ปี 2567 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป ถือเป็นอีกปีหนึ่งที่โลกมีความผันผวน ทั้งทางด้านภูมิอากาศ ด้านการลงทุน อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่างๆ ราคาโภคภัณฑ์หลายอย่างพุ่งเร็ว ลงเร็ว ทองคำและเงินคริปโททำสถิติราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เงินเยนมีค่าต่ำลงสุดๆในรอบ 38 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ฯลฯ
ในด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจากผลพวงสภาวะของโลกเดือด ปีนี้อากาศร้อนมากทั่วโลก น้ำบนผิวดินระเหยไปมากกว่าทุกๆปี ปริมาณความชื้นสะสมในบรรยายกาศจึงมีมากกว่าในปีอื่นๆ ทำให้เกิดฝนตกอย่างหนักจนเกิดน้ำท่วมฉับพลันและโคลนถล่มอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในหลายประเทศ
นอกจากนี้ ในทางการเมือง เป็นปีที่ประเทศต่างๆในโลก มีการเลือกตั้งมากที่สุดปีหนึ่ง เกิดความวุ่นวายทางการเมือง การประท้วง และการเปลี่ยนแปลงผู้นำในหลายเขตเศรษฐกิจของโลก ทั้งเศรษฐกิจก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมใหญ่ของโลก คืออุตสาหกรรมยานยนต์ เมื่อยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามีกำลังผลิตสูง แต่ความต้องการซื้อชะลอตัว จึงต้องทำการลดราคาขายลงอย่างฮวบฮาบ เพื่อระบายสินค้า ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการทุ่มตลาด
ปี 2567 เป็นปีที่เศรษฐกิจและสินทรัพย์ลงทุนของตลาดพัฒนาแล้ว ให้ผลตอบแทนชนะตลาดเกิดใหม่ไปอย่างไม่น่าเชื่อ และพอใกล้ๆปลายปีที่ตลาดหุ้นสหรัฐและค่าเงินดอลลาร์กำลังจะเริ่มแผ่ว ก็เกิดมีว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา และตลาดหุ้นสหรัฐรวมถึงตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว รวมถึงเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงยังสามารถคงความร้อนแรงต่อไปได้อีกพักหนึ่ง (ดิฉันคาดว่าประมาณ 6 เดือน ก่อนที่ตลาดจะมีการประเมินว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป) ด้วยความคาดหวังในนโยบายที่จะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐ ดีต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งก็จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศอื่นๆที่มีการค้าขายกับสหรัฐ มีผลพลอยได้ดีตามไปด้วยไม่มากก็น้อย
การคาดการณ์สถานการณ์ลงทุนในปี 2568 โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกจึงเป็นไปได้ยาก แต่ที่คาดเดาได้อย่างชัดเจนในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ คือ ความผันผวนที่จะเพิ่มขึ้น หากนโยบายสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ ราคาสินทรัพย์ต่างๆที่ขึ้นมาบ้างแล้วด้วยแรงผลักดันจาก “ความหวัง” ก็น่าจะสามารถทรงอยู่ได้ และอาจปรับเพิ่มขึ้นอีก
แต่หากนโยบายบางอย่างไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ ตลาดจะผิดหวังและมีการปรับตัวลง โดยเฉพาะตลาดทุนในสหรัฐ ซึ่งอาจจะทำให้เงินทุนไหลออกมายังตลาดเกิดใหม่บางส่วน
อย่างไรก็ดี ไม่ว่านโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์จะปฏิบัติได้หรือไม่ได้ แนวโน้มหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นมาพักหนึ่งแล้ว และจะเกิดต่อไปในช่วงหลายทศวรรษข้างหน้า คือการเข้ามามีบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ต่อเศรษฐกิจและสังคม
สามทศวรรษมาแล้ว ที่ประเทศจีนได้เป็นผู้ทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง จากการเป็นแหล่งผลิตสินค้าที่มีต้นทุนถูก ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและความสะดวกสบายจากการมีอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงเสื้อผ้าและยานพาหนะราคาต่ำลง
วันนี้ เทคโนโลยีโดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์หรือ เอไอ (Artificial Intelligence : AI) จะเป็นตัวจักรสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในการผลิต ในอุตสาหกรรม ในการบริการ และในการทำให้ชีวิตสะดวกสบาย ประชากรของโลกมีการดูแลสุขภาพดีขึ้น อายุยืนยาวขึ้น สามารถค้นหาแนวโน้มในการเจ็บป่วยได้ ก่อนมีการเจ็บป่วยจริง และทรัพยากรที่จะต้องใช้ในการรักษาพยาบาลก็จะลดลง ฯลฯ
เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ คนก็ต้องพุ่งไปหาสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งชุมนุมของบุคลากรทางด้านไอที แต่ประเทศทั้งพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาอื่นๆ ก็กำลังพยายามสร้าง หรือนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้กับงานและชีวิตของประชากรเช่นกัน
ทักษะหนึ่งที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า จำเป็นอย่างยิ่งในทศวรรษต่อๆไปคือ “การถามคำถาม” หรือ Questioning Skills ต้องมีวิธีการป้อนคำถามเพื่อให้ได้คำตอบหรือการแก้ปัญหาที่เราต้องการ ซึ่งแน่นอนว่า คำถามประเภท “ทำไม” (Why?) กับ “อย่างไร” (How?) เป็นคำถามสำคัญที่จะทำให้ได้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจและแก้ไขปัญหา
การมาถึงของปัญญาประดิษฐ์ หรือ เทคโนโลยีเอไอ ในช่วงนี้ ช่วยให้โลกที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงของการเติบโตช้าลงอันเนื่องมาจากโครงสร้างของประชากรสูงวัย การมีนโยบายพึ่งพาตัวเองให้มาก และการกีดกันทางการค้า การแข่งขันทางเทคโนโลยี สามารถเพิ่มอัตราการเติบโตได้อีก เสมือนการมีประเทศจีนเข้ามาสู่โรงงานผลิตสินค้าราคาถูกให้กับโลกใน 30 ปีที่ผ่านมา
ดิฉันชอบใจมากที่บริษัทจัดการลงทุน Robeco แห่งเนเธอร์แลนด์ เรียกช่วงเวลาที่โลกจะปรับเปลี่ยนโดยมีเทคโนโลยีเอไอเข้ามาช่วยนี้ว่า Atlas Lifted หรือ “การยกระดับของเทพแอตลัส”
เทพแอตลัส (Atlas) เป็นเทพผู้แบกโลก ถูกทำโทษให้แบกสวรรค์ไว้บนบ่าไปตลอดกาล เพราะเป็นขุนทัพที่อยู่ฝั่งไททัน ซึ่งแพ้สงครามระหว่างเทพเจ้า ที่ต่อสู้แย่งชิงความเป็นใหญ่ในสวรรค์กับฝั่งเทพซีอุส หรือ ซุส ภาพของเทพแอตลัสที่มีผู้วาดไว้ดั้งเดิมจะแบกแผ่นดินของสวรรค์ แต่ภายหลัง มีผู้วาดให้แบกลูกโลก เราจึงถือว่าเทพแอตลัสเป็นผู้แบกโลกค่ะ
การใช้คำว่า Lifted หรือถูกยกขึ้น ก็เป็นการเปรียบเทียบว่า เศรษฐกิจของโลกยังไม่แย่ ยังมีลูกฮึดจากการถูกยกขึ้นด้วยเทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ โดยโรเบโค ให้เหตุผลไว้สามข้อคือ การเติบโตทางผลิตภาพจะถูกยกระดับโดยการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ ประการที่สองการที่คลื่นเศรษฐกิจของสหรัฐเป็นขาขึ้น จะช่วยยกเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศขึ้นมาด้วย เช่น สหราชอาณาจักรและยุโรป และประการที่สาม เงินออมที่มีอยู่มากในระบบของโลกจะถูกจัดสรรออกไปลงทุนมากขึ้น แทนที่จะเก็บไว้
ต้นปีหน้า ทั่วโลก ก็จะต้องจับตาดูว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ว่าจะเดินเกมส์อย่างไร สวัสดีปีใหม่ และขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีของทุกท่านค่ะ
ส่งท้ายปีเก่า/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1997
- ผู้ติดตาม: 430