กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Sovereign Wealth Fund (ตอนที่ 3)/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2050
ผู้ติดตาม: 465

กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Sovereign Wealth Fund (ตอนที่ 3)/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ที่ผมเสนอให้ประเทศไทยใช้ทุนสำรองส่วนเกินประมาณ 100,000 ล้านเหรียญ ไปจัดตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” (Sovereign Wealth Fund) นั้น ไม่ใช่เพื่อให้เงินบาทอ่อนค่า ดังที่ได้มีการกล่าวถึง แต่เป็นการทำเพื่อให้รัฐบาลไทยสามารถนำเงินทุนส่วนเกินของประเทศไทยมาใช้ให้เป็นประโยชน์มากกว่าการเป็นเพียงทุนสำรองที่มีเกินความจำเป็น

ยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งได้จัดตั้งกองทุนดังกล่าวมานานเกือบ 45 ปีแล้ว คาดการณ์ว่า กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศสิงคโปร์ คือ Government Pension Fund (GIC) ปัจจุบันการลงทุนของ GIC มีมูลค่าสูงถึง 800,000 ล้านเหรียญ เป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ใหญ่อันดับ 6 ของโลก (และมีมูลค่าสูงกว่าจีดีพีของสิงคโปร์ที่ประมาณ 550,000 ล้านเหรียญ) 

ขอให้ลองนึกภาพดูว่า ประเทศสิงคโปร์ที่มีประชากรไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรใน กทม. มีเงินลงทุนที่สามารถลงทุนในหุ้น ของบริษัทขนาดใหญ่ โครงการขนาดยักษ์ โครงสร้างพื้นฐาน เอไอ หรือเทคโนโลยีล้ำหน้าใดๆ ก็ได้ในโลก ทำให้ประเทศสิงคโปร์มีสถานะและพลังทางเศรษฐกิจในเวทีโลก ที่โดดเด่นกว่าประเทศที่ใหญ่กว่าเช่นประเทศไทย

GIC รายงานว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การลงทุนของ GIC ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.7% ต่อปี หากหักเงินเฟ้อออกไปผลตอบแทนจริงเท่ากับ 3.8% ต่อปี กำไรของ GIC ถูกแบ่งโอนไปให้กองทุน Net Income Returns Contributions (NIRC)

ซึ่งรับโอนกำไรจากกองทุน GIC จากกองทุน Temasek (กองทุนความมั่งคั่งที่ลงทุนทั้งในและนอกประเทศของสิงคโปร์ อีกกองทุนหนึ่ง) และจากธนาคารกลางของสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore หรือ MAS) กำไรดังกล่าวทำรายได้ให้กับรัฐบาลสิงคโปร์มากถึง 20% ของรายได้ของภาครัฐทั้งหมด

ทำไมประเทศไทยจึงไม่พยายามนำเอา “ทุนสำรองส่วนเกิน” มาทำประโยชน์ในการเพิ่มศักยภาพทางการคลังอย่างเช่นสิงคโปร์กำลังทำอยู่ในขณะนี้

ในภาวะที่รัฐบาลไทยกำลังขาดดุลงบประมาณ ซึ่งยากที่จะปรับลดลงได้ รายได้ที่เก็บจากภาษีก็ต่ำกว่าเป้า มีความเสี่ยงที่จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือเพราะหนี้สาธารณะต่อจีดีพีกำลังจะสูงเกินเกณฑ์ และประเทศต้องการพึ่งพารัฐบาลให้เป็นแกนนำในการลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

กองทุนความมั่งคั่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมีกองทุนประเภทนี้ในโลกจำนวนนับร้อยราย และในช่วงประมาณ 25 ปีที่ผ่านมามีการจัดตั้งกองทุนประเภทนี้ขึ้นมาใหม่กว่า 50 กองทุน

ประเทศเกาหลีใต้ เพิ่งจัดตั้งกองทุน Korea Investment Fund (KIC) เมื่อปี 2548 ตามรายงานข่าวระบุว่า มูลค่าของกองทุนดังกล่าวมีเงินตั้งต้นไม่กี่หมื่นล้านเหรียญ และเพิ่มขึ้นเป็น 91,800 ล้านเหรียญในปี 2558 ต่อมาในปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 206,500 ล้านเหรียญ 

การเพิ่มขึ้นนั้นส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะว่า เกาหลีใต้มีทุนสำรองส่วนเกินนำมาเพิ่มขนาดของกองทุนและคงนำเอาเงินใหม่โอนเข้าไปในกองทุน KIC นอกจากนั้น การลงทุนในต่างประเทศก็ได้ให้ผลตอบแทนที่สูงมาก เช่น ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 170% (ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10.6% ต่อปี) เทียบกับหุ้นไทยที่ราคาลดลงในช่วงเดียวกัน ดังปรากฏในรูป

รูปภาพ

มีการตั้งแง่ว่า จะเอาทุนสำรองที่เป็นเงินอยู่กับธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาให้รัฐบาลได้อย่างไร? ในกรณีของสิงคโปร์ได้ออกกฎหมายในปี 2566 ให้ธนาคารกลางสิงคโปร์ซื้อพันธบัตรรัฐบาลเรียกว่า Reserve Management Government Securities (RMGS) ซึ่งเป็นพันธบัตรที่ใช้ไปแลกกับทุนสำรองส่วนเกินของธนาคารกลางที่โอนมาให้รัฐบาล 

พันธบัตร RMGS เป็นพันธบัตรที่รัฐบาลให้ผลตอบแทนกับธนาคารกลางบ้าง แต่เป็นพันธบัตรที่ซื้อขายได้เฉพาะระหว่างรัฐบาลกับธนาคารกลางเท่านั้น แปลว่า หนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นแต่เป็นหนี้กับธนาคารกลาง

ดังนั้น แม้หนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ทำให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือมีความกังวลแต่อย่างใด เพราะจะเป็นการนำทุนสำรองไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า และทำให้สถานะทางการคลังของรัฐบาลแข็งแรงขึ้น 

ตัวอย่างเช่น รัฐบาลสิงคโปร์มีหนี้สาธารณะคิดเป็นสัดส่วน 173.1% ของจีดีพี แต่มีอันดับความน่าเชื่อถือ AAA สูงกว่าอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทย 5 อันดับ (อันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยคือ BBB+) แม้ว่าหนี้สาธารณะของรัฐบาลไทยจะยังไม่ถึง 60% ของจีดีพี
โควท
โพสต์โพสต์