมากและกำลังจะตกหรือได้ตกลงมาบ้างแล้ว

4. ปริมาณเงิน
ปริมาณของเงินโดยทั่วไปอยู่ในลักษณะหดตัวลง เมื่อตลาดหุ้นถึงจุดเริ่มกลับตัวดิ่งลง

5. หุ้นออกใหม่
หุ้นใหม่ หุ้นเพิ่มทุน การเสนอให้สิทธิซื้อหุ้นแม่หุ้นลูกจะมีมาเสนอขายเกลื่อนไปหมด คุณภาพของทั้งบริษัทที่ออกหุ้นใหม่ก็เลวลง และราคาของหุ้นห่วยๆ ก็ถูกไล่ขึ้นไปอย่างบัดซบไร้เหตุผล

6. หุ้นตัวนำตลาดจะเปลี่ยนไป
การเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญในเรื่องตัวหุ้นนำตลาดคือ หุ้นตัวนำตลาดเปลี่ยนไปเป็นตัวใหม่ จะเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการเปลี่ยนทิศทางของตลาดหุ้น ในเวลาที่ตลาดหุ้นใกล้ถึงจุดระเบิด นักลงทุนมักจะขายหุ้นดีที่มีความเติบโตอย่างปลอดภัยออกไปอย่างน่าเสียดายแล้วทุ่มเงินเข้าซื้อหุ้นที่ขึ้นลงเป็นวัฏจักร เงินส่วนใหญ่จะเคลื่อนย้ายจาก “ทองดีไปสู่ทองชุบ” จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ก็ตาม

7. อัตราการจ้างงาน
ผลงานการศึกษาที่น่าสนใจของบริษัทหลักทรัพย์ ชื่อบริษัท แมทธีสัน ซิคิวริตี้ส์ในประเทศอังกฤษให้ข้อสรุปว่า จากการศึกษาจุดเปลี่ยนทิศทาง 10 ครั้งในตลาดหลักทรัพย์ ปรากฏว่ามี 8 ครั้งที่ตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำโดยเฉลี่ยประมาณ 10 เดือน หลังจากที่ตัวเลขอัตราการจ้างงานเริ่มตกลงมาก่อน
ในทางกลับกัน ผลจากงานวิจัยนี้สามารถสรุปได้เช่นกันว่า อัตราการจ้างงานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็เป็นสัญญาณที่แสดงว่าตลาดขาลง ( BEAR MARKET ) กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว

8. ที่ปรึกษาการลงทุน
เมื่อราคาหุ้นำลังขึ้นมาอยู่สูงลิบลิ่ว ที่ปรึกษาการลงทุนจะเห็นพ้องเหมือนกันหมดว่าตลาดเป็นขาขึ้น หุ้นยิ่งน่าลงทุน

9. เรื่องจ้อในงานเลี้ยง
ในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังอยู่สูงสุดยอด งานเลี้ยงทุกงานผู้คนจะคุยกันแต่เรื่องหุ้น และแขกเกือบทุกคนจะมีข่าวเด็ดมาบอกกันด้วย

10. ปฏิกิริยาตอบสนองต่อข่าว
สัญญาณเริ่มต้นที่แสดงว่าตลาดเริ่มถึงจุดสูงสุดแล้ว จะสังเกตได้จากการล้มเหลวของราคาหุ้นไม่ขึ้นมาตอบสนองกับข่าวดี กรรมการผู้จัดการของบริษัทหนึ่ง อาจประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทออกมาว่าเยี่ยมมาก แต่ราคาหุ้นกลับตกลงต่อหน้าต่อตา นี่เป็นสัญญาณแสดงว่าตลาดเริ่มหมดแรง ข่าวดีถูกซึมซับรับทราบล่วงหน้าไปก่อนแล้ว และขณะนี้แรงซื้อแทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว

11. ความเห็นจากสื่อมวลชน
สื่อมวลชนไม่ว่าหนังสือพิมพ์ก็เดี วิทยุก็ดี หรือโทรทัศน์ก็ดี ต่างให้ความสำคัญกับตลาดหุ้น และประโคมเรื่องหุ้นในแง่ดีกันอย่างอึกทึกครึกโครม นี่แหละครับสัญญาณว่าอันตรายใกล้เข้ามาแล้ว ในช่วงนี้ถ้าราคาหุ้นอยู่สูงลิบ เมื่อเทียบกับคุณค่าของกิจการ ก็จะมีข้อเถียงด้วยเหตุผลว่า “ คราวนี้จะไม่เหมือนคราวก่อน ” อะไรทำนองนี้ ข้อตักเตือนจากผู้หวังดีจะไม่มีใครเอาใจใส่ และบางครั้งอาจถูกด่าด้วยซ้ำว่ามาเป็นตัวดีทำให้ตลาดหุ้นตก

ข้อสรุป
สัญญาณ 11 ประการที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ผู้ลงทุนที่ช่างสังเกตจะสามารถจับสัญญาณได้ด้วยตนเองโดยไม่ยากนัก ขอให้ท่านพิจารณาเอาใจใส่อยู่เสมอ แล้วผลตอบแทนที่ได้รับจะคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม


ขอบคุณความเห็นจากคุณบูรพาไม้แพ้ ครับ
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 85

Re: ถามชาว VI ครับเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

วิกฤตเศรษฐกิจแต่ละครั้งก็มีสาเหตุ และผลกระทบที่แตกต่างกันออกไป และนอกจากทางเศรษฐกิจแล้ว ยังมีเหตุการณ์อื่นๆอีกที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นและอาจจะไม่มีสัญญาณเตือนก่อน เช่น สงคราม ภัยพิบัติทางธรรมชาติ

เราจึงควรที่จะเลือกลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดีอยู่ตลอดเวลา เมื่อเกิดเหตุการณ์หรือจะเกิดเหตุการณ์เราก็ควรที่จะหาความรู้ ศึกษาถึง สาเหตุ และผลกระทบต่อบริษัทที่เราลงทุนอยู่
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
โพสต์โพสต์