ความไม่แน่นอน ในมุมมองของ REFLEXIVITY

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 9

ความไม่แน่นอน ในมุมมองของ REFLEXIVITY

โพสต์ที่ 1

โพสต์

รูปภาพ

Rflxvty

รูปภาพ
สวัสดีครับ

อ่านเรื่อง RFLXVTY มาตั้งนานตั้งแต่หลักการลงทุนโซรอสว่าเกิดมาจากอะไร ลองมาปรับใช้ ดูบ้าง ตามแบบที่เราลองคิด แบบที่เราเอาตัวเองลงไป ข้างใน อยู่ห้าปี ผิด บ้าง ถูก บ้าง เดินทางผิดบ้าง มีพี่ๆ คอยช่วยเหลือ ประคองไว้ ผมโชคดีผมได้รู้จักพี่ที่ดีมาก ๆ อย่างพี่โจ อย่างพี่มน ขอบคุณอีกครั้งครับ ผมยังตอบแทนพี่ไม่ได้ ขอลงบทความนี้ใน THAIVI อย่างน้อย ผมยังรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ากับสังคมอยู่บ้าง

โซรอสมีความคิดเรื่อง Rflxvty แล้วเอาไปทดสอบในคนสมัยสงคราม มันใช้ได้ผล เขาไปเจอ PROPRER พูดเรื่อง FALLIBILITY ที่เขาสนใจอย่างมาก เรียน ECON ด้วย แล้วตั้งทฤษฎีของตัวเองที่เรียกว่า RFLXVTY เอาไปปรับใช้ในการลงทุน แล้วมันสำเร็จเกินคาด ผมว่าทำไม คนไทยไม่ลองเอาไปปรับใช้ดูบ้าง ตอนที่อ่าน Quantum ผมว่าทุกคนต้องมีเรื่องคิดอะไรบางอย่าง บางคนคิดไปถึงเรื่อง อนิจจัง ของปรัชญาพุทธ ผมก็คิด คิดไปเรื่อยเปื่อย คิดมาปีกว่าๆ สับสนวุ่นวาย ไม่มีระเบียบหมวดหมู่ เพราะไม่มีความเข้าใจในเรื่องพุทธที่ดีพอ ความคิดผมเกี่ยวกับแนวทางนี้ไม่มีมูลค่าที่แท้จริงในการคิดเลย ถามอะไรตัวเองอยู่ตลอด เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ไม่ได้ถามว่าทำไม ถามว่าเพราะอะไร นอกเรื่องเลยคราวนี้ เพราะอะไรเราถึงมายืนอยู่ตรงนี้ ชีวิตเรา มีคนวางแผนที่ไว้แล้วจริงหรือ เราต้องเดินช่วงอายุเวลานี้ วิ่งตอนอายุเท่านั้น ล้มแล้วต้องลุกช่วงอายุนั้น หัวเราะตอนปีนี้ ต้องร้องไห้ตอนปีนั้น สนามนี้มีคนคลุมกฏแห่งกรรมไว้จริงหรือ

วันหนึ่ง เห็นใยแมงมุมในห้องน้ำ มันวางโครงสร้างสวยดีครับ ผมเห็นแมงมุมมันไม่เคลื่อนตัวตั้งนาน ยุงบินวน วน วน ออกไป แล้วมันมาอีกทีก็วกติดเข้าจนได้ แมงมุมที่ก่อนหน้านี้เก็บอาการนิ่งมาตลอด จู่ๆ ถึงตัวเหยื่อ get along ตีสนิททันที โอ้-โห แกวิ่งบนใยแก อย่างกับนักวิ่งวิ่งบนลู่วิ่ง เร็วจริงๆ หันมาถาม แล้วลู่วิ่งเราละ เรามีไหม ทำไมไม่ลองเอาแบบแมงมุมบ้าง

ชีวิตนี้ไม่สิ้นหวัง ลองเขย่าขวดใหม่ เรียนรู้ที่จะจับความคิดตัวเอง เหมือนแมงมุมจับเหยื่อ จับไม่เป็น คิดอยู่นาน เฝ้านิ่งๆ เป็นชั่วโมงเลย เริ่มหัดเฝ้า ซ้ายขวาหน้าหลัง เฝ้าไม่เป็น ไม่เป็นก็ไม่เป็นไร คิดหาวิธี update ตัวเอง ผมเริ่มเรียนรู้ที่จะสร้างสติขึ้นมา จัดระบบความคิดเหมือนแมงมุมตอนเดินจงกรมนั่นเอง ใช้สติเฝ้าดูว่าตัวเองคิดอะไร เดี๋ยวนี้เฝ้าเป็นแล้ว เฝ้าเป็นก่อน แล้วถึงจับอารมณ์ตนเองได้ ตามไปดู กรูอยู่ข้างหลังนะ เฝ้าดูมรึงอยู่นะ อารมณ์มันบินได้เหมือนยุง แต่กัดเจ็บกว่ายุง จัดอารมณ์ต่างๆ เข้าหมวดหมู่เป็นระบบระเบียบเรียบร้อย ผมว่ามันก็ง่ายในการใช้ชีวิตขึ้น ผมว่าสติมันจะหาเหตุผลของมันเองว่าผิดทางแล้ว มันจะตะโกนบอกเราเอง แต่วันไหนสติเราไม่เหนียวพอก็จับมันไว้ไม่อยู่ สติเราไม่มีความแน่นอนเอาเลย ไม่แน่นอนเหมือนอะไร ?

ผมคิด 50/50 ไม่แน่นอนเหมือน QUANTUM Physics

ถ้าแมงมุมพาเราไปเข้าใจเรื่องสติได้ ทำไมเราจะไปเรียนรู้วิชาต่างๆ เพื่อกลับมาเข้าใจ Rflxvty อีกครั้ง ภาษาไทยที่มีอยู๋อาจมีไม่พอที่เข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ภาพสะท้อน หรือ ว่า ภาษาอังกฤษมีไม่พอต่างหาก ปรัชญาพุทธผมว่าช่วยได้อย่างมาก หรือไม่ก็ ลองไปอ่าน QUANTUM เพราะอะไรโซรอสถึงใช้ชื่อ QUANTUM ในการตั้งชื่อ FUND ของตัวเอง อย่างนี้ มี room เพลงต่อเพลงให้เราเขียนแน่ตรงนั้น แต่ถ้าเขียนเรื่องนี้อย่างเดียว จะเขียนให้แมวที่ไหนอ่าน นี่มันเว็บการลงทุนเน้นคุณค่า น่าจะใส่ไคลแม๊กซ์คำถามสุดท้าย เราจะใช้ยชน์จากเรื่อง QUANTUM ทำให้เราเข้าใจไสต์การลงทุนของโซรอสได้อย่างไร?

จะออกหัวหรือก้อย อย่าคาดหวังครับ ผมเขียนไมได้เรื่องเหมือนเดิม
ขออภัยในตัวสะกดครับ


รูปภาพ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 9

Re: ความไม่แน่นอน ในมุมมองของ REFLEXIVITY

โพสต์ที่ 2

โพสต์

รูปภาพ My theory is the future is unpredictable , therefore I am not going to predict , it depends on how the authorities act and on how the market responds , The future is going to be determined as we go along ”

รูปภาพ ผมรับมือกับความเสี่ยงได้ดี มันเป็นส่วนหนึ่งของเกม ในช่วงสงคราม พ่อได้สินผมบทเรียนที่มีค่าอย่างมากอยู๋ 3 ข้ิอ คือ
1. เป้นการถูกต้องที่จะเสี่ยง พ่อบอกว่าไม่ว่าความเสี่ยงครั้งใด ๆ ล้วนมีค่าแห่งการเสี่ยง ถ้าอยากมีชีวิตรอดก็ต้องเสี่ยง ไม่ใช่หนีความเสี่ยง โลกนี้คือความเสี่ยง ต้องอยู่กับความเสี่ยง ไม่ทำอะไรก็เสี่ยงแล้ว
2. เวลาเสี่ยง อย่าทุ่มสุดตัว ถึงเสี่ยงก็อย่ามั่นใจ 100 % เพราะทุกอย่างไม่แน่นอนอย่างที่คิดเสมอไป ถ้าพลาดต้องเอาตัวรอดให้ได้ ไม่ใช่พลาดแล้ว ถึงทางตันทันที อย่าให้มีทางตัน ต้องมีช่องว่างไว้สำหรับทางหนีทีไล่เสมอ ต้องเสี่ยงอย่างมีทางออกเตรียมไว้เสมอ
3. ผมค่อนข้างกังวลกับความจำเป็นที่จะอยู่รอดให้ได้ แต่ผมไม่มีทางที่จะเสี่ยงแบบให้มันมีผลกระทบกลับมาทำลายตัวเองโดยเด็ดขาด



รูปภาพผมถูกสอนให้วิเคราะห์ตรรกะ ใครวิเคราะห์ตรรกะเหล่านั้นก็สามารถรวยได้ ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมคิดว่าโลกการเงินเป้นสิ่งที่ไร้ระเบียบ ถ้าสามารถวิเคราะห์ความไร้ระเบียบ เราก็สามารถรวยได้

รูปภาพ เขาพูดบ่อยนะครับ คิดจนเมื่อก่อนหัวยุ่งไปหมด จนตอนนี้ผมไมมีให้ยุ่ง เพราะหัวล้านแล้ว

รูปภาพ การเดิมพันในโลกการเงินล้วนไม่แน่นอน คุณต้องมีวินัย มองตลาดในเชิงปฏิบัติ และมีความเข้าใจปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อราคาหุ้น คุณต้องเข้าใจว่า ตลาดนั้นมีทั้งด้านที่มีเหตุผลและไม่มีเหตุผล และ ยังเข้าใจด้วยว่า คุณไม่ได้ถูกต้องตลอดเวลา แต่หากตัดสินใจถูกต้อง ต้องฉกฉวยประโยชน์จากโอกาสที่มีอย่างเต็มที่ และ จะต้องยอมรับความเสียหาย หากตัดสินใจผิดพลาด

รูปภาพ หัวใจของการลงทุน ต้องเอาตัวรอดให้ได้เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นอย่างเราคิด ถ้าคุณทำได้ไม่ดี ก้าวแรกคือต้องยอมตัดขาดทุน อย่าพยายามเอาทุนคืน เมื่อเริ่มใหม่ จงเริ่มทีละน้อย

รูปภาพ อนาคตเป็นสิ่งที่ทำนายไม่ได้ ความคิดใด ๆ ที่เกี่ยวกับอนาคตเป็นสิ่งที่มีอคติ ผมไม่ได้หมายความว่าความเชื่อและความจริงมีอยู่อย่างอิสระ ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่ผมได้บอกไว้ในทฤษฎีการสะท้อนกลับ คือ สิ่งที่ความเชื่อทำ คือ การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริง แต่การบิดเบือนสามารถแยกออกในสองทิศทาง ผู้มีส่วนร่วมไม่เพียงปฏิบัติอย่างมีอคติเท่านั้น แต่อคติของพวกเขายังมีอิทธิพลต่อวิถีทางของเหตุการณ์ด้วย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความประทับใจว่าพวกเขาสามารถคาดการณ์พัฒนาการในอนาคตได้อย่างถูกต้อง ซึ่งในความจริง ไม่ใช่ความคาดหวังในปัจจุบันที่ไปสอดคล้องกับสิ่งที่คาดหวังในอนาคต แต่เหตุการณ์ในอนาคตถูกกำหนดให้เกิดขึ้นไว้แล้วโดยความคาดหวังในปัจจุบัน


รูปภาพ การประเมิณว่านักลงทุนคิดอย่างไรในขณะนั้นถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อรู้ว่าตลาดคิดอย่างไรแล้ว มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะกระโดดไปอีกขั้นหนึ่ง นั่นคือ การเดิมพันกับสิ่งที่ไม่คาดหวัง เพื่อเดิมพันว่า วงจรแห่งการเติบโต / ตกต่ำ กำลังเกิดขึ้น

ความเป็นไปได้ของลำดับเหตุการณ์ของวงจรเติบโต/ตกต่ำ
1. มีโอกาสของแนวโน้มเพราะอคติบางอย่างในหุ้นตัวนั้น
2. มีการเริ่มต้นของกระบวนการที่ส่งเสริมอคตินั้นในตัวมันเอง
3. มีระบบตรวจสอบทิศทางของตลาดและหุ้นที่ประสบความสำเร็จ
4. การพิจารณาและวินิจฉัยที่มากขึ้น
5. ตรวจสอบ “ช่องว่าง” ของสิ่งที่เป็น กับ สิ่งที่ควรเป้น หรือ ความแตกต่างของการรับรู้ กับ ความจริงที่เกิดขึ้น
6. จุดอิ่มตัว
7. เริ่มต้นของการสะท้อนกลับในทิศทางตรงกันข้าม
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 9

Re: ความไม่แน่นอน ในมุมมองของ REFLEXIVITY

โพสต์ที่ 3

โพสต์

รูปภาพ คณิตศาสตร์ไมไ่ด้ควบคลุมโลกการเงิน มันถุกควบคลุมด้วยจิตวิทยาของสัญชาติญาณในการอยู่ร่วมกันเป็นฝูง

รูปภาพ การทำตัวเป็นฝ่ายตรงข้าม มีทักษะการคิด “invert” เป็นเคล้ดลับของผมที่สำคัญอย่างมาก

รูปภาพ โซรอสเป็นคนค่อนข้างซับซ้อนลึกลับ เป้นนักคิดที่ชัดเจนมาก มั่นใจตัวเองสูง นิ่ง ไม่หวั่นไหว ใจเย็น ปรสาทแข็งดั่งเหล็กกล้า ไม่มีทางรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เป้นนักจิตวิทยาที่เยี่ยมยอด อ่านใจคนเก่ง มักพูดในสิ่งที่ขัดแย้งกัน ความคิดเหมือนฟันเลื่อย เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง สร้างความวิงเวียนให้กับลูกน้องเป็นอย่างยิ่ง

รูปภาพ ผมไม่ได้สนใจเรื่องเงินตราเลย เพียงเล้กน้อยเท่านั้น ผมต้องการเป็นนักคิด ผมมีพรสวรรค์ในการหาเงินและเป็นเงินจำนวนมากด้วย ดูเหมือนว่ามันช่างงง่ายดายเหลือเกิน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงรู้สึกเฉยๆ กับเงินตรา ผมต้องการทำอะไรในชีวิตมากกว่าการสะสมความมั่งคั่ง



รูปภาพ
พ่อสอนผมว่าในช่วงเหตุการร์ไม่ปกติ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น แม้ว่ามันไม่ใช่สูตรที่อธิบายความอยู่รอดได้ทั้งหมด พ่อสอนผมว่า การแสวงหาวิธีที่ไม่ธรรมดาในการแก้ปัญหาให้ผลดีที่สุด
พ่อผมคืิอนักต่อสู้เพื่อความอยู่รอด และพ่อผมรักครอบครัวมาก เขาพาครอบครัวให้รอดชีวิต แต่เคล็ดลับการเอาตัวรอดคือ การไม่ทำตามคนอื่น ผมต้องลืมสิ่งที่เคยทำในยามปกติ เพราะสถานการณ์มันไม่ปกติ
สงครามได้สอนบทเรียนหนึี่งแก่ผมว่า…ทุกคนต่างมี ความเชื่อหรือความเข้าใจอยู่ก่อนแล้วในหัวของคนคนนั้น และความเชื่อที่พวกเขามีเหล่านั้น หรือ เขาเข้าใจเหล่านั้นมาจากประสบการณ์ มาจากความรู้ มาจากการสั่งสอน มาจากการเลี้ยงดูตั้งแต่เราเด็ก แต่ความจริงคือ ทุกอย่างที่พวกเขาเข้าใจไม่จำเป้นสอดคล้องกับโลกความจริงเสมอไป เรื่องนี้เพราะผมปลอมตัวใช้ชื่อปลอมว่า จานอส คิส แล้วผมรอดมาได้ เพราะพวกเขามีช่องว่างคั่นกลางระหว่างความเชื่อและความจริง มันคือช่้องว่างที่ผมแสวงหาตลอดเวลาเพื่อเอาชีวิตรอดและเพื่อทำเงิน


รูปภาพ การคิดแบบนี้เหมือนการคิดแบบ invert ผมคิดถึงลัทธิเต๋า


รูปภาพเมื่อสิ่งต่างๆ ดำเนินไปได้วยดีมาก ๆ แต่กลับกลายเป้นเลวร้ายในเวลาต่อมา คุณควรจะรู้ว่า ในระหว่างที่มันกำลังไปได้ด้วยดี มันก็มีแนวโน้มที่จะไปในทางตรงข้ามเช่นกัน สิ่งที่สำคัญคือ ต้องตะหนักไว้เสมอว่า การเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มเป้นสิ่งที่หลีกเหลี่ยงไม่ได้ ต้องมองหาจุดสะท้อนกลับไว้เสมอ


รูปภาพ อคติของนักลงทุนต่อหุ้นตัวหนึ่งไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบก็ตามเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาของมันขึ้นหรือลง


รูปภาพ
ลูกน้องพูดถึงนาย


โซรอสชอบถามว่าคิดอย่างไร เขามักยกเอาสถานการณ์บางอย่างขึ้นมา บางอย่างเกี่ยวตัวแปรในเศรษศาสตร์ การเมือง สังคม หรือ นโยบายของรัฐ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ ผมมเคยคาดคิดมาก่อนเลยว่ามันมีแนวโน้มที่จะเกิด แล้วเขาจะยิงคำถามไม่หยุดว่า จากสิ่งเร้าเหล่านั้น ผมจะตอบโต้สถานการณ์อย่างไร เขาฝึกให้พวกเราเตรียมการกับสิ่งต่างๆ ไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่ว่า พอเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วไปตัดสินใจเอาตรงนั้น ซึ่งมันมีแนวโน้มที่จะผิดอย่างมาก เพราะเราไม่ทัน นายอีกคนที่เป้นนายของเรามานานก่อนจะมาทำงานกับโซรอสซะอีก นั่นคือ นายที่เรียกว่า อคติ ที่กำหนดชีวิตและอารมณ์ของเรามานานแสนนาน บางคนมันกำหนดชีวิตเราจนตายด้วยซ้ำ แต่พวกเขายังไม่รู้เลย วัฒนธรรมในการทำงานอย่างนี้มีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้บริหารกองทุนป้องกันความเสี่ยง เขาสอนเสมอว่า พวกเราอาจกำหนดสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดไมได้ แต่พวกเราต้องกำหนดสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจเราเองให้ได้ การทำอย่างนี้ได้ ในการทำงานแต่ละวัน ผมต้องทำสิ่งหนึ่งทุกวัน บางครั้งเกิดในห้องน้ำ ระหว่างการขับรถ จินตนาการสร้างเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในวันนั้น ทั้งที่คาดหวังไว้ และ ไม่คาดหวัง และ ถ้าทางเลือกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นจริง ผมจะทำอย่างไร ถ้าผมผิดพลาดไปจากสิ่งที่ผมได้ลงทุนไป แล้วมันไม่เป็นไปอย่างที่คิด นายจะถามก่อนเลยว่า เห็นต่างไปจากเมื่อเช้าหรือไม่? ยิงคำถามให้ผมจับผิดการรับรู้ของตัวเอง การทบทวนความผิดพลาด ทำให้ผมตะหนักถึง อคติ ที่มีอยู่ในตนเองที่ไปกำหนดการรับรู้ของผม บางครั้งมันสนุกมากที่ผมได้เรียนรู้ตัวเองจากที่ไม่เคยทราบมาก่อน แต่บางครั้ง อคติ ตัวนั้นมันฝังในตัวเรามาทั้งชีวิต การยอมรับมันว่ายากแล้ว แต่การเอามันออกไปจากชีวิต มันทรมานจิตใจมาก เพราะ อคติมันคือตัวผม การละอคติ ก็คือ การละตัวตนของตัวเอง ศัตรูตัวสำคัญเลยทีเดียวครับ เขาสอนว่า เล่นถูกผิดไม่สำคัญ สำคัญที่กำไรเมื่อคุณคาดการณ์ตลาดได้ถูกต้อง และ จำนวนเงินที่ขาดทุนเมื่อตัดสินใจผิดพลาด โซรอสจะตำหนิติผมอย่างมาก ถ้าวางการเดิมพันถูกทางแล้ว แต่ไมได้ทุ่มลงไปให้เต็มที่

รูปภาพ คุณต้องแยกอารมณ์ความรู้สึกออกจากการตัดสินใจในตลาดเงิน แต่นั่นไร้เหตุผลที่คนจะปราศจากอารมณ์ความรู้สึก ดังนั้น คุณต้องยอมรับผิดพลาด นั่นคือสิ่งที่ผมทำอยู่เสมอ คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเกี่ยวกับความสามารถของผม ผมไมได้สนใจมันเลย ผมทำผิดพลาดเหมือนคนอื่น สิ่งที่ผมอาจทำต่างจากคนอื่น คือ ผมจดจำข้อผิดพลาดของตนเอง นั่นคือเคล็ดลับของผม การทำความเข้าใจกับความผิดพลาดที่มีอยู่ในการรับรู้ของมนุษย์นั่นเอง



รูปภาพ ในเมื่อสถานการณ์หนึ่งๆ ย่อมมีผู้ส่วนร่วมที่มีความรู้สึกนึกคิดอยู่ด้วย ดังรั้นประเด็นสำคัญจึงไมได้ถูกจำกัดด้วยข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการรับรู้ของผู้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ด้วย กระบวนการใด ๆ ล้วนมี อคติ ของคนเป้นการเสริมความแข็งแกร็งของกระบวนการเองให้มันดำเนินต่อไปได้ อคติ เป้นเหมือน เชื้อเพลิงขับเคลื่อนชีวิตคนให้ส่งเสริมในตัวตน อย่างไรก็ดี ณ เวลาหนึ่งในอนาคต ไม่ว่า ยาวหรือ สั้น อคติ อาจไม่สามารถรักษากระบวนการที่ว่านั้นได้ และ มันจะทวนกลับจากความคาดหวังของผู้มีส่วนร่วมในที่สุด นั่นละวงจรของการเติบโต แล้ว ก็วกกลับไปสู่การตกต่ำ ด้วยเหตุหลัก มาจาก อคติ ของคน

รูปภาพ บางคนเป็นทาส อคติ ของตัวเองแล้วไม่พอ ยังเป้นทาสของเงินอีกต่างหาก บางคนมีเงินมากเกินไป แต่ บางคนก็พยายามอย่างหนักเพื่อทำให้ตัวเองมีเงิน

รูปภาพ พฤติกรรมตามกระแสของคน หมายถึง จิตวิทยาในการอยู่ร่มกันเป้นฝูง คนเป็นสัตว์สังคม ธรรมชาติของคน ไม่ชอบแปลกแยกจากคนอื่น พวกเขาซื้อเมื่อเวลาขึ้น และ ขายเมื่อราคาลง ความไม่สมดุลนี้ทำให้ตลาดไม่เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ ไม่ว่ารายย่อยหรือ นักลงทุนสถาบันล้วนมีแนวโน้มของพฤติกรรมตามกระแส คำถามคือ อะไรเป็นตัวกำหนด พฤติกรรมอย่างนี้

รูปภาพ ผมเดาเอาว่า เป็น ช่องว่าง ระหว่าง สิงที่เป็น กับ สิ่งที่ควรเป็น ถ้าช่องนี้มันกว้างมาก ขนาดที่ผู้มีส่วนร่วมในตลาดตามไม่ทัน สมมุติว่า มีข้อมูลบางอย่าง ไม่ว่าเชิง technical หรือ Fundamental หรือ Fund Flow บทวิเคราะห์ต่างๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง สมมุติว่า ตลาดวันนั้น ทุกอย่างชี้ไปว่า ตลาดควรปรับขึ้น สิ่งที่ควรเป็นคือ ตลาดมันควรจะมีการขยับขึ้นบ้างหลังจากตกมาหลายวัน ทุกคนเข้าไปซื้อในตอนเช้า คนคลุมเกม เขาทำ SHORT ไว้ เขาไม่ยอมให้คุณทำตลาดขึ้นหรอก เขาอาจเป้นคนส่งสัญญาณว่าจังหวะซื้อมาถึงแล้ว เงินมาเต็มไปหมด เขายิ่ง SHORT เข้าไปอีก ตลาดลงไปอีก ความเชื่อของใครมากกว่ากัน ของรายใหญ่ไม่กี่ราย หรือ รายย่อยเป้นหมื่นคน คำตอบมีอยู่แล้ว สิ่งที่เป้น กับ สิ่งที่ควรเป้น มันเกิดช่องว่างอยู่แล้ว และในบางครั้งมีคนกำหนดให้ช่องว่างนี้มันแกว่งอย่างแรง ยิ่งแกว่งแรงเท่าใด ยิ่งพลิกตัวแรงเท่านั้น พอคนขายหนักๆ ให้เห็น ไปกันหมดเลยทีนี่ ตัดสินใจแห่ตามกันไปโดยไม่ไตร่ตรองว่า อคติทั้งนั้นที่ พาพวกเขาไป ซึ่งโซรอสก็เตือนแล้วว่า ในตลาด ไม่ใช่ความมีเหตุและผลที่เป้นกำหนดตลาด แต่เป็นความไม่มีเหตุและผลอย่างนี้ อคติ ของ แต่ะคน มันไม่มีเหตุผลหรอก แต่ที่บอกว่าความคิดของตนมีเหตุผลก็เพื่อตอยสนองต่ออคติของตัวเองทั้งนั้น เลี่ยงมันเอาไว้ในตัวเอง สร้างการรับรู้ที่ผิดพลาดไปจากความจริงอยู่แล้ว แต่ในตลาด อคติ มารวมกัน เป็นร้อย เป็นพันคน รวมกันอยู่ ณ จุดเดียว เวลาเดียวกัน อะไรที่คาดไม่ถึงมันก็เกิดได้ทั้งนั้น มันเป้นเรื่องที่คาดคิดได้ เพราะมันเกิดมาเป็นร้อยๆ ปี นิวตันก็บอกไว้แล้วว่าเขาทำนายความบ้าคลั่งของคนไม่ได้


ความเชื่อของนิวตัน : NEWTON PHYSICS

นิวตันเชื่อว่าสสารซึ่งมีองค์ประกอบที่เล็กที่สุดคืออะตอมได้สร้างจักรวาล สร้างดวงดาว สร้างอะไรต่างๆ ที่เคลื่อนไหวก่อให้เกิดแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อกันในกล่องใบใหญ่ซึ่งเป็นที่ว่างคือเทศะในจักรวาลอันว่างเปล่าใหญ่โตและขึ้นอยู่กับกาลเวลา อีกประเด็นหนึ่งที่ฟิสิกส์ดั้งเดิมของนิวตันเห็นขัดแย้งกับพระพุทธศาสนาก็คือเรื่องกาลเวลา นิวตันเชื่อว่ากาลเวลาเป็นเรื่องที่มีอยู่ในตัวของมันเอง แต่พระพุทธศาสนาถือว่ากาละหรือเวลา เป็นสิ่งที่เราคิดขึ้น ในพระอภิธรรมเราเรียกว่าบัญญัติ คือคนเราคิดขึ้นมาโดยที่กาลเวลาไม่ได้มีอยู่ในตัวมันเอง แต่นิวตันถือว่ากาละหรือเวลาเป็นความจริงอีกมิติหนึ่งมีอยู่จริง มวลสารของจักรวาลที่เรียกว่าอะตอมหรืออนุภาคที่เล็กที่สุดมารวมตัวกันเป็นสิ่งต่างๆ เช่นดวงดาวแล้วเคลื่อนไหวในเทศะหรือที่ว่างในอวกาศ ที่ว่างหรือเทศะนี้ก็เป็นความจริงอีกมิติหนึ่งเช่นเดียวกับกาละ สิ่งต่างๆในจักรวาลที่เคลื่อนไหวนั้นได้สร้างแรงที่กระทำต่อกันเรียกว่าแรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วง สิ่งทั้งหลายเคลื่อนไหวและมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันภายใต้กฎที่ชัดเจนแน่นอน เหมือนกับเครื่องจักรกลของนาฬิกาที่เดินอย่างเที่ยงตรงจนเราคาดเวลาล่วงหน้าได้ ในทำนองเดียวกัน ถ้าเรารู้ความสัมพันธ์ที่เป็นแบบแผนของสิ่งต่างๆว่าอะไรกระทำต่ออะไร ณ จุดไหนในจักรวาล เราก็สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่ไหนเมื่อไร

เพราะฉะนั้น ฟิสิกส์ดั้งเดิมของนิวตันจึงถือว่า ถ้าเรารู้เทศะคือจุดที่สสารตั้งอยู่ และรู้แรงทั้งหมดที่มากระทำต่อสสารนั้นๆในเวลานั้น เราก็จะสามารถพยากรณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ดังที่นักคณิตศาสตร์ฝรั่งเศสชื่อปิแอร์ ซีโมน ลาปลาซ (Pierre Simon Laplace)กล่าวอย่างมั่นใจว่า
“ในขณะใดขณะหนึ่งที่กำหนดให้ปัญญาซึ่งรู้แรงทุกแรงที่กระทำอยู่ในธรรมชาติ และรู้ตำแหน่งของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นโลก สมมติว่าปัญญาดังกล่าวนั้นกว้างขวางพอที่จะนำเอาข้อมูลเหล่านี้ไปวิเคราะห์ มันย่อมจะรวมสูตรการเคลื่อนที่ของก้อนวัตถุที่ใหญ่ที่สุดในจักรวาลและของอะตอมที่เล็กที่สุดเอาไว้ด้วย ไม่มีสิ่งที่ไม่แน่นอนสำหรับมัน และเช่นเดียวกับอดีต อนาคตจะปรากฏแก่สายตาของมัน”

ความเชื่อของโซรอส : ฟิสิกส์ควอนตัม

คำว่า Quantum เป็นภาษาลาตินแปลว่า “ขนาดไหน”หรือ “จำนวนเท่าไร”เป็นคำที่ใช้พูดถึงจำนวนหรือขนาดพลังงานของอะตอม คล้ายกับคำว่า Nano ซึ่งเป็นภาษากรีก แปลว่า “คนแคระ”เป็นคำที่ใช้วัดขนาดของสิ่งที่เล็กมากๆ เช่น อะตอม ดีเอ็นเอ ในนาโนเทคโนโลยี
ฟิสิกส์ควอนตัมเสนอภาพใหม่ของจักรวาลที่มีความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ความคิดที่ว่าจักรวาลมีความเป็นเหตุเป็นผลที่เราพยากรณ์ล่วงหน้าได้กลายเป็นความไม่แน่นอน

แนวคิดสำคัญประการหนึ่งของฟิสิกส์ควอนตัมก็คือหลักการที่ว่าด้วยความไม่แน่นอน (Uncertainty Principle) ในฟิสิกส์ดั้งเดิมของนิวตัน จักรวาลมีกฎระเบียบแน่นอนจนเราพยากรณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โลกนี้มีกฎธรรมชาติที่แน่นอน แต่ฟิสิกส์ควอนตันกลับเสนอว่าโลกนี้มีแต่ความไม่แน่นอน
ทฤษฎีเรื่องความไม่แน่นอนของฟิสิกส์ควอนตัมช่วยให้เราเข้าใจว่า เมื่อเราพยายามจะสังเกตความเร็วหรือธรรมชาติของอีเล็คตรอน เราก็จะต้องหยุดอีเล็คตรอนไม่ให้เคลื่อนที่ พออีเล็คตรอนหยุดมันก็จะเสียความเคลื่อนไหว ธรรมชาติของมันก็เปลี่ยนไป เราก็ศึกษาธรรมชาติของมันไม่ได้ นี่เรียกว่ามีผลกระทบจากผู้สังเกตต่อสิ่งที่ถูกสังเกต การสังเกตได้เข้าไปเปลี่ยนธรรมชาติของสิ่งที่ถูกสังเกต มันจึงมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น เมื่อเราไปเข้าสังเกตหรือศึกษามันเมื่อใด มันก็เปลี่ยนแปลงไปเมื่อนั้น

อะตอมถูกแบ่งย่อยออกไปเป็นองค์ประกอบที่เล็กกว่าซึ่งเป็นประจุไฟฟ้าที่วิ่งวนกันเองคืออีเล็คตรอน โปรตอนและนิวตรอน อะตอมจึงเป็นสนามพลังงานขนาดจิ๋ว องค์ประกอบย่อยของอะตอมนั้นบางครั้งก็เป็นอนุภาค(Particle)บางครั้งก็เป็นคลื่น (Wave) อีเล็คตรอนของอะตอมเคลื่อนที่รอบแกนกลางคือนิวเคลียสตลอดเวลา ขณะที่อีเล็คตรอนกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง อีเล็คตรอนปรากฎเป็นคลื่น ด้วยความเร็วระดับนั้น เราจึงไม่อาจกำหนดตำแหน่งที่ตั้งของอีเล็คตรอนนั้นในขณะใดขณะหนึ่งได้ ถ้าเราจะพยายามหาตำแหน่งที่ตั้งของมัน ก็ต้องจับให้อีเล็คตรอนหยุดนิ่งอยู่กับที่ซึ่งจะทำให้มันสูญเสียคุณสมบัติแห่งความเป็นคลื่น อีเล็คตรอนที่หยุดนิ่งจะกลายเป็นอนุภาคทันที ดังนั้น องค์ประกอบย่อยของอะตอมบางครั้งจึงเป็นอนุภาคบางครั้งก็เป็นคลื่น ความเป็นทั้งอนุภาคและทั้งคลื่นนี้แหละที่ทำให้เกิดสภาวะที่ไม่สามารถพยากรณ์ได้ (Unpredictable) ตราบใดที่อนุภาคของอะตอมยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง มันก็ปรากฎเป็นคลื่น เราไม่มีทางที่จะกำหนดคุณสมบัติที่แน่นอนของคลื่นนี้ได้ เมื่อเราพยายามหยุดมันไว้กับที่ มันก็สูญเสียคุณสมบัติของตัวมันเอง นอกจากนี้ วงโคจรของอนุภาครอบนิวเคลียสก็เปลี่ยนแปลงไปตามแรงที่กระทำต่อนิวเคลียส ดังนั้น พฤติกรรมขององค์ประกอบย่อยภายในโครงสร้างของอะตอมจึงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเพราะมันมีคุณสมบัติที่เรากำหนดไม่ได้และมีวงโคจรที่ไม่แน่นอน นี่คือหลักการแห่งความไม่แน่นอน (Uncertainty Principle)

CREDIT :พระพุทธศาสนากับฟิสิกส์ควอนตัม "ความเหมือนที่แตกต่าง"
http://watprayoon.org/index.php?topgrou ... groupid=89

รูปภาพ ความมีชื่อเสียงทำให้ผมนั่งสังเกตอยู่ภายนอก ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างมาก การมองสิ่งต่างๆ จากภายนอก คุณกำลังมองสิ่งนั้นด้วยกระบวนการเป็นวิทยาศาสตร์แบบนิวตัน คนมีความนึกคิด ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ

รูปภาพ มองด้วยสายตาแบบควอนตัม รู้อยู่แล้วว่า จับสิ่งใดให้หยุดนิ่ง สิ่งนั้นก็บิดเบือน เข้าใจตัวเอง เข้าใจคนอื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา เข่าเมืองตาหลิ่วก้หลิ่วตาตาม ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ไม่มีอะไรแน่นอน สิ่งนั้นมี สิ่งนั้นจึงเกิด เหมือน อิเลคตรอน โปรตอน นิวตรอน ที่วิ่งชนกันตลอดเวลา ถ้ามองสิ่งต่างๆ โดยเป็นผู้สังเกตจากภายนอก โอกาสผิดก็มีมากอย่างนั้นหรือ สิ่งที่เรามองเกิดได้เพราะมีสิ่งอื่นมาทำให้เกิด หรือว่า สิ่งที่เรามอง ไม่สามารถเกิดได้ด้วยตัวมันเอง A เกิดได้เพราะมีตัวอักษรตัวอื่น มันไม่ได้เกิดมาเป็น A ด้วยตัวมันเอง เมื่อทำความเข้าใจกับ A เราไม่สามารถรู้เหตุปัจจัยต่างๆ ได้ทั้งหมด
การทดลอง

ผู้มีส่วนร่วม : มองไม้ริมขอบสระว่าไม่เป็นระเบียบ
มองจากภายนอก มองอย่างผู้สังเกต อยากให้มันเป้นระเบียบ เห้นภาพตกลงไปแล้วทับปลาตาย นั่นคืออคติ คิดไปเอง ถ้าไม่ฝีกสมาธิเพื่อสร้างสติที่แข็งแรงจะจับ อคติ ตัวนี้ได้ไหม
ผู้มีส่วนร่วมมีผลต่อสิ่งที่ถูกมอง : กระบวนการตัดสินใจ
เอามือไปขยับให้ไม้เข้าที่ ผู้สังเกตมีผลกระทบต่อสิ่งที่ถูกสังเกต ความไม่แน่นอนอาจเกิดขึ้นในตอนนี้
เพราะว่าอะไร?
เพราะว่าผู้สังเกตไม่เข้าใจธรรมชาติของสิ่งที่ถูกสังเกตอย่างแท้จริง เมื่อสิ่งที่คาดหวังไว้ คือ ขยับไม้ แล้วไม้จะเข้าที่เข้าทางของมัน ไม่เสี่ยงต่อการตกลงไปทับปลา ความไม่แน่นอนจึงเกิดขึ้นตรงนั้น

เกิดความไม่แน่นอน เพราะอะไรครับ?

ความไม่แน่นอนเกิดขึ้น เพราะ ความแน่นอนที่เราสร้างไว้ด้วยตัวเราเอง

คิดเหมือนโซรอส : เขาคิดอย่างไร?

โซรอสคิดหักมุมว่าสิ่งที่เขาทำนั้น จะทำให้ปลาตายแทนที่จะข่วยชีวิตปลา
เพราะอะไร?
เพราะไม้มันขัดกันอยู่ การขยับไม้อันหนึ่ง จะทำให้ไม้อีกอันล่นลงไปในน้ำ
ไม้ที่ไม่เป็นระเบียบ ไมได้ล่น แต่ไม้ที่ล่นคือ ไม้ที่เป็นระเบียบ
สิ่งที่เป็นระเบียบ คือ ต้นตอของความไม่มีระเบียบ

รูปภาพ การประสบความสำเร็จ คุณต้องมีเวลาเป้นของตนเอง

รูปภาพ แบบที่โซรอสอนลูกน้อง นั่งจินตนาการโดยจับตัวเองใส่ลงไปในสถานการณ์ต่างๆ ลองจินตนาการไปล่วงหน้า เอาตัวเองทำการทดลอง สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง กับความคิด กับอารมณ์ที่เกิดขึ้น นั่นคิดแบบควอนตัมเลย เข้าไปข้างในตัวเอง ถ้าแผนไว้โดยที่ไม่ได้นึกว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว จะตอบสนองอย่างไร นั่นยังไม่เข้าไปข้างใน โซรอสหยิบยืมความคิดของควอนตัมฟิสิกส์ไปใช้ในแบบฉบับของเขาเองในการลงทุนได้อย่างดีเลิศ แล้วเขาเรียกกระบวนการอย่างนี้ว่า Invest first, investigate later
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 9

Re: ความไม่แน่นอน ในมุมมองของ REFLEXIVITY

โพสต์ที่ 4

โพสต์

จาก QUANTUM มาถึง INVERST FIRST INVESTIGATE LATER

รูปภาพ ผมมีหลักของผมที่เรียกว่า Invest first, investigate later ผมได้ฝึกทักษะนี้มาอย่างยาวนาน และผ่านการทดสอบการฝึกฝนในการเอาตัวรอดจนถึงระดับสูงสุด หากสถานการณ์ไม่เป็นอย่างที่คุณคาดหวัง สิ่งหนึ่งที่ยากที่สุดคือ การพิจจารณาว่าความเสี่ยงระดับไหนที่ปลอดภัย ไม่มี่ปรัชญาการลงทุนใดที่ครอบจักรวาล หลักการคร่าวๆ คือ สร้างสมมุติฐานขั้นมา แล้ว Invest first, investigate later ลงทุนทีละน้อย คอยดูว่าสมมุติฐานของเราถุกหรือผิด บางทีก็สร้างสัมผัสขึ้นมา ขายก่อนแล้วค่อยซื้อ ถ้ามีคนรับมาก ผมถึงจะซื้อ คือ ซื้อไปแล้ว มีคนมารอซื้อต่อแน่ๆ การสร้างสัมผัสความรูสึกเกี่ยวตลาดขึ้นมานั้น ทำต่อเมื่อ ไม่แน่ใจเท่านั้น ถ้าอยากซื้อ ผมจะขายก่อน ถ้าอยากขาย ผมจะซื้อก่อน ที่สำคัญ ต้องแยกอารมณ์และความรูสีกของตนออกจากตลาดให้ได้
ไม่ปล่อยให้ตันหาต่างๆ เข้ามาปน ไม่ปล่อยให้อัตตามาปะปนกับการตัดสินใจทางการลงทุนอย่างเด็ดขาด การที่ปราศจากอารมณ์ความรูสึกในการลงทุนนั้น ต้องอาสัยความมีวินัยอย่างมาก ต้องอาสัยความมั่นใจในตัวเองอย่างมากด้วยครับ
อีกทั้งต้องเข้าใจว่าตลาดมีทั้งด้านที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผล และยังต้องยอมรับด้วยว่า เราไม่สามารถตัดสินใจได้ถุกต้องตลอดเวลา หากมีโอกาส ต้องฉกฉวยให้เต็มที่ หากผิดพลาด ก็ยอมรับผิด สำคัญที่ต้องรูว่าเมื่อผิดแล้ว ต้องทำอย่างไรให้อยู่รอด

การสร้างสัมผัสความรูสึกเกี่ยวตลาดขึ้นมา คือ หลักการมองจากภายใน แนวคิดที่ได้รับอิทธิพลจาก ควอนตัมฟิสิกส์ แนวคิดเรื่อง INVEST FIRST นี้มีความเป็นตรรกะในความไร้ตรรกะ อย่างไรหรือครับ?
เหตุผลที่ต้องมีสมมุติฐาน มันทำให้ให้เรามีกลยุทธ์ที่ดูว่าเราจะไปถึงเป้าหมายได้อย่างไร การตั้งสมมุติฐานมันเป็นคิดแบบ invert ซึ่งผมมองว่ามันจำเป็นต่อการคิดแบบ rflxvty เพราะเราต้อง invert สิ่งที่อีกปลายของเชื่อก แต่มันต้องมีวินัยตลอด มันเกี่ยวพันกันหมด มันต้องมี MOS ทางหนีทีไล่ มันต้องมี invest first ถ้ามันไม่มี ถ้ามันเป็นไปอย่างทีเราคิดจริงๆ ท่านเสียโอกาสไปแล้ว ความรู้สึกมันต่างกันแบบเทียบไมได้ คนที่มองหุ้น แล้วทำนายไว้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่ซื้อ มันต่างกันมาก กับคนที่ทำนายแล้วซื้อ

จาก INVEST FIRST INVESTIGATE LATER มาถึง INVERT ALWAYS INVERT

สมุติผมมีแค่ 1 เราตั้งเป้าไว้แค่ 5 เราจินตนาการในสิ่งที่แตกต่างออกไป ไม่ต้องสนใจว่าตรรกะเป็นอย่างไร ตั้งเป้าหมายขึ้นมา เรายกเป้าหมายให้มันยากขึ้นได้ คราวนี้ผมบอกว่า 5 น้อยไป ยกไประดับ 10 เลย มันมีตรรกะในนั้นด้วย ถ้าเรามุ่งไปที่ 10 แล้วความคิดที่ระดับ 5 มันน้อยไปเลย ถ้าทำได้ 6 หรือ 7 อย่างนี้มากกว่า 5 อีก เพราะตั้งเป้าไปที่ 10 แต่ถ้าทำไม่ได้ พอร์ตเรายังอยู่เกิน 5 อยู่ดี แต่นั่นไม่สำคัญเลยครับ ที่สำคัญคือ มันทำให้เราเข้าใจความผิดพลาดที่เกิดขึ้นว่าทำไมไม่เป็นอย่างที่คิด ตรงนี้ต่างหากครับที่สำคัญอย่างมาก เป้าหมายที่เกินจริงเป็นเรื่องรองไปเลย คนอื่นบอกให้เราตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกับความเป้นจริง ผมว่า เรามองที่ดวงจันทร์เลยดีกว่า มันเป็นเรื่องจินตนาการ ไม่ใช่เรื่องของตรรกะ ถ้าจินตนการมาก่อน ตรรกะมันตามมาก็ได้ มันขึ้นอยู่กับว่าเรา UPDATE ตัวเองขนาดไหน ตั้งเป้าหมายทีไม่สมจริงอย่างเหลื่อเชื่อ แล้ว invert คิดกลับมาในเชิงปฎิบัติว่าเราต้องทำอย่างไรบ้างถึงจะไปจุดนั้น ถ้าเราบอกตัวเองอย่างนั้น เราต้องเปลี่ยนตัวเองหมด ต้องนั่งดูข้อมูลต่างๆ ตั้งแต่ 6 โมงถึง 4 ทุ่มทุกวัน พอตี 3 ต้องตืนขึ้นมานั่งซ้อมในหัวว่าเราจะเทรดอย่างไร ถ้าต้องการให้ถึงระดับที่เราต้องไปถึง มันต้องเปลี่ยนตัวเอง เกมมันยกระดับขึ้น เราพัฒนา ยกระดับตัวเองไปอีกขั้นด้วย

เราฝึกซ้อมในหัวบ่อยๆ ซ้อม INVERT จนเราไม่กลัว ไม่ติ่นเต้นที่จะเทรดหุ้น ใจมันนิ่งเพราะซ้อมในหัวทุกวันอยู่แล้ว ผมคิดเรื่องกาการเทรดทุกเช้าก่อนที่ผมจะเทรดจริง ผมเทรดในหัว เทรดจนสมองมันจำได้ ถ้ามาอย่างเราทำอย่างนั้น เราคิแตรียมแผนไว้หมด เรื่องนี้โลกการลงทุนเขาเรียว่าเป้น decision tree ผมเรียกว่า การจิจนาการซ้อมในหัว ซ้อมจนมันเคยชิน ซ้อมจนเห้นภาพทุกอย่างถ้ามัน มี a แล้วถ้ามันตามด้วย b โอกาสที่จะเกิด c มีแน่ ถ้ามันเกิดจริง มันต้องควบคลุมแรงเต้นหัวใจให้ได้ ผมใส่นาลิกาตรวจวัดแรงเต้นหัวใจตลอด ผมทำได้ไม่ตลอด แต่ถ้าเรากำหนดลมหายใจ มีสติให้มากที่สุด ตัดอารมร์ออกให้มากที่สุด ผมว่าผมทำได้ดีในระดับที่แรงเต้นกลับยไปที่ 50 ได้ เมื่อนั้นผมว่าโอเค เราพร้อมที่จะเข้าไปแข่งขันในเกมการลงทุนนี้ ถ้าแรงเต้นมันไมjได้ มองทุกอย่างให้มันเป็นเรื่องตลก ผมว่ามันช่วยได้ มันทำให้แรงเต้นลดลงได้ทันที เรื่องอย่างนี้ท่านต้องลองกับตัวเอง แล้วหาให้ได้ว่าเรื่องไหนที่ทำท่านนิ่ง ได้ คนเรามันไม่เหมิอนกัน ถ้าเราเทรดในหัวจนชำนายได้ ผมพร้อมที่จะเทรดในเกมการแข่งขันจริงแล้ว เกมมันชนะกันตั้งแต่ก่อนที่เราจะเทรดแล้วครับ เหมือนที่ซุนวูบอก สงครามชนะแพ้ ร็ตั้งแต่ก่อนรบ ผมว่านั่นเป้นปรัชญาที่สุดยอดมาก แล้วเราเห็นคนที่เก่งๆ ทั้งหลายในทุกเอามาใช้ให้เกิดผลที่มหัศจรรย์อย่างมาก ผมนึกถึงคุณสมจิตร จงจอหอ เขาบอกว่าก่อนชกทุกครั้ง “ผมจะจินตนาการถึงหน้าคู่ต่อสู้ว่าเขาทำอย่างไรบ้างผมเวที เราจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไร โดยการนอนหลับตาคิดถึงภาพการแข่งขันที่เราวาดไว้ ”


บทส่งท้าย

“ Financial markets are such a good laboratory for testing your ideas.” George Soros

รูปภาพ ตัวเรานี่ละห้องทดลองที่ดีที่สุดในการเข้าใจสิ่งที่ไม่แน่นอน

ผมว่านะครับ ความไม่แน่นอนอยู่ที่ตัวเรานี่เอง


ผมเริ่มความคิดอย่างนี้

สิ่งไหนที่คิดว่า แน่นอน ทำให้มัน ไม่แน่นอน ด้วยการมองจาก ภายนอก
สิ่งไหนที่คิดว่า ไม่แน่นอน ทำให้มัน แน่นอน โดยมองจาก ภายใน
หน้าที่ของเรา คือ มอง หรือ เรียกว่า วิปัสสนา
พระพุทธเจ้าท่านมอบไว้กับชาวพุทธตั้งเป็นพันปีแล้วนะครับ
จาก QUANTUM มาถึงสิ่งที่โซรอสเอาไปปรับใช้ในการลงทุน คราวนี้ของลองเอาไปปรับใช้กับตัวเอง ไม่ทราบว่า ผิดถูกประการใด ผมอาจผิดนะครับ เมือ่เรามองจากภายนอก อาจเกิดความไม่แน่นอน เวลามองตลาด เวลามองสิ่งรอบตัว จึงต้องมองจากภายใน แต่เวลามองตัวเอง ต้องมองกลับกัน ต้องมองจากภายนอก ผมไปอ่าน งานของท่านอาจารย์มัวซึโอ๊ะ ปีใหม่ได้ไปกราบท่านที่วัดเอา ได้วิชาแล้ว มาอ่านงานของโซรอสอีกครั้ง ไปลองในการทดลองกับตัวเอง มองโกรธจากภายนอก ผมมีความโกรธเยอะมาก คนที่ทำกับผมไว้ เพราะสิ่งเร้ามี จนมันโกรธแบบถาวร ไม่ให้อภัยมันอย่างเด็ดขาด ลองเอาขึ้นเขียง ทำให้มันไม่ถาวร มันไม่ดี เอาไว้ทำไม โดยการมองมัน จับมาทดลอง ลองใส่จินตนาการเข้าไป ถ้ามีคนทำกับเราอย่างรี้ มองที่โกรธจากภายนอก แล้วถามว่า จะรับมือกับอารมณ์โกรธอย่าวไรบ้าง ผมว่ามันเริ่มเปลี่ยน นาน ๆเข้า ฝึกหนัก ๆเข้า จินตนาการเข้าไปหนักๆ เริ่มโกรธบ้าง ไม่โกรธบ้าง เริ่มโกรธแบบไม่แน่นอน เพราะการ มอง เปบี่ยน ตัวเอง ให้มีสถานะ กลายเป็นคนที่ถูกมอง เราเข้าใจ พฤติกรรมบางอย่างเปลี่ยน จากที่เริ่มมองสิ่งต่างๆ จากภายนอก ก็มองแบบภายใน เอาใจเขามาใส่ใจเรา จากที่ชอบมองตัวเองจากภายใน เคยมองแบบไม่เคยเอาตัวเองไปใส่ในสถานการนั้น ก็เริ่มมองตัวเองจากภายนอก การถูกสังเกตุ บางทีอาจเปลี่ยนชะตาชีวิตของคนเราก็ได้ครับ

วิปัสสนาความโกรธ
ความโกรธเกิดขึ้นเพราะปัจจัย ว่าไปอีกว่า ความโกรธมันคงเหมือนอะตอม
จากที่คิดไว้แต่แรก จะเอาปรัชญาพุทธมาเข้าใจควอนตัมฟิสิก ตอนนี้ควอนตัมฟิสิกช่วยให้เข้าใจแนวทางพุทธ ความสัมพันธ์เกิดขึ้นในกระบวนเขียนด้วยตัวมันเอง ผมไม่แน่ใจ ผมเข้าใจผิดไปหรือปล่าว ผมเองไม่แน่ใจเหมือนกัน
เริ่มใหม่ อะตอม ประกอบด้วย อิเคตรอน โปรตอน นิวตรอน
อนุภาคสามตัววิ่งชนกันไปอย่างไม่มีระเบียบ จนเกิดความมีระเบียบที่เรียกว่า อะตอม
ความโกรธมีระเบียบ เพราะเกิดจากหลายปัจจัยหลายอย่างที่วิ่งชนกันอย่างไม่มีระเบียบ
จับปัจจัยเหานั้น อ้า เป้นเห่าไปแล้ว หรือว่าปัจจัยมันเห่าได้ คิดอีกที มันเห่าได้จริงๆ ละครับ มาเห่าในใจคน แต่เราไม่เคยยอมรับ เอาใหม่นะครับ จับปัจจัยเหล่านั้ยมา วิปัสสนา ความโกรธเปลี่ยน ที่เห้นว่าถูกต้องก็กลายเป็นไม่ถูกต้อง ที่เห็นว่าไม่ถุกต้องก็กลายเป็นถูกต้อง ความโกรธไม่แน่นอนซะแล้ว กลับกายเป็นธรรมชาติของมัน อย่างนั้นถูกแล้ว อย่างที่ทางพุทธสอนไว้แล้ว มันไม่มีอะไรแน่นอน
ยอมรับหรือยัง เรื่อง ความไม่แน่นอน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เราอยู่อย่างไรในโลกที่ไม่มีความแน่นอน

ยากนะครับ ยากเพราะเราถูกสอนกันมาในแนวทางที่ศาสตร์ต่างๆ ต้องการหาความแน่นอนในชีวิต เลข ฟิสิก เคมี ชีวะ ข้อใดต่อไปนี้ถุกต้อง ข้อใดต่อไปนี้ผิด ครูไมได้สอนว่ามันถูกเพราะตอนนั้นมันตั้งอยู๋บนสถานการณ์บางอย่าง ถ้าสถานการณ์เปลี่ยน คำตอบมันก็เปลี่ยน สมัยก่อนห้าร้อยกว่าปี โลกมีแต่ความแน่นอน โลกฝากไว้กับศาสนจักร พอโรคระบาดทั่วยุโรป การพลิกโลกจึงเกิดขึ้น คนศึกษาหาความจริงอย่างมุ่งมั่น ความรู้ต่างๆ เกิดขึ้นเพื่อหาความแน่นอนในชีวิต
จากความแน่นอนผ่านไปห้าร้อยปี กลับไปยุคเดิมอีกแล้ว
แต่เป็นยุดที่ความแน่นอนทำให้เกิดความไม่แน่นอน
ความรู้ต่างๆ ที่ถุกสร้างขึ้นมาเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน สุดท้ายอีกห้าร้อยปีต่อมา ตัวความรู้นั้นเองวที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอนมากกว่าโรคระบาดเสียอีก
นั้นมันเป็นความสัมพันธ์แบบสะท้อนกลับที่ใช้เวลานานนนนนนมาก

ผมว่า เราเสพติด ความแน่นอน กันเกินขนาดแล้ว

จำนิวตันได้ไหมครับ ประมาณว่า ถ้ารู้ปัจจัยที่กระทำต่อสิ่งต่างๆ เราก็สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดอะไร อย่างไรที่ไหน อยู่ภายใต้ความเชื่อว่าทำให้เกิดความแน่นอนได้ สิ่งต่างๆ ที่ขายกันออกมา ล้วนต้องการตอบสนองความต้องการของคน ด้วยการลบความไม่แน่นอนออกจากชีวิตของลุกค้า ไม่มีสิ่งที่ไม่แน่นอนสำหรับสินค้าอันนี้ อนาคตจะปรากฏต่อสายตาของท่านมากขึ้นเมื่อใช้สินค้าเราแป้วววววว
ผมว่า เทคโนโลยีมันไมได้ทำให้เกิดความแน่นอน แต่มันกดเอาความไม่แน่นอนเอาไว้ พอมันกดไม่อยู่ ความจริงก็ออกมา ก็แป้วววววว ไม่ยอมรับมัน
วิทยาศาสตร์บอกอดีต ทำน่ายอนาคต เกิดการป้องกัน สิ่งนั้นเกิดภายใต้การควบคลุมให้เกิดความแน่นอน คนสามารถคลุมตัวแปรต่างๆ โดยใช้เทคโนโลยี คนสามารถทำให้อนาคตที่จะมาถึงให้มันเกิดความแน่นอนด้วยการไปหาหมอดู
ทำไมดวงดาวเหล่านั้นถึงสนใจเรานัก มันห่างไกลเป็นล้านปีแสง ยังมาสนใจเราได้ มันหมุนรอบตัวเราแน่ๆ หรือ ว่าตัวเรานี่สำคัญนัก มันต้องมาสนใจด้วยว่า ถ้ามันทำมุมกันอย่างนั้น เราจะมีพฤฆติกรรมเปลี่ยนไป หรือ ว่า ดวงดาวพวกนั้น กำลัง กำลัง INVEST FIRST INVESIGATE LATER กับตัวเราอยู๋

รูปภาพ ชะตาชีวิตเป้นอย่างไร ขึ้นอยู่กับ “อคติ” ของผมเอง มันกำหนดชะตาชีวิตของผม ชีวิตผมจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับอคติที่ฝังอยู๋ในหัว

รูปภาพ เราถูกสอนให้เชื่อกฎแห่งกรรม แต่ความเข้าใจไม่้เป็นอย่างที่คิดไปหมด เพราะเราได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมที่พวกเราเป็นส่วนหนึ่งและหลีกเหลียงไม่ได้ด้วย ผมว่ามันมีอยู่จริงถ้าไปยอมรับอย่างนั้น ถ้าไม่ยอมรับ มันก็ไม่มี อิสรภาพทางใจของนักพนันต่างหากที่สำคัญ เขาเอาทฤษฎีที่เชื่อว่าคนเป้นผลจากปัจจัยทางสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขต่างๆ อีกมากมาย เป้นอย่างนั้นจริงหรือ ผมมองในมุมมองของนักลงทุนเน้นภาพสะท้อนที่แท้จริง ผมไม่เชื่อว่าคนเป็นผลจากลักษณะทางสังคมวิทยา ชีววิทยา หรือ จิตวิทยา อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรืองบังเอิญ คนไม่ได้เป็น “เชลย” ของสภาพแวดล้อม เราไม่ได้ถูก “กักกัน” และสามารถหนีจากอิทธิพลต่างๆ รอบตัวได้เมื่อเราต้องการเสมอ ถึงเขาตัดอิสรภาพอย่างอื่นไปหมด แต่เรายังมีอิสรภาพทางใจอยู๋ เป้นอิสรภาพที่จะเลือก “ทัศนคติ” ที่เรามีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง….สิ่งที่เราต้องเลือกมีตลอดทั้งวัน ทุก ชม…ทุกนาที…..แล้วแต่โอกาสจะมาแบบไหน ซึ่งโอกาสเหล่านี้อาจเป็นตัวกำหนดว่าเราจะก้มหัวให้กับ “อคติ” ของตัวเองมากแค่ไหน สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นจะกระตุ้น “อคติ” ของคนเราออกมาได้ง่ายขึ้น….เราจะกลายเป็น “ของเล่น” ของ “อคติ” ในตัวของเราเอง ยอมละทิ้งความถุกต้องและมีเหตุและผล ยอมให้ “อคติ” หลอมกลืนเราจนมีพฤติกรรมแบบเดียวกับ “เชลยนักลงทุน” ที่พบเห้นกันทั้วๆ ไปหรือไม่…..เรามีบุคคลิกอย่างไรเป้นผลมาจากการตัดสินใจภายในจิตใจของคนคนนั้น หาใช่เปนผลมาจากสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียวเลย อิสรภาพทางใจของคนเรา เป้นสิ่งที่ใครไม่สามารถพรากไปจากเราได้
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 9

Re: ความไม่แน่นอน ในมุมมองของ REFLEXIVITY

โพสต์ที่ 5

โพสต์

สุดท้าย

มีเรื่องที่อยากเขียนอีกเยอะเลยครับ โดยเฉพาะ……

รูปภาพ แม้จะเกิดมายากจนก็ตามที แต่ผมไม่ยอมตายอย่างยากจนเด็ดขาด

รูปภาพ ป้ายนี้แรงจูงใจที่เยี่ยมยอดเสมอ ป้ายนี้ต้องทำติดไว้ที่โต๊ะทำงาน บวกกับสิ่งที่วิคเตอร์ แฟรงเกิลบอกไว้ว่า “จงใช้ชีวิตเหมือนเรากำลังใช้มันเป็นครั้งที่สอง”

รูปภาพ วิชาเศรษศาสตร์ที่ผมเรียนมีความบิดเบือนจากความจริงอย่างมาก เพราะเขาแยกตัวออกมาจากสิ่งที่ถูกสังเกต พยายามทำให้เหมือนวิทยาศาสตร์ แต่ความจริงเศรษศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวกับสังคมศาสตร์และคนที่สังเกตไม่อาจแยกตัวเองออกจากสิ่งที่ทดลองได้

รูปภาพ นั่นคือเหตุผลที่ผมต้อง invert ตัวเองในสิ่งที่กำลังคิด กำลังพุด กำลังทำ ในขณะเดียวกันก็ invert คนอื่นไปด้วย
สิ่งที่ต้องทำ ; อ่านหนังสือ InFluence ทุกวัน
ผมคิดถึง Charlie Munger เพราะท่านชอบพูดเสมอว่า ” Always Invert” แต่ท่านบอกว่าท่านยืมมาจากนักคณิตศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลกที่ชื่อ Jacobi อีกที ท่านเป็นนักคณิตศาสตร์ที่เก่งมากที่สุดของโลกท่านหนึ่ง มีคนไปถามท่านว่าท่านมีเคล้ดลับอย่างไรในการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ยาก ๆ ท่านก็เลยบอกว่า ” invert always invert “
ผมเอาเคล็ดลับนั้นมาปรัับใช้กับกฎธรรมะอยู๋ที่ 50/50 ของท่านอาจารย์มิตซูโอ๊ะ คเวสโก จะว่าไปหลักการของท่านก็เหมือนหลักการของคนยิว มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ว่าคนยิวกับคนญี่ปุ่นนั้นมีความผุกพันธ์กันตั้งแต่สมัย 1000 กว่าปีที่แล้ว มีข้อพิสูจน์ที่แน่ชัดหลายอย่างครับ

รูปภาพ ผมถูกสอนให้วิเคราะห์ตรรกะ ใครวิเคราะห์ตรรกะเหล่านั้นก็สามารถรวยได้ ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมคิดว่าโลกการเงินเป้นสิ่งที่ไร้ระเบียบ ถ้าสามารถวิเคราะห์ความไร้ระเบียบ เราก็สามารถรวยได้

รูปภาพ ผมคิดว่าสิ่งที่ไร้ระเบียบเกิดตลอดเวลาเพราะอคติของคน ผมต้องฝึกฝนให้จับอคติของตัวเองอย่างเอาจริงเอาจัง ก่อนที่จะไปจับอคติของคนอื่น
ปีที่แล้วผมเริ่มขบวนการ invert ตัวเองและจดบันทึกต่างๆ ที่เกี่ยวสิ่งที่ทำในแต่วันมานั่งดูช่วงเย็นแล้วหาขั้นตอนในการตรวจสอบตนเอง ทบทวนสิ่งต่างๆ และประเมินตัวเองอย่าไม่เกรงใจ และถามตัวเองว่า “ผมได้ทำผิดพลาดอะไรไปบ้าง” แต่ผมก็ยังพลาดอีกจนได้ อคติมีมากมายให้เราค้นหาและได้เรียนรู้จากประสบการณ์นั้นๆ การทบทวน “อคติ” ในแต่วันทำให้ผมมีความรูสึกที่แย่มาก แต่บ่อยครั้ง อคติ เหล่านั้นทำให้ผมประหลาดใจอย่างมากว่าเรามี อคติ ตัวนี้ ฝังในตัวเราอยู่ด้วยหรือนี่? แน่นอนว่าผ่านไปหลายปี ความผิดพลาดย่อมน้อยลง บางครั้งผมโน้มเอียงเพื่อปลอบใจตัวเองภายหลังมีการตรวจสอบ “อคติ” ของตัวเอง การวิเคราะห์ตัวเองอย่างปีแล้วปีเหล่าเป็นวิธีการพัฒนาตัวเองที่ได้ผลกว่าวิธี อื่นๆ ที่ผมเคยพยายามใช้มาก่อนทั้งหมด
ผมได้จดลงหัวข้อต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้ไว้ใช้กับตัวเอง
1. เราต้องมีความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจับผิดตัวเอง
2. ขณะทำทุกอย่างให้ถามตัวเองเรื่อยๆ ว่า เราทำสิ่งนั้นอยู่ด้วย อคติ หรือไม่
3. จดและขีดเส้นใต้ อคติ ที่สำคัญเอาไว้
4. อ่านทบทวนข้อผิดพลาดของตัวเองในแต่ละวัน
5. พัฒนาเทคนิคและนำวิธี invert อคติไปใช้ทุกครั้งเมือมีโอกาส ใช้เนือหา “อคติ” ของท่านสามสลึงทีผมจดมาในกระทู้นี้เพื่อช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดในชีวิตประจำวัน ของเรา
6. ทำให้การนั่งจับ อคติ เป้นเรื่องที่สนุก โดยการเสนอเงินให้ตัวเองอาจเป็น 100 บาท หรือ ตามที่กำหนด ทุกครั้งที่เราจับได้ว่า อคติ ของเราตัวไหนทำให้เราต้องละเมิดสติของเราและจับอคติตัวนั้นไม่ได้
7. ตรวจสอบทุกอาทิตย์ ถามตัวเองอะไรผิดพลาดไป อะไรที่ต้องปรับปรุง เรียนอะไรไปบ้าง
8. คอยเก็บบันทึกไว้ติดตัว เพื่อให้เห้นว่าเราจะนำวิธี invert อคติเหล่านั้นที่เราคิดได้ ไปใช้เมื่อไหร่และอย่างไรได้บ้าง


.รูปภาพ คณิตศาสตร์ไมไ่ด้ควบคลุมโลกการเงิน มันถุกควบคลุมด้วยจิตวิทยาของสัญชาติญาณในการอยู่ร่วมกันเป็นฝูง
รูปภาพ สิ่งที่ต้องทำ ; มองหา CRITICAL MASS ทุกวัน มันเกิดขึ้นในตลาดหุ้นทุกวันอยู่แล้ว แต่ข้างนอกก็เกิดได้เหมือนกัน และมันเกิิดเพราะสิ่งที่เรียกว่า “อคติ” ของคน



รูปภาพ สงครามได้สอนบทเรียนหนึี่งแก่ผมว่า…ทุกคนต่างมี ความเชื่อหรือความเข้าใจอยู่ก่อนแล้วในหัวของคนคนนั้น และความเชื่อที่พวกเขามีเหล่านั้น หรือ เขาเข้าใจเหล่านั้นมาจากประสบการณ์ มาจากความรู้ มาจากการสั่งสอน มาจากการเลี้ยงดูตั้งแต่เราเด็ก แต่ความจริงคือ ทุกอย่างที่พวกเขาเข้าใจไม่จำเป้นสอดคล้องกับโลกความจริงเสมอไป เรื่องนี้เพราะผมปลอมตัวใช้ชื่อปลอมว่า จานอส คิส แล้วผมรอดมาได้ เพราะพวกเขามีช่องว่างคั่นกลางระหว่างความเชื่อและความจริง มันคือช่้องว่างที่ผมแสวงหาตลอดเวลาเพื่อเอาชีวิตรอดและเพื่อทำเงิน

รูปภาพ ช่องว่างนี้ เขาเอามาร้อยเรียงเป็นทฤษฎีภาพสะท้อนซึ่งมันเกี่ยวกับสิ่งที่คนเรามีข้อบกพร่องและความบิดเบือนนี้อาจมีผลต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่อยู๋รอบตัวเราจนเกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า critical mass ซึ่งในชีวิตจริงก็มีช่องว่างนี้ทุกวัน และมีในโลกการเงินทุกวัน ดร.แฟรงเกิลเรียกช่องว่างนี้ว่า “สูญญากาศแห่งการดำรงอยู่”

รูปภาพ

สุดท้าย ของ สุด ท้าย

เมื่อโอกาสผ่านมา เราเลือกตัดสินใจอย่างไรได้ตลอดเวลา ถ้าเราเลือกที่จะเก็บโอกาสอย่างนั้นให้เป็นความทรงจำของเรา ทำให้โอกาสกลายเป็นความจริง และเก็บไว้ในอดีต ไม่ว่าเป็นความจำที่ดีหรือ ร้าย อย่างน้อย ผมเลือกที่จะตัดินใจบางอย่าง ไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านไปโดยปราศจากความหมาย ถ้าผิดก็ตัดสินใจทิ้ง ถ้าถุกก็คอืกำไร ทั้งที่เป้นตัวเงิน และกำไรชีวิต คนเราต้องกล้าเลือกว่าควรจะทำให้ความเป้นไปได้นั้นมันกลายเป็นความจริงขึ้น มาและอยู่กับเราตลอดกาล ถ้าไม่กล้าตัดสินใจ เพราะกลัวการขาดทุน หรือเพราะอคติบางอย่างที่มารั้งเราเอาไว้ ซี่งผมเชื่ออย่างมากว่า เราลงทุนกันทุกคนมีอะไรบางอย่างมาทำให้ขาดทุน ไม่ใช่วิธีของเราในการลงทุน แต่เป็นอคตืที่อยู่เบื้องหลังของทุกคน เรามี personal flaws กันทุกคน มีน้อยที่สุด มีมากที่สุด มันก็มาดึงให้เราเดินไม่ถึงจุดหมายซะที แทนที่ระยะทางแค่ 100 ก้าว แต่เราอาจต้องก้าวถึง 500 ก้าวกว่าจะไปถึง การตัดอคติออกให้หมดมากเท่าไร เราก็ยิ่งใช้ก้าวเดินน้อยเท่านั้น บางท่านพอไม่มีอคติแล้ว เข้าใจตัวเองทุกอย่างแล้ว อาจกระโดดเลยก็ได้ ไม่ว่าช่วงใดของชีวิต คนเราต้องตัดสินใจ รอบ ๆ ตัวราคือโอกาสขอวความเป็นไปได้ ไม่ว่าออกมาดีหรือร้าย สิ่งนั้นจะนั้นจะอยู่กัยเราไปตลอดชีวิต อดีตแก้ไขไมได้ ล้วนเป็นสิ่งหนึ่งกับเราแล้ว
ปีนี้ปฎิทินผมฉีกทุกวัน ฉีกแล้วก็บมันเข้าแฟ้มทุกวัน ผ่านไปก็จดเอาไว้ด้านหลังว่าโอกาสอะไรเกิดขึ้นบ้างที่ผมคว้ามันเอาไว้ อะไรที่ผมมองไม่เห็นบ้างที่ให้มันผ่านไป แล้วเราสามารถย้อนกลับมาอ่านได้ทุกวัน รวมถึงสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับการลงทุนเลย คนเราแก่ลงไปทุกวัน เราก็มีแต่ความจริงที่เราเลือกที่จะให้มันเป็นอย่างนั้น ไม่ปล่อยให้ชีวิตขึ้นอยู่กับโอกาสของความเปนไปได้ต่างๆ เราเป็นอย่างไร เราเลือกตัดสินใจของเราเอง ในชีวิตเราทุกคน แทนที่จะแต่มีเรื่องของความเป้นไปได้ ทำให้เป็นความจริงในอดีตของเราให้หมด ไม่ว่าเป็นความสุข ความทุกข์ เราเป้นคนกำหนดให้เป็นของเราเอง ตัดสินใจอย่างกล้าหาญ ไม่ใช่ให้โอกาสของความเป็นไปได้รอเราอยู่ทุกอย่างก้าวทีเราเดิน…


โชคดีทุกท่าน และ สวัสดีครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: ความไม่แน่นอน ในมุมมองของ REFLEXIVITY

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ขอบพระคุณอย่างสูงๆ
นานๆผมถึงจะรับการชี้ทางไปสู่ขุมทรัพย์มหาศาลเช่นนี้
:bow: :bow:
ลงทุนเพื่อชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
unnop.t
Verified User
โพสต์: 924
ผู้ติดตาม: 1

Re: ความไม่แน่นอน ในมุมมองของ REFLEXIVITY

โพสต์ที่ 7

โพสต์

เคยพออ่านแนวคิดของโซรอสมาบ้างในหนังสือ The winning habits ซึ่งผู้เขียนเปรีียบเทียบแนวคิดการลงทุน ของโซรอสกับบัฟเฟตต์

ผมว่าโซรอสเก่งมากในการเล่นกับจิตวิทยามวลชนกับอารมณ์ตลาด แต่หลักการอันหนึ่งซึ่งโซรอสกับบัฟเฟตต์ที่ค่อนข้างต่างกันสุดขั้ว

โซรอส : Invest first, Investigate later
บัฟเฟตต์ : Investigate first, Invest later


บัฟเฟตต์พยายามหลีกหนีอารมณ์ของตลาด แต่โซรอสพยามเข้าหาอารมณ์ตลาด

ขอบคุณสำหรับบทความครับ แต่ผมยังอ่านไม่จบ เพราะตัวหนังสือค่อนข้างเล็ก ทรมานสายตาสำหรับคนอยู่ใกล้ "หลักสี่" :oops:
ตลาดหุ้นมักจะหลอกเราด้วย ความโลภ และความกลัว.....
wc
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 233
ผู้ติดตาม: 0

Re: ความไม่แน่นอน ในมุมมองของ REFLEXIVITY

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ชอบครับ อ่านแล้วสนุกมาก :D
Things are almost never clear on Wall Street,
or when they are, then it’s too late to profit from them.
iceberg
Verified User
โพสต์: 258
ผู้ติดตาม: 0

Re: ความไม่แน่นอน ในมุมมองของ REFLEXIVITY

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ขอบคุณสำหรับบทความครับ

นิดนึง Soros วิธีการคิดจะเหมือน Charlie มากกว่าครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: ความไม่แน่นอน ในมุมมองของ REFLEXIVITY

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ผมขอน้อมรับหลักการทั้งสองท่าน
คือ คิดวิเคราะห์กิจการให้ดีก่อนลงทุนของบัฟเฟต + เข้าถึงอารมณ์ของตลาด
ลงทุนเพื่อชีวิต
iceberg
Verified User
โพสต์: 258
ผู้ติดตาม: 0

Re: ความไม่แน่นอน ในมุมมองของ REFLEXIVITY

โพสต์ที่ 11

โพสต์

อีกนิด พี่โหน่ง อ่าน Influence แล้ว แนะนำผมบ้างนะครับ
อ่านแล้ว ผมรู้ผิวเผินนะครับ วิเคราะห์ไม่เป็น ไม่รู้จะพัฒนายังไง
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 9

Re: ความไม่แน่นอน ในมุมมองของ REFLEXIVITY

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ตอบคุณ ICEBERG
บทความนี้เก่าแลวนะครับ

ผมไปเดินงานกะเสดแฟ เพราะปีนี้จับฉลากกับเขาไม่ได้ ไปเดินหา non-equilibrium เดินไปพาพกสายตานักล้วงว่าถ้าเราเป็นพวกเขา เราจะล้วงใคร ที่ไหน ตรงไหนดี นั่นเหยื่อผมมาแล้วครับ
reality–> มีผู้หญิงสัก 50 กว่า เดินนำผูกข้อมือเชือกจูงเด็กสัก 6-7 ขวบ เดินตาม เชือกยาว 1 ฟุต เดินไปไหนสายคล้องเห็นชัดว่าติดกัน เดินไปตามฝูงคน expectation ตามมาติด ๆ เชื่อกนี้ทำให้ผมนึกถึง options ที่ทำหน้าที่เป้น insurance ป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่เกิด critical mass เพราะถ้าเป็น market events ในลักษณะเช่นนี้ มันหมายถึงเป็นโอกาสสำหรับ critical point มันสามารถเกิด variations ขึ้นได้ทั้งนั้น
reality–> เดินไปสักพัก หายไปไหนฝูงที่ยังไม่เกิด mass ผมเดินตามไปติด ๆ เห็นหัวอาร์ตตัวแม่หยิกเดินไปอย่างช้า ๆตาม กระแสฝูงชน ตัวลูกไม่เห้นแล้ว แต่ expectation บอกว่า—>แม่ไปด้วย ลูกก็ติดไปด้วย ผมเริ่ม predict ว่าควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะเชือกดันไปมี function ที่เรียกว่า correlation ที่ผมใช้ predict เชื่อมโยงเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นในอดีตกับอนาคต ผมคิดในใจเห้นแม่กับลุกเดินตรงนั้น ตอนนี้ไม่เห็นลุก เห้นแต่แม่ ถ้าเดินไปที่โล่งๆสักหน่อยก็จะเห็นลูกเดินอยู่เอง ผมคำนวณเสร็จสรรพ
reality–> แม่เดินไปหยุดหน้าร้านบะหมี่ซีอ่าง คนขายเอามือหยิบบะหมี่ใส่จาน expectation—> น่ากินชมัด คนมุงดูเพราะ social validation กับ scarcity กฎสองข้อในตลาดหุ้นมีให้เห้นบ่อย ๆ แต่พ่อค้าอย่างผมเห็นทุกงาน events จนชินตามันคือ outdoor website ดีๆ นี่เอง ถ้าเป้น indoor บางที่มีให้เงินถุงก่อนแล้วค่อยจับเหยื่อ อย่างนี้เรียก reciprocation เอา commitment มาหลอก ผสม social validation เติม liking ในตัวบุคลเข้าไปหน่อย บางคนใช้ authority กล่อมเข้าไปอีก ในที่สุดคนที่เคยต่าง ก็คืดเหมือน indoor website ที่ว่า เกิด efficient market ขนาดย่อม ๆ อย่างนี้ก็เกิด corelaton function กลายเป็นเชือกดีๆ เส้นหนึ่ง เหมือนแม่ดึงเด็กไปทางไหน เด็กก้ไปทางนั้น
แต่ outdoor website อย่างร้านบะหมี่ คนมุงสักพัก ไม่มุงสักพัก สลับกันไป คนขายมีเชือกมาดึงให้ตลาดมันเป็น inefficient ได้ไม่นาน แต่พอนานหน่อยๆ ขายไม่ทัน คนที่คอยนานข้างหลัง มีเวลาคิดขึ้นอีกหน่อย พอคิดได้ว่ามันคือบะหมี่แห้งที้ใช้มือหยิบ กูรมายืนมุงทำไมฟะะ ไม่เห็นแปลกตรงไหน คิดได้แล้วก็เดินเดินจากไป กลายเป็น efficient market พอคนบางตา คนขาย ก็จับบะหมี่พันไปพันมา ท่าทางเหมือนกางฟูวัดเส้าหลิน คนที่ผ่านมาหน้าใหม่ก็มุงดูเช่นเดิม กลายเป้น inefficient อีกครั้ง
เห็น uncertainty อย่างนี้มาจนชินตา พอสรุปไว้เป้นวิชาติดตัวได้ว่า กลุ่ม Indoor (รวมถึงเครือค่าย MLM) จัดไว้เป้นกลุ่มวิชา fundamental เป็นแกนหลัก ตลาดจะต้องเป็น efficient เพื่อใช้อดีต correlate อนาคต เวลาเป้น inefficient อนาคตมองยาก ข้ามไปอีกฝากเป็นกลุ่ม outdoor เป้น nothing fundamental (รวมถึงกลุ่ม Technical ) ตลาดจะต้องเป็น inefficient เพื่อใช้ข้อมูลจากอดีตเพื่อทำนายอนาคต แต่ถ้าเป้น efficient อนาคตเป็นเรื่องของ God ล้วน ๆ
Hey! God doesn’t play dice.
แม่เดินขึ้นแท็กซี่ไปแล้ว แต่ correlation ตัวลูก ยังไม่หายไปไหน ยังเดินขึ้นตามไปติดๆ
Imperfection man อย่างผมตัดสินใจเดินกลับบ้านนึกถึง Holy Grail of non-equilibrium ในวันพรุ่งนี้…

ปล ชื่อคุณ ICEBERG ทำให้คิดถึงฟรอยด์เพราะอะไรเลือกชือนี้
ทำให้คิดถึงชื่อคนยิว
ผมเห็นซิกเนเจอร์
ลีโอนาโดสอนเราได้เยอะมากทีเดียวนะครับ
โดยเฉพาะเรื่องความสมดุลในสิ่งต่างๆ
ผมอ่านงานโซรอส บางทียังคิดว่าอ่านงานของลีโอนาโด
คนหนึ่งเอาไปใช้ในศิลปะ อีกคนเอาไปใช้ในการลงทุน
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 9

Re: ความไม่แน่นอน ในมุมมองของ REFLEXIVITY

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ตอบคุณ อรรณพ

INVEST FIRST INVESTIGATE LATER ความหมายที่แท้จริงหมายถึง การคิดในหัวก่อนถึงเหตุการณ์จริงมาถึง แล้วดูว่าเรามีอารมณตอบสนองอย่างไร ไม่ได้หมายึง ซื้อหุ้นแล้ว มาตรวจสอบทีหลัง ในภาษาที่มีความหมายตามตัวอักษร เหมือนสถานการณ์ ว่าเราปีนบันได ปีนได้ก้ดีไป ถ้าวันไหน พาดตกลงมา เผลอพลาดตกแล้วกระโจนลงมาทัน จะได้ไม่เจ็บมาก คือ ยอมรับไว้แล้ว ว่ามันพลาดกันได้ เวลาพลาดจริงๆ จะได้มันเจ็บมากเพราะยอมรับไว้แล้ว วิชานี้ น่าจะเรียกว่า วิชาตกกระไดพลอยโจน

งานเขียนส่วนใหญ่ของอาจารย์ เบาและ อ่านง่าย
ผมเอาตัดสระออก ตัดวรรณยุกต์ เรียกว่า วิชา ตัวเบา
เป็นการฝึกตัวเองเรื่อง INVES FIRST ได้เปนอย่างดี

กราบของพระคุณอาจารย์ด้วยครับ
บทความไหนของอาจารย์ ตัดออกแล้ว ไม่เท่าบทความนี้

ทน สนุก ๆ ครับ
บทความของอาจารย์นี้ชื่อว่าอะไรครับ?

กร ที่ จ ป็น Vlue Invstr ท ม ควม สมรถ สง ด้ นั้น สงหนึ่ง ที่ จ ป็น ปรยชน์ ก คือ กร “จนตนกร” ฟังด อจ จ รูสึก ว่ ป็น รื่อง ขง ควม พ้อ ฝัน ละ ป็น รื่อง ที่ สน กัน ม่ด้ ต่ จริงๆ ล้ว กร จนตนกร นั้น สมรถ ที่ จ ฝกฝน กนได้ ปรเดน สำคญ ก็คือ ราตอง รู้ รื่อง อื่นๆ มากพอ ที่ จะ ทำ ให้ สมรถ นำไป ปรียบทยบ กับ เรื่อง ขง บริษท จดทเบยน และ หุ้นที่รา สน จได้ มื่อเกดจนตนกร เรา ก็ สมรถ จ มอง ตอ ไป ด้ วา บรษัท หรือหุ้น ที่ เร สน จ นั้น ใน ที่ สุด น่ จะ เป็น อย่งไร น่นอน จนตนกร กบ ของจริง คง จ ไม่ หมือน กัน ต่ มัน ก็ ให้ ภาพ ที่ จะ ทำ ให้ รา เห็น ทิศ ทา เดิน ของ หุ้น ผม พูด แบบนี้อย่า นึก ว่า เป็น เรื่อง ปรหลาด ลอง นึก ทบ ทวน ดู ก็ จะ พบ ว่า ม้ แต่ ใน เรื่อง ทงวทยศสตร์ ต่างๆ เรา ก็ พบ ว่า การ ใช้ จินตนาการ เป็น สิ่ง สำ คญ ที ทำ ให้ มนษย์ค้น พบ ทฤษฎ หรือ สร้ง สิ่ง ปรดิษฐ์ ที่ สำคัญ ต่งๆ ขึ้น ใน โลก พูด ก พูด ถ้คนไม่จนตนกร ว่า จ สมรถ บิน ได้ อย่าง นก เรา จ มี กร ปรดิษฐ์ เครื่องบน หรือครบ?
iceberg
Verified User
โพสต์: 258
ผู้ติดตาม: 0

Re: ความไม่แน่นอน ในมุมมองของ REFLEXIVITY

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ขอบคุณครับ พี่โหน่ง

ตัว sgn ผมเอามาจากหนังสือ Influence แต่งโดย Robert Cialdini บทที่เขียนเรื่อง
Commitment and Consistency ตอนแรกไม่รู้หรอกครับว่ามันเกี่ยวอะไร
แต่บทนี้จบแล้ว ประโยคนี้ใช่เลยครับ ชอบมาก
โพสต์โพสต์