พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news09/02/08

โพสต์ที่ 211

โพสต์

เคหะฯอ้ำอึ้งสร้างบ้านสนองรัฐ

โพสต์ทูเดย์ การเคหะฯ แบ่งรับแบ่งสู้ นโยบายประชานิยมรัฐบาลใหม่ สร้างบ้านเพิ่มอีก 2 แสนหน่วย ผู้ว่าขอคุย รมต.ก่อนทำได้-ไม่ได้ ต้องชัดเจน


นายสุชาติ ศิริโยธิพันธุ์ ผู้ว่าการ การเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า หากรัฐบาลใหม่มีนโยบายจะให้การเคหะฯ พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยตามที่ได้หาเสียงเอาไว้ คงต้องเจรจาถึงความเป็น ไปได้ และความชัดเจนในการดำเนินการทุกๆ เรื่องก่อน

ทั้งนี้ พรรคพลังประชาชน ในฐานะแกนนำในการตั้งรัฐบาลมีนโยบายในตอนหาเสียงว่า จะสร้างที่อยู่อาศัยให้ผู้มีรายได้ปานกลาง-รายได้น้อย รวม 1.5-2 แสนหน่วย เช่น การนำที่ดินของกรมธนารักษ์มาสร้างบ้านให้กับข้าราชการ พนักงานบริษัทเอกชน รวมถึงคนที่เพิ่งเริ่มทำงาน เป็นต้น ซึ่งคาดว่าส่วนหนึ่งคงให้การเคหะฯ ดำเนินงาน นอกเหนือจากการเดินหน้าโครงการบ้านเอื้ออาทร

อย่างไรก็ตาม นายสุธา ชันแสง รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยังไม่ได้ให้นโยบายอะไรกับการเคหะฯ โดยจะมอบนโยบายให้ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง ในวันที่ 11 ก.พ.นี้

สำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทร ยังเดินหน้าตามที่รัฐบาลชุดที่แล้ว ที่ปรับลดลงจาก 601,727 หน่วย เหลือ 300,504 หน่วย โดยปีนี้จะมีบ้านสร้างเสร็จ 6.8 หมื่นหน่วย และในปี 2552-2553 จะมีบ้านสร้างเสร็จ 136,581 หน่วย จากบ้านที่สร้างเสร็จแล้วก่อนหน้านี้ 95,923 หน่วย

อย่างไรก็ตาม หนี้จากการลงทุนบ้านเอื้ออาทร ปัจจุบันมีหนี้รวม 4.6 หมื่นล้านบาท ที่จะต้องชำระคืนสถาบันการเงิน โดยจะใช้เงินที่ได้จากเงินกู้ของลูกค้า 1 หมื่นล้านบาท ชำระหนี้คืน ส่วนที่เหลือกว่า 3 หมื่นล้านบาท จะขอรีไฟแนนซ์
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=219814
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news11/02/08

โพสต์ที่ 212

โพสต์

กคช.อ่วมบ้านเอื้อฯเหลือตรึม

โพสต์ทูเดย์ กคช.มึนบ้านเอื้ออาทรสมุทรปราการ เหลือค้างกว่า 5 หมื่นยูนิต วิ่งวุ่นปรับเงื่อนไขสร้างแรงจูงใจกลับมาซื้อต่อ


รายงานข่าวจากการเคหะแห่งชาติ แจ้งว่า โครงการบ้านเอื้ออาทรที่ทำการพัฒนาในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ จำนวน 1 แสนยูนิต คาดว่าจะมีความต้องการจริงเพียง 5 หมื่นยูนิต เท่านั้น ทำให้เหลือบ้านเอื้ออาทรอีกกว่า 5 หมื่นยูนิต

ทั้งนี้ ยอมรับว่าสาเหตุของปัญหาดังกล่าว เนื่องจากในช่วงแรกประชาชนมีการลงชื่อแสดงความต้องการเป็นจำนวนมาก แต่หลังจากที่มีปัญหาการพัฒนาทำให้ล่าช้ากว่ากำหนด ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ทำให้ไม่สามารถผ่อนชำระได้ จึงมีผู้ถอนสิทธิออกไปเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม การเคหะฯ ได้พยายามแก้ปัญหา โดยจะหาช่องทางการจัดจำหน่ายออกไปให้ได้มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าโครงการไหนที่อยู่ในทำเลที่ดี แต่มีทางเข้า-ออกเพียงแค่ทางเดียว ก็ต้องพยายามหาทางออกเพิ่มเติม เพื่อดึงความสนใจของประชาชนให้เข้าไปซื้อ

นอกจากนี้ พยายามที่จะให้สถาบันการเงิน ให้สิทธิพิเศษด้วยการให้กู้ได้ 100% เพื่อเป็นการผ่อนปรนเงื่อนไขการปล่อยกู้ ให้ลูกค้าสามารถเข้ามาซื้อบ้านเอื้ออาทรได้ เพราะในภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ ทำให้ทุกคนมีความระมัดระวังในเรื่องค่าใช้จ่ายในระยะยาว แต่ถ้ามีเงื่อนไขที่ดี เชื่อว่าลูกค้าก็จะให้ความสนใจ

รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุดการเคหะฯ นำโครงการที่ยังเหลือค้างอยู่ เข้าไปขายในนิคมอุตสาหกรรม หรือโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อขายให้คนงานที่ทำงานอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมย่านสมุทรปราการ ซึ่งได้ผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ คาดว่าจะได้ลูกค้าจากกลุ่มนี้ไม่น้อยกว่า 1.5 หมื่นยูนิต

การเคหะฯ ได้ปรับเงื่อนไขในส่วนของรายได้ผู้มีสิทธิจองบ้านเอื้ออาทร ได้ขอเพิ่มจาก 2.2 หมื่นบาท เป็น 3 หมื่นบาท ซึ่งจะช่วยขยายกลุ่มที่มีกำลังซื้อให้กว้างขึ้น รวมทั้งการแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่ขอสินเชื่อไม่ผ่าน โดยการให้เช่าซื้อกับการเคหะฯ

สำหรับความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการบ้านเอื้ออาทรสมุทรปราการ มีการก่อสร้างแล้วเสร็จ และส่งมอบให้การเคหะฯ แล้วประมาณ 1.5-2 หมื่นยูนิต และจะมีการส่งมอบในปีนี้อีก 2 หมื่นยูนิต ที่เหลืออีกกว่า 6 หมื่นยูนิต มีความคืบหน้าในการก่อสร้างประมาณ 20-70%

โครงการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งรัฐบาลที่แล้วได้ปรับลดลงจาก 601,727 ยูนิต เหลือ 300,504 ยูนิต ในปีนี้จะมีบ้านที่สร้างเสร็จจำนวน 6.8 หมื่นยูนิต และในปี 2552-2553 จะมีบ้านสร้างเสร็จจำนวน 1.36 แสนยูนิต ในขณะที่มีบ้านที่สร้างเสร็จแล้วก่อนหน้านี้จำนวน 9.5 หมื่นยูนิต

อย่างไรก็ตาม สำหรับบ้านเอื้ออาทร เมื่อมีการก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมด จะเห็นอาคารที่อยู่อาศัยจากโครงการนี้เหลืออยู่ในตลาดจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นจุดที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ที่สุด ทำให้สูญเสียงบประมาณค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220106
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news12/02/08

โพสต์ที่ 213

โพสต์

กองอสังหายิ้ม กลต.คลายกฎ

โพสต์ทูเดย์ ก.ล.ต.แก้กฎกองทุนอสังหาฯ เพิ่มความน่าสนใจลงทุน คุมต่างชาติถือไม่เกิน 49% กันเลี่ยงกฎหมายที่ดิน


นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า คณะกรรมการ ก.ล.ต.มีมติวันที่ 8 ก.พ. ให้ปรับปรุงเกณฑ์การเสนอขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยกำหนดให้ต่างชาติลงทุนได้ไม่เกิน 49% ของจำนวนหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด เพื่อไม่ให้ใช้กองทุนเป็นช่องทางเลี่ยงกฎหมายที่ดิน

นอกจากนี้ ปรับปรุงการจัดสรรหน่วยลงทุน กรณีผู้จองซื้อทั่วไปให้ได้รับจัดสรรไม่น้อยกว่า 50%

กรณีผู้จองซื้อพิเศษ เช่น กองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน รวมถึงเจ้าของผู้ให้เช่า ผู้โอนสิทธิเช่าหรือกลุ่มบุคคลเดียวกันข้างต้นได้รับจัดสรรรวมกันเพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 50% โดยผู้จองซื้อพิเศษแต่ละรายยังได้รับจัดสรรไม่เกิน 1 ใน 3 ของทั้งหมด ยกเว้น ผู้จองซื้อพิเศษดังกล่าว

ปกติเจ้าของอสังหาฯ จะได้รับจัดสรรเต็มเพดาน 1 ใน 3 จึงเหลือหน่วยลงทุนน้อย ซึ่งการเพิ่มสัดส่วนให้ผู้จองซื้อพิเศษจะเปิดโอกาสให้สถาบันได้รับจัดสรรตามต้องการ ส่วนการปรับเกณฑ์จะเพิ่มความน่าสนใจของกองทุนและเป็นไปตามหลักสากล นายธีระชัย กล่าว

นอกจากนี้ การขยายสิทธิการออกเสียงให้ผู้จองซื้อพิเศษหรือผู้ลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ จากเดิมออกเสียงได้ไม่เกิน 1 ใน 3 เป็นออกได้ตามที่ถือจริง แต่ไม่เกิน 50% ของหน่วยลงทุน

ทั้งนี้ ก.ล.ต.ยังได้ปรับเกณฑ์การจัดสรรหน่วยลงทุนในการเพิ่มเงินทุนให้คล่องตัว หากประชุมขอมติต้องได้คะแนนเสียงไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนหน่วยของผู้ที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียง หากเป็นหนังสือขอมติต้องได้รับมติเกินกึ่งหนึ่ง

นอกจากนี้ ให้กองทุนอสังหาฯ กู้ยืมเงินได้ไม่เกิน 10% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เพื่อใช้ในการปรับปรุงอสังหาฯ หรือลงทุนเพิ่ม และกำหนดให้ตั้งชื่อกองทุนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุน เพื่อให้นักลงทุนตัดสินใจได้ถูกต้อง

กรณีผู้จัดจำหน่ายและรับประกันจัดจำหน่ายที่จำเป็นต้องถือเกิน 1 ใน 3 เพราะขายไม่หมด สามารถได้รับเงินปันผลและสิทธิประโยชน์ส่วนที่ถือเกินได้ แต่ต้องขายส่วนที่เกินออกใน 1 ปี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=220326
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news14/02/08

โพสต์ที่ 214

โพสต์

หุ้นกลุ่มอสังหาเตรียมเฮ

นักวิเคราะห์มองราคาหุ้นอสังหาเด้งรับมาตรการ30% ถูกยกเลิกพร้อมขานรับอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มหดตัวลดลง แนะกลยุทธ์ลงทุนคัดสรรตัวเด็ดค่า P/E ต่ำ จ่ายปันผลสูงราคายังมีอัพไซด์ เฟ้นตัวเด็ดพื้นฐานจ๊าบเทคนิคแจ๋วต้อง PS  LPN  AP  SC   SPALI  SIRI  และ PF
    วานนี้(13 ก.พ 51) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้น 11.92 จุดโดยปิดทำการที่ 8.29.41 จุดคิดเป็นการเปลี่ยนแปลง 1.46% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 26,282 ล้านบาทส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้น 1.49 จุดมาอยู่ที่ 132.64 จุดคิดเป็นการเปลี่ยนแปลง 1.14% มูลค่าการซื้อขาย 2,670 ล้านบาท
    นายเทิดศักดิ์  ทวีธีระธรรม  ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นยังคงจะมาจากการคาดการณ์ล่วงหน้าของนักลงทุนว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกจากการยกเลิกมาตราการสำรอง 30%
    ดังนั้นส่งผลทำให้นักลงทุนมองว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวจะได้รับผลประโยชน์จากการยกเลิกมาตราการดังกล่าว ขณะเดียวกันราคาหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์บางตัวมีค่าพีอีเรโช ( P/E) ที่ค่อนข้างต่ำ อีกทั้งยังมีนยาบยการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นทุกปี อีกทั้งแผนการดำเนินธุรกิจในแต่ละปีของผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดจะชัดเจน อาทิ แผนการเปิดโครงการใหม่ และมูลค่างานในมือ ( BACKLOG ) ที่มีอยู่
    ถือว่าเป็นการมองข้ามช็อตของนักลงทุนจากการคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงทันทีหลังจากยกเลิกมาตราการสำรอง 30% นักลงทุนจึงมองหุ้นกลุ่มนี้จะได้รับผลประโยชน์เพราะอัตราดอกเบี้ยกับราคาหุ้นอสังหาริมทรัพย์จะวิ่งสวนกันอยู่แล้วเป็นปกติรวมถึงค่า P/E ที่ต่ำ บางตัวปันผลสูงแต่ราคากับไม่สะท้อนพื้นฐานได้เท่าที่ควร นายเทิดศักดิ์กล่าว
http://www.thunhoon.com/home/
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news21/02/08

โพสต์ที่ 215

โพสต์

เผยโครงการใหม่ราคาพุ่ง คอนโดฯ ยังแชมป์เปิดตัว

โดย ผู้จัดการออนไลน์
21 กุมภาพันธ์ 2551 09:52 น.

      AREA เผยผลสำรวจอสังหาฯเดือนม.ค.โครงการเปิดใหม่ลดลง 3โครงการเมื่อเทียบ ธ.ค.50 ขณะที่มูลค่าขายกลุ่มสูงกว่า แจงคอนโดฯแนวรถไฟฟ้ายังครองแชมป์เปิดตัวสูงสุด 4,532 หน่วย ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยยังปรับตัวสูงขึ้น ระบุสัดส่วนการพัฒนาโครงการบริษัท อสังหาฯในตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดตัวสูงสุด
     
      นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูล วิจัยและประเมินค่าทรัพย์สิน AREA กล่าวว่า จากผลการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเดือน ม.ค.51 ที่ผ่านมาพบว่ามีการเปิดตัวโครงการใหม่ 23 โครงการ ลดลงจากเดือนธ.ค.50จำนวน3โครงการ โดยเป็นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 22 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วย6,637 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 17,179 ล้านบาท คิดเป็น95% ของจำนวนการเปิดตัวของโครงการใหม่ทั้งหมด ส่วนอีก1 โครงการเป็นโครงการประเภทที่พักอาศัย จำนวน 359 หน่วย คิดเป็น5%
     
      ทั้งนี้ จากจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ดังกล่าวพบว่าจำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนม.ค. เป็นการพัฒนาในประเภทอาคารชุดตากอากาศ และโฮมออฟฟิศ โดยส่วนใหญ่ยังมีการพัฒนาตามแนวรถไฟฟ้า โดยเฉพาะในพื้นที่ย่านพหลโยธิน, พญาไท, รัชดาภิเษก, สุทธิสาร, สุขุมวิท และตากสิน-สาทร ซึ่งมีจำนวนการเปิดขายอาคารชุดสูงถึง 4,532 หน่วย หรือประมาณ 69% ของจำนวนหน่วยขายทั้งหมด ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ในเดือน ธ.ค.50ที่ผ่านมา มีจำนวนหน่วยขายเพิ่มขึ้น1,432 หน่วย โดยในเดือน ธ.ค.50 มีจำนวนอาคารชุดเปิดขาย 3,100 หน่วย หรือมีหน่วยขายเพิ่ม32% สะท้อนให้เห็นว่าการพัฒนาอาคารชุดค่อนต่อเนื่อง
     
      ส่วนที่อยู่อาศัยที่มีจำนวนการเปิดขายรองลงมาคือ โครงการทาวน์เฮาส์ ซึ่งมีอยู่ 946 หน่วย หรือประมาณ 14% ส่วนโครงการบ้านเดี่ยวมีจำนวน 760 หน่วย หรือประมาณ 12% ในขณะที่ที่อยู่อาศัยอื่นๆ ยังมีการพัฒนาอยู่ค่อนข้างน้อย คือมีเพียง 359 หน่วย หรือประมาณ 5% ของจำนวนหน่วยทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยในอาคารชุดตามแนวรถไฟฟ้ายังขยายตัวต่อเนื่อง เพราะผ็บริโภคต้องการหนีปัญหาการจราจร และต้นทุนในการเดินทาง
     
      นายโสภณ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณามูลค่าโครงการโดยรวมจะสูงกว่าเดือน ธ.ค.50ที่ผ่านมาถึง 19% และมีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้น เนื่องจากการพัฒนาในเดือนนี้มีจำนวนหน่วยขายที่มีระดับราคา 3-5 ล้านบาทอยู่จำนวนประมาณ 10% และที่ราคาเกิน 5 ล้านบาทขึ้นไปอีกประมาณ 9% ของหน่วยขายทั้งหมด อีกทั้งยังมีมูลค่าสูงถึง 48% ของมูลค่าทั้งหมด จึงทำให้ราคาขายเฉลี่ยของเดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยมีราคาขายเฉลี่ยที่ประมาณ 2.588 ล้านบาทต่อหน่วย ในขณะที่เดือน ธ.ค.50 ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่2.354 ล้านบาทต่อหน่วย
     
      ในเดือนม.ค.ไม่มีโครงการใหม่ที่มีราคาต่ำกว่า 5 แสนบาท และระดับราคาที่มีจำนวนหน่วยขายมากที่สุดจะอยู่ที่ระดับราคา 1-2 ล้านบาท โดยหน่วยขาย 2,964 หน่วยหรือประมาณ 45% ของหน่วยขายทั้งหมด ราคา 2-3 ล้านบาท มีจำนวน 1,259 หน่วย หรือประมาณ 19% ราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 644 หน่วยหรือประมาณ 10% ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 9% จะเป็นหน่วยขายที่มีระดับราคาเกิน 5 ล้านบาทขึ้นไป
     
      โดยรวมแล้ว พบว่าในมีหน่วยขายที่มีระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทมากที่สุด และมีมูลค่ารวมกันสูงถึง 51% ของมูลค่าทั้งหมด คือ 8,866 ล้านบาท จากมูลค่ารวม 17,179 ล้านบาท ส่วนราคา 3-5 ล้านบาทมีมูลค่ารวม14% ของมูลค่าทั้งหมด คือ2,427 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อพิจารณาถึงผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ จะพบว่าเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 6 บริษัท คือ บริษัท ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) จำนวน 3 โครงการ, บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน), อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000021410
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news26/02/08

โพสต์ที่ 216

โพสต์

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์
         ประเด็นข่าว :
ความเป็นไปได้ของการลดภาษีธุรกิจเฉพาะและค่าธรรมเนียมการโอน
         ความเห็นและคำแนะนำ : การพิจารณาลดภาษีธุรกิจเฉพาะซึ่งเป็นภาระของผู้ประกอบการ (จาก 3.3% อาจลดเหลือ 0.01%) และค่าธรรมเนียมการโอนที่เป็นภาระของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค (จาก 2% อาจลดเหลือ 0.01%) ดังนั้น หากมีการผ่อนผันจริงจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการมากกว่าผู้บริโภคโดยจะทำให้ผู้ประกอบการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านภาษีรวม 4.3% และจะเป็นปัจจัยที่ช่วยลดแรงกดดันของการปรับราคาขายเพิ่มขึ้น  ลด inventory และเป็นเกราะรองรับความผันผวนของอัตราการทำกำไรขั้นต้นที่ถูกกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ในระยะสั้นอาจเกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
โดยบริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด ประจำวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2551

http://www.thunhoon.com/home/
MindTrick
Verified User
โพสต์: 1288
ผู้ติดตาม: 0

Re: news26/02/08

โพสต์ที่ 217

โพสต์

chartchai madman เขียน:กลุ่มอสังหาริมทรัพย์
         ประเด็นข่าว :
ความเป็นไปได้ของการลดภาษีธุรกิจเฉพาะและค่าธรรมเนียมการโอน
         ความเห็นและคำแนะนำ : การพิจารณาลดภาษีธุรกิจเฉพาะซึ่งเป็นภาระของผู้ประกอบการ (จาก 3.3% อาจลดเหลือ 0.01%) และค่าธรรมเนียมการโอนที่เป็นภาระของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค (จาก 2% อาจลดเหลือ 0.01%) ดังนั้น หากมีการผ่อนผันจริงจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการมากกว่าผู้บริโภคโดยจะทำให้ผู้ประกอบการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านภาษีรวม 4.3% และจะเป็นปัจจัยที่ช่วยลดแรงกดดันของการปรับราคาขายเพิ่มขึ้น  ลด inventory และเป็นเกราะรองรับความผันผวนของอัตราการทำกำไรขั้นต้นที่ถูกกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ในระยะสั้นอาจเกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
โดยบริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด ประจำวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2551

http://www.thunhoon.com/home/
เห็นข่าวว่า เลี๊ยบไม่อนุมัติครับ ปรับแต่ฐานภาษีคนทั่วไปให้รายได้ไม่เกิน 150,000ต่อปี ไม่เสียภาษี เค้าถือว่าช่วยทางอ้้อม..
^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news29/02/08

โพสต์ที่ 218

โพสต์

รับเหมาโอดถูกกดราคา แบกต้นทุนพุ่ง-กำไรหด

โพสต์ทูเดย์ คริสเตียนีฯ โอด ผู้ประกอบการอสังหาฯ กดราคาค่าก่อสร้างหนัก โยนต้นทุนก่อสร้างที่พุ่งขึ้นต่อเนื่องให้แบก


นายดนุช ยนตรรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัจจุบัน ผู้รับเหมาก่อสร้างถูกผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์กดราคาค่าก่อสร้าง โดยให้แบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากต้นทุนน้ำมันและราคาเหล็กที่ปรับเพิ่มขึ้น

ขณะนี้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ไม่ยอมให้เราบวกค่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากงานก่อสร้าง หลังจากต้นทุนปรับเพิ่มขึ้น อย่างเช่นเหล็กเส้น จะโค้ดราคาปัจจุบัน แต่เมื่อขอบวกค่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เพื่อจะขอขยับราคาจะขยับขึ้นลง กลับทำไม่ได้ และให้ภาระดังกล่าวเป็นของผู้รับเหมาก่อสร้าง นาย ดนุช กล่าว

ทั้งนี้ โครงการที่กดราคาส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดมิเนียมเกาะแนวรถไฟฟ้า เช่น โครงการคอนโดมิเนียมสุขุมวิท 103 และบริเวณสาทรตากสิน ที่บริษัทรับงานก่อสร้างนั้น ได้เปิดขายต่อตารางเมตร ราคา เฉลี่ยอยู่ที่ 7 หมื่นบาทต่อตารางเมตร แต่กดราคาบริษัทรับงานก่อสร้างอยู่ที่ 1.4 หมื่นบาทต่อตารางเมตร ซึ่งส่วนต่างที่เหลือจะหมดไปกับค่าการตลาดและเป็นรายได้ของผู้ประกอบการ

สำหรับในปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 1-1.5% ขณะที่กำไรเบื้องต้นอยู่ที่ 5-8% แต่คาดว่าใน ปีนี้จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นกว่า ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีแบ็กล็อกหรืองานอยู่ในมือคิดเป็นมูลค่า 4 พันล้านบาท และคาดว่าในปีนี้จะมีงานก่อสร้างเพิ่มขึ้นอีก 5 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานของภาคเอกชน 90% ที่เหลือ 10% เป็นงานก่อสร้างของภาครัฐ

ด้านนายวสันต์ เคียงศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ กล่าวว่า ปีนี้ได้ปรับแผนงานก่อสร้างใหม่ จากที่ผ่านมาสัดส่วนบ้านสร้างเสร็จก่อนขายอยู่ที่ 70% ที่เหลือ 30% เป็นบ้านที่ก่อสร้างตามงวดเงินดาวน์ มาเป็นบ้านสร้างเสร็จก่อนขายอยู่ที่ 30% ที่เหลือ 70% เป็นบ้านที่ก่อสร้าง ตามเงินดาวน์ เนื่องจากจะได้รู้ความต้องการของผู้บริโภคและก่อสร้างบ้านโดยไม่เหลือค้างสต๊อก

นายวสันต์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกบ้านเหลืออยู่ 20 ยูนิต ล่าสุดบริษัทได้จัดกิจกรรมตลาด โดยร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ และอินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์ จัดแคมเปญ Zero Or Free ให้อัตราดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 12 เดือน เมื่อจองซื้อบ้านในช่วงวันที่ 1-31 มี.ค. นี้ ผลจากการจัดแคมเปญดังกล่าว ตั้งเป้าว่าจะมียอดขาย 130 ล้านบาท หรือ 40-50 ยูนิต
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=223748
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news05/03/08

โพสต์ที่ 219

โพสต์

Hard Topic  

เอกชนหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ พร้อมแนะ ธปท. ลดดอกเบี้ยปีนี้ 1% ช่วยกระตุ้นอสังหาฯ ได้

Posted on Wednesday, March 05, 2008
นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel โดยเชื่อว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงการคลังที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ (4 มี.ค.) เช่น ลดค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% ภาษีธุรกิจเฉพาะ จาก 3.3% เหลือ 0.1% และค่าจดจำนอง จาก 1% เหลือ 0.01% จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ และจะช่วยลดการเกิดปัญหาฟองสบู่ด้วย เนื่องจากค่าภาษีและค่าธรรมเนียมที่ลดลง จะช่วยให้ผู้ประกอบการขายสินค้าได้เร็วขึ้น

อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลก็ยังไม่สามารถช่วยได้อย่างเต็มที่ จึงควรที่จะมีมาตรการทางการเงินเข้ามาช่วยด้วย โดยอยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดอัตราดอกเบี้ยตลอดปี 2551 ลง 1% ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนมีความสามารถในการผ่อนเพิ่มขึ้น 10% นอกจากนี้ยังจะช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทด้วย

ส่วนมาตรการอื่น ๆ ของรัฐบาล เช่น กระตุ้นการบริโภคของประชาชนด้วยการปรับเพิ่มเงินได้สุทธิที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากเดิม 1 แสนบาท เพิ่มเป็น 1.5 แสนบาทนั้น ก็จะช่วยให้ประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม อยากให้รัฐบาลเพิ่มวงเงินการหักลดหย่อนภาษีให้มากกว่านี้ เนื่องจากถ้าประชาชนมีการบริโภคมากขึ้น ก็จะส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อของประเทศได้

ขณะที่มาตรการกระตุ้นการลงทุน เช่น การให้ผู้ประกอบการหักค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาของเครื่องจักร หรือวัสดุที่มีผลต่อการประหยัดพลังงานโดยรวมค่าติดตั้งได้ 1.25 เท่าของค่าใช้จ่าย และให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นของเครื่องจักรและอุปกรณ์ได้ 40% ของมูลค่าต้นทุน ถือเป็นมาตรการที่ดี แต่รัฐบาลควรที่จะขยายเวลาและเพิ่มวงเงินการหักค่าใช้จ่ายให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการแล้ว ยังจะช่วยให้รัฐสามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นวิธีนี้ยังไม่ผิดข้อตกลงที่ไทยทำกับองค์การการค้าโลก (WTO) ด้วย

ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัยเผยว่า ขณะนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องในภาคอสังหาริมทรัพย์กำลังรอดูความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าอยู่ เนื่องจากเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่วนกรณีที่โครงการรถไฟฟ้ามีผลการดำเนินที่ขาดทุนนั้น เห็นว่า รัฐสามารถแก้ไขได้ด้วยการตั้งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทำข้อตกลงกับเจ้าของที่ดินที่อยู่บริเวณรอบ ๆ สถานี เพื่อให้รัฐได้ประโยชน์จากราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้น

ดร.บันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัยสายบริหารความเสี่ยง ธนาคารไทยธนาคาร กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า มีเพียง 3 มาตรการเท่านั้นที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ คือ มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ มาตรการกระตุ้นการลงทุน และมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ส่วนมาตรการอื่น ๆ เช่น มาตรการกระตุ้นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มาตรการกระตุ้นให้มีบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น และมาตรการกระตุ้นการประหยัดพลังงาน ล้วนไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้มาตรการที่รัฐบาลประกาศใช้บางข้อยังมีความขัดแย้งกันเองด้วย คือ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน และมาตรการกระตุ้นการออม

นอกจากนี้ บางมาตรการก็มองว่า ไม่น่าจะมีประสิทธิภาพมากนัก เช่น มาตรการหักค่าเสื่อม 40% โดยมองว่า รัฐบาลควรให้ผู้ประกอบการนำเงินลงทุนไปหักออกจากรายได้พึงประเมินในปีนั้น ๆ (Investment Tax Credit) จะช่วยกระตุ้นการลงทุนของผู้ประกอบการได้มากกว่าการหักค่าเสื่อม 40%

ดร.บันลือศักดิ์เผยว่า ขณะนี้รู้สึกเป็นห่วงอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลก็อาจจะส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อบ้าง โดยภาครัฐสามารถแก้ไขได้ด้วยการปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น เพราะจะช่วยให้น้ำมันนำเข้ามีราคาถูกลง ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยของธนาคารไทยธนาคารคาดว่า ปีนี้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 3.5% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ 1.5%

ดร.บันลือศักดิ์ยังกล่าวถึงอัตราดอกเบี้ยของไทยด้วยว่า ธปท. จะต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างแน่นอน เพียงแต่ยังรอเวลาที่เหมาะสม ส่วนอัตราดอกเบี้ยของไทยในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 2 2.5% ส่วนอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะลดลงมาอยู่ที่ 1%

ติดตาม Hard Topic ทาง Money Channel True Visions 80 ทุกวันจันทร์ ศุกร์ เวลา 13.00 14.00 น.

ช่องทางการรับชม Money Channel: True Visions ช่อง 80, จานดาวเทียม Samart DTH ช่อง 08 และเคเบิลทีวีท้องถิ่นทั่วประเทศ ช่อง 30
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news05/03/08

โพสต์ที่ 220

โพสต์

นักวิเคราะห์ประสานเสียงเชียร์ซื้อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
Posted on Wednesday, March 05, 2008
การสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์โดยสมาคมนักวิเคราะห์ฯ ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2551 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบเกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นหลังยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ในประเด็นด้านผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นและค่าเงินบาท หมวดธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ปัจจัยอื่นที่นักวิเคราะห์ให้ความสำคัญ รวมถึงคำแนะนำให้กับนักลงทุน โดยมีสำนักวิจัยจากบริษัทหลักทรัพย์ทั้งไทยและบริษัทต่างชาติแสดงความเห็นรวม 20 แห่ง พบว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (80%) เห็นด้วยกับการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ในขณะที่ 15% ไม่เห็นด้วย และอีก 5% ไม่มีความเห็น

นักวิเคราะห์ 2 ใน 3 เห็นว่าการยกเลิกมาตรการดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ และจะมีเงินทุนไหลเข้ามากขึ้นจากบรรยากาศการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น

ทั้งนี้ หุ้นที่จะได้รับผลบวกมากที่สุดคือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่มีการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ รองลงมาคือ กลุ่มบริษัทที่มีหนี้สินต่างประเทศ ซึ่งอาจทยอยชำระคืนหนี้ได้จากการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท และตามมาด้วย กลุ่มธนาคารพาณิชย์

ส่วนกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลลบคือ กลุ่มธุรกิจส่งออก รองลงมาคือ กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และอิเลคทรอนิกส์ เนื่องจากมีรายได้เป็นเงินดอลลาร์

นอกเหนือจากปัจจัยเรื่องการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% แล้ว ปัจจัยที่นักวิเคราะห์ให้น้ำหนักสำคัญมากที่สุดคือ ปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศ รองลงมาคือภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ถดถอยจากปัญหา Subprime ตามมาด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทถัวเฉลี่ยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศ ใน 4 สัปดาห์ข้างหน้า จะแข็งค่าขึ้น โดยมีอัตราเฉลี่ยที่ระดับ 30.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีนักวิเคราะห์บางส่วนประเมินว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงไปอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 31.9 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

คำแนะนำที่นักวิเคราะห์มีให้กับนักลงทุนโดยสรุป คือ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงบริษัทที่มีการออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากได้รับผลดีจากการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศรวมทั้งโครงการลงทุนของภาครัฐ และหุ้นกลุ่มที่มีปันผลดี รวมถึงกลุ่มธนาคาร และพลังงาน แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มส่งออก และมีนักวิเคราะห์บางรายเตือนสถานการณ์โดยรวมตลาดหุ้นว่า ยังไม่น่าไว้วางใจและอาจปรับฐานลงในระยะสั้น

ด้านนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวด้วยว่า ตลาดหุ้นไทยมักตอบรับกับข่าวในด้านบวกไปล่วงหน้าก่อนที่เหตุการณ์นั้น ๆ จะเกิดขึ้นจริง ซึ่งรวมถึงการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% และการประกาศมาตรการภาษีของรัฐบาล แต่ในระยะนี้มีการขายทำกำไรออกมาตามคำแนะนำของนักวิเคราะห์จึงไม่สามารถทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยฝ่าแนวต้านที่ 850 จุดไปได้ อย่างไรก็ตาม หากดัชนีตลาดหุ้นไทยจะสามารถบวกเพิ่มขึ้นไปได้มากกว่านี้จะต้องอาศัยปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก เนื่องจากปัจจัยภายนอกประเทศเต็มไปด้วยข่าวร้าย

เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์มองว่า การดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้จะมีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่ตอนนี้นับได้ว่า ยากต่อการณ์คาดเดาว่าจะลดลงเท่าไร และเมื่อใด ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนที่ผ่านมา นับเป็นแรงกดดันอย่างมากต่อคณะกรรมการนโยบายการเงินในการประชุมครั้งถัดไป
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news12/03/08

โพสต์ที่ 221

โพสต์

วัสดุตกแต่ง-เฟอร์นิเจอร์แย่งเค้กตลาดบ้าน

โพสต์ทูเดย์ เฟอร์นิเจอร์-อุปกรณ์ตกแต่งบ้านแข่งเดือด รับมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์


นายพงศ์ ศกุนตนาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ซี อาร์ ซี เพาเวอร์ รีเทล ผู้ดำเนินธุรกิจโฮมเวิร์ค ศูนย์รวมสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้านครบวงจร กล่าวว่า จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องการลดค่าธรรมเนียมการโอนและภาษีธุรกิจเฉพาะ จะส่งผลดีต่อกับธุรกิจเนื่องจากจะมีบ้านใหม่ที่โอนมากขึ้นในปีนี้ จะส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องอย่างสินค้าตกแต่งบ้านเติบโตตามไปด้วย

ในปีนี้บริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายเพิ่ม 15% หรือคิดเป็นมูลค่า 2,645 ล้านบาท จากปีก่อนที่มียอดขาย 2.3 พันล้านบาท และตั้งเป้าลูกค้าเพิ่มขึ้นทุกสาขา 10% จากที่ลูกค้ามาใช้บริการ 2 หมื่นกว่าคนต่อเดือน โดยเน้นกลยุทธ์ไดเรกมาร์เก็ตติง เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าแต่ละประเภทมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าบ้านใหม่ บ้านเก่า หรือกลุ่มผู้รับเหมา

นอกจากนี้บริษัทใช้งบลงทุน 1 พันล้านบาท เพื่อขยายสาขาที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งจะเปิดสาขาใหม่เพียงแห่งเดียวในปีนี้ มีเนื้อที่ 27 ไร่ พื้นที่รวม 2.6 หมื่นตร.ม. จะแบ่งเป็นพื้นที่เช่า 1.3 หมื่นตร.ม. หรือจำนวน 107 ร้านค้า คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือน ต.ค. ที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปีหน้าบริษัทจะขยายสาขาใหม่ในรูปแบบสแตนด์ อโลน เฉลี่ยปีละ 4-5 สาขา

ขณะที่ นางธัญญรักข์ ชวาลดิฐ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอส.บี.อุตสาหกรรมเครื่องเรือน ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ เอส.บี. และคอนเซ็ปต์ กล่าวว่า การแข่งขันในตลาดเฟอร์นิเจอร์ปีนี้และปีหน้าจะรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สร้างเสร็จและส่งมอบ อย่างในปีนี้มีโครงการที่สร้างเสร็จเพิ่มขึ้น 58% หรือมากกว่า 1 หมื่นยูนิต

บริษัทจึงหันมารุกตลาดคอนโด มิเนียมแนวรถไฟฟ้ามากขึ้น ด้วยการใช้งบการตลาดรวม 80 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมตลาดในแบรนด์คอนเซ็ปต์ เฟอร์นิเจอร์โดยตั้งเป้าเติบโตมากกว่า 20% จากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าอัตราที่เพิ่มขึ้นของรายได้ จะมาจากยอดขายผ่านโครงการคอนโดมิเนียมต่างๆ

สำหรับในปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวม 4 พันล้านบาท แบ่งเป็น จากแบรนด์ เอส.บี. เฟอร์นิเจอร์ 3 พันล้านบาท และคอนเซ็ปต์ เฟอร์นิเจอร์ 1 พันล้านบาท และมีแผนลงทุนอีก 300 ล้านบาท ในการขยายสาขา เอส.บี. ดีไซน์สแควร์ ที่คริสตอล ดีไซน์ เซ็นเตอร์
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=226060
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news12/03/08

โพสต์ที่ 222

โพสต์

Breaking News  

อุตสาหกรรมก่อสร้างไทย สุดทน ต้นทุนเหล็กพุ่ง 65% ขอให้คุมราคาเหล็ก+ปรับระเบียบประมูลงานรัฐ

Posted on Wednesday, March 12, 2008

นายพลพัฒ กรรณสูต นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า สมาคมได้ส่งตัวแทนยื่นหนังสือต่อนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ขอให้รัฐบาลเข้ามาควบคุมราคาเหล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล็กเส้น ซึ่งขณะนี้ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากเดิม 65% จากตันละ 1.8 - 1.9 หมื่นบาท ในปีก่อน พุ่งขึ้นเป็นตันละ 3.0 - 3.1 หมื่นบาท สร้างความเสียหายให้กับภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างไปแล้วกว่า 4,500 ล้านบาท

เพราะในช่วงที่ผ่านมา ผู้ประกอบการที่มีการลงนามในสัญญากับทางราชการ หรือชนะการประมูล ได้เสนอราคาต้นทุนเหล็ก สำหรับใช้ในโครงการไปก่อนแล้ว และราคาดังกล่าวต่ำกว่าราคาในความเป็นจริงมาก จนทำให้ผู้ประกอบการประสบปัญหาขาดทุน ดังนั้น สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในฐานะเป็นศูนย์กลางของผู้ประกอบการในแวดวงอุตสาหกรรมก่อสร้าง จึงจำเป็นต้องรวมตัวกันยื่นหนังสือให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาให้กับอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ก่อนที่จะเกิดผลกระทบต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมต่าง ๆ และส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ในวงกว้างต่อไป เนื่องจากปีหนึ่ง ๆ จะมีความต้องการใช้เหล็กทั้งระบบสูงถึง 4.5 ล้านตัน

ทั้งนี้ สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือ 5 ด้าน สรุปได้ดังนี้

ประการแรก ขอให้กระทรวงพาณิชย์ควบคุมราคาเหล็กเส้นให้อยู่ในระดับราคาควบคุมที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ และปรับราคากลางของเหล็กให้เป็นไปตามราคาควบคุมเพราะปัจจุบันราคาเหล็กที่ซื้อขายในท้องตลาดสูงกว่าราคาที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดตันละ 2,000 - 3,000 บาท

ประการที่สอง ขอให้มีการเปิดเสรีนำเข้าเหล็กเส้นจากต่างประเทศได้ และมีการตรวจมาตรฐาน มอก. เหล็กนั้น ๆ ให้มีคุณภาพเพื่อให้สามารถขายได้ในประเทศ เพื่อลดปัญหาขาดแคลนเหล็กเส้นบางประเภท โดยเฉพาะเหล็กเส้นกลมซึ่งปัจจุบันผู้ผลิตในประเทศผลิตจำนวนลดลง

ประการที่สาม ขอให้ภาครัฐแก้ไขวิธีการคำนวณสัญญาแบบปรับราคาชดเชยค่าก่อสร้าง (ค่า K) งานราชการทุกสัญญา โดยงดการหักดัวย 4% เมื่อต้องเพิ่มค่างานหรือบวกเพิ่ม 4% เมื่อต้องเรียกค่างานคืน จนกว่าทางราชการจะปรับปรุงสูตรการปรับราคาชดเชยค่าก่อสร้างแล้วเสร็จ

ประการที่สี่ ขอให้ช่วยจัดหาเหล็กให้เพียงพอกับความต้องการ ในราคาที่ได้เสนอในการประมูลเพื่อให้ผู้รับเหมาสามารถดำเนินงานที่ประมูลได้ต่อไปจนแล้วเสร็จโดยไม่ได้รับความเสียหาย ในการประมูลงานแต่ละครั้งผู้รับเหมาได้เสนอราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้างไปก่อนที่จะคัดเลือกบริษัทให้มารับผิดชอบซึ่งระยะเวลาดังกล่าวบางกรณีอาจใช้เวลานานถึง 3 - 4 เดือน ทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะเหล็กเส้นปรับราคาขึ้น และขณะนี้ได้ปรับราคาสูงขึ้นมากทำให้ผู้รับเหมาที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินงานในโครงการของทั้งภาครัฐและเอกชนประสบปัญหาขาดทุนกันถ้วนหน้า

และประการสุดท้าย ขอให้รัฐบาลปรับเปลี่ยนวิธีการประมูลงานของภาครัฐใหม่ โดยแก้ไขระเบียบการประมูลงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ และปรับราคากลางให้เป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงได้ เพื่อลดปัญหาผู้รับเหมาทิ้งงานหรือทำงานไม่เสร็จตามกำหนดเพราะได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news14/03/08

โพสต์ที่ 223

โพสต์

มหกรรมบ้าน แคมเปญตรึม งัดกระตุ้นยอด

โพสต์ทูเดย์ เปิดฉากงานมหกรรมบ้านและคอนโด ผู้ประกอบการตีปีกได้มาตรการอสังหาฯ ดันยอด


นายถวนันท์ ธเนศเดชสุนทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเวล เดเวลอปเมนท์ ผู้พัฒนาโครงการ ดี 65 คอนโดมิเนียม กล่าวว่า ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 18 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-16 มี.ค. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ นอกจากจะจัดแคมเปญการตลาดโดยมอบส่วนลดและของแถมให้กับผู้ซื้อแล้ว ยังได้มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐมาเป็นตัวเร่งการขาย ซึ่งถือเป็นมาตรการทางด้านจิตวิทยาที่ได้ผลดีโดยบริษัทคาดว่าจะมียอดขาย คอนโด 45 ล้านบาท หรือ 15 ยูนิต

ภายในงานยังมีแคมเปญการตลาดหลากหลาย อาทิ บริษัท เจ้าพระยามหานคร จัดแคมเปญส่วนลด ในโครงการชาโตว์ อินทาวน์ 3 ทำเลติดรถไฟฟ้า จำนวน 2 แสนบาท โครงการแบงคอก ฮอไรซอน รามคำแหง ให้ส่วนลด 4 แสนบาท รวมถึงฟรีค่าธรรมเนียมการโอนทันทีในโครงการที่ก่อสร้างเสร็จ โดยไม่ต้องรอมาตรการรัฐประกาศใช้ ขณะที่บริษัท ธารารมณ์ ออกแคมเปญดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี บริษัท ไอริสกรุ๊ป ให้ส่วนลดบ้านเดี่ยวและคอนโด ในโครงการไอริสพระราม 9-ศรีนครินทร์ สูงสุด 3 แสนบาท เป็นต้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=226511
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news04/04/08

โพสต์ที่ 224

โพสต์

โบรกเปิดโผหุ้นอสังหาราคาต่ำบุ๊ก

โบรกหลายสำนักส่งซิกหุ้นอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ราคาเริ่มแพงหูฉี่  ชี้ของดีขนาดเล็กยังมีให้เล่นอีกเพียบแถมราคายังต่ำกว่า P/BV ชู BROCK MJD- PF และ SC เด่นเข้าตาสุดพื้นฐานแน่นปึ๊ก ขณะที่นโยบายภาครัฐ ทั้งดอกเบี้ยขาลงและการลดภาษีโอนบ้านยังเป็นตัวขับเคลื่อนให้ผลงานปี 51 เติบโตไฉไล แนะเก็บเข้าพอร์ตนอนรอกอดกำไรและเงินปันผลยาว
    นายภูวดล  ลาภอุดมสุข  ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ปัจจุบันราคาได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินปัจจัยพื้นฐานพอสมควร หลังจากภาครัฐประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนกันมากเป็นพิเศษ ขณะที่หุ้นขนาดเล็กยังมีช่องว่างทำกำไรให้ได้อีกจำนวนมาก อีกทั้งมูลค่าหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี P/BVที่ควรจะเป็นยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก
    สำหรับหุ้นขนาดเล็กในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ฝ่ายวิจัยแนะนำ คือ บริษัท บ้านร็อคการ์เด้น จำกัด (มหาชน) BROCK ให้ราคาเป้าหมาย 1.81 บาท P/BV อยู่ที่ 0.87 เท่า ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคให้แนวรับ 1.20 บาท แนวต้าน 1.50 บาท  บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  MJD ราคาพื้นฐาน 6.37 บาท P/BV อยู่ที่ 0.12 เท่า แนวรับ 4.60 บาท แนวต้าน 5.00 บาท
    บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)  PF ราคาพื้นฐาน 6.41 บาท P/BV อยู่ที่ 0.51 เท่า แนวรับ 5.00 บาท แนวต้าน 6.00 บาท และบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  SC ราคาพื้นฐาน 20.16 บาท P/BV 0.93 เท่า แนวรับ 14.50 บาท แนวต้าน 16.50 บาท
      มองว่าหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ได้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลประกาศนโยบายให้ชนชั้นกลางมีกำลังซื้อบ้านเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีประเด็นแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ย R/Pของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เนื่องจากแนวโน้มของดอกเบี้ยสหรัฐยังเป็นขาลง นายภูวดลกล่าว
    นอกจากนี้นโยบายการลดภาษีการโอนบ้านของภาคอสังหาริมทรัพย์ในส่วนของบริษัทส่งผลให้ต้นทุนผู้ประกอบการลดลงทำให้มีโอกาสที่จะเพิ่มโปรโมชั่นให้กับลูกค้าซึ่งอาจส่งผลดีที่ทำให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้นขณะเดียวกันยังต้องติดตามมาตราการกระตุ้นแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติจากทางภาครัฐบาลซึ่งอาจยืดหยุ่นระยะเวลาในการเช่าที่ดินทำให้เม็ดเงินไหลเข้าประเทศได้เป็นจำนวนมาก
    นายอดิศักดิ์  คำมูล  ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในระยะสั้นต้องรอดูผลประกอบการไตรมาส 1/2551 ประกาศออกมาในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมว่าบริษัทใดจะประกาศตัวเลขออกมาน่าประทับใจ แต่ประเมินว่าทุกบริษัทผลประกอบการจะออกมาเติบโตต่อเนื่อง จากยอดขายโดยรวมที่ยังขยายตัว
    อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน โดยดูจากราคาหุ้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งกลุ่มและจากประเด็นดังกล่าวอาจเป็นตัวผลักดันให้ราคาหุ้นทะยานต่อไปได้ในช่วงไตรมาส 2/2551
    นายอรรถพล  สฤษฎิพันธาวาทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) SC เปิดเผยว่า สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/2551 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้  850  ล้านบาท โดยการเติบโตมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาและยอดขายที่รอการรับรู้รายได้(Backlog)จำนวน 1,500 ล้านบาทโดยจะรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/2551 จำนวน 40% ขณะที่ตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตเพิ่มขึ้น 20% จากปี 2550 ที่มีรายได้ 3,504  ล้านบาท
    ด้านนายสุริยน  พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) MJD เปิดเผยว่า ยอดขายในไตรมาส 1/2551 ยังคงเติบโตได้ทุกโครงการตามแผนที่บริษัทวางไว้ สำหรับประเด็นเรื่องราคาหุ้นไม่เคลื่อนไหวนั้น อาจเป็นเพราะภาวะดัชนีตลาดหุ้นแกว่งตัวทำให้นักลงทุนชะลอการตัดสินใจลงทุนออกไป แต่คาดว่าหากผลประกอบการไตรมาส 1/2551 ประกาศออกมานักลงทุนอาจตัดสินใจเข้ามาลงทุนในหุ้นดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
http://www.thunhoon.com/home/
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news07/04/08

โพสต์ที่ 225

โพสต์

ทุนเยอรมนีซื้อนามสุขภัณฑ์ หวังใช้เป็นฐานผลิตรุกเอเชีย

โพสต์ทูเดย์ สมรภูมิสุขภัณฑ์เดือด ล่าสุด นามสุขภัณฑ์ โดน Villeroy & Boch เยอรมนี ซื้อกิจการ หวังใช้เป็นฐานลุยตลาดไทย หลังทำตลาดผ่านปูนซิเมนต์ไทยไม่เข้าเป้า


แหล่งข่าวจากวงการสุขภัณฑ์เปิดเผยว่า ขณะนี้ Villeroy & Boch บริษัทผู้ผลิตจานกระเบื้อง กระเบื้องปูพื้นผนัง และ สุขภัณฑ์รายใหญ่จากประเทศเยอรมนี ได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท นามสุขภัณฑ์ ในสัดส่วน 80% โดยหวังใช้ไทยเป็นฐานผลิตสุขภัณฑ์ เพื่อป้อนตลาดเอเชีย รวมทั้งรองรับแผนบุกตลาดไทยอย่างจริงจัง

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการจำหน่าย Villeroy & Boch เป็นการนำเข้ามาจากเยอรมนี โดยให้บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย เป็นผู้ทำตลาด แต่ไม่ประสบความเสร็จเท่าที่ควร จึงหยุดทำตลาดในไทยไประยะหนึ่ง แต่ทาง Villeroy & Boch พิจารณาแล้วเห็นว่า เมืองไทยมีความเหมาะสมที่จะใช้เป็นฐานร่วมผลิตสุขภัณฑ์ จึงเข้ามาซื้อกิจการบริษัท นามสุขภัณฑ์

ที่ผ่านมาการแข่งขันในตลาดสุขภัณฑ์มีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากมีผู้ผลิตรายใหญ่จากต่างประเทศที่เป็นแบรนด์ดังระดับโลกอยู่ในตลาดมานานกว่า 100 ปี การที่ผู้ผลิตรายเล็กจะแข่งขันได้ ต้องพึ่งศักยภาพของผู้ผลิตรายใหญ่ อย่างก่อนหน้านี้สุขภัณฑ์ โคห์เลอร์ จากเยอรมนี ก็มาซื้อกิจการของบริษัทกะรัต จนปัจจุบัน มีกำลังการผลิตรวมสูงถึง 5 ล้านชิ้นต่อปี ขณะที่สุขภัณฑ์คอตโต้มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2 ล้านกว่าชิ้นต่อปี แหล่งข่าวระบุ

ด้านนายสุเมธ อินทามระ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด บริษัท นามสุขภัณฑ์ กล่าวยอมรับว่า จะมีการแถลงข่าวเพื่อเปิดตัวผู้ถือหุ้นใหม่ในอีก 1 เดือนข้างหน้า และการร่วมทุนในครั้งนี้ จะขยายกำลังการผลิตสุขภัณฑ์นามเพิ่ม ขึ้นจาก 5 แสนชิ้นต่อปี เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 1 ล้านชิ้นต่อปี

สำหรับเม็ดเงินลงทุนนั้น ยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้ในขณะนี้ เนื่องจากอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลง ส่วนสินค้ายี่ห้อนามจะยังคงทำตลาดอยู่ และจะเป็นการร่วมกันขยายตลาดให้กว้างขึ้น โดยจับคนละเซกเมนต์ของตลาดสุขภัณฑ์ รวมทั้งบริษัทยังได้ยุติแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=231027
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news07/04/08

โพสต์ที่ 226

โพสต์

อสังหาฯอัดแคมเปญ ชิงยอดช่วงหยุดยาว

โพสต์ทูเดย์ บริษัทอสังหาฯ อาศัยจังหวะหยุดยาวเดือน เม.ย. อัดแคมเปญรับลมร้อน หวังกระตุ้นยอดขาย


นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า บริษัทได้ร่วมมือกับธนาคารนครหลวงไทย จัดแคมเปญพิเศษ อยู่ฟรี 1 ปี กู้ 100% เพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรการที่รัฐบาลประกาศใช้และเป็นการคืนกำไรให้กับลูกค้า โดยการให้อยู่ฟรี โดยไม่ต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลานาน 1 ปี และมีสิทธิได้รับวงเงินในการกู้ซื้อบ้านได้ 100% ในอัตราดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 1 ปี ในขณะที่บริษัทจะ ยังไม่ปรับราคาขายบ้านใหม่จนถึงสิ้นปีนี้ คาดว่าจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อบ้าน ได้เร็วขึ้น

สำหรับโครงการของบริษัทที่เปิดขายอยู่ในขณะนี้เป็นโครงการที่อยู่อาศัยในย่านพระราม 2 ประกอบด้วย โครงการเดอะเฟิร์สโฮม เป็นทาวน์โฮมราคา 1.25-2 ล้านบาท โครงการบ้านกานดา ริมคลอง 2-3 เป็นทาวน์เฮาส์ระดับราคา 1.64-2.5 ล้านบาท โครงการกานดาพาร์ค เป็น บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับราคา 2.5-4 ล้านบาท และโครงการสยามเนเชอรัลโฮม เป็นบ้านเดี่ยวแบบบ้านไทยร่วมสมัยระดับราคา 4-9 ล้านบาท

นายอิสระ กล่าวอีกว่า ในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ลูกค้าที่เป็นครอบครัวใหญ่นิยมที่จะใช้เวลาไปพักผ่อนด้วย การพาสมาชิกในครอบครัวออกไปเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวตากอากาศโดยเฉพาะชายทะเลในฤดูร้อน การที่โครงการของบริษัทที่ตั้งอยู่บนถนนพระราม 2 ซึ่งเป็นทางผ่านไปยังสถานที่ท่องเที่ยว ตากอากาศจึงมีโอกาสที่ลูกค้าจะชมโครงการ และการใช้แคมเปญจะมีผล ต่อการตัดสินใจจองบ้านได้เร็วขึ้น

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ กล่าวว่า บริษัทได้เปิดตัวโครงการ บ้านแสนสุข คอนโดมิเนียมตากอากาศที่หัวหินเนื้อที่ 10 ไร่ จำนวน 283 ยูนิต มูลค่าขายรวม 2,060 ล้านบาท หลังจากปีที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดโครงการที่หัวหินไปแล้ว 3 โครงการ มียอดขายกว่า 2,400 ล้านบาท

สำหรับกลยุทธ์ทางการตลาดในการเปิดตัวโครงการบ้านแสนสุขจะใช้สื่อ และการจัดอีเวนต์ในการเปิดตัวโครงการ โดยเฉพาะในพื้นที่ของ อ.หัวหิน อาทิ การจัดขบวนต้อนรับสู่หัวหิน การส่งดนตรีโฟล์กซองเล่นเพลงตามร้านอาหารชื่อดังในหัวหิน เพื่อโปรโมตโครงการและการ เปิดตัวคอนโดมิเนียมในวันที่ 5-7 เม.ย. ที่ผ่านมา และวันที่ 12-16 เม.ย. นี้

ด้านนายนิมิตร พูลสวัสดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านโครงการบ้าน 2 บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ กล่าวว่า บริษัทได้จัดแคมเปญขายโครงการลัดดารมย์ วัชรพล ด้วยการมอบบัตรกำนัลเฟอร์นิเจอร์ มูลค่ากว่า 2 แสนบาท พร้อมตกแต่งผ้าม่านทั้งหลัง ส่วนโครงการวรารมย์ พหลโยธิน-สายไหม ได้จัดแคมเปญ Spicy Package รับผ้าม่านทั้งหลังพร้อมมอบโปรโมชันอื่นๆ หลายรายการ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=231030
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news16/04/08

โพสต์ที่ 227

โพสต์

โบรกเกอร์ชี้ บ้านมือสอง คึกครึ่งปีหลัง

โพสต์ทูเดย์ โบรกเกอร์บ้านมือสอง ชี้มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ดันตลาดคึกคักครึ่งปีหลัง


นายสมศักดิ์ ชุติศิลป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี.ซี.พี.เฮ้าส์ซิ่ง ศูนย์จำหน่ายบ้านมือสอง กล่าวว่า ผลจากมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยการลดค่าธรรมเนียมการโอนและการลดภาษีธุรกิจเฉพาะให้กับธุรกิจอสังหาฯ รวมถึงธุรกิจบ้านมือสองเป็นเวลา 1 ปีนั้น คาดว่าจะเห็นผลได้ชัดโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง

สำหรับในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมียอดขายเติบโตขึ้นจากปีก่อน 20% หรือมียอดขายประมาณ 1,200 ล้านบาท โดยระดับราคาบ้านเฉลี่ยที่ขาย 3 ล้านบาท จำนวน 300-400 ยูนิตต่อปี

ด้านนายวิศิษฐ์ คุณาทรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรียลตี้เวิลด์ อัลไลแอนซ์ กล่าวว่า ในเดือน ม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมา สถานการณ์บ้านมือสองค่อนข้างเงียบ แต่หลังจากที่ภาครัฐมีการประกาศใช้มาตรการภาษีกระตุ้นอสังหาฯ ส่งผลให้ตลาดเริ่มมีสัญญาณที่ดี โดยคาดการณ์ว่ายอดขายบ้านของบริษัทเดือน เม.ย.นี้ จะเติบโตขึ้น 20% จากยอดขาย 150 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งจากนี้ไปตลาดบ้านมือสองจะเติบโตดีขึ้นหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยบ้านด้วยว่าจะอยู่ในระดับต่ำและคงที่นานหรือไม่ ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์ประมาณ 2,000 รายการ คิดเป็นมูลค่าขายราวๆ 1,600 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มตลาดบ้านมือสองทั้งปี คาดว่าอัตราการเติบโตของปีนี้น่าจะอยู่ราวๆ 10-20% เพราะตลาดชะลอตัวลงมากในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันนี้มีบ้านมือสองในเขตกรุงเทพฯ และ ปริมณฑลประมาณ 2.2 แสนยูนิต ส่วนกำลังซื้อต่อปีอยู่ที่ 6-7 หมื่นยูนิต
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=232700
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news17/04/08

โพสต์ที่ 228

โพสต์

หุ้นเหล็กครึ่งปีแรกเด่น

ทันหุ้น-บล.กิมเอ็ง มองแนวโน้มราคาเหล็กครึ่งปีหลังเริ่มทรุด หลังวิ่งยาวในช่วงครึ่งปีแรกจากแรงผลักดันของต้นทุนผสมภาวะเก็งกำไร ทำให้หุ้นเหล็กมีผลงานโดดเด่นในครึ่งปีแรก ให้มุมมองบวกแค่ช่วงสั้น แต่ระยะยาวมองแง่ลบจากความเสี่ยงของราคาเหล็กที่ส่อแววรูดลงในครึ่งปีหลัง  แนะ
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news17/04/08

โพสต์ที่ 229

โพสต์

ยอดจดทะเบียนบ้าน+ทาวน์เฮ้าส์สร้างใหม่ในกรุงเทพและปริมณฑล เดือนมกราคมหดตัวลงจากสิ้นปี 44%

Posted on Thursday, April 17, 2008

นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยผลสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ ประจำเดือนมกราคมปีนี้ สรุปสาระสำคัญได้ว่า ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพและปริมณฑล มีจำนวนบ้านเดี่ยวสร้างเสร็จจดทะเบียน 2,998 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 63.3% ของจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ทั้งหมด รองลงไปเป็นห้องชุด ด้วยจำนวน 973 หน่วย หรือคิดเป็นสัดส่วน 20.6% ตามมาด้วยทาวน์เฮาส์ และอาคารพาณิชย์ 708 หน่วย ในสัดส่วน 15.0% และเป็นบ้านแฝด อีก 55 หน่วย หรือ 1.2%

เมื่อรวมจำนวนที่อยู่อาศัยแนวราบทุกประเภทในเขตกรุงเทพ และปริมณฑล ในเดือนแรกปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ หรืออาคารพาณิชย์ มีจำนวนรวม 3,761 หน่วย ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวนรวม 3,760 หน่วย

ซึ่งเมื่อแยกพิจารณา เฉพาะเขตกรุงเทพที่เดียว จะพบว่า มีเขตที่มีจำนวนจดทะเบียนมากที่สุดคือ เขตลาดกระบัง จำนวน 247 หน่วย เขตประเวศ จำนวน 236 หน่วย และเขตหนองแขม จำนวน 221 หน่วย

สำหรับเขตปริมณฑล มีเขตที่มีจำนวนจดทะเบียนมากที่สุดคือ เขตบางใหญ่จังหวัดนนทบุรี จำนวน 246 หน่วย เขตลาดหลุมแก้วจังหวัดปทุมธานี จำนวน 220 หน่วย และเขตเทศบาลนครนนทบุรี 200 หน่วย

สำหรับจำนวนห้องชุดในเขตกรุงเทพและปริมณฑล มีจำนวนรวม 973 หน่วย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 616 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นถึง 58% ซึ่งห้องชุดสร้างเสร็จจดทะเบียนในนี้อยู่ในเขตเมืองหลวงทั้งหมด โดยเขตที่มีจำนวนจดทะเบียนมากที่สุดคือ เขตราชเทวี จำนวน 580 หน่วย รองไปเป็นเขตลาดพร้าว และเขตห้วยขวาง ด้วยจำนวน 153 หน่วย และ 144 หน่วย ตามลำดับ

ทั้งนี้ มีข้อน่าสังเกตด้วยว่า ในรอบเดือนแรกของปีนี้ มีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพ และปริมณฑล นับรวมทั้งที่ประชาชนสร้างเอง หรือสร้างนอกโครงการจัดสรร มีจำนวน 1,996 หน่วย เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 33%

ขณะที่จำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนที่สร้างโดยผู้ประกอบการ มีจำนวน 2,738 หน่วย เทียบกับเดือนที่แล้ว 4,912 หน่วย ลดลง ประมาณ 44% โดยทาวน์เฮาส์ และอาคารพาณิชย์ลดลงจากเดือนก่อนสูงที่สุดถึง 73% และลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13% ขณะที่บ้านเดี่ยวมีจำนวนลดลงจากเดือนก่อน 33% แต่กระนั้น หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ตัวเลขปรับเพิ่มขึ้น 33%

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news21/04/08

โพสต์ที่ 230

โพสต์

คลังชงครม.กระตุ้นอสังหาฯอีกรอบ ปลุกตลาดบ้านมือสอง2.2แสนยูนิต  
 
วันที่ 18 เมษายน 2551 - เวลา 18:32:45 น.  
 
คลังชงครม.22เม.ย.เพิ่มลดหย่อนภาษีที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไม่เกิน 1 ไร่ ครอบคลุมบ้านใหม่-บ้านเก่านอกโครงการจัดสรร โบรกเกอร์เฮ คาดดันตลาดบ้านมือสอง 2.2 แสนยูนิตฟื้น

หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา โดยมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2551 ไปจนถึงวันที่ 28 มีนาคม 2552 ปรากฏว่าในช่วงที่ผ่านมาได้มีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับสิทธิประโยชน์เท่าเทียมกัน เนื่องจากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯที่ ครม.มีมติเห็นชอบก่อนหน้านี้มีผลในการลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียมเฉพาะกับการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในโครงการจัดสรรเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมองว่าถ้ารัฐอยากจะกระตุ้นจริงควรลดภาษีค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนอง พร้อมๆ กับขยายมาตรการกระตุ้นในรอบแรกออกไปให้ครอบคลุมธรุกิจบ้านมือสองที่ไม่ได้อยู่ในโครงการจัดสรร รวมทั้งออกกฎหมายสนับสนุนบ้านมือสองเหมือนกับที่เคยบังคับใช้ก่อนหน้านี้

ล่าสุด นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 22 เมษายนนี้ เตรียมเสนอมาตรการกระตุ้นอสังหาฯเพิ่มเติมต่อที่ประชุม ครม. จากเดิมที่ ครม.มีมติยกเว้นค่าธรรมเนียมค่าจดจำนองและการโอนให้เฉพาะบ้านที่อยู่ในโครงการจัดสรรเท่านั้น

ทั้งนี้ มาตรการใหม่ได้ขยายขอบเขตให้ครอบคลุมถึงการซื้อขายบ้านและที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่อยู่นอกโครงการจัดสรรด้วย คำว่า "ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง" เท่ากับว่า "บ้านมือสอง" ที่อยู่นอกโครงการจัดสรรจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีดังกล่าว นอกจากนี้ มาตรการเพิ่มเติมยังได้ให้สิทธิพิเศษด้านภาษีกับผู้ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเนื้อที่ไม่เกิน 400 ตร.ว. หรือ 1 ไร่อีกด้วย
http://matichon.co.th/prachachat/news_d ... 32&catid=1
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news23/04/08

โพสต์ที่ 231

โพสต์

รัฐบาลสมัครลดภาษีหนุนคนซื้อบ้าน

โพสต์ทูเดย์ ครม. คลอดมาตรการลดภาษีกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ 0.01% กระตุ้นคนมีบ้าน สั่ง ธอส.ฟื้นบ้านมือสอง


นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นภาษีอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมตามที่กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยลดค่าธรรม เนียมจดทะเบียนการโอน และการ จำนองอสังหาริมทรัพย์จากอัตรา 2% และ 1% ตามลำดับ เหลือ 0.01%

ทั้งนี้ มาตรการนี้จะมีผลครอบ คลุมถึงอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคาร บ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชย์ หรืออาคารพร้อมที่ดิน ซึ่งมีเนื้อที่รวมไม่เกิน 1 ไร่ ที่อยู่นอกโครงการจัดสรร ซึ่ง เป็นมาตรการทั่วไปให้ประชาชน ที่ต้องการซื้อบ้านได้รับประโยชน์ กำหนดให้มีผลบังคับใช้ถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จนถึงวันที่ 28 มี.ค. 2552

มาตรการดังกล่าวเป็นการ ช่วยบรรเทาภาระด้านต่างๆ ให้แก่ประชาชนเป็นการเพิ่มเติม เพื่อ สนับสนุนให้คนมีบ้านเป็นของตัวเองมากขึ้น นพ.สุรพงษ์ กล่าว

สำหรับมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจที่ผ่านความเห็นชอบของ ครม. เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมานั้น ประกอบด้วย การยกเว้นภาษีเงิน ได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้สุทธิ 1.5 แสนบาท การยกเว้นภาษี กำไรสุทธิ 1.5 แสนบาทแรกให้กับ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีทุน จดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท การลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะจาก 3% เหลือ 0.1% รวมถึงการคงภาษีมูลค่าเพิ่มที่ 7% ออกไปอีก 2 ปี หรือจนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2553

นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธ์ รมช.คลัง กล่าวว่า ได้ให้นโยบายธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ไปศึกษาเพื่อพัฒนาตลาดซื้อขายบ้านมือสอง โดยอาศัยเทียบข้อมูลจากต่างประเทศ และให้พิจารณาว่าจำเป็นต้องใช้มาตรการภาษีเพิ่มเติม หรือการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาการซื้อขายบ้านมือสองยังไม่คึกคักเท่าที่ควร
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=233899
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 6

news23/04/08

โพสต์ที่ 232

โพสต์

ทุนสแกนดิเนเวียลง1.9หมื่นล. พัฒนาอสังหาฯเมืองท่องเที่ยว

โพสต์ทูเดย์ กลุ่มทุนสแกนดิเนเวียสยายปีกลงทุนอสังหาฯ ไทย คาดปีนี้มูลค่าทะลุ 1.9 หมื่นล้าน เน้นบุกหัวเมืองท่องเที่ยว


นายปฏิมา จีระแพทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า ในปีนี้คาดว่ากลุ่มทุนชาวสแกนดิเนเวียประกอบด้วย ชาวสวีเดน ฟินแลนด์ เดนมาร์ก และนอร์เวย์ จะเข้ามาลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทยคิดเป็นมูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีมูลค่าโครงการ 1 หมื่นล้านบาท โดยจะเน้นพัฒนาโครงการประเภทวิลล่าและคอนโดมิเนียมในจังหวัดท่องเที่ยว

ทั้งนี้ กลุ่มทุนชาวสแกนดิเนเวียเริ่มเข้ามาลงทุนธุรกิจอสังหาฯ ในไทยเมื่อปี 2546 โดยโครงการแรกคือ โครงการหมู่บ้านสแกนดิเนเวีย ที่บางแสน จ.ชลบุรี ส่วนการพัฒนาโครงการกลุ่มสแกนดิเนเวียมีมากที่สุดใน จ.ระยอง รวม 809 ยูนิต ประกอบด้วยบ้านพักแบบวิลล่า และคอนโด มูลค่าโครงการ 4,800 ล้านบาท ตามด้วยหัวหิน 468 ยูนิต มูลค่า 4,105 ล้านบาท และพัทยา 259 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการ 1,550 ล้านบาท

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยเป็นที่สนใจของนักลงทุนชาวสแกนดิเนเวียอย่างมาก โดยการเมืองไม่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุน เพราะส่วนใหญ่มาลงทุนเพื่อการพักผ่อน ซึ่งหากมีการปรับแก้กฎหมายเช่น ให้ชาวต่างชาติถือครองที่ดินได้มากกว่า 30 ปี รวมถึงการแก้ระยะเวลาในการให้วีซ่ายาวนานจะเป็นการดี นายปฏิมา กล่าว

สำหรับผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ของกลุ่มสแกนดิเนเวียในระยองและพัทยา ได้แก่ บริษัท เกรนเอเชีย และโลแกน ประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาจะเป็นการลงทุนในนามบุคคลเป็นหลัก แต่ขณะนี้กลุ่มทุนจากสแกนดิเนเวียสนใจจะเข้าลงทุนเพื่อเข้ามาถือหุ้นในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในหลายบริษัทด้วย

ทั้งนี้ ในปี 2549 มีนักท่องเที่ยวชาวสแกนดิเนเวียเดินทางมาไทย 645,361 คน เพิ่มขึ้นเป็น 757,734 คนในปี 2550
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=233956
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 1

ข่าว

โพสต์ที่ 233

โพสต์

วันที่ 06 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 10:20:17 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

อสังหาฯค้านบังคับดาวน์คอนโด 30% หวั่นทุบตลาดช็อก ยอดรอโอน3แสนล้านวูบ นัดเคลียร์ธปท.10พ.ย.

ดีเวลอปเปอร์รุมค้านข้อเสนอปรับลดวงเงินสินเชื่อคอนโดฯ 1-3 ล้านบาท หวั่นกำลังซื้อวูบเหตุจากลูกค้าต้องวางเงินดาวน์สูงถึง 20-30% ชี้ตลาดช็อกทั้งระบบ 3 สมาคมอสังหาฯ นัดถกด่วนแบงก์ชาติคลายปมปัญหาฟองสบู่ 10 พ.ย.นี้ ชี้รัฐออกเกณฑ์ใหม่คอนโดฯ รอโอนในตลาด 3 แสนล้านบาท-คอนโดฯมือสองในมือแบงก์ โบรกเกอร์ และเจ้าของรายย่อยอ่วมแน่

เป็นประเด็นร้อนที่ขยายวงกลายเป็นเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์ไปแล้ว จากที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ส่งสัญญาณช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยระบุว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังเผชิญกับปัญหาฟองสบู่รอบใหม่ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม พร้อมกับเสนอให้มีการทบทวนวงเงินสินเชื่อต่อมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกัน (LTV) โดยให้สถาบันการเงินปรับลดวงเงินให้สินเชื่อแก่ลูกค้าที่ซื้อคอนโดฯลง จากปัจจุบันสถาบันการเงินส่วนใหญ่อนุมัติสินเชื่อให้ประมาณ 80% ของมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกัน ขณะเดียวกันก็ให้สถาบันจัดอันดับเรตติ้งเจาะลึกในรายละเอียดก่อนพิจารณาจัดอันดับเรตติ้งบริษัทพัฒนาที่ดินมากขึ้น เนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมาตลาดคอนโดฯขยายตัวสูงถึงปีละ 30% จึงค่อนข้างสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย

ส่งผลให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างจากคนในวงการอสังหาฯ ขณะเดียวกันดีเวลอปเปอร์ สถาบันการเงิน ตลอดจนนักวิเคราะห์จากหลายสถาบันส่วนใหญ่มีมุมมองไปในทางตรงกันข้าม และไม่เห็นด้วยที่ทางการจะคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น เพราะมองว่าปัจจุบันมีกลไกควบคุมอยู่แล้ว หากเพิ่มความเข้มงวดขึ้นอีกจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งระบบ ที่น่าห่วงคือกระแสข่าวที่ออกมาส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคบางส่วนแล้ว ทั้งยังส่งผลกระทบทำให้หุ้นบริษัทอสังหาฯหลายบริษัทปรับตัวลดลงทันที

@ ธอส.มองสวนทางฟองสบู่อสังหาฯ

นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้ความเห็นเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การส่งสัญญาณฟองสบู่ในตลาดที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคอนโดฯตามแนวรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจำนวนมากว่า อยากให้มองว่าหากตลาดอสังหาฯจะเกิดฟองสบู่จริงหมายถึงราคาที่อยู่อาศัยต้องเพิ่มขึ้นประมาณ 7-8% ต่อปี แต่ปรากฏว่าช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมาราคาที่อยู่อาศัยปรับเพิ่มขึ้นเพียง 2-3% ต่อปีเท่านั้น จึงถือเป็นเรื่องปกติ ในส่วนของการปล่อยสินเชื่อซื้อบ้านของสถาบันการเงินที่ผ่านมาก็สามารถตรวจสอบได้อยู่แล้วว่า เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงหรือซื้อเพื่อเก็งกำไร โดยใช้กลไกเครดิตบูโรตรวจสอบ  

@ แบ็กล็อกทั้งระบบ 3 แสนล้านป่วน

ขณะที่ดีเวลอปเปอร์หลายค่ายต่างแสดงความเห็นในเชิงคัดค้านแนวคิดดังกล่าว และส่วนใหญ่ค่อนข้างวิตกกังวลต่อกระแสข่าวด้านลบที่เกิดขึ้น โดยนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอที่ภาครัฐจะปรับลดวงเงินปล่อยสินเชื่อซื้อที่อยู่อาศัย ด้วยการทบทวนวงเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน หรืออีกนัยหนึ่งเท่ากับให้ลูกค้าต้องวางเงินดาวน์ในการซื้อคอนโดฯมากขึ้น จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่ออสังหาฯทั้งอุตสาหกรรม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าให้เงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดขึ้นใหม่ครอบคลุมไปถึงคอนโดฯที่ขายให้กับลูกค้าแล้ว อยู่ระหว่างรอโอนหรือรอรับรู้รายได้ (backlog) ซึ่งในตลาดมีประมาณ 300,000 ล้านบาท จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง เพราะลูกค้าที่จองซื้อห้องชุดและอยู่ระหว่างรอโอนจะประสบปัญหาในการขอสินเชื่อวงเงินสินเชื่อถูกปรับลดลงต้องวางเงินดาวน์เพิ่ม

@ คอนโดฯมือสอง-NPA อ่วม

นอกจากนี้จะส่งผลต่อการขายคอนโดฯมือสองของเจ้าของรายย่อย คอนโดฯมือสองในมือโบรกเกอร์ และทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ของสถาบันการเงินมูลค่าอีกหลายหมื่นล้านบาทด้วย เพราะลูกค้าอาจต้องวางเงินดาวน์ 20-30% จากปัจจุบัน 15-20% ซึ่งเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายในการโอน จดจำนอง และค่าซื้อเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เท่ากับว่ามีรายจ่ายสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะคอนโดฯมือสองที่อาจต้องใช้เงินสดหรือเงินออมจ่ายเป็นก้อนสูงถึง 30-40% ของมูลค่าห้องชุด ทำให้ดีมานด์ในตลาดลดฮวบลงแน่

@ ส.คอนโดฯนัดถกแบงก์ชาติ 10 พ.ย.
นายประเสริฐกล่าวว่า ก่อนหน้านี้สมาคมอาคารชุดไทยเคยชี้แจงและให้ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดคอนโดฯ กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้ว พร้อมกับชี้แจงว่าฟองสบู่อสังหาฯยังไม่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันกลไกที่มีอยู่ขณะนี้สามารถป้องกันปัญหาฟองสบู่อสังหาฯได้ดีอยู่แล้ว อาทิ เครดิตบูโร เครดิตสกอริ่ง รวมทั้งมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อโครงการ สินเชื่อที่อยู่อาศัยของ ธปท.ที่ควบคุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

ส่วนเรื่องซัพพลายคอนโดฯระดับราคา 1-3 ล้านบาทที่หลายฝ่ายมองว่าเวลานี้มีการลอนช์ออกสู่ตลาดจำนวนมาก ก็เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปจากปัญหาการจราจร น้ำมันแพง และต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ซื้อห้องชุดระดับราคานี้ส่วนใหญ่เป็นเรียลดีมานด์ เนื่องจาก 4-5 ปีที่ผ่านมา สินค้าประเภทนี้ออกสู่ตลาดน้อยมาก

"จริง ๆ แล้ววันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ สมาคมอาคารชุดฯ นัดหารือกันเพื่อประเมินสถานการณ์ในตลาดคอนโดฯ ปัญหาเรื่องฟองสบู่อสังหาฯ ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่จะพูดคุยกัน แต่มีข่าวเกิดฟองสบู่อสังหาฯเสียก่อน ทั้งผู้ประกอบการ ลูกค้า ตลาดทุนเลยได้รับผลกระทบกันทั่วหน้า"

@ ชี้ช็อกตลาดบ้าน-คอนโดฯ
ด้านนายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า กรณี ธปท.จะให้เพิ่มวงเงินดาวน์จากปัจจุบันอยู่ที่ 5-10% ตนไม่เห็นด้วย และสมาคมอาจจะทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงสถานการณ์ธุรกิจอสังหาฯในปัจจุบันให้ ธปท.ทราบเร็ว ๆ นี้
"ถ้านำเรื่องการเพิ่มวงเงินดาวน์มาบังคับใช้ เช่น เพิ่มเป็น 20% หรือ 30% จะไม่ใช่แค่มีผลกระทบ แต่จะทำให้ตลาดช็อกไปเลย เพราะปัจจุบันมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่อยู่ระหว่างผ่อนดาวน์บ้าน 5-10% เท่ากับว่าในช่วงโอนต้องหาเงินก้อนมาโปะอีก 15-20% จึงอยากให้ ธปท.พิจารณาให้รอบคอบ เพราะอสังหาฯในปัจจุบัน ไม่เหมือนปี 2540 ที่มีการเก็งกำไรในอสังหาฯทุกประเภท"

ขณะที่นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า การส่งสัญญาณจากภาครัฐจะส่งผลยอดขายที่อยู่อาศัยในตลาดแน่ เพราะผู้บริโภคต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในการซื้อบ้าน ในส่วนบริษัทอสังหาฯที่พัฒนาคอนโดฯได้รับผลกระทบแล้วจากราคาหุ้นในตลาดลดลงอย่างน้อย 4-5% ในส่วนของ 3 สมาคมอสังหาฯคงต้องหาทางรับมือปัญหาที่เกิดขึ้น

@ ทุนใหม่ปักธงคอนโดฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจพบว่ามีกลุ่มทุนใหม่จากธุรกิจต่าง ๆ อาทิ กลุ่มทุนสิ่งทอ กลุ่มทุนยานยนต์ ดารานักแสดง ฯลฯ เข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดฯอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา อาทิ กลุ่มธุรกิจยานยนต์ "เบนซ์ บีเคเค" ได้จัดตั้งบริษัทลูก พัฒนาโครงการคอนโดฯ The Coast Bangkok บริเวณสถานี BTS บางนา มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท, กลุ่ม "อพอลโล่ แอสเส็ท" ทุนสิ่งทอ ได้เข้ามาพัฒนาโครงการคอนโดฯ "โว้ค" (VOQUE) สุขุมวิท 16 มูลค่าโครงการ 620 ล้านบาท และสุขุมวิท 31 3) กลุ่มทุนผลิตเส้นใยสังเคราะห์บริษัท ศรีรุ่งสุขจินดากรุ๊ป จำกัด ได้เปิดตัวคอนโดฯ The Ninth Place บนถนนศรีนครินทร์ มูลค่าโครงการประมาณ 800 ล้านบาท, 4) กลุ่มทุนไอศกรีม "ครีโม" ได้จัดตั้งบริษัท เอสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ลงทุนอสังหาฯ พัฒนาคอนโดฯ ทำเลถนนแจ้งวัฒนะ "เอสโทร" (ASTRO) มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท

@ ธปท.การันตียังไม่มีฟองสบู่อสังหาฯ
เกี่ยวกับเรื่องนี้นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการเกิดฟองสบู่อสังหาฯ เพราะการจะเกิดฟองสบู่จะต้องมีปรากฏการณ์การก่อสร้างจำนวนมาก ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวขึ้น และการใช้สินเชื่อของบริษัทอสังหาฯและผู้ซื้อจะต้องสูงขึ้นต่อเนื่องกันหลายปี
"ตอนนี้ไม่เหมือนปี 2540 ที่มองไปทางไหนก็มีแต่การก่อสร้าง และราคาที่อยู่อาศัยก็ไม่ได้ขึ้นมาก ดัชนีบ้านเพิ่มขึ้นไม่กี่เปอร์เซ็นต์ และสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นก็เพิ่งเริ่ม" นางอัจนากล่าว

@ เตือนให้ระวังคุณภาพลูกค้า
เช่นเดียวกับที่นางสาลินี วังตาล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตรวจสอบสถาบันการเงิน 1 ธปท. มองว่ากระบวนการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขณะนี้เข้มงวดดีอยู่แล้ว และมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี แต่การแข่งขันที่สูงขึ้นในภาคอสังหาฯ ทำให้ ธปท.ต้องส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งระมัดระวังความเสี่ยงที่อาจจะเกิดตามมา เพราะต่างก็เคยมีประสบการณ์เจ็บตัวมาแล้วในปี 2540

"สิ่งที่เราสื่อไปถึงแบงก์คือ มาตรการสินเชื่อแบงก์ไม่ได้หย่อน ธปท.ไม่ได้ให้แบงก์เพิ่มความเข้มงวด แต่ประเด็นที่อยากให้ระวังคือคุณภาพของลูกค้า เพราะตอนนี้เศรษฐกิจเปลี่ยนได้ตลอดเวลา" นางสาลินีกล่าว

@ 7 เดือนแรกอาคารชุดสร้างเสร็จจดทะเบียนเพิ่ม 6%
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. รายงานสถิติที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล 5 จังหวัด มี 53,900 หน่วย เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 9% เป็น "อาคารชุด" 26,200 หน่วย เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6% "อาคารชุดเอื้ออาทร" 8,950 หน่วย "บ้านเดี่ยว" 17,550 หน่วย เพิ่มขึ้น 3% ทาวน์เฮาส์ 8,500 หน่วย เพิ่มขึ้น 67% อาคารพาณิชย์ 1,050 หน่วย ลดลง 37% และบ้านแฝด 600 หน่วย ลดลงร้อยละ 20%

ขณะที่ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย ออกแถลงการณ์ "อาคารชุดล้นตลาดแน่หรือ" โดยระบุว่า ปี 2553 คาดว่าจะมีอาคารชุดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เกิดขึ้น 38,769 หน่วย ไม่ได้มีการเสนอขาย 70,000-75,000 หน่วย ตามที่ทางการระบุ คาดว่าเป็นอาคารชุดราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท 12,288 หน่วย เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่ผ่านมาซึ่งมี 3,379 หน่วย 3.6 เท่า เนื่องจากมีแรงกระตุ้นโดยการส่งเสริมการลงทุน
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 2&catid=no
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 1

news

โพสต์ที่ 234

โพสต์

ธปท.คุมเข้มสินเชื่อคอนโดฯเน้นปล่อยกู้ไม่เกิน 90%

Posted on Friday, November 12, 2010
นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกว่า ธปท. ได้ประกาศหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่ที่อาศัยของธนาคารพาณิชย์ที่มีราคาซื้อขายต่ำกว่า 10 ล้านบาทเพิ่มเติม โดยกำหนดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LVT ratio) เพิ่มขึ้น

สำหรับมาตรการกำหนด LTV ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยแนวสูง หรือ คอนโดมิเนียมนั้นจะเน้นการปล่อยกู้ไม่เกิน 90% คือ หากธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ไม่เกิน 90% จะให้กันสำรองไว้ 35% ของมูลค่าที่อยู่อาศัย แต่หากธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้เกิน 90% จะต้องกันสำรองไว้ 75% ของมูลค่าที่อยู่อาศัย โดยจะมีผลบังคับใช้เฉพาะสัญญาจะซื้อจะขายที่ทำตั้งแต่ 1 มกราคม 2554

ส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ จะเน้นการปล่อยกู้ไม่เกิน 95% นั่นคือ หากปล่อยกู้ไม่เกิน 95% จะให้ธนาคารพาณิชย์กันสำรอง 35% แต่หากปล่อยกู้มากกว่า 95% ธนาคารพาณิชย์ก็จะต้องกันสำรองไว้ 75% โดยมีผลบังคับใช้เฉพาะสัญญาจะซื้อจะขายที่ทำตั้งแต่ 1 มกราคม 2555 โดยมาตรการดังกล่าวให้ ยกเว้นข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากมีการหักเงินเดือน และมีความมั่นคงของตำแหน่งหน้าที่การงาน จึงทำให้มีความเสี่ยงต่ำกว่า

ทั้งนี้เกณฑ์กำกับดูแลดังกล่าว ธปท. ไม่ได้ห้ามธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด แต่หากธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อเกินกว่าที่กำหนด ก็จะต้องมีเงินกองทุนรองรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

นายเกริกยืนยันว่า ยังไม่เห็นสัญญาณฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย แต่เนื่องจากธปท. เริ่มเห็นสัญญาณการปล่อยสินเชื่อ เพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์เริ่มกระจุกตัวอยู่ที่ระดับ 1 3 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 93% ของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยทั้งหมด จึงเป็นเหตุธปท. ต้องประกาศหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเพิ่มเติม เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ขณะที่นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บอกว่า พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เห็นด้วยกับกรณีที่แบงก์ชาติประกาศมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ แต่การกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์นั้น เป็นหน้าที่ของแบงก์ชาติที่จะประเมินความเสี่ยงที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 1

พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง

โพสต์ที่ 235

โพสต์

อสังหาฯต.ค.ท่วมตลาดเปิดใหม่กว่า 1.7 หมื่นยูนิต
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย และบจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส แถลงผลสำรวจอสังหาฯพบว่า ในเดือนตุลาคมนี้ มีโครงการเกิดใหม่เปิดขึ้นอย่างคึกคัก รวมทั้งหมด 52 โครงการ โดยเฉพาะกลุ่มอาคารชุดระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เนื่องจากมีผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายได้หันมาพัฒนาอาคารชุดระดับราคานี้มากขึ้น โดยลักษณะการพัฒนาในเดือนนี้ 99.8% เป็นการพัฒนาในกลุ่มที่อยู่อาศัย ส่วนที่เหลือ 0.2% เป็นการพัฒนาในอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ จำนวนหน่วยขายของอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดใหม่ในเดือนนี้มีจำนวนรวม 17,375 หน่วย และมีมูลค่าการพัฒนาโครงการรวม 42,846 ล้านบาท

           โดยจำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนนี้มีทั้งหมด 17,357 หน่วย โดยประเภทที่มีการพัฒนามากที่สุดยังคงเป็นอาคารชุดมีจำนวน 10,477 หน่วย (60%) รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ 4,195 หน่วย (24%) ส่วนอันดับ 3 คือ บ้านเดี่ยว 2,430 หน่วย (14%) ของจำนวนหน่วยขายที่เปิดขายใหม่ทั้งหมด

           ลักษณะการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเดือนนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังคงร้อนแรงยู่   โดยจะพบว่า 82% ของอาคารชุดที่เปิดขายมีระดับราคาไม่เกิน 2.000 ล้านบาท จำนวน 8,635 หน่วย หรือประมาณ 50% ของอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดขายทั้งหมดในเดือนนี้ ซึ่งที่ตั้งของโครงการอาคารชุดที่เปิดขายส่วนใหญ่จะตั้งอยู่บริเวณพื้นที่เขตชั้นกลาง และส่วนต่อขยายของแนวรถไฟฟ้าเป็นสำคัญ ส่วนที่อยู่อาศัยบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์มีการเปิดเพิ่มมากขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา

           ในแง่ของมูลค่ารวมของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดใหม่ในเดือนตุลาคม 2553 นี้มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 42,846 ล้านบาท   หากพิจารณาประเภทที่มีมูลค่าการพัฒนาสูงสุดแล้ว จะพบว่าในเดือนนี้อาคารชุดมีมูลค่าการพัฒนาสูงที่สุด โดยมีมูลค่า 21,078 ล้านบาท (49%) รองลงมา คือ บ้านเดี่ยว 10,566 ล้านบาท (25%) และทาวน์เฮ้าส์ 10,170 ล้านบาท (24%) ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมดตามลำดับ ดังนั้นภาพรวมของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเดือนนี้ส่วนใหญ่จะเน้นกลุ่มเป้าหมายระดับล่างถึงปานกลางเช่นเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มอาคารชุดระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบ้าน  

           เมื่อพิจารณาอัตราการขายได้ จะพบว่าในเดือนแรกของการเปิดขายมีอัตราการขายได้เฉลี่ยที่ 37% ต่อเดือน โดยประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่ขายดีอันดับ 1 คือ อาคารชุดระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาท มีจำนวน 641 หน่วย ขายได้แล้ว 607 หน่วย (95%) รองลงคือ อาคารชุดระดับราคา 3.001-5.000 ล้านบาท มีจำนวน 592 หน่วย ขายได้แล้ว 349 หน่วย (59%)

           ผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนนี้ จะพบว่าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (มหาชน) จำนวน 8 บริษัท คือ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท โนเบิล ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท อารียา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และมีบริษัทที่อยู่ในเครือบริษัทมหาชนอีก 4 บริษัท นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัททั่วไปอีกจำนวนหนึ่ง

           การที่รัฐบาลจะออกมาตรการใด ๆ ในการแก้ไขปัญหาฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์นั้น จะต้องมีข้อมูลที่ชัดเจน ทันการและเพียงพอในการใช้ตัดสินใจ เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นสำคัญ เพราะหากผู้บริโภคมีความมั่นใจเป็นอันดับแรก ก็จะกลับมาเป็นกำลังซื้อสินค้าในตลาดได้มหาศาล ทำให้ผู้ประกอบการได้รับประโยชน์ในที่สุด
http://www.stockwave.in.th/hot-news/15761--17-.html
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 1

Re: พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง

โพสต์ที่ 236

โพสต์

ยอดโอนอสังหาฯ Q3/53 ร่วง 36%

Posted on Monday, November 29, 2010
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ บอกว่า การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ในช่วงไตรมาส 3/53 มีทั้งหมด 27,000 หน่วย ปรับลดลง 36% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากประชาชนได้เร่งโอนในไตรมาส 2/53 ก่อนที่มาตรการลดหย่อนภาษีอสังหาริมทรัพย์จะหมดอายุลง

นายสัมมา บอกอีกว่า การที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศกำหนดเกณฑ์ปล่อยกู้คอนโดมิเนียมไม่เกิน 90% ของราคาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะเริ่มในต้นปีหน้านั้น อาจทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัยจริง เร่งทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดคอนโดมิเนียมมากขึ้นในช่วงก่อนสิ้นปีนี้ หรืออาจเร่งการโอนกรรมสิทธิ์สำหรับโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อยู่ในเกณฑ์บังคับ ซึ่งอาจทำให้ยอดการขายคอนโดมีเนียมในช่วงปลายปีนี้ปรับเพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ หากพิจารณาในช่วงเวลา 9 เดือนแรกปีนี้ มีการโอนกรรมสิทธิ์ซื้อขายที่อยู่อาศัยประมาณ 136,050 หน่วย เพิ่มขึ้น 18% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.95 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% โดยเป็นห้องชุดคอนโดมิเนียมมากสุดจำนวน 54,900 หน่วย ตามมาด้วยทาวน์เฮ้าส์จำนวน 40,800 หน่วย และ บ้านเดี่ยวจำนวน 23,950 หน่วย
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 1

Re: พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง

โพสต์ที่ 237

โพสต์

อสังหาฯอ่วม หลัง กนง. ขึ้นดอกเบี้ย

Posted on Thursday, December 02, 2010
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไทย บอกว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีผลกระทบต่อผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากทางสถาบันการเงินจะต้องขึ้นดอกเบี้ยบ้านตาม ซึ่งหากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1% จะทำให้ผู้กู้ซื้อบ้านมีภาระเพิ่มขึ้น 10 % พร้อมกันนี้ยังมองว่าโครงการอสังหาริมทรัพย์เกิดใหม่ในปีหน้าจะมีจำนวนลดลง ทั้งจากผลกระทบเรื่องดอกเบี้ยขาขึ้นและมาตราการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) นอกจากนี้ต้องจับตาเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศที่อาจส่งผลกระทบซ้ำเติมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

นายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย บอกกว่า การที่ กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยจะกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักที่จะทำให้ธุรกิจอาคารชุดชะลอตัวลง เพราะเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาเศรษฐกิจโดยรวม และปัญหาการเมืองมากกว่า โดยคาดว่า ธุรกิจอาคารชุดปีนี้จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 10% ขณะที่ปีหน้าจะเริ่มชะลอตัวโดยขยายตัวไม่เกิน 10%

ด้านนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เชื่อว่า ทั้งการขึ้นดอกเบี้ยและมาตราการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย LTV จะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากนัก โดยธปท.และทางกระทรวงการคลังได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเหมือนในอดีตขึ้นอีก

นายประดิษฐ์ บอกด้วยว่า กระทรวงการคลังยังไม่มีแนวคิดออกมาตรการทางภาษีเพื่อกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาได้ออกมาตรการช่วยเหลือในระยะเวลาที่เหมาะสมไปแล้ว แต่จากมาตรการภาษีจูงใจให้เกิดการตั้งสำนักงานในภูมิภาคของต่างชาติในไทย เชื่อว่า จะช่วยหนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ได้ทางหนึ่ง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/New ... fault.aspx
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 1

Re: พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง

โพสต์ที่ 238

โพสต์

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

AREA เผยเดือนพ.ย.อสังหาฯยังฮอต มีโครงการเปิดใหม่ 40 แห่ง คอนโดฯมากสุด

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์สซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ที่สำรวจข้อมูลภาคสนามอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ. 2537 แถลงว่า เดือนพ.ย.มีโครงการเปิดใหม่รวมทั้งหมด 40 โครงการ มีจำนวน 17,357 หน่วย โดยแยกเป็นอาคารชุดมีจำนวน 10,053 หน่วย (70%) รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ 2,754 หน่วย (19%) ส่วนอันดับ 3 คือ บ้านเดี่ยว 1,143 หน่วย (10%) ของจำนวนหน่วยขายที่เปิดขายใหม่ทั้งหมด

ในแง่ของมูลค่ารวมของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดใหม่ในเดือนพฤศจิกายน 2553 พบว่ามีมูลค่ารวมทั้งสิ้นถึง 33,876 ล้านบาท โดยเน้นโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับราคาค่อนข้างถูกถึงปานกลางเป็นหลัก โดยเฉพาะที่ระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท มีจำนวนมากถึง 10,071 หน่วย (70%) หากพิจารณาประเภทที่มีมูลค่าการพัฒนาสูงสุดแล้ว จะพบว่าในเดือนนี้อาคารชุดมีมูลค่าการพัฒนาสูงที่สุด โดยมีมูลค่า 19,635 ล้านบาท (58%)

เมื่อพิจารณาอัตราการขายได้ จะพบว่าในเดือนแรกของการเปิดขายมีอัตราการขายได้เฉลี่ยที่ 27% ต่อเดือน โดยประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่ขายดีอันดับ 1 คือ อาคารชุดระดับราคา 2.001-3.000 ล้านบาท มีจำนวน 878 หน่วย ขายได้แล้ว 508 หน่วย (58%)

ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนพฤศจิกายนเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (มหาชน) จำนวน 8 บริษัท คือ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) บริษัท พร็อเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงเทพบ้านและที่ดิน จำกัด (มหาชน) บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)และมีบริษัทที่อยู่ในเครือบริษัทมหาชนอีก 5 บริษัท นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัททั่วไปอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้แยกเป็นบริษัทมหาชน 35% บริษัทในเครือบริษัทมหาชน 29% และบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์อีก 36%

"แม้ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ถึงแม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการกำหนดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน(Loan to Value : LTV ratio) สำหรับการให้สินเชื่อหรือให้เงินกู้ยืมเพื่อการจัดหาที่อยู่อาศัยที่มีราคาซื้อขายต่ำกว่า 10 ล้านบาท เพื่อเป็นการป้องกันฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมในเดือนนี้ก็ยังคงมีความร้อนแรงอยู่" ดร.โสภณกล่าว
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 3&catid=00
naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 1

Re: พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง

โพสต์ที่ 239

โพสต์

เผยยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยเขตกทม.-ปริมณฑล10เดือน คอนโดเกือบ6หมื่นหน่วยเพิ่ม 35%

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่าในเดือนตุลาคม มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยลดลงในทุกประเภท ทั้งห้องชุดคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด และอาคารพาณิชย์ โดยลดลงร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน และลดลงร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคมปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบช่วงระยะเวลาตลอด 10 เดือนแรกของปี 2553 (มกราคม – ตุลาคม) พบว่ากลับเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ เนื่องจากในรอบครึ่งแรกของปีนี้ มียอดการโอนกรรมสิทธิ์สูงมากก่อนหมดมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียม

นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ในเดือนตุลาคม 2553 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประมาณ 10,500 หน่วย ลดลงร้อยละ 17 จากเดือนกันยายน และลดลงร้อยละ 21 จากเดือนตุลาคม 2552 แบ่งเป็นห้องชุดคอนโดมิเนียมมากที่สุด จำนวน 3,900 หน่วย (สัดส่วนร้อยละ 37) รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์จำนวน 3,400 หน่วย (สัดส่วนร้อยละ 33) บ้านเดี่ยวจำนวน 1,900หน่วย (สัดส่วนร้อยละ 18) อาคารพาณิชย์จำนวน 1,000 หน่วย (สัดส่วนร้อยละ 9) และบ้านแฝดจำนวน 300 หน่วย (สัดส่วนร้อยละ 3) มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งหมดในเดือนตุลาคม คิดเป็นประมาณ 22,300 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 จากเดือนกันยายน และลดลงร้อยละ 17 จากเดือนตุลาคม 2552



เมื่อพิจารณาในช่วงเวลาที่ยาวขึ้นคือ 10 เดือนแรกของปี 2553 (มกราคม-ตุลาคม) พบว่ามีการโอนกรรมสิทธิ์ซื้อขายที่อยู่อาศัยประมาณ 147,000 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นห้องชุดคอนโดมิเนียมมากที่สุดประมาณ 59,000 หน่วย (สัดส่วนร้อยละ 40) เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 35 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รองลงมาเป็น ทาวน์เฮ้าส์ประมาณ 44,400 หน่วย (สัดส่วนร้อยละ 30 บ้านเดี่ยวประมาณ 25,900 หน่วย (สัดส่วนร้อยละ 18) อาคารพาณิชย์ประมาณ 13,200 หน่วย (สัดส่วนร้อยละ 9) และบ้านแฝดประมาณ 4,500 หน่วย (สัดส่วนร้อยละ 3)


มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยตลอด 10 เดือนแรกรวมกันประมาณ 318,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากช่วง 10 เดือนแรกของปี 2552 พื้นที่ที่มีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคอนโดมิเนียมใหม่เฉลี่ยต่อรายการสูงที่สุดตลอดช่วง 10 เดือนแรกของปี 2553 คือ เขตปทุมวัน มีมูลค่าเฉลี่ยต่อหน่วยอยู่ที่ 11.2 ล้านบาท เขตบางรัก 10.0 ล้านบาท เขตคลองเตย 8.2 ล้านบาท เขตยานนาวา 8.1 ล้านบาท และเขตวัฒนา 5.0 ล้านบาท


พื้นที่ที่มีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคอนโดมิเนียมใหม่มากที่สุด ได้แก่ เขตพระโขนง เขตบางซื่อ เขตบางกะปิ อำเภอเมืองนนทบุรี และเขตคลองสาน ส่วนพื้นที่ที่มีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคอนโดมิเนียมมือสองมากที่สุด ได้แก่ เขตบางกะปิ เขตพระโขนง เขตบางซื่อ อำเภอบางใหญ่ นนทบุรี และอำเภอเมืองนนทบุรี



พื้นที่ที่มีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบใหม่มากที่สุด ได้แก่ อำเภอลำลูกกา ปทุมธานี อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอบางใหญ่ นนทบุรี และอำเภอบางพลี สมุทรปราการ ส่วนพื้นที่ที่มีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบมือสองมากที่สุด ได้แก่ เขตบางกะปิ อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางบัวทอง นนทบุรี เขตบางขุนเทียน และอำเภอลำลูกกา ปทุมธานี



ในปี 2552 ปีที่แล้ว มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ทั้งปี รวมกันประมาณ 161,400 หน่วย แบ่งเป็น ห้องชุดคอนโดมิเนียมประมาณ 56,300 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์ประมาณ 51,900 หน่วย บ้านเดี่ยวประมาณ 33,300 หน่วย อาคารพาณิชย์ประมาณ 15,400 หน่วย และบ้านแฝดประมาณ 4,600 หน่วย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ คาดประมาณว่าสำหรับปี 2553 ทั้งปี น่าจะมีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ไม่น้อยกว่า 170,000 หน่วย
แนบไฟล์
aaa(2).jpg
aaa(4).jpg
aaa(3).jpg

naijan
Verified User
โพสต์: 5011
ผู้ติดตาม: 1

Re: พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง

โพสต์ที่ 240

โพสต์

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ช็อกคนอยากมีบ้าน "วัสดุก่อสร้าง"ขึ้นยกแผง"ปูน-สี-เหล็ก"ปีหน้าขยับราคา

วัสดุก่อสร้างพาเหรดปรับราคาสินค้าระลอกใหม่ "ปูนซีเมนต์" ทุกแบรนด์ดีเดย์ปีใหม่ขึ้นอีก 200 บาทต่อตัน "ก๊อกน้ำคอตโต้" ปรับราคาลูกค้าโครงการกว่า 3% ส่วน "สี-กระเบื้อง-หลังคา-เสาเข็ม" ขยับยกแผง 3-5% อ้างต้นทุนวัตถุดิบพุ่งกระฉูด คนซื้อบ้าน-คอนโดฯ แจ็กพอต ต้องควักกระเป๋าจ่ายเพิ่ม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากปัจจัยราคาวัตถุดิบและน้ำมันที่ค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับมีการประกาศปรับค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศขึ้นอีก 8-17 บาทต่อวัน โดยให้มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2554 ส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างและวัสดุตกแต่งปรับสูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้จากการสำรวจความเคลื่อนไหวในตลาดวัสดุก่อสร้างและวัสดุตกแต่ง พบว่าตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงช่วงไตรมาสแรกปี 2554 ผลิตภัณฑ์หลายประเภทได้ทยอยปรับขึ้นราคา
ไม่ว่าจะเป็นปูนซีเมนต์ เสาเข็ม กระเบื้องหลังคา ก๊อกน้ำ สี ฯลฯ โดยปูนซีเมนต์ประกาศปรับขึ้นราคา 200 บาทต่อตัน ส่วนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีก 4 รายการ ปรับราคาเฉลี่ยตั้งแต่ 3-5% ขึ้นไป เช่นเดียวกับที่ผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินจะปรับราคาขายบ้านและคอนโดฯ ขณะที่ธุรกิจรับสร้างบ้านก็เตรียมปรับราคาขึ้นเพื่อให้สอดรับกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น
@ "ปูนซีเมนต์" ปรับราคาทุกแบรนด์
แหล่งข่าวจากร้านจำหน่ายปูนซีเมนต์รายใหญ่ในภาคตะวันตกกล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ทางร้านได้รับแจ้งจากโรงงานผู้ผลิตปูนซีเมนต์ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นต้นไป โรงงานเตรียมปรับขึ้นราคาปูนซีเมนต์ถุงอีกครั้ง โดยใช้วิธีดึงส่วนลดราคาขายหน้าโรงงานที่ให้กับร้านเอเย่นต์กลับคืนอีกตันละ 200 บาท มีผลให้ราคาขายปูนซีเมนต์ปรับขึ้นเฉลี่ยถุงละ 10 บาท (1 ตันมี 20 ถุง)
สำหรับปูนซีเมนต์ถุงแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ 1) ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ (ประเภท 1) สำหรับงานโครงสร้าง ปัจจุบันราคาขายหน้าโรงงานรวมส่วนลดแล้วเฉลี่ย 1,760 บาทต่อตันบวกลบ เมื่อปรับราคาจะขยับขึ้นเป็นเฉลี่ย 1,960 บาทต่อตันบวกลบ และ 2) ปูนซีเมนต์ผสม สำหรับงานก่อฉาบ ราคาขายหน้าโรงงานรวมส่วนลดแล้วเฉลี่ย 1,560 ต่อตันบวกลบ เมื่อปรับราคาจะขยับขึ้นเป็น 1,760 บาทต่อตันบวกลบ ไม่รวมค่าจัดส่งอีก 280-300 บาทต่อตัน
การปรับราคาหน้าโรงงานจะทำให้ราคาขายปูนหน้าร้านยี่ห้อต่าง ๆ หลังบวกกำไรและแวต 7% แล้ว น่าจะมีราคาใหม่ดังนี้ 1) ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ "ตราช้าง" จากถุงละประมาณ 120 บาท เป็นถุงละ 127-130 บาท ปูนซีเมนต์ผสม "ตราเสือ" จากถุงละประมาณ 110 บาท เป็นถุงละ 118-120 บาท
2) ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ "อินทรีแดง" จากถุงละประมาณ 118 บาท เป็นถุงละ 125-128 บาท ปูนซีเมนต์ "อินทรีเขียว" จากถุงละประมาณ 108 บาท เป็นถุงละ 115-128 บาท
3) ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ "ทีพีไอแดง" จากถุงละประมาณ 114 บาท เป็นถุงละ 121-124 บาท ปูนซีเมนต์ "ทีพีไอเขียว" จากถุงละประมาณ 104 บาท เป็นถุงละ 111-114 บาท
4) ปูนซีเมนต์ "ตราภูเขาสีแดง" จากถุงละประมาณ 110 บาท เป็นถุงละ 117-120 บาท ปูนซีเมนต์ "ตราดอกบัว" จากถุงละประมาณ 100 บาท เป็นถุงละ 107-110 บาท
"มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงว่า นับตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นไปราคาปูนถุงจะขยับขึ้น เพราะช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมาก็มีความพยายามจะดึงส่วนลดหน้าโรงงานที่ให้กับร้านเอเย่นต์กลับคืนมาตลอด"
@ก๊อกน้ำ "คอตโต้" ขึ้นราคาลูกค้าโครงการ
แหล่งข่าวจากผู้แทนจำหน่ายสุขภัณฑ์และกระเบื้องปูพื้นบุผนังในเขตกรุงเทพฯ กล่าวกับ ประชาชาติธุรกิจŽ ว่า ทางร้านเพิ่งได้รับแจ้งจากผู้ผลิตก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์แบรนด์ "คอตโต้" ว่า ปีใหม่ 2554 นี้จะขอปรับขึ้นราคาสินค้าเฉพาะกลุ่มลูกค้าโครงการในอัตรา 3% ขึ้นไป โดยให้เหตุผลว่า มาจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่แบรนด์อื่น ๆ อาทิ โคห์เลอร์-กะรัต, นาม ฯลฯ ยังคงยืนราคาเดิม
ส่วนสินค้าในกลุ่มกระเบื้องปูพื้นและบุผนังมีผู้ผลิต 2 แบรนด์คือ "โสสุโก้" และ "คัมพาน่า" ที่เตรียมจะปรับขึ้นราคาสินค้าเร็ว ๆ นี้ แต่ยังไม่ระบุถึงราคาใหม่และระยะเวลาการปรับที่ชัดเจน
นายสราวุฒิ สำราญทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามซานิทารีแวร์ อินดัสทรีแวร์ จำกัด ผู้ผลิตก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์ คอตโต้Ž กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างทบทวนต้นทุนการผลิตสินค้าในกลุ่มก๊อกน้ำใหม่อีกครั้ง เดิมเตรียมจะปรับราคาช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่มีเหตุการณ์น้ำท่วมเลยตัดสินใจชะลอออกไปก่อน
สาเหตุเนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาราคาวัตถุดิบที่ใช้ผลิต ได้แก่ ทองเหลืองและทองแดงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับตลอดปี 2553 บริษัทยังไม่มีการปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์ก๊อกน้ำ เบื้องต้นคาดว่าเวลาที่เหมาะสมน่าจะอยู่ในช่วงหลังปีใหม่หรือภายในช่วงไตรมาสแรกปีหน้า ส่วนสินค้าในกลุ่มสุขภัณฑ์เพิ่งจะมีการปรับราคาเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา
@ผู้ผลิตสีทาอาคารจ่อคิว
ด้านความเคลื่อนไหวของผู้ผลิตและจำหน่ายสีทาอาคาร นายวรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สีเบเยอร์ จำกัด เปิดเผยในทำนองเดียวกันว่า บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาเตรียมปรับขึ้นราคาสินค้าในอัตราเฉลี่ย 3% คาดว่าจะอยู่ภายในช่วงต้นปีหน้า เนื่องจากราคาวัตถุดิบในการผลิตสีปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีโอเอเพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมสีกำลังประสบปัญหาต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะสารไทเทเนียมไดออกไซด์ที่มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นมาก เป็นเพราะหลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐและตะวันออกกลางทำให้โรงงานบางแห่งลดกำลังการผลิตหรือปิดกิจการลง ขณะที่เศรษฐกิจในฝั่งเอเชียโดยเฉพาะประเทศจีนยังคงขยายตัวดี ทำให้ดีมานด์มีสูงกว่าซัพพลาย
ทั้งนี้ช่วงครึ่งปีหลังต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตสีปรับขึ้นไปแล้วประมาณ 18% แม้ว่าจะได้เรื่องเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาประมาณ 10% หรือ 3 บาทมาชดเชย แต่โดยรวมก็ถือว่าบริษัทยังมีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ดังนั้นมีความเป็นไปได้ว่าภายในช่วงไตรมาส 1-2 ปีหน้า บริษัทจำเป็นจะต้องปรับขึ้นราคาสินค้าให้สอดรับกับต้นทุน
@ กระเบื้อง-หลังคา-เสาเข็มŽ ขยับ 5%
แหล่งข่าวจากบริษัท ไดนาสตี้ เซรามิค จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตกระเบื้อง ไดนาสตี้Ž กล่าวว่า ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมนี้จะประชุมผู้บริหารและหารือเรื่องต้นทุนการผลิตสินค้า ทั้งในแง่วัตถุดิบและค่าแรงใหม่ เพื่อคำนวณต้นทุนและพิจารณาว่าจะต้องปรับราคาสินค้าหรือไม่
ทั้งนี้นอกจากสินค้าในกลุ่มปูนซีเมนต์ ก๊อกน้ำ สี และกระเบื้องปูพื้นบุผนังแล้ว เดือนธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา บมจ.กระเบื้องหลังคาตราเพชรได้ทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าในกลุ่มกระเบื้องหลังคา 5% ส่งผลให้ราคากระเบื้องหลังคาเฉลี่ยปรับขึ้นอีกแผ่นละ 1-2 บาท ส่วนบริษัท คอนกรีตไลน์ จำกัด ทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าในกลุ่มเสาเข็มคอนกรีตขึ้น 5% หรือประมาณเมตรละ 7 บาท
@ปรับแผนลดไซซ์บ้าน-แจกแถมน้อยลง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลพวงจากราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดฯเพิ่มขึ้นทั้งระบบ เห็นได้จากผู้ประกอบการหลายรายประกาศจะปรับราคาขายบ้านและคอนโดฯช่วงต้นปีหน้า หลังจากพยายามตรึงราคามาเป็นเวลานาน เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัวลงไม่เอื้อให้สามารถทำเช่นนั้นได้ ขณะที่เจ้าของบ้านรายย่อยที่จะปรับปรุงต่อเติมบ้านหรือว่าจ้างบริษัทรับสร้างบ้านก็จะได้รับผลกระทบจากราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นด้วย
กรณีดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการบางรายประกาศล่วงหน้าชัดเจนแล้วว่า อาจจำเป็นต้องปรับราคาขายบ้านและคอนโดฯเพิ่มขึ้น อาทิ บมจ.เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ บจ.กานดาเคหะ ขณะที่ บมจ.แสนสิริอยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์ ฯลฯ อย่างไรก็ตามก่อนจะปรับราคาบ้าน ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการจะใช้วิธีลดการให้ส่วนลด แลก แจก แถม ปรับลดไซซ์บ้าน ปรับลดการใช้วัสดุตกแต่งที่ฟุ่มเฟือยก่อน
@บ้านต่ำกว่า 3 ล้าน แจ็กพอตต้นทุนเพิ่ม 5-10%
นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ให้ความเห็นว่า ราคาวัสดุก่อสร้างหลักในการสร้างบ้าน อาทิ ปูนซีเมนต์และเหล็กเส้นที่ทยอยปรับสูงขึ้นมาโดยตลอด ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปริมาณความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการก่อสร้างระบบโครงการรางของภาครัฐ แต่ในแง่ของการปรับราคาบ้าน ผู้ประกอบการไม่สามารถทำได้ทันที แม้ว่าต้นทุนโดยรวมจะเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่จะใช้วิธีลดการให้ส่วนลด แลก แจก แถม ปรับลดไซซ์บ้าน ปรับลดการใช้วัสดุตกแต่งที่ฟุ่มเฟือย ปรับเปลี่ยนทำเลในการพัฒนาโครงการก่อน
เท่าที่ประเมินคาดว่าราคาวัสดุก่อสร้างที่พุ่งสูงขึ้นจะส่งผลกระทบต้นทุนการพัฒนาโครงการ 1-2% ไม่รวมผลกระทบจากต้นทุนอื่น ๆ อีกหลายปัจจัยที่อาจจะเพิ่มขึ้น เช่น ราคาที่ดิน ราคาน้ำมัน ฯลฯ โดยส่วนนี้จะทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับราคาบ้านเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3-5% หรือมากกว่านั้นแตกต่างกันออกไป โดยบ้านระดับกลาง-ล่างจะได้รับผลกระทบจากที่ต้นทุนวัสดุก่อสร้างสูงขึ้นมากกว่าบ้านหรูหรือตลาดระดับบน โดยเฉพาะบ้านระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทจะมีแรงกดดันจากปัจจัยต้นทุนอื่น ๆ ซึ่งเป็นต้นทุนในการพัฒนาโครงการ อาจทำให้ต้องปรับราคาขึ้นถึง 5-10%
"ต้นทุนบ้านขึ้นแน่นอน หากราคาวัสดุก่อสร้างหลักที่นำมาสร้างบ้านขยับขึ้น แต่จะบอกว่า ปรับขึ้นมากน้อยแค่ไหน ตรงนี้ยังบอกไม่ได้ ขึ้นอยู่กับตัวแปรอื่นด้วย เช่น ราคาที่ดิน ค่าถมดิน ที่แพงขึ้นจากราคาน้ำมัน"
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 2&catid=no