ขอถามการปรับพอร์ตใน The Little book that beat the market

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
chatree
Verified User
โพสต์: 105
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามการปรับพอร์ตใน The Little book that beat the market

โพสต์ที่ 1

โพสต์

รบกวนสอบถามการปรับพอร์ตตามหนังสือเรื่อง The little book that beat the market ครับ เค้าบอกว่าให้เลือกซื้อหุ้นตาม Rank PE+ROA (ROE) แล้วเมื่อครบปีให้ขายทิ้ง แล้วซื้อใหม่ตาม Rank ทีนี้ ถ้าเกิดตัวที่เราซื้อทีแรกเป็น Rank อันดับหนึ่ง แล้วพอครบหนึ่งปีเราจะขาย แต่ไอ้ตัวที่เราต้องขาย มันก็ยังเป็น Rank อันดับหนึ่งอยู่ แล้วเราต้องขายหรือถือไว้ครับ เพราะถ้าขาย แล้วซื้อกลับมามันก็น่าจะไม่สมเหตุสมผล หรือว่าให้ขายไป แล้วซื้อตัวอื่นที่ไม่ใช่ตัวที่เราขายครับ ไม่ทราบท่านใดมีความคิดเห็นอย่างไรครับ
Fresh Extra
Verified User
โพสต์: 32
ผู้ติดตาม: 0

Re: ขอถามการปรับพอร์ตใน The Little book that beat the market

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ผมคิดว่าประเด็นคือ มันต้องปรับพอร์ตให้หุ้นทั้งหมดมีสัดส่วนเท่ากัน เมื่อเริ่มปีต่อไปครับ

ถ้าจะยึดหลักนั้น ก็ควรจะขายหรือซื้อเพิ่ม(อย่างใดอย่างหนึ่ง) เพื่อให้สัดส่วนของหุ้นตัวนั้น เท่ากับหุ้นตัวอื่นๆที่อยู่ในลิสต์
chatree
Verified User
โพสต์: 105
ผู้ติดตาม: 0

Re: ขอถามการปรับพอร์ตใน The Little book that beat the market

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ถ้าเช่นนั้นหากหุ้นราคาเท่าเดิม ก็ไม่ต้องขาย

ผมคิดว่าหรือจะต้องบังคับให้ขายเพื่อป้องกันการซื้อหุ้นที่ถูกเรื้อรัง โดยให้โอกาสหุ้นแต่ละตัวแค่ปีเดียว ไม่ว่าหุ้นขะเป็นอย่างไร ขึ้นหรือลงหรือไม่เปลี่ยนแปลงก็ขายหมด

หรืออาจจะไม่ต่องขายหุ้นในพอร์ต หาก Rank แล้วชื่อซ้ำกับหุ้นในพอร์ต เพราะมีหุ้นตั้ง 30 ตัว มันคงไม่เรื้อรังทุกตัว แต่ก็ยังเห็นเค้าให้ขายก่อนหนึ่งปีหากกำไรเพื่อเลี่ยงภาษี และหากขาดทุนก็ให้ขายเมื่อครบหนึ่งปีพอดี เพราะฉะนั้นก็ไม่น่าจะให้ถือหุ้นเกินปีนึงนะ เพราะไม่งั้นหากมันเกิดกำไร ก็ต้องเสียภาษีสิ นี่คือวิเคราะห์จากหลักกรในหนังสือนะครับ ในประเทศเราไม่มีเรื่องภาษี

ไม่ทราบว่าอย่างไหนจะถูก รบกวนขอความเห็นด้วยครับ
Possible
Verified User
โพสต์: 184
ผู้ติดตาม: 0

Re: ขอถามการปรับพอร์ตใน The Little book that beat the market

โพสต์ที่ 4

โพสต์

chatree เขียน:เค้าบอกว่าให้เลือกซื้อหุ้นตาม Rank PE+ROA (ROE) แล้วเมื่อครบปีให้ขายทิ้ง แล้วซื้อใหม่ตาม Rank ทีนี้ ถ้าเกิดตัวที่เราซื้อทีแรกเป็น Rank อันดับหนึ่ง แล้วพอครบหนึ่งปีเราจะขาย แต่ไอ้ตัวที่เราต้องขาย มันก็ยังเป็น Rank อันดับหนึ่งอยู่ แล้วเราต้องขายหรือถือไว้ครับ
ถ้า Rank อันดับหนึ่ง ยังอยู่ที่เดิมอีกปี ..

เป็นผมก็คงต้องมานั่งศึกษา หาสาเหตุที่ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงครับ ..

วิธี ก็คือ วิธี แต่ถ้าเราเข้าใจวิธี+พฐ.หุ้นด้วย มันคงจะดีกว่าครับ
Reborn
Pallas
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 128
ผู้ติดตาม: 0

Re: ขอถามการปรับพอร์ตใน The Little book that beat the market

โพสต์ที่ 5

โพสต์

chatree เขียน:ตามหนังสือเรื่อง The little book that beat the market ครับ เค้าบอกว่าให้เลือกซื้อหุ้นตาม Rank PE+ROA (ROE) แล้วเมื่อครบปีให้ขายทิ้ง แล้วซื้อใหม่ตาม Rank ทีนี้ ถ้าเกิดตัวที่เราซื้อทีแรกเป็น Rank อันดับหนึ่ง แล้วพอครบหนึ่งปีเราจะขาย แต่ไอ้ตัวที่เราต้องขาย มันก็ยังเป็น Rank อันดับหนึ่งอยู่ แล้วเราต้องขายหรือถือไว้ครับ เพราะถ้าขาย แล้วซื้อกลับมามันก็น่าจะไม่สมเหตุสมผล หรือว่าให้ขายไป แล้วซื้อตัวอื่นที่ไม่ใช่ตัวที่เราขายครับ ไม่ทราบท่านใดมีความคิดเห็นอย่างไรครับ
จริงๆถ้าเราจะพูดให้ตรงกับหนังสือแล้ว ในหนังสือให้ใช้ Earnings Yield กับ Return on Capital ครับ ไม่ใช่ PE กับ ROA

โดย Earnings Yield = EBIT / Enterprise Value โดย Enterprise Value = มูลค่าตลาดของส่วนผู้ถือหุ้น + หนี้สินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย สุทธิ เขาอธิบายไว้เหมือนกันว่า Earnings Yield เหมาะสมกว่า PE อย่างไร ประเด็นหลักอยู่ที่การตัดความบิดเบือนของอัตราภาษีและระดับหนี้สินออกไป รวมถึงเขาต้องการความสามารถในการทำกำไรจากเงินที่เราซื้อทั้งบริษัท (ทั้งส่วน equity ที่ราคาหุ้นปัจจุบัน บวกกับ เงินกู้ที่บริษัทกู้มาเพื่อทำธุรกิจ)

ส่วน Return on Capital นั้น โจเอลเขาบอกว่า เท่ากับ EBIT / (Net Working Capital + Net Fixed Assets) ซึ่งก็ไม่ใช่ทั้ง ROA และ ROE อยู่ดี ในหนังสือก็อธิบายไว้เช่นกันว่าตัววัดนี้เหมาะสมกว่า ROA และ ROE อย่างไร ส่วนหนึ่งได้บอกว่า ใช้ EBIT แทนกำไรสุทธิ เพราะตัดการบิดเบือนกำไรจากการดำเนินงานจากความแตกต่างของอัตราภาษีและระดับหนี้สิน ส่วนที่ใช้ Net Working Capital + Net Fixed Assets ก็เพราะว่าต้องการนำมาเฉพาะทุนที่บริษัทใช้ทำธุรกิจจริงๆ ไม่รวมพวกสินทรัพย์ไม่มีตัวตน

อย่างไรก็ตาม ตอนท้ายของหนังสือ เขาบอกว่า หากไม่สามารถหาอัตราส่วนดังกล่าว ก็อาจะใช้ PE กับ ROA แทนก็พอได้ครับ (แต่นั่นก็หมายความว่าความบิดเบือนจากอัตราภาษี, ระดับหนี้สิน, สินทรัพย์ไม่มีตัวตน ฯลฯ ก็ยังไม่ถูกตัดออกไปครับ)

อีกเรื่องหนึ่ง Joel ให้ความสำคัญของการกรองหุ้นตัวเล็กออกไป โดยการกำหนด Market Cap ขั้นต่ำด้วยนะครับ เพราะลดปัญหาเรื่องสภาพคล่องของหุ้น

สำหรับวิธีขายนั้น เขาแนะนำให้ใช้กฎขายเมื่อครบ 1 ปี โดยถ้าหุ้นขาดทุน ให้ขายก่อนครบ 1 ปีเล็กน้อย ส่วนถ้าหุ้นกำไร ก็ให้ขายหลังครบ 1ปีเล็กน้อย ซึ่งตรงนี้คงเป็นคำแนะนำสำหรับในสหรัฐฯ เพราะเขามีภาษีบน capital gain สำหรับบ้านเราคงไม่ต้องก่อนหรือหลังเพราะไม่มีภาษี Capital Gain แต่คงใช้กรอบเวลา 1 ปีตามทฤษฎีของเขา

คราวนี้ กลับมาที่คำถามว่า ถ้าครบ 1 ปี หุ้นตัวเดิมก็ยังอยู่ใน Top List ที่จะซื้อ จะทำอย่างไร? หลักสำคัญของ Magic Formula คือ ตัดความยุ่งยากไปให้หมด เข้าใจว่า Joel เคยบรรยายไว้ว่า "I call it the Not-Trying-Very-Hard Model. My mantra is to keept things simple." หรือทำนองว่า "ผมเรียกวิธีนี้ว่าโมเดล "อย่าพยายามให้มากนัก" เวทย์มนตร์ของผมคือทำให้ง่ายเข้าไว้" ดังนั้น ก็ไม่ต้องไปคิดว่า เขาป้องกันเรื่องหุ้นถูกเรื้อรัง ให้เราทำตามระบบไปเลย แต่ถ้าหากเสียดายค่า comm. เพราะต้องขายแล้วซื้อหุ้นตัวเดิมกลับมา ก็อาจจะคำนวณดูว่า สุทธิแล้วต้องซื้อเพิ่มหรือขายออกเท่าไร แล้วซื้อหรือขายเฉพาะส่วนต่าง ไม่ต้องขายไปทั้งหมด แล้วซื้อกลับเข้ามาใหม่ก็ได้

ทั้งหมดนี้ ผมตอบตามสิ่งที่อ่านจากหนังสือนะครับ ในโลกความเป็นจริง ใครจะไปประยุกต์ใช้สูตรอะไรก็ได้ เพราะต่างคนก็ต่างความเห็น และเป็นเงินของใครของมันด้วย
"As Above, So Below"
chatree
Verified User
โพสต์: 105
ผู้ติดตาม: 0

Re: ขอถามการปรับพอร์ตใน The Little book that beat the market

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ขอบคุณมากครับ ละเอียดและจะแจ้งดีครับ
โพสต์โพสต์