ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ภาพประจำตัวสมาชิก
sai
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 4095
ผู้ติดตาม: 291

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 211

โพสต์

ขุดกระทู้ขึ้นมาตามหาพี่หมอ mrprandy ไม่ทราบงานยุ่งหรือไย ไม่เห็นพี่มาตอบกระทู้น้องน้องเหมือนก่อนคิดถึงยังไงไม่รู้ครับ
Small Details Make a Big Difference
ภาพประจำตัวสมาชิก
Amadeus
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 372
ผู้ติดตาม: 1

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 212

โพสต์

พี่หมอครับ ผมดูทีวีเห็นนักเศรษฐศาสตร์ไทยหลายคนบอกว่า
ราคาบ้านที่อเมริกาจะตกลงอีก เพราะบ้านที่ถูกขายทอดตลาด
ที่นั่นเป็นของปี 2005 ยังมีบ้านที่โดนยึดเป็นของคนที่กู้ปี 2006
อีกจำนวนมาก เมื่อมีการนำทรัพย์สินออกมาขายราคาจะลงอีกมากๆ
คล้ายที่เกิดกับบ้านเราตอนต้มยำกุ้ง และคนที่กู้เงินมาซื้อบ้านแต่ยังไม่ถูก
ยึด ราคาบ้านที่เค้าถืออยู่ก็ตกลงไปอีก หากส่งไม่ไหวก็เป็น NPL
กลายเป็นวงจรอุบาท  อันนี้เป็นเรื่องที่หนึ่งนะครับ

เรื่องที่สอง วิกฤตเริ่มส่งผลในภาคเรียลเซคเตอร์ จากที่ตอนแรกเกิด
ที่สถาบันการเงินและตลาดหุ้นสะท้อนราคาไปแล้ว เหมือนเรื่องจะจบแล้ว
แต่ภาคธุรกิจที่ผลประกอบการไม่ดี นั้นส่วนหนึ่งใช้เงินกู้  ทำให้ผลจาก
ภาคเรียลเซคเตอร์กำลังจะกลับไปก่อปัญหาให้ภาคการเงินอีก

สรุปกันว่าวิกฤตครั้งนี้ยังไม่จบง่ายๆ

:?:
อยากถามพี่หมอว่า ในมุมมองของพี่ ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่แย่ๆ จะส่งผลมาถึง
ตลาดหุ้นในอเมริกา กับเอเซีย รุนแรงขนาดไหนครับ มากกว่าครั้งแรกหรือไม่

และในอดีตเคยมีซักครั้งไหม ที่มีการคาดการณ์ทางเศรษฐศาสตร์ว่าจะแย่ลง
แต่ตลาดหุ้นทรงๆ ไม่แย่ตาม (เหมือนเคยอ่านในหนังสือว่าการประมาณการ
ทางเศรษฐศาสตร์ เป็นคนละเรื่องกับตลาดหุ้น)
เตือนตัวเอง
1.ลดต้นทุน 2.ขึ้นราคา 3.ขยายตลาด
4.เพิ่ม same store sale  5.ขาย บ.เน่าๆ
mprandy
Verified User
โพสต์: 1992
ผู้ติดตาม: 9

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 213

โพสต์

Amadeus เขียน: อยากถามพี่หมอว่า ในมุมมองของพี่ ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่แย่ๆ จะส่งผลมาถึง
ตลาดหุ้นในอเมริกา กับเอเซีย รุนแรงขนาดไหนครับ มากกว่าครั้งแรกหรือไม่

และในอดีตเคยมีซักครั้งไหม ที่มีการคาดการณ์ทางเศรษฐศาสตร์ว่าจะแย่ลง
แต่ตลาดหุ้นทรงๆ ไม่แย่ตาม (เหมือนเคยอ่านในหนังสือว่าการประมาณการ
ทางเศรษฐศาสตร์ เป็นคนละเรื่องกับตลาดหุ้น)
คงจะถือเอาความเป็นผมเป็นเรื่องซีเรียสไ่ม่ได้มั๊ง เพราะผมเองก็ไม่ได้เก่งกล้าสามารถอะไร

ความเห็นผม ผมคิดว่าผลกระทบของวิกฤตมันคงกระจายไปทั่วเหมือนไฟลามทุ่ง การหยุดวิกฤตขนาดใหญ่แบบนี้คงทำไม่ได้ (ถ้าทำได้มันคงไม่ใหญ่ขนาดนี้มั๊ง) สิ่งที่ทุกภาคส่วนทำได้คือพยายามจำกัดผลกระทบของวิกฤตในส่วนต่าง ๆ ไม่ให้มันต่อยอดไปมากกว่าที่มันควรจะเป็น และพยายามเยียวยาสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว เช่นเดียวกับที่ทุกประเทศกำลังทำอยู่

ผลกระทบของวิกฤติต่อภาคการเงิน มาสู่ภาคเศรษฐกิจแท้จริงไม่ว่าจะเป็นการผลิต พาณิชย์ และบริการ เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว (อย่างน้อยตอนนี้ควรรู้แล้ว) ซึ่งในแง่ของตลาดหลักทรัพย์ ก็จะแสดงให้เห็นในรูปของผลกำไรขาดทุนที่ได้ประกาศออกมา (หรือกำลังจะประกาศในอนาคตอันใกล้) ว่าจะออกมาแย่แค่ไหน

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ที่ถือเป็นภาพรวมของราคาหุ้นในตลาด มีความสัมพันธ์กับการคาดการณ์ในอนาคต มากกว่าสิ่งที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วในอดีต ก็ได้ปรับลดลงมาสะท้อนความคาดหวังไปแล้ว ดังนั้นปัจจัยที่จะทำให้เกิดผลอย่างแรงต่อตลาด จึงเป็นผลประกอบการที่แย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือนักลงทุนคาดว่าปัญหาใหญ่กว่านี้กำลังรออยู่ในอนาคตอันใกล้ (ในสหรัฐอเมริกาจะสังเกตได้จากรายงานผลประกอบการของบริษัท ร่วมกับ guidance/outlook/forecast ที่บริษัทมักจะให้ไว้ว่าใน Q หน้าหรือปีหน้าจะดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร ส่วนในเมืองไทยเข้าใจว่าเชื่อถือได้ยาก โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็กหลายราย ที่มักมีความสามารถในการปั้นข่าวและตัวเลข เหนือกว่าความสามารถในการบริหารกิจการจริง)

ในอดีต มีไหมที่คาดว่าเศรษฐกิจจะแย่ลง แต่ดัชนีไม่ลง - อันนี้ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าเมืองไทยจะมีไหม อาจจะมีก็ได้โดยเฉพาะสมัยก่อนที่ตลท.ยังเล็กและเน้นการเก็งกำไรเป็นหลัก ผมคงตอบข้อนี้ไม่ได้เพราะประสบการณ์ลงทุนผมน้อย

แต่ในต่างประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกา ดัชนี S&P 500 เป็น 1 ใน 10 ตัวชี้วัดของ leading indicators ที่มักนำหน้าภาวะเศรษฐกิจจริง และข้อมูลที่ผ่านมาสามารถทำนายภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจได้จริง เพียงแต่มันเป็นตัวชี้วัดที่ "ไวเกินไป" ข้อมูลจากปี 1959 จนถึง 2001 (recession ครั้งล่าสุดก่อนครั้งนี้) leading indicators สามารถทำนาย recession 7 ครั้งได้ทุกครั้ง ในขณะเดียวกัน indicators ก็ทำนาย recession ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงอีก 5 ครั้งด้วย

(มี Joke ของนักเศรษฐศาสตร์อเมริกันเคยกล่าวไว้ "Economists have correctly predicted nine of the last five recessions" :lovl:)

ทิ้งท้ายไว้สำหรับ leading indicators ที่ประกาศออกมาเดือนล่าสุด (ธันวาคม) ปรากฏว่าเพิ่มขึ้นแล้ว (+0.3%) ถ้ามันเพิ่มขึ้นต่อไปได้น่าจะทำนายได้ว่า bottom of recession น่าจะมาถึงภายใน 3-6 เดือนนี้ (ตามสถิติมีพิสัยได้ตั้งแต่ 2-11 เดือน)

รูปภาพ

อย่างไรก็ดี ถ้าดูในรายละเอียดลึก ๆ จะพบว่า leading indicators ที่เพิ่มขึ้น เป็นผลจากดัชนี 4 ตัวที่เพิ่มขึ้น และ 6 ตัวยังคงลดลง โดยที่ 2 ใน 4 ตัวชี้วัดเกิดจาก money manipulation โดย treasury และ federal reserve (real money supply และ interest rate spread) ซึ่งยังบอกไม่ได้ชัดเจนว่าจะมีผลต่อธุรกิจยั่งยืนไปได้ในเดือนถัดไปหรือไม่

แถมเรื่องราคาบ้าน อันนี้เป็นของ LA อย่างเดียว (ถือเป็นหนึ่งใน area ที่ราคาบ้าน "เว่อ" เกินความเป็นจริงไปมากที่สุด น้อง ๆ ไมอามี)

รูปภาพ

ป.ล. CSI เป็น inflation adjusted ดังนั้นถ้าให้แฟร์สุด optimal index ควรเป็น 100 เสมอ อย่างไรก็ดีในความเป็นจริงคงไม่จำเป็นต้องลงมาเหลือ 100 เพราะบ้านในเขตเมืองมีจำกัด ในขณะที่แนวโน้ม demand คงไม่น้อยลงในอนาคต การประมาณอย่างนี้ก็อาจจะเหมาะสม
ไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ..
------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
hongvalue
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2703
ผู้ติดตาม: 275

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 214

โพสต์

ดีจัง มีคนมาคอยถามแทนผมแล้ว

ถามเยอะๆเลยนะครับ

ผมรออ่านอยู่ครับ

เพราะผมต้องไปคิดคำถามเรื่อง technic กับ future ต่อ

ไม่มีเวลาดู macro economic เลย



หมอด้ามีวิชาสุดยอดที่ไม่เคยบอกใครด้วยนะครับ

มีแต่ผมเท่านั้นที่รู้  :lol:   ถามดีๆ เดี่ยวเขาจะค่อยๆคายสุดยอดวิชาออกมาเองครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Amadeus
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 372
ผู้ติดตาม: 1

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 215

โพสต์

ฮงฟิวเจอร์ เขียน:ดีจัง มีคนมาคอยถามแทนผมแล้ว

ถามเยอะๆเลยนะครับ

ผมรออ่านอยู่ครับ
มิบังอาจรับหน้าที่นี้ครับน้องฮง เพราะพี่ภูมิน้อยเหลือเกินครับ ถามที่ไร
ต้องเอาคำตอบไปขบคิดนานมากกว่าจะเข้าใจ :lol:



hongvalue เขียน:หมอด้ามีวิชาสุดยอดที่ไม่เคยบอกใครด้วยนะครับ

มีแต่ผมเท่านั้นที่รู้
เตือนตัวเอง
1.ลดต้นทุน 2.ขึ้นราคา 3.ขยายตลาด
4.เพิ่ม same store sale  5.ขาย บ.เน่าๆ
out look
Verified User
โพสต์: 57
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 216

โพสต์

ดัชนี S&P 500 เป็น 1 ใน 10 ตัวชี้วัดของ leading indicators ที่มักนำหน้าภาวะเศรษฐกิจจริง
ถามคุณหมอครับว่า leading indicators อีก 9 ตัว มีอะไรบ้างครับ คือว่าอยากจะทราบให้ครบครับ
ถ้าดูในรายละเอียดลึก ๆ จะพบว่า leading indicators ที่เพิ่มขึ้น เป็นผลจากดัชนี 4 ตัวที่เพิ่มขึ้น และ 6 ตัวยังคงลดลง
ดัชนี leading indicators  4 ตัวที่เพิ่มขึ้น และ 6 ตัวยังคงลดลง เป็นอะไรบ้างครับ :?
mprandy
Verified User
โพสต์: 1992
ผู้ติดตาม: 9

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 217

โพสต์

Amadeus เขียน: อยากถามหมอด้าว่า เกาถูกที่คันไหมครับ และหุ้นเด้งเลยไหมครับ
พวกนักเศรษฐศาสตร์ ออกมาให้ความเห็นเชิงบวกกันมาก
ถ้ายังงั้นวันที่นโยบายนี้ผ่าน ตลาดน่าจะตอบรับแล้วปรับฐานขึ้นไปอีก
บวกกับการที่รับรู้ข่าวร้ายไปหมดแล้ว ก็ไม่มี Panic อีกแล้วสิครับ
(หรือยังอาจจะมีอีกครับ ถามความเห็นก็ได้ครับ
ไม่ซีเรียส ผมมองปัจจัยไม่ทั่วจริงๆ)
อันนี้ต้องถาม Mr. Market ครับ ผมเองก็ไม่ทราบ
เรื่องความเห็นหรือคำทำนายของนักเศรษฐศาสตร์ต้องฟังหูไว้หู เพราะแต่ละคนล้วนแต่หน้าแหกตอน subprime เกิดใหม่ ๆ ทั้งนั้น  :8)
ไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ..
------------------------
mprandy
Verified User
โพสต์: 1992
ผู้ติดตาม: 9

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 218

โพสต์

out look เขียน: ถามคุณหมอครับว่า leading indicators อีก 9 ตัว มีอะไรบ้างครับ คือว่าอยากจะทราบให้ครบครับ
http://mprandy.blogspot.com/2008/10/eco ... ators.html
out look เขียน:
ดัชนี leading indicators
ไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ..
------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
Amadeus
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 372
ผู้ติดตาม: 1

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 219

โพสต์

[quote="mprandy"]
อันนี้ต้องถาม Mr. Market ครับ ผมเองก็ไม่ทราบ
เรื่องความเห็นหรือคำทำนายของนักเศรษฐศาสตร์ต้องฟังหูไว้หู เพราะแต่ละคนล้วนแต่หน้าแหกตอน subprime เกิดใหม่ ๆ ทั้งนั้น
เตือนตัวเอง
1.ลดต้นทุน 2.ขึ้นราคา 3.ขยายตลาด
4.เพิ่ม same store sale  5.ขาย บ.เน่าๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 9

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 220

โพสต์

หรือที่เค้าว่าพี่ไทยจะเป็นพี่เบิ้มบ้าง
ฮ่า... :rofl:
อ่านแล้วก็คิดถึงข่าวที่อ่านพอดีนะ่
เด็กม.ปลายไปโวยบอกว่า
เด็ก2หมื่นไม่ได้สอบเอเน็ตเพราะจ่ายเงินไม่ได้
บาร์โค้ดไม่ชัด
เครื่องอ่านที่แบ๊งค์อ่านไม่ออก รับชำระไม่ได้แค่500หรือไงเนี่ย
ไปถามเจ้าหน้่าที่กระทรวง
เจ้าหน้าที่ทางกระทรวงบอกว่าทำไมไม่ใช้เลเซอร์เจ๊ทพิมพ์ล่ะ
ใช้อิ๊งค์เจ๊ทก็อย่างนี้
(ฮ่า...ที่บ้านผมยังไม่ีมีเลยครับ เลเซอร์เจ๊ท)
ศักยภาพเด็กบางคนถึงกับเรียนหมอได้เลย
ถามรัฐมนตรีอู๊ดด้าๆบอกว่าให้ไปถามสกอ.
พอไปถามสกอ.ๆบอกว่าให้ศาลสั่งมาสิ
ม่ายงั้นเดี๋ยวคนสองแสนที่สมัครถูกกติกามาฟ้องว่าไม่แฟร์ละตายเลย
อ่านว่าไทยจะเบิ้มแล้วก็เลยขำๆอ่ะครับ
น่าจะไปโพสในห้องขำๆคลายเครียดที่ห้องนั่งเล่น
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
กาวตราช้าง
Verified User
โพสต์: 179
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 221

โพสต์

por_jai เขียน: ศักยภาพเด็กบางคนถึงกับเรียนหมอได้เลย
ขอแย้งอะ  ไม่น่าจะช่าย
ภาพประจำตัวสมาชิก
hongvalue
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2703
ผู้ติดตาม: 275

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 222

โพสต์

ขอโฆษณาหน่อยนะ

พอดีโพสเรื่อง bond ไว้ในห้องเทคนิค

เห็นว่าเนื้อหาไปได้กับกระทู้นี้เลยมาเล่าให้ฟังน่ะ

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... &start=150
mprandy
Verified User
โพสต์: 1992
ผู้ติดตาม: 9

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 223

โพสต์

ให้ความเห็นไปแล้วครับ เห็นด้วย เห็นต่างยังไง discuss กันได้ครับ
ไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ..
------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
hongvalue
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2703
ผู้ติดตาม: 275

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 224

โพสต์

mprandy เขียน:ให้ความเห็นไปแล้วครับ เห็นด้วย เห็นต่างยังไง discuss กันได้ครับ

เห็นด้วยหมดแหละ

เซียนมาเอง

อิอิ
AuI_a VI
Verified User
โพสต์: 413
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 225

โพสต์

กาวตราช้าง เขียน:
ขอแย้งอะ
Even Sir Isaac Newton loss in stock market

"You can't predict the future, because the future depends on how you react to it."

ซื้อหุ้นเมื่อคนส่วนใหญ่หมดศรัทธาในหุ้นและเทขายอยู่  นั่นคือเวลาตี5ในการจ่ายตลาด....จาก สอง ว. ผู้ยิ่งใหญ่
mprandy
Verified User
โพสต์: 1992
ผู้ติดตาม: 9

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 226

โพสต์

Update - GDP ญี่ปุ่นหดตัว 12.7% ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา นายกญี่ปุ่นมี approval rating น้อยกว่า 10%

เทียบกับต้มยำกุ้งบ้านเรา GDP หดตัวไตรมาสนั้น 10% เองนะครับ

ป.ล. เอา Q&A แนวบ้าน ๆ มาให้อ่านกันคลายเครียด เกี่ยวกับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของโอบามา

Sometime this year, taxpayers will receive an Economic Stimulus Payment (อันนี้คล้าย ๆ แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเราหรือเปล่าเอ่ย :8)). This is a very exciting new program that I will explain using the Q and A format:

Q. What is an Economic Stimulus Payment?
A. It is money that the federal government will send to taxpayers.

Q. Where will the government get this money?
A. From taxpayers.

Q. So the government is giving me back my own money?
A. No, they are borrowing it from China. Your children are expected to repay the Chinese.

Q. What is the purpose of this payment?
A. The plan is that you will use the money to purchase a high-definition TV set, thus stimulating the economy.

Q. But isn't that stimulating the economy of China?
A. Shut up.


Below is some helpful advice on how to best help the US economy by spending your stimulus check wisely:

If you spend that money at Wal-Mart, all the money will go to China.
If you spend it on gasoline it will go to Hugo Chavez, the Arabs and Al Queda
If you purchase a computer it will go to Taiwan.
If you purchase fruit and vegetables it will go to Mexico, Honduras, and Guatemala (unless you buy organic).
If you buy a car it will go to Japan and Korea.
If you purchase prescription drugs it will go to India
If you purchase heroin it will go to the Taliban in Afghanistan
If you give it to a charitable cause, it will go to Nigeria.

And none of it will help the American economy. We need to keep that money here in America. You can keep the money in America by spending it at yard sales, going to a baseball game, or spend it on prostitutes, beer (domestic only), or tattoos, since those are the only businesses still in the US.

อย่าซีเรียส
:lovl: :lovl: :lovl:
ไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ..
------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
hongvalue
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2703
ผู้ติดตาม: 275

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 227

โพสต์

mprandy เขียน:
Q. But isn't that stimulating the economy of China?
A. Shut up.[/b]



อย่าซีเรียส
:lovl: :lovl: :lovl:


ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกก    :rofl:  :rofl:  :rofl:  :rofl:

คิดได้ไงอะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
hongvalue
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2703
ผู้ติดตาม: 275

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 228

โพสต์

หมอด้าขอทวนที่วันนั้นคุยกันเรื่อง ญี่ปุ่นหน่อย

สไลที่ 11 อะครับ

สรุปว่าการดู us production - japan production

สัมพันธ์กับเงินเยนมีจุดอ่อนเรื่องที่ว่า

มันเปรียบเทียบกับแค่สองประเทศใช่ไหม

ซึ้งจริงๆแล้ว วิธีนี้มัน ignore ประเทศอื่นไปเลยถูกป่าว


ส่วนสไลที่ 6  us 10 yrs - cpi ติดลบไปเยอะ แต่ us ism ยังลง

แบบนี้แสดงว่าการฟื้นตัวใกล้เข้ามาแล้ว

ถูกไหม



แล้วก็ที่มีกระทู้ว่า s&p น่าจะอยู่ที่ pe 15 แถว 440 จุด

ผมว่ายอดเงินใน mmf มันเยอะและข่าวร้ายสะท้อนไปเยอะแล้ว

แต่ pe ที่ 29 ก็คงแพงไปหน่อย ไม่ทราบมองยังไง

มาจากกระทู้นี้อะ

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=37009
mprandy
Verified User
โพสต์: 1992
ผู้ติดตาม: 9

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 229

โพสต์

hongvalue เขียน:หมอด้าขอทวนที่วันนั้นคุยกันเรื่อง ญี่ปุ่นหน่อย

สไลที่ 11 อะครับ

สรุปว่าการดู us production - japan production

สัมพันธ์กับเงินเยนมีจุดอ่อนเรื่องที่ว่า

มันเปรียบเทียบกับแค่สองประเทศใช่ไหม

ซึ้งจริงๆแล้ว วิธีนี้มัน ignore ประเทศอื่นไปเลยถูกป่าว
ใช่ครับ และผมคิดว่าจุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งที่นักวิเคราะห์ที่นำเสนอลืมคิดไปคือ yen carry trade ซึ่งมีปริมาณมหาศาล

ในกราฟจะเห็นว่าเมื่อ US-Japan industrial production differential อยู่ในระดับสูง (คือเศรษฐกิจญี่ปุ่นไม่ดี) เขาจะพยายามกดค่าเงินให้ต่ำในทางนโยบาย ด้วยการลดดอกเบี้ยจนต่ำมาก และเป็นอย่างนี้มาตลอด 10 กว่าปี

ผลของดอกเบี้ยต่ำ ทำให้เงินญี่ปุ่นไหลออกไปเป็น carry trade ทำให้ค่าเงินเยนมันอ่อนตัวโดยอ้อมอยู่ด้วย

แต่วิกฤตคราวนี้ เห็นทีจะใช้นโยบายดอกเบี้ยกดค่าเงินได้ยาก เพราะทุกวันนี้ BoJ ก็กดดอกเบี้ยอยู่ใกล้ศูนย์อยู่แล้ว (ล่าสุด 0.3%) แต่วิกฤตครั้งนี้ที่ทำให้นักลงทุนที่กู้เงินเยนไปใช้หากำไร ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ (หรือขาดทุน) กลับนำเงินกู้ไปคืน ทำให้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ค่าเงินเยนแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
hongvalue เขียน:ส่วนสไลที่ 6
ไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ..
------------------------
A man from the Islay
Verified User
โพสต์: 393
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 230

โพสต์

And none of it will help the American economy. We need to keep that money here in America. You can keep the money in America by spending it at yard sales, going to a baseball game, or spend it on prostitutes, beer (domestic only), or tattoos, since those are the only businesses still in the US.

อย่าซีเรียส
:lovl: :lovl: :lovl:
The major domestic beer ( Bud) was sold to Inbev last year. ( Buffett used to own it as well), then the money would probably be going to Belgian, not American.
ภาพประจำตัวสมาชิก
hongvalue
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2703
ผู้ติดตาม: 275

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 231

โพสต์

หมอด้าครับ

ผมไปลองหาข้อมูลมาว่า marketcap ของ s&p เท่าไหร่

http://www.investopedia.com/ask/answers ... lation.asp

ซึ้งผมไม่แน่ใจว่ามัน real time ไหมน่ะครับ

ถ้าถูกก็คือ marketcap มันแค่ประมาณ 10 ล้านๆ us

เงินไทยประมาณ 350 ล้านๆบาท

มันน้อยไปหน่อยไหมครับ

บริษัทของ usa ที่คัดมาตั้ง 500 บริษัท

อีกเรื่องนึง

ว่าแต่ s&p 500 จะเหมือน set 50 ไหมครับ

ตรงที่ว่า set 50เป็นประมาณ 70% ของ marketcap หุ้นไทยทั้งหมด

และ s&p 500 ก็เป็น 70% ของทั้งหมดเกี่ยวไหมครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
hongvalue
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2703
ผู้ติดตาม: 275

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 232

โพสต์

หมอด้าดูสไลที่ 9 ของเอกสารญี่ปุ่นสิ

us ism ที่เป็นสีเขียว  มันเป็น lagging indicator นี้นา

ดูอย่างช่วงปี 2001สิ เส้น s&p 500 มันเด้งก่อนแล้ว เส้นเขียวค่อยเด้ง

แล้วพอเส้นเขียวเริ่มเด้ง เส้นแดงก็เริ่มลง

ในช่วงปี 2002 อะ

หรือ อย่างรอบปี 2003 เส้นแดงก็วิ่งไปก่อนแล้ว เส้นเขียวค่อยวิ่งตาม

สรุปว่าการรอดูตัวเลข us ism ตัวอะไรที่ช้าเกินไปสำหรับคนเล่นหุ้นใช่ไหมครับ

ดูเหมือน s&p 500 ชี้นำมากกว่า สรุปว่าอยากรู้ ism ให้ดู

ให้ดู s&p 500 เพราะว่ามัน new low ใกล้ๆกันด้วย



ส่วนสไลที่ 10

กราฟทางซ้ายมือ ผมดูแล้ว ยอด speculative position บอกแนวโน้มได้จริงๆนะ ว่าเงินเยนหรือ เงิน euro กราฟทางขวาจะมีแนวโน้มเป็นยังไง

ว่าแต่ข้อมูลนี้ผมคิดว่าหายากเหมือนกันนะ

หมอด้าคิดว่าไงอะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
hongvalue
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2703
ผู้ติดตาม: 275

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 233

โพสต์

mprandy เขียน:
รูปภาพ

เฮียผมงงประโยคที่เฮียบอกว่า


"จุดที่มีค่าดัชนีต่ำสุด ก็คือจุดที่มี P/E สูงสุดไม่ใช่หรือ "

หมายความว่า pe เป็นสิ่งหลอกตาปะ เพราะว่า ตลาดจะสะท้อน

earning ในอนาคต ฉะนั้นกำไรลดอวบ แต่อนาคตจะเด้ง หุ้นจะวิ่งเลย

ถึงดู pe แพงตอนแรกๆ คนซื้อไปก็ได้กำไรอยู่ดี


ส่วนอีกประเด็นนึง


ดูจากรูปแล้วสมัยปี 80 เพิ่งสิ้นสุดปัญหาของ stagflation แล้วเป็นขาขึ้น

ของหุ้น usa ไม่ใช่หรือ ช่วงนั้น pe เลยต่ำ

ถ้ารอบนี้ปัญหามันหนักมันก็อาจจะลงไป trade pe 10-15 ได้ถูกมะ

ถ้าดูจากรูป

ป.ล.ผมถามเรื่อง technic กับ future จบแล้วเลยมาถามหมอด้าต่อ

ว่าแต่เอกสาร gold future อ่านไปถึงไหนแล้ว

สรุป น้องๆการพนันเลยปะ

อิอิ
Shrink
Verified User
โพสต์: 56
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 234

โพสต์

ขอแจมด้วยคนครับ

วิกฤติครั้งนี้ อาจเป็น black swan 2 ตัว

ตัวแรกคือ subprime เกิดไปแล้ว ตัวที่สอง คือ financial system collapse หรือไม่ก็ the greatest depression

อย่าง EPS ของ S&P500 ก็ไม่เคยติดลบมาก่อน มาคราวนี้ ติดลบแล้ว แม้จะหัก EPS ของกลุ่ม finance ออกไป ก็ยังติดลบ 2

ถ้าแยกปัญหาออกเป็นสองกลุ่ม

1. กลุ่ม bank ต่างๆ ที่คุณภาพสินทรัพย์ลดลงมาก จะเพิ่มทุนกันอย่างไร รัฐจะอุ้มยังไง

2. real sector รวมถึง economics ที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ

ตอนนี้รัฐบาลอเมริกัน หวังให้ soft landing เป็นแบบ Japan สิบกว่าปีที่ผ่านมาได้ก็หรูแล้ว

แต่มันจะ hard landing ถ้าแก้ปัญหาในข้อ 1 ไม่ดีพอ

ถ้าไม่ผ่าตัดใหญ่ ฝีหนองก็ไม่หาย ระยะยาวก็ตายอยู่ดี เพราะให้รัฐอุ้ม bank ทั้งระบบยังไงก็ไม่ไหว ผมเองนึกว่า รัฐบาล american จะมีเงินเยอะมาก แต่เท่าที่ดู 350 billions แรก ยังออกมาได้ยากเย็น กระแสต้านจากผู้เสียภาษีก็แรงมาก สส สว ก็โหวตผ่านยาก และช้า
แล้วจะหา 2-3 trillian มาอุ้มทั้งระบบได้จากไหน

ถ้าผ่าตัดใหญ่ ก็เจ็บหนัก,  panic แน่ อาจเกิด bank run คนแห่ไปถอนเงินด้วยซ้ำ ตลาดหุ้นเองก็คง panic ไม่รู้ว่า พวก bank ใหญ่ๆ ซุกขยะไว้ใต้พรมเท่าไหร่ แต่ระยะยาววิธีนี้น่าจะดีกว่า

ไหนจะ CDO CDS กลางปีนี้อีก ที่จะทำให้ bank ใหญ่ ลากกันจมทั้งระบบได้ ถ้ามี bank ใด bank หนึ่งล้ม

เอาข้อแรกให้รอดก่อน ข้อสองเรื่อง real sector และ economics อาศัยแผนกระตุ้นและเวลา น่าจะเยียวยาได้

แต่ข้อแรก รอเวลามาเยียวยาไม่ได้ เพราะถ้า NPL และคุณภาพสินทรัพย์ลดลงเรื่อยๆ มันก็ต้องใส่เงินเพิ่มเข้ามา ถ้า bank ไม่ functional ก็ตายเหมือนกัน

ตอนวิกฤติต้มยำกุ้ง บ้านเราพูดกันเรื่อง NPL กันมาก แต่รอบนี้ ได้ยินคำนี้น้อยจัง  มันยังไม่มา หรือบ้านเค้าไม่ค่อยมี NPL กันแน่  หรือถ้ามา มันจะเป็น phase ถัดไปของ crisis หรือไม่

ตอนนี้ USA หนี้บ้านมี NPL เยอะแน่  แต่หนี้บัตรเครดิตและ ภาคธุรกิจหล่ะเป็นอย่างไร
mprandy
Verified User
โพสต์: 1992
ผู้ติดตาม: 9

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 235

โพสต์

A man from the Islay เขียน: The major domestic beer ( Bud) was sold to Inbev last year. ( Buffett used to own it as well), then the money would probably be going to Belgian, not American.
เฮียครับ ยังเหลือ Coors อีกอันนึง ส่วน Miller ก็โดน SAB (South Africa) ซื้อไปแล้ว
ไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ..
------------------------
mprandy
Verified User
โพสต์: 1992
ผู้ติดตาม: 9

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 236

โพสต์

hongvalue เขียน:หมอด้าครับ

ผมไปลองหาข้อมูลมาว่า marketcap ของ s&p เท่าไหร่

http://www.investopedia.com/ask/answers ... lation.asp

ซึ้งผมไม่แน่ใจว่ามัน real time ไหมน่ะครับ

ถ้าถูกก็คือ marketcap มันแค่ประมาณ 10 ล้านๆ us

เงินไทยประมาณ 350 ล้านๆบาท

มันน้อยไปหน่อยไหมครับ

บริษัทของ usa ที่คัดมาตั้ง 500 บริษัท

อีกเรื่องนึง

ว่าแต่ s&p 500 จะเหมือน set 50 ไหมครับ

ตรงที่ว่า set 50เป็นประมาณ 70% ของ marketcap หุ้นไทยทั้งหมด

และ s&p 500 ก็เป็น 70% ของทั้งหมดเกี่ยวไหมครับ
S&P500 นับเอา large-cap stock 500 ตัวที่ซื้อขายในตลาด NYSE, NASDAQ และ AMEX

S&P 500 มี Market Cap ประมาณ $10T (10 ล้านล้านเหรียญ) บวกลบประมาณนี้ถูกแล้วครับ เข้าใจว่าตอนนี้น่าจะน้อยกว่านั้น เพราะขนาด Wilshire 5000 ล่าสุดอยู่แค่ $9.73T เอง

S&P 500 ก็น่าจะคล้าย SET50 หรือ SET100 บ้านเรา เพราะ NYSE total market cap ก็ประมาณ $9-10T ส่วน NASDAQ ก็ประมาณ $2T ยิ่ง AMEX ก็น้อยเข้าไปอีก

S&P 500 Market cap มันน้อยไปไหม อันนี้บอกไม่ได้เหมือนกันครับ ตลาดเป็นผู้ให้ราคา แต่ Market cap ไม่จำเป็นต้องบอกถึงขนาดบริษัทตามสินทรัพย์เสมอไป โดยเฉพาะบริษัทที่มี D/E สูง ๆ อาจจะมีสินทรัพย์สูงมาก แต่ Market cap ต่ำเตี้ย เช่น General Motors มีสินทรัพย์ในงบดุลตั้งเกือบ 1 แสน 5 หมื่นล้านเหรียญ แต่มี Market cap แค่ 1 พัน 5 ร้อยล้านเหรียญเอง (ความเป็นจริงมันน่าเป็นศูนย์ เพราะส่วนทุนติดลบไปแล้ว 3 หมื่นกว่าล้านเหรียญ ถ้าอยู่ใน SET ก็ต้องโดนแขวนไปแล้ว)
ไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ..
------------------------
mprandy
Verified User
โพสต์: 1992
ผู้ติดตาม: 9

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 237

โพสต์

[quote="hongvalue"]หมอด้าดูสไลที่ 9 ของเอกสารญี่ปุ่นสิ

us ism ที่เป็นสีเขียว
ไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ..
------------------------
mprandy
Verified User
โพสต์: 1992
ผู้ติดตาม: 9

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 238

โพสต์

hongvalue เขียน:
เฮียผมงงประโยคที่เฮียบอกว่า


"จุดที่มีค่าดัชนีต่ำสุด ก็คือจุดที่มี P/E สูงสุดไม่ใช่หรือ "

หมายความว่า pe เป็นสิ่งหลอกตาปะ เพราะว่า ตลาดจะสะท้อน

earning ในอนาคต ฉะนั้นกำไรลดอวบ แต่อนาคตจะเด้ง หุ้นจะวิ่งเลย

ถึงดู pe แพงตอนแรกๆ คนซื้อไปก็ได้กำไรอยู่ดี
น้องฮงลองดูช่วงปี 2002-03 เทียบกับปี 2007-08 ดูสิครับ ถ้าดูแต่ P/E ใครมี P/E สูงกว่ากัน

2002-03 เป็นช่วง bottom ของ business cycle
2007-08 เป็นช่วง peak ของ business cycle

ดูแล้วเหมือน cyclical stock มะ
hongvalue เขียน:ส่วนอีกประเด็นนึง


ดูจากรูปแล้วสมัยปี 80 เพิ่งสิ้นสุดปัญหาของ stagflation แล้วเป็นขาขึ้น

ของหุ้น usa ไม่ใช่หรือ ช่วงนั้น pe เลยต่ำ

ถ้ารอบนี้ปัญหามันหนักมันก็อาจจะลงไป trade pe 10-15 ได้ถูกมะ

ถ้าดูจากรูป

ป.ล.ผมถามเรื่อง technic กับ future จบแล้วเลยมาถามหมอด้าต่อ

ว่าแต่เอกสาร gold future อ่านไปถึงไหนแล้ว

สรุป น้องๆการพนันเลยปะ

อิอิ
ถ้ามอง P/E ว่าถูกหรือแพง เรามักมองเทียบกับ growth ใช่หรือเปล่า
ในช่วง 1980-1990 จะเห็นว่า P/E line ดูราบเรียบไม่ชัน แสดงว่า growth rate มันต่ำ ความคาดหวังมันน้อย P/E ที่ 10-15 ก็ดูเหมาะสมดี (แค่ P/E ขึ้นไป 20 กว่าตอนปี 1987 ก็ bubble แล้ว)

พอมาดูช่วงหลังจากนั้น P/E line ชันมาก แสดงว่า earning growth สูงขึ้นมาก มุมมองของนักลงทุนก็เปลี่ยนไป ยอมจะซื้อหุ้นด้วยราคาที่สูงมากขึ้น และยอมรับ P/E ที่สูงขึ้น

ขนาดเกิด dot com bubble burst จน earning ลดพรวดกว่า 50% แค่ 5 ปีหลังจากนั้น earning โตขึ้นไป 300% แสดงให้เห็นว่าธุรกิจเขามีศักยภาพในการกลับตัวได้ดีทีเดียว (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นบ้านเรา)

จบวิกฤตคราวนี้ ถ้า earning growth มันกลับไปต่ำเตี้ยเหมือนเดิม เราก็คงได้เห็นดัชนีกลับมาที่ระดับ P/E 10-15 เหมือนเดิมก็ได้ ใครจะรู้
ไม่สน return rate เยอะ, ขอแค่ financial freedom ภายใน 14 ปีก็พอ..
------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
hongvalue
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2703
ผู้ติดตาม: 275

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 239

โพสต์

mprandy เขียน: น้องฮงลองดูช่วงปี 2002-03 เทียบกับปี 2007-08 ดูสิครับ ถ้าดูแต่ P/E ใครมี P/E สูงกว่ากัน

2002-03 เป็นช่วง bottom ของ business cycle
2007-08 เป็นช่วง peak ของ business cycle

ดูแล้วเหมือน cyclical stock มะ
อืมอืม เด็ดดวงจริงๆ

เรื่องนี้ทำให้ผมรู้ว่าเราอย่าไปยึดติดอะไรกับตัวเลข

ดิบๆมาก

แต่ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนหลังไป จนเราเข้าใจ

พฤติกรรมของมัน จะทำให้เรามองเห็นอะไรที่มากกว่าตัวเลข

+-*/   ได้จริงๆนะเนี้ย

ได้เปิดหูเปิดตาอีกแล้ว  :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 2

ขอถามอาจารย์หมอ mprandy เรื่อง usa หน่อยครับ

โพสต์ที่ 240

โพสต์

ขำโจ๊กอาจารย์ก่อน  :rofl:  :rofl:  :rofl:
อาจารย์ mprandy เขียน:Update - GDP ญี่ปุ่นหดตัว 12.7% ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา นายกญี่ปุ่นมี approval rating น้อยกว่า 10%

เทียบกับต้มยำกุ้งบ้านเรา GDP หดตัวไตรมาสนั้น 10% เองนะครับ
ไม่ได้แซวใครหลายวัน แซวอาจารย์ดีกว่า อิ อิ  :8)

real GDP ไทยที่ลบ 10% ครึ่งนั่นเป็นตัวเลขปี 41 ทั้งปีครับ ช่วงนั้นไทยเรา เศรษฐกิจหดตัวติดต่อกัน 8 ไตรมาส ดังนี้

Q2/40  -0.6%
Q3/40  -1.6%
Q4/40  -4.2%
Q1/41  -7.1%
Q2/41  -13.9%
Q3/41  -13.9%
Q4/41  -7.2%
Q1/42  -0.2%

ญี่ปุ่นลบ 12% กว่าใน Q4 ก็ถือว่ายังสู้เราไม่ได้ครับ แต่เศรษฐกิจเขาใหญ่กว่าเรามาก ผลก็จะรุนแรงตามขนาดมากกว่า

เมื่อข่าวร้ายที่สุดผ่านไป หุ้นก็มักมีเด้งดึ๋งทางเทคนิค ซึ่งการที่ข่าวร้ายที่สุดผ่านไปก็ยังไม่ได้หมายความว่าจุดต่ำสุดผ่านไปแล้วนะครับ (เศรษฐกิจยังลบต่อ พ้นจากลบก็ยังฟุบต่อ) แต่เมื่อทราบ Q3/41 หุ้นบ้านเราเริ่มนิ่งแล้ว พอทราบ Q4/41 เมษาบ้านเราหุ้นพุ่งเป็นร้อยจุดในเดือนเดียว