บทเรียนการลงทุนจากรุ่นพี่สู่รุ่นหลัง by พี่ VuudD
- Koln
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 88
- ผู้ติดตาม: 16
บทเรียนการลงทุนจากรุ่นพี่สู่รุ่นหลัง by พี่ VuudD
โพสต์ที่ 1
@ Money Game และ จิตวิทยาการลงทุน ใช้ได้กับหุ้นบางประเภท ขึ้นกับชนิดของหุ้น
@ หุ้น 1 ตัว อาจเป็นหุ้นพื้นฐานในระยะเวลาหนึ่ง ต่อมาอาจเป็นหุ้น Money Game ขึ้นกับเรื่องราวและเหตุการณ์
ข้อเท็จจริงในแต่ละช่วง
@ Criteria ที่ไม่ควรไปเสียเวลากับหุ้นตัวนั้น ในหุ้นไทย ได้แก่
1) หุ้น Money Game และ Story เนื่องจากมีหุ้นดีๆให้เลือกอีกมาก
2) ดูภาพมหภาค และมองว่าหุ้นไหนได้ประโยชน์ ณ เวลานั้น เช่น Domestic play
@ หุ้นไทยในสองปีนี้ คือ จะตรงกับปี 2570 คือเข้าใกล้การเลือกตั้ง Election worry เป็นช่วงเวลาในการ exit และได้กำไรจากค่าเงิน
@ มองว่าดอลลาห์จะอ่อนได้อีก 2-3 ปี เนื่องจากการลดดอกเบี้ยของ FED กรณีที่ไม่มีสงคราม เงินที่เคยไหลเข้า USA จะไหลอก และทำให้ค่าเงินบาทแข็ง
ไทยมีเงินทุนสำรองสูง ทำให้ค่าเงินบาทจะแข็งปีละ 3%
@ ถ้าพอร์ทเล็ก จะไม่ลงทุนหุ้นไทย บริษัทในจีนความสามารถ การแข็งขัน ขนาดตลาดใหญ่กว่า สูงกว่าไทย
ดังนั้นถ้าเล่น cyclicle แนะนำหุ้นจีนดีกว่า
- ถ้าไม่เล่นแบบ cyclicle แนะนำหุ้น USA เนื่องจาก High Beta จะสามารถปั้นพอร์ทได้เร็วกว่า
จีน กับ ไทย จัดเป็น ตลาด "cyclical" ขาบวก
USA คือ ตลาด "secular" (Buy and Hold)
แต่ถ้าพอร์ทใหญ่ประมาณหนึ่ง ต้องดู RR ratio, down side จำกัด
@ หุ้นไทยปีหน้า มองว่า Finance ยังมีข้อน่ากังวล แต่เน้น Domestic play
@ ถ้าย้อนไป 5-10 ปีที่แล้ว อยากบอกกับตัวเองว่า ช่วงทองของตลาดไทยจะอยู่ไม่นานควรตักตวง กล้า Bet ให้มาก
@ ถ้าตอนนี้อายุ 20 ปี จะบอกกับตัวเองว่า ในตลาดหุ้นไทย ควรศึกษาให้รอบด้าน ทั้งภาพใหญ่ พื้นฐาน กราฟ เพื่อนำมาใช้ในการปั้นพอร์ท
@ 4P ใช้กับหุ้นไทยที่เป็น Cyclicle
ตอนเข้าตลาดใหม่ๆ หาหุ้นพื้นฐานที่ธุรกิจกำลังดี เป็นขาขึ้น กำไรเติบโต
สมัยก่อนหุ้นมี Warrant ออกมาเยอะ เช่น ได้จาก JAS-W, RS-W, JMT-W
สมัยนั้น W เข้ามาโดยมี discount เป็นส่วนมาก ปัจจุบันไม่มี W แบบนั้นแล้ว
@ หุ้นไทย mid and small cap จะให้ return ที่ดีกว่า
แต่ใน USA หุ้นใหญ่อาจให้ return ที่ดีกว่า เนื่องจากสภาพตลาดดีกว่า สามารถมองเชิงกลยุทธ์ได้มากกว่าการต้องเกาะติดข้อมูล ต้องมองว่าอยู่ใน Megatrend ไหม เป็นผู้ชนะในอุตสาหกรรมนั้นหรือไม่
@ ตลาดที่น่าสนใจ คือ มาเลเซีย เนื่องจากปัญหาทางการเมืองได้ผ่านพ้นไป และมาเลเซียภาพจะคล้ายไต้หวัน
มีชิพแอคที่เป็น value added ที่ไม่ต้องแข็งขันด้านราคา
Data center ในมาเลเซีย ตั้งครั้งละ 100 GB แต่ไทยครั้งละ 5 GB เนื่องจากสายไฟไทยอยู่บนเสา
แต่มาเลเซีย สิงคโปร์เป็นสายไฟใต้ดิน (infrastructure ในมาเลเซียเอื้ออำนวย)
ปล.
@ ช่วงปั้นพอร์ท ศึกษาทุกเวลา ไม่มีเวลาเยอะมาก เลิกงานที่ office ก็จะไปฟัง Money talk, Money channel
พอถึงบ้านกินข้าว จะตื่นมาสี่ห้าทุ่ม อ่านหนังสือการลงทุน
หลับตอนตีสามตีสี่
เจ็ดโมงเช้าตื่นไปทำงาน
สรุป คือ ใช้เวลา วันละ 10 ชม. อ่าน ศึกษาตลอดเวลา
อ่าน 56-1, ฟัง Oppday อ่านทุกอย่างที่อ่านได้ หนังสือการลงทุน
@ ณ วันที่ลาออกจากงาน ก็ไม่ได้มั่นใจว่ามาถูกทาง แต่มองเห็นว่ามาในจุดที่คุ้มเสี่ยง ดูจากผลตอบแทน
@ ปัจจัยเสี่ยงของหุ้น finance คือ ถ้าหุ้นที่ไม่ใช่ investment grade ออกมาอาจขายไม่ออก และอาจต้องเพิ่มดอกเบี้ย
@ เปรียบตัวเองเหมือนผึ้ง ไปตอมดอกไม้ในสวน ไปสะสมในรัง กลายเป็นน้ำผึ้ง
คือ ขบวนการเรียนรู้ที่ อ่านทุกอย่าง ศึกษาทุกอย่าง*********
ถ้าอยากให้มีประสิทธิภาพ แนะนำให้อ่าน Paper ต่างประเทศ สะสม จนเกิดเป็นองค์ความรู้ของคุณ
จึงไม่มีช่องใดช่องหนึ่งที่อ่านเป็นพิเศษ
@ Theme ที่จะมาแทนที่ AI มองว่า อาจจะเป็น Theme VR (Virtual reality)
มองหุ้น in USA กลุ่มที่ได้ประโยชน์จะเป็น Hardwear ตามมาด้วย Softwear
AI ยังไม่มี Software ที่เป็นผู้ชนะ (ตัวเต็ง คือ ParenteAI???) ตลาดยังไม่รู้ว่าใครคือผู้ชนะ
Theme Cloud ผู้ชนะคือ ใคร เช่น Crowstrike แต่ยังไม่มีภาพนี้ใน Theme AI
@ หุ้น USA
หุ้นขาขึ้น หรือ หุ้น Growth ซื้อตอน PE แพงดีกว่า เนื่องจากคนมองว่ากำไรไม่ควรเท่านี้ มันยังขึ้นได้อีก
ดังนั้นหุ้นกลุ่ม Srcular trend ควรรอจังหวะที่ตลาดปรับ Valuation ลง
แต่การต่อราคามากเกินไปอาจไม่ได้ซื้อแม้ราคาปรับตัวลงมา
หุ้นขาลง ดูว่า trade EV/EBITDA เท่าไหร่ แล้วย้อนกลับไปดูว่า EV, EBITDA และ ราคาควรเป็นเท่าไหร่
@ Dept cycle ขึ้นไปถึงจุดหนึ่ง จะไม่สามารถก่อหนี้เพิ่มได้ ทำให้ USA ไม่สามารถออกพันธบัตรที่ดอกเบี้ยต่ำพอได้ เงินดอลลาห์จะอ่อนลง ทำให้หุ้น USA น่าสนใจ ****
ถ้า Dollar อ่อน แล้วราคาหุ้นดีๆ ต่ำลง เงินที่อยู่ต่างประเทศจะได้ประโยชน์ ถ้า dollar อ่อน Tech company in USA จะได้ประโยชน์ เหมือนปี 2540 ในไทย ถ้าซื้อหุ้นส่งออกจะได้เงินเพิ่มสองเท่า
@ หุ้น USA มอง Old vs New economy อย่างไร
Old economy โดนกดดันด้วยดอกเบี้ยขาลงมาโดยตลอด แล้วราคาลงมา นาทีนี้กลุ่มนี้น่าสนใจ เช่น หุ้นเหมืองทอง เนื่องจากเดิมราคาทองขึ้น Labor cost เพิ่มมากกว่า ทำให้กดดันกำไร แต่ถ้าราคาทองคำไม่ลงไปกว่านี้ การจ้างงาน ค่าแรงเริ่มลดลง ดังนั้นพื้นฐาน valuation ได้
แต่ Starbuck มองต่าง เป็น old eco ที่ยังไม่น่าสนใจ
Tech USA ขึ้นมาสูง
Biotech เสียประโยชน์จากดอกเบี้ยสูง เพราะยังไม่มีกำไร ต้อง raise Fund น่าสนใจ แต่ต้องไปทำการบ้าน
Biotech in Thai: ยังไม่ค่อยมั่นใจ Stem cells ว่าใช้ได้จริงไหม ถ้ามีคนออกมาบอกว่าผลการรักษาไม่ดีจริง จะกระทบกับรายได้และกำไร
@ มองว่าดอกเบี้ยลด กับกลุ่มอสังหา ที่ต้องเปิด Project ใหม่เรื่อยๆ ต้องไปมอง multiple ที่ถูก และปันผลที่ไม่ลดลง ถ้าจะเล่นกลุ่นี้ต้องไปติดตามเรื่องดอกเบี้ย แต่มองว่าเสียเวลา ไป focus กลุ่มอื่นดีกว่า
@ กลุ่มประกัน
สิบปีที่แล้ว ญี่ปุ่น ดอกเบี้ยอยู่ที่ Floor
ปจบ ดอกเบี้ยที่ลง อยู่บนฐานที่สูง และลงต่อได้อีก จะเป็นอุปสรรค
แต่ถ้าดอกลงไปอยู่ที่ 3% Bond ให้ผลตอบแทนที่ 3.5%
ต้องมองที่ Duration mismatch ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้อง Lock rate
Bond yield: Medlife วันที่ FED cut rate 0.5 หุ้นขึ้นเยอะมาก
Return จากประกันได้จาก Fix income มากกว่า
@ Moshi ที่ KKV มาเปิด ที่จีน KKV ไม่มีคน แต่ Miniso ยังมีคน
ตราบใดที่ Moshi ยังขายของที่ราคาถูกกว่าได้ จะผ่านไปได้
@ การไป CV กับการลงทุน ถ้าเอาตัวเองเป็นเกณฑ์ ผลตอบแทนช่วงที่ดีที่สุดคือ ไปบ้าง ไม่ไปบ้าง
บางคนไม่ไป แล้วไปทุกวัน ก็ผลตอบแทนดีขึ้น บางคนไม่ไปเลย ผลตอบแทนก็ดี
ดังนั้นการไป CV ไม่ได้สัมพันกับผลตอบแทน
ถ้ามีงานประจำ แล้วเลือกลงทุนแบบไม่ไป CV ถ้าฟัง Oppday อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องเอาทุกอย่าง
- ต้องเพิ่มการศึกษากิจการ 56-1 จุดแข็งจุดอ่อน บทวิเคราะห์ ไปลองใช้บริการ
- ต้องเข้าใจ Player ที่เล่นหุ้นกลุ่มนี้ แบ่งเป็น สองกลุ่ม คือ
1) Smart Money เช่น ต่างชาติ ไป CV เพื่อหาข้อมูลที่หาไม่ได้
2) Big money คนที่พอร์ทใหญ่ กองทุน มี connection ที่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ อาศัยการ Utilized connection
******ควรไปเล่นหุ้นคนละกลุ่มกับ Big money แล้วเดินตาม Smart Money ซื้อแล้วรอ เพราะมันอาจจะลงต่อ
แล้วรู้ว่าควรรออะไร เช่น การซื้อ COM7 ที่ 17-18 บาท จะได้ผลตอบแทนที่ไม่แย่
@ ธุรกิจซอส อาจต้องดูให้ลึกว่า ผบหทุ่มเทจริงไหม สามารถหายอดขายได้มากขึ้นไหม อย่ามองแค่เพียงภาพที่เห็นในโซเชียล
@ หุ้นนอก ควรใช้กลยุทธ์อย่างไร สำหรับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการลงทุนหุ้นนอกเลย
- Secular trend ต่างหากที่ทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดี
- Ex. Meta ตอนที่ลงเมื่อปีที่แล้ว มีคนกลุ่มหนึ่งมอง Negative Vs อีกกลุ่มซื้อหุ้น Meta และเขียนจดหมายไปบอกให้ Mark Zukerberg ให้ลด cost มา Focus ที่ IG และสุดท้ายก็กลับมาได้
- ดังนั้น ถ้าเราเลือกฝั่งที่มองว่าเค้าปรับและกลับมาได้ จะได้ผลตอบแทนที่ดี
- Meta: PE 15 เท่า เงินสดเยอะ ไม่มีหนี้ ถ้ากล้าซื้ออย่างน้อยถ้าต้อง cut จะมีเวลาให้คิด และไม่ขาดทุนหนักมาก เนื่องจากมันลงมามาก
@ หุ้นส่งออกที่มีแบรนด์ มองว่าในหุ้นไทยมีน้อย โอกาส success ไม่ง่าย
success ต้องดูว่ายอดขายยืนได้ มีการ repeat order
ต้องซื้อตอน PE ไม่สูง
เชื่อมั่นและมั่นใจว่าเป็นปัญหาชั่วคราว
@ เวลาที่รู้สึกว่าคิดผิด อยากจะจบให้เร็วที่สุด เพราะต้องให้โอกาสตัวเราเองมากที่สุด เหมือนเราปิดโอกาสตัวเอง
ดังนั้นต้องเลิกผิดให้ไว อยากให้โอกาสตัวเองมากกว่าให้โอกาสบริษัท
@ หุ้นไทย ดูบทวิเคราะห์, ประชุม AGM, บอร์ด Thai VI (เนื่องจากพยายามเดินฝั่ง smart money)
ใช้มุมมองและไอเดียมากกว่า
SAWAD: PE 9 (มีหลักประกัน)
AEONTS: PE 11 (ไม่มีหลักประกัน)
@ หุ้นต่างประเทศ ดู CNBC บทวิเคราะห์
@ จิตวิทยาการลงทุน มีหนังสือให้อ่าน เช่น จิตวิทยาการลงทุน ทฤษฎีเกมส์ เป็นต้น แต่สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
แต่สิ่งที่สำคัญ คือ จิตวิทยาตัวเราเอง ว่าเราขาดส่วนไหน ควรเติมส่วนไหน
**** การ CV ทำให้เกิด Bias******
****หุ้นที่ดีควรจะมีน้อย****
@ Mindset ของนลท Fulltime ควรตัดสิ่งไหนออก เพื่อให้การวิเคราะห์หุ้นมีประสิทธิภาพสูงสุด
- หนังสือ "Case in Point" หนังสือที่เด็ก MBA อ่านก่อนจบเพื่อหางาน: ถ้ามีเวลาสั้นๆที่ได้ขึ้นลิฟท์กับ ผบห แล้วถูกถามให้วิเคราะห์ว่าหุ้นนี้น่าสนใจอย่างไร จะต้องสรุปให้ได้ในเวลาจำกัด เพื่อให้ได้งานนั้น
- ก่อนพูดต้องคิดมาแล้วว่าปมคืออะไร
@ กลุ่มโรงพยาบาล ปีหน้าจะเริ่มมี Co-pay ทำให้กระทบกับโรงพยาบาลที่รับประกัน ถ้า Valuation สูงเกิน และคนไข้มาใช้บริการลดลงได้ในช่วงแรก
- Return ไปตามธุรกิจ ไม่ได้หวือหวา
@ กลุ่มความงาม
- ระยะยาวเติบโตได้
- ระยะสั้นและระยะกลาง มีสิทธิ์ที่เจอ cyclicle peak หลัง Covid ไปแล้ว และอาจจะเว้นช่วงในการทำส่วนอื่นๆ
- อาจจะผ่านช่วง Pendup Demand ไปแล้ว โดยดูจากงบที่ออกมา ว่ามีการขยายสาขาไปแล้ว แต่รายได้ กำไรไม่เป็นตามคาด
- ต้องมองว่า Cyclicle down turn และ Bottom อยู่ตรงไหน*****************
@ Advice รายได้หลักยังมาจาก computer ระยะสั้นหรือกลางต้องไปดู AI PC แต่ตอนนี้ยังไม่มา
ส่วนเรื่องเปิดสาขา กำไรไม่น่าจะดีเท่าในอดีต เนื่องจากมี Online
Cyclicle คือ AI PC
COM7 คือ AI Apple
@ การดู ผบห
- Warren Buffett บอกว่า แม้เอา idiot มาบริหารธุรกิจแล้วมันยังไปได้
- ต้องเป็นคนดี ไม่คดโกง
- ไม่ชอบ ผบห ที่ให้เป้า แต่ไม่บอกแนวทางว่าจะไปถึงอย่างไร
- ยอมรับผิดให้เร็ว และให้โอกาสตัวเองไปเจอหุ้นตัวอื่น**************
@ การเลือกตั้งของ USA อาจไม่ใช่ event ที่ทำให้เป็นโอกาสได้ซื้อหุ้น
- ถ้า ทรัมป์ มาพลังงานฟอสซิลจะได้ประโยชน์
- ถ้า แฮริส มา Green energy น่าจะได้ประโยชน์
**** แต่คนที่จะเริ่มลงทุนใน USA ไม่ควรใช้ปัจจัยนี้มาเป็นตัวเริ่มต้นในหารหาหุ้น หรือเลือกหุ้น!!!!!!!!!!
@ Portfolio management
- ตัวอย่าง****ของพี่วุด ถือหุ้น 100% มีเงินสำรองหลักแสน ไม่เคยซื้อประกันสุขภาพ
เนื่องจากเคยฟังคลิปว่า คุณเจริญไม่เคยซื้อประกัน พี่วุดอยากเป็นคนรวย จึงทำแบบคนรวย
- ต้องหาจุดเหมาะสมของตนเอง
@ เป้าหมายการลงทุน
- รู้สึกว่าไม่ชอบสิ่งที่เรียนมา จึงหาทางที่ต้องรวยมากๆ เพื่อไม่ต้องทำงานที่เราไม่ชอบ
จึงต้องทุ่มเทให้มากกว่าปกติ
@ คิดว่า BTC จะไม่กลับไปลงมากๆแบบเดิม เนื่องจากสถาบันเข้ามา Participate
@ การเรียนรู้ต้องรู้ให้จริงระดับนึง และใช้ประโยชน์ได้จริง
@ หุ้นจีนเป็น Cyclicle ที่ปรับตัวขึ้นมา จาก PE 8 -> 10 ไม่ได้คิดว่าจะได้ปรับ multiple ขึ้นได้เยอะ เช่น 15 อาจจะไม่ได้
@ Take Home Message:
การลงทุนไม่สำคัญว่าจะสำเร็จไหม แต่สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องเก่งขึ้นกว่าเมื่อวาน กว่าปีที่แล้ว
"You win or you learn"
คุณไม่ win แล้วคุณ learn ไหม? ********
ปล. บทความนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัว การลงทุนมีความเสี่ยง กรุณาใช้วิจารณญาณ และจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
@ หุ้น 1 ตัว อาจเป็นหุ้นพื้นฐานในระยะเวลาหนึ่ง ต่อมาอาจเป็นหุ้น Money Game ขึ้นกับเรื่องราวและเหตุการณ์
ข้อเท็จจริงในแต่ละช่วง
@ Criteria ที่ไม่ควรไปเสียเวลากับหุ้นตัวนั้น ในหุ้นไทย ได้แก่
1) หุ้น Money Game และ Story เนื่องจากมีหุ้นดีๆให้เลือกอีกมาก
2) ดูภาพมหภาค และมองว่าหุ้นไหนได้ประโยชน์ ณ เวลานั้น เช่น Domestic play
@ หุ้นไทยในสองปีนี้ คือ จะตรงกับปี 2570 คือเข้าใกล้การเลือกตั้ง Election worry เป็นช่วงเวลาในการ exit และได้กำไรจากค่าเงิน
@ มองว่าดอลลาห์จะอ่อนได้อีก 2-3 ปี เนื่องจากการลดดอกเบี้ยของ FED กรณีที่ไม่มีสงคราม เงินที่เคยไหลเข้า USA จะไหลอก และทำให้ค่าเงินบาทแข็ง
ไทยมีเงินทุนสำรองสูง ทำให้ค่าเงินบาทจะแข็งปีละ 3%
@ ถ้าพอร์ทเล็ก จะไม่ลงทุนหุ้นไทย บริษัทในจีนความสามารถ การแข็งขัน ขนาดตลาดใหญ่กว่า สูงกว่าไทย
ดังนั้นถ้าเล่น cyclicle แนะนำหุ้นจีนดีกว่า
- ถ้าไม่เล่นแบบ cyclicle แนะนำหุ้น USA เนื่องจาก High Beta จะสามารถปั้นพอร์ทได้เร็วกว่า
จีน กับ ไทย จัดเป็น ตลาด "cyclical" ขาบวก
USA คือ ตลาด "secular" (Buy and Hold)
แต่ถ้าพอร์ทใหญ่ประมาณหนึ่ง ต้องดู RR ratio, down side จำกัด
@ หุ้นไทยปีหน้า มองว่า Finance ยังมีข้อน่ากังวล แต่เน้น Domestic play
@ ถ้าย้อนไป 5-10 ปีที่แล้ว อยากบอกกับตัวเองว่า ช่วงทองของตลาดไทยจะอยู่ไม่นานควรตักตวง กล้า Bet ให้มาก
@ ถ้าตอนนี้อายุ 20 ปี จะบอกกับตัวเองว่า ในตลาดหุ้นไทย ควรศึกษาให้รอบด้าน ทั้งภาพใหญ่ พื้นฐาน กราฟ เพื่อนำมาใช้ในการปั้นพอร์ท
@ 4P ใช้กับหุ้นไทยที่เป็น Cyclicle
ตอนเข้าตลาดใหม่ๆ หาหุ้นพื้นฐานที่ธุรกิจกำลังดี เป็นขาขึ้น กำไรเติบโต
สมัยก่อนหุ้นมี Warrant ออกมาเยอะ เช่น ได้จาก JAS-W, RS-W, JMT-W
สมัยนั้น W เข้ามาโดยมี discount เป็นส่วนมาก ปัจจุบันไม่มี W แบบนั้นแล้ว
@ หุ้นไทย mid and small cap จะให้ return ที่ดีกว่า
แต่ใน USA หุ้นใหญ่อาจให้ return ที่ดีกว่า เนื่องจากสภาพตลาดดีกว่า สามารถมองเชิงกลยุทธ์ได้มากกว่าการต้องเกาะติดข้อมูล ต้องมองว่าอยู่ใน Megatrend ไหม เป็นผู้ชนะในอุตสาหกรรมนั้นหรือไม่
@ ตลาดที่น่าสนใจ คือ มาเลเซีย เนื่องจากปัญหาทางการเมืองได้ผ่านพ้นไป และมาเลเซียภาพจะคล้ายไต้หวัน
มีชิพแอคที่เป็น value added ที่ไม่ต้องแข็งขันด้านราคา
Data center ในมาเลเซีย ตั้งครั้งละ 100 GB แต่ไทยครั้งละ 5 GB เนื่องจากสายไฟไทยอยู่บนเสา
แต่มาเลเซีย สิงคโปร์เป็นสายไฟใต้ดิน (infrastructure ในมาเลเซียเอื้ออำนวย)
ปล.
@ ช่วงปั้นพอร์ท ศึกษาทุกเวลา ไม่มีเวลาเยอะมาก เลิกงานที่ office ก็จะไปฟัง Money talk, Money channel
พอถึงบ้านกินข้าว จะตื่นมาสี่ห้าทุ่ม อ่านหนังสือการลงทุน
หลับตอนตีสามตีสี่
เจ็ดโมงเช้าตื่นไปทำงาน
สรุป คือ ใช้เวลา วันละ 10 ชม. อ่าน ศึกษาตลอดเวลา
อ่าน 56-1, ฟัง Oppday อ่านทุกอย่างที่อ่านได้ หนังสือการลงทุน
@ ณ วันที่ลาออกจากงาน ก็ไม่ได้มั่นใจว่ามาถูกทาง แต่มองเห็นว่ามาในจุดที่คุ้มเสี่ยง ดูจากผลตอบแทน
@ ปัจจัยเสี่ยงของหุ้น finance คือ ถ้าหุ้นที่ไม่ใช่ investment grade ออกมาอาจขายไม่ออก และอาจต้องเพิ่มดอกเบี้ย
@ เปรียบตัวเองเหมือนผึ้ง ไปตอมดอกไม้ในสวน ไปสะสมในรัง กลายเป็นน้ำผึ้ง
คือ ขบวนการเรียนรู้ที่ อ่านทุกอย่าง ศึกษาทุกอย่าง*********
ถ้าอยากให้มีประสิทธิภาพ แนะนำให้อ่าน Paper ต่างประเทศ สะสม จนเกิดเป็นองค์ความรู้ของคุณ
จึงไม่มีช่องใดช่องหนึ่งที่อ่านเป็นพิเศษ
@ Theme ที่จะมาแทนที่ AI มองว่า อาจจะเป็น Theme VR (Virtual reality)
มองหุ้น in USA กลุ่มที่ได้ประโยชน์จะเป็น Hardwear ตามมาด้วย Softwear
AI ยังไม่มี Software ที่เป็นผู้ชนะ (ตัวเต็ง คือ ParenteAI???) ตลาดยังไม่รู้ว่าใครคือผู้ชนะ
Theme Cloud ผู้ชนะคือ ใคร เช่น Crowstrike แต่ยังไม่มีภาพนี้ใน Theme AI
@ หุ้น USA
หุ้นขาขึ้น หรือ หุ้น Growth ซื้อตอน PE แพงดีกว่า เนื่องจากคนมองว่ากำไรไม่ควรเท่านี้ มันยังขึ้นได้อีก
ดังนั้นหุ้นกลุ่ม Srcular trend ควรรอจังหวะที่ตลาดปรับ Valuation ลง
แต่การต่อราคามากเกินไปอาจไม่ได้ซื้อแม้ราคาปรับตัวลงมา
หุ้นขาลง ดูว่า trade EV/EBITDA เท่าไหร่ แล้วย้อนกลับไปดูว่า EV, EBITDA และ ราคาควรเป็นเท่าไหร่
@ Dept cycle ขึ้นไปถึงจุดหนึ่ง จะไม่สามารถก่อหนี้เพิ่มได้ ทำให้ USA ไม่สามารถออกพันธบัตรที่ดอกเบี้ยต่ำพอได้ เงินดอลลาห์จะอ่อนลง ทำให้หุ้น USA น่าสนใจ ****
ถ้า Dollar อ่อน แล้วราคาหุ้นดีๆ ต่ำลง เงินที่อยู่ต่างประเทศจะได้ประโยชน์ ถ้า dollar อ่อน Tech company in USA จะได้ประโยชน์ เหมือนปี 2540 ในไทย ถ้าซื้อหุ้นส่งออกจะได้เงินเพิ่มสองเท่า
@ หุ้น USA มอง Old vs New economy อย่างไร
Old economy โดนกดดันด้วยดอกเบี้ยขาลงมาโดยตลอด แล้วราคาลงมา นาทีนี้กลุ่มนี้น่าสนใจ เช่น หุ้นเหมืองทอง เนื่องจากเดิมราคาทองขึ้น Labor cost เพิ่มมากกว่า ทำให้กดดันกำไร แต่ถ้าราคาทองคำไม่ลงไปกว่านี้ การจ้างงาน ค่าแรงเริ่มลดลง ดังนั้นพื้นฐาน valuation ได้
แต่ Starbuck มองต่าง เป็น old eco ที่ยังไม่น่าสนใจ
Tech USA ขึ้นมาสูง
Biotech เสียประโยชน์จากดอกเบี้ยสูง เพราะยังไม่มีกำไร ต้อง raise Fund น่าสนใจ แต่ต้องไปทำการบ้าน
Biotech in Thai: ยังไม่ค่อยมั่นใจ Stem cells ว่าใช้ได้จริงไหม ถ้ามีคนออกมาบอกว่าผลการรักษาไม่ดีจริง จะกระทบกับรายได้และกำไร
@ มองว่าดอกเบี้ยลด กับกลุ่มอสังหา ที่ต้องเปิด Project ใหม่เรื่อยๆ ต้องไปมอง multiple ที่ถูก และปันผลที่ไม่ลดลง ถ้าจะเล่นกลุ่นี้ต้องไปติดตามเรื่องดอกเบี้ย แต่มองว่าเสียเวลา ไป focus กลุ่มอื่นดีกว่า
@ กลุ่มประกัน
สิบปีที่แล้ว ญี่ปุ่น ดอกเบี้ยอยู่ที่ Floor
ปจบ ดอกเบี้ยที่ลง อยู่บนฐานที่สูง และลงต่อได้อีก จะเป็นอุปสรรค
แต่ถ้าดอกลงไปอยู่ที่ 3% Bond ให้ผลตอบแทนที่ 3.5%
ต้องมองที่ Duration mismatch ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้อง Lock rate
Bond yield: Medlife วันที่ FED cut rate 0.5 หุ้นขึ้นเยอะมาก
Return จากประกันได้จาก Fix income มากกว่า
@ Moshi ที่ KKV มาเปิด ที่จีน KKV ไม่มีคน แต่ Miniso ยังมีคน
ตราบใดที่ Moshi ยังขายของที่ราคาถูกกว่าได้ จะผ่านไปได้
@ การไป CV กับการลงทุน ถ้าเอาตัวเองเป็นเกณฑ์ ผลตอบแทนช่วงที่ดีที่สุดคือ ไปบ้าง ไม่ไปบ้าง
บางคนไม่ไป แล้วไปทุกวัน ก็ผลตอบแทนดีขึ้น บางคนไม่ไปเลย ผลตอบแทนก็ดี
ดังนั้นการไป CV ไม่ได้สัมพันกับผลตอบแทน
ถ้ามีงานประจำ แล้วเลือกลงทุนแบบไม่ไป CV ถ้าฟัง Oppday อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องเอาทุกอย่าง
- ต้องเพิ่มการศึกษากิจการ 56-1 จุดแข็งจุดอ่อน บทวิเคราะห์ ไปลองใช้บริการ
- ต้องเข้าใจ Player ที่เล่นหุ้นกลุ่มนี้ แบ่งเป็น สองกลุ่ม คือ
1) Smart Money เช่น ต่างชาติ ไป CV เพื่อหาข้อมูลที่หาไม่ได้
2) Big money คนที่พอร์ทใหญ่ กองทุน มี connection ที่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ อาศัยการ Utilized connection
******ควรไปเล่นหุ้นคนละกลุ่มกับ Big money แล้วเดินตาม Smart Money ซื้อแล้วรอ เพราะมันอาจจะลงต่อ
แล้วรู้ว่าควรรออะไร เช่น การซื้อ COM7 ที่ 17-18 บาท จะได้ผลตอบแทนที่ไม่แย่
@ ธุรกิจซอส อาจต้องดูให้ลึกว่า ผบหทุ่มเทจริงไหม สามารถหายอดขายได้มากขึ้นไหม อย่ามองแค่เพียงภาพที่เห็นในโซเชียล
@ หุ้นนอก ควรใช้กลยุทธ์อย่างไร สำหรับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการลงทุนหุ้นนอกเลย
- Secular trend ต่างหากที่ทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดี
- Ex. Meta ตอนที่ลงเมื่อปีที่แล้ว มีคนกลุ่มหนึ่งมอง Negative Vs อีกกลุ่มซื้อหุ้น Meta และเขียนจดหมายไปบอกให้ Mark Zukerberg ให้ลด cost มา Focus ที่ IG และสุดท้ายก็กลับมาได้
- ดังนั้น ถ้าเราเลือกฝั่งที่มองว่าเค้าปรับและกลับมาได้ จะได้ผลตอบแทนที่ดี
- Meta: PE 15 เท่า เงินสดเยอะ ไม่มีหนี้ ถ้ากล้าซื้ออย่างน้อยถ้าต้อง cut จะมีเวลาให้คิด และไม่ขาดทุนหนักมาก เนื่องจากมันลงมามาก
@ หุ้นส่งออกที่มีแบรนด์ มองว่าในหุ้นไทยมีน้อย โอกาส success ไม่ง่าย
success ต้องดูว่ายอดขายยืนได้ มีการ repeat order
ต้องซื้อตอน PE ไม่สูง
เชื่อมั่นและมั่นใจว่าเป็นปัญหาชั่วคราว
@ เวลาที่รู้สึกว่าคิดผิด อยากจะจบให้เร็วที่สุด เพราะต้องให้โอกาสตัวเราเองมากที่สุด เหมือนเราปิดโอกาสตัวเอง
ดังนั้นต้องเลิกผิดให้ไว อยากให้โอกาสตัวเองมากกว่าให้โอกาสบริษัท
@ หุ้นไทย ดูบทวิเคราะห์, ประชุม AGM, บอร์ด Thai VI (เนื่องจากพยายามเดินฝั่ง smart money)
ใช้มุมมองและไอเดียมากกว่า
SAWAD: PE 9 (มีหลักประกัน)
AEONTS: PE 11 (ไม่มีหลักประกัน)
@ หุ้นต่างประเทศ ดู CNBC บทวิเคราะห์
@ จิตวิทยาการลงทุน มีหนังสือให้อ่าน เช่น จิตวิทยาการลงทุน ทฤษฎีเกมส์ เป็นต้น แต่สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
แต่สิ่งที่สำคัญ คือ จิตวิทยาตัวเราเอง ว่าเราขาดส่วนไหน ควรเติมส่วนไหน
**** การ CV ทำให้เกิด Bias******
****หุ้นที่ดีควรจะมีน้อย****
@ Mindset ของนลท Fulltime ควรตัดสิ่งไหนออก เพื่อให้การวิเคราะห์หุ้นมีประสิทธิภาพสูงสุด
- หนังสือ "Case in Point" หนังสือที่เด็ก MBA อ่านก่อนจบเพื่อหางาน: ถ้ามีเวลาสั้นๆที่ได้ขึ้นลิฟท์กับ ผบห แล้วถูกถามให้วิเคราะห์ว่าหุ้นนี้น่าสนใจอย่างไร จะต้องสรุปให้ได้ในเวลาจำกัด เพื่อให้ได้งานนั้น
- ก่อนพูดต้องคิดมาแล้วว่าปมคืออะไร
@ กลุ่มโรงพยาบาล ปีหน้าจะเริ่มมี Co-pay ทำให้กระทบกับโรงพยาบาลที่รับประกัน ถ้า Valuation สูงเกิน และคนไข้มาใช้บริการลดลงได้ในช่วงแรก
- Return ไปตามธุรกิจ ไม่ได้หวือหวา
@ กลุ่มความงาม
- ระยะยาวเติบโตได้
- ระยะสั้นและระยะกลาง มีสิทธิ์ที่เจอ cyclicle peak หลัง Covid ไปแล้ว และอาจจะเว้นช่วงในการทำส่วนอื่นๆ
- อาจจะผ่านช่วง Pendup Demand ไปแล้ว โดยดูจากงบที่ออกมา ว่ามีการขยายสาขาไปแล้ว แต่รายได้ กำไรไม่เป็นตามคาด
- ต้องมองว่า Cyclicle down turn และ Bottom อยู่ตรงไหน*****************
@ Advice รายได้หลักยังมาจาก computer ระยะสั้นหรือกลางต้องไปดู AI PC แต่ตอนนี้ยังไม่มา
ส่วนเรื่องเปิดสาขา กำไรไม่น่าจะดีเท่าในอดีต เนื่องจากมี Online
Cyclicle คือ AI PC
COM7 คือ AI Apple
@ การดู ผบห
- Warren Buffett บอกว่า แม้เอา idiot มาบริหารธุรกิจแล้วมันยังไปได้
- ต้องเป็นคนดี ไม่คดโกง
- ไม่ชอบ ผบห ที่ให้เป้า แต่ไม่บอกแนวทางว่าจะไปถึงอย่างไร
- ยอมรับผิดให้เร็ว และให้โอกาสตัวเองไปเจอหุ้นตัวอื่น**************
@ การเลือกตั้งของ USA อาจไม่ใช่ event ที่ทำให้เป็นโอกาสได้ซื้อหุ้น
- ถ้า ทรัมป์ มาพลังงานฟอสซิลจะได้ประโยชน์
- ถ้า แฮริส มา Green energy น่าจะได้ประโยชน์
**** แต่คนที่จะเริ่มลงทุนใน USA ไม่ควรใช้ปัจจัยนี้มาเป็นตัวเริ่มต้นในหารหาหุ้น หรือเลือกหุ้น!!!!!!!!!!
@ Portfolio management
- ตัวอย่าง****ของพี่วุด ถือหุ้น 100% มีเงินสำรองหลักแสน ไม่เคยซื้อประกันสุขภาพ
เนื่องจากเคยฟังคลิปว่า คุณเจริญไม่เคยซื้อประกัน พี่วุดอยากเป็นคนรวย จึงทำแบบคนรวย
- ต้องหาจุดเหมาะสมของตนเอง
@ เป้าหมายการลงทุน
- รู้สึกว่าไม่ชอบสิ่งที่เรียนมา จึงหาทางที่ต้องรวยมากๆ เพื่อไม่ต้องทำงานที่เราไม่ชอบ
จึงต้องทุ่มเทให้มากกว่าปกติ
@ คิดว่า BTC จะไม่กลับไปลงมากๆแบบเดิม เนื่องจากสถาบันเข้ามา Participate
@ การเรียนรู้ต้องรู้ให้จริงระดับนึง และใช้ประโยชน์ได้จริง
@ หุ้นจีนเป็น Cyclicle ที่ปรับตัวขึ้นมา จาก PE 8 -> 10 ไม่ได้คิดว่าจะได้ปรับ multiple ขึ้นได้เยอะ เช่น 15 อาจจะไม่ได้
@ Take Home Message:
การลงทุนไม่สำคัญว่าจะสำเร็จไหม แต่สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องเก่งขึ้นกว่าเมื่อวาน กว่าปีที่แล้ว
"You win or you learn"
คุณไม่ win แล้วคุณ learn ไหม? ********
ปล. บทความนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัว การลงทุนมีความเสี่ยง กรุณาใช้วิจารณญาณ และจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
- Bird.Songwut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 272
- ผู้ติดตาม: 182
Re: บทเรียนการลงทุนจากรุ่นพี่สู่รุ่นหลัง by พี่ VuudD
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณครับ เนื้อหาดีมาก
"มีกระแสน้ำสายหนึ่งในกิจกรรมของคน ซึ่งเมื่อมันไหลบ่าท่วมท้นจะนำไปสู่ความมั่งคั่งมหาศาล"
Investor hub : ห้องลับนักลงทุน https://www.youtube.com/@Investor_hub
Investor hub : ห้องลับนักลงทุน https://www.youtube.com/@Investor_hub
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 27
- ผู้ติดตาม: 3
Re: บทเรียนการลงทุนจากรุ่นพี่สู่รุ่นหลัง by พี่ VuudD
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณค่ะ