ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 151
ขอแชร์บ้างครับ ผมว่าเศรษฐกิจไทยไม่ค่อยโตเท่าไหร่ หุ้นถูกๆหายาก แต่ไปต่างประเทศก็ไม่ใช่จะง่าย เพราะการแข่งขันสูง ต้องพยายามหาสิ่งที่เรารู้และคนอื่นไม่รู้ให้ได้ครับ
ดูข้อมูลเกี่ยวกับยี่ห้อเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ที่สิบทิศ
- Peter1011
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 369
- ผู้ติดตาม: 156
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 152
ผลการสำรวจหุ้นญี่ปุ่น (update ใหม่ โพสท์เก่าจะถูกลบออก) ประมาณ 100+ ตัวจาก สองพันกว่าตัว:
1. สังคมสูงอายุ เศรษฐกิจโตต่ำ พวกบริษัทค้าขาย กำไรไม่โต ถ้าโตก็เป็นแค่ชั่วคราว และส่วนมากยังเป็น cyclical รวมถึงไม่มี durable competitive advantage ทำให้ cash flow เข้ามาไม่สม่ำเสมอ
2. เนื่องจากญี่ปุ่นอยู่ในสภาวะดบ.ต่ำมานานกว่าเกือบสามสิบปี หลายบริษัทมี leverage ที่สูง (D/E 2-3) ถถ้าหากดบ.ขึ้น ก็คงจะ...
3. หุ้นชื่อดังทุกตัวตั้งแต่ปู่เข้าไปซื้อ ราคาขึ้นไปหมดจนผลตอบแทนไม่ดี (คิดง่ายๆ แย่กว่า 4-5% perp bond ละกัน) ไม่มี margin of safety ที่สามารถจะ compensate กับความเสี่ยงได้ เช่น ภัยธรรมชาติที่มีผลกระทบที่รุนแรง และ ดบ.ขาขึ้น
4. รายงาน/งบส่วนใหญ่เป็นภาษาท้องถิ่น เวลาที่เสียแรงไปแปลและเอาไปวิเคราะห์ต่อนั้นมันไม่คุ้มกับ return ที่ได้ หุ้น deep value (P/B ต่ำมากๆ หรือมี net cash positions ที่สูง) เป็นกับดักเนื่องจากไร้ความสามารถในการสร้างกำไร โดยมีผู้บริหาร/เจ้าของที่ overly conservative เหมือนหลายบริษัทในไทย ที่ไม่ยอมจะสร้างผลประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นเป็นอันดับแรก ส่วนหุ้นตัวเล็กที่มีงบการเงินที่ดี และยังแข่งขันในระดับโลกได้ ราคาวิ่งไปจนไม่มี margin of safety แล้ว
5. ถ้าปู่เข้าไปซื้อ แล้วราคาไป นั่นหมายความว่ามีคนตามไปและคนกลุ่มนั้นอาจเป็นนักเก็งกำไรหรือพวกกองทุน value (พวกกองทุนที่ชื่อมักจะลงท้ายด้วย "... Capital, Inc.") ต่างๆ รวมถึงรายย่อยที่ลงทุนเป็นอาชีพ ที่ไปดันราคาขึ้นหวังที่จะ unlock value ออกมา ซึ่งนั่นถือเป็น herd behavior ของนักลงทุน ผมเคยเจอแบบนี้ตั้งแต่เข้าตลาดมาใหม่ๆแล้วเข็ดไปจนชั่วชีวิต
จำไว้ว่า สังคมญี่ปุ่น มีวัฒนธรรมต่างกับสังคมตะวันตก พวกเขานิยมสร้าง value เหมือนกัน แต่เป็น value คนละชนิดที่ไม่ใช่ capital value ญี่ปุ่นยังเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการแจกของชำร่วยให้กับผู้ถือหุ้น (ที่มีที่อยู่ในญี่ปุ่นเท่านั้น) เช่น คูปอง ส่วนลด สินค้าดัวอย่าง ทั้งๆที่ในหลายประเทศรวมถึงไทย ไม่มีการแจกของอย่างนี้ในปัจจุบันอีกแล้ว
สรุปคือ ไม่มีอะไรที่น่าสนใจที่นั่น
หุ้นยุโรปหลายๆตัวยังสามารถให้ผลตอบแทนได้สูงกว่าหุ้นญี่ปุ่นทั้งๆที่เทรดที่ P/E ที่สูงกว่าด้วยซ้ำ
1. สังคมสูงอายุ เศรษฐกิจโตต่ำ พวกบริษัทค้าขาย กำไรไม่โต ถ้าโตก็เป็นแค่ชั่วคราว และส่วนมากยังเป็น cyclical รวมถึงไม่มี durable competitive advantage ทำให้ cash flow เข้ามาไม่สม่ำเสมอ
2. เนื่องจากญี่ปุ่นอยู่ในสภาวะดบ.ต่ำมานานกว่าเกือบสามสิบปี หลายบริษัทมี leverage ที่สูง (D/E 2-3) ถถ้าหากดบ.ขึ้น ก็คงจะ...
3. หุ้นชื่อดังทุกตัวตั้งแต่ปู่เข้าไปซื้อ ราคาขึ้นไปหมดจนผลตอบแทนไม่ดี (คิดง่ายๆ แย่กว่า 4-5% perp bond ละกัน) ไม่มี margin of safety ที่สามารถจะ compensate กับความเสี่ยงได้ เช่น ภัยธรรมชาติที่มีผลกระทบที่รุนแรง และ ดบ.ขาขึ้น
4. รายงาน/งบส่วนใหญ่เป็นภาษาท้องถิ่น เวลาที่เสียแรงไปแปลและเอาไปวิเคราะห์ต่อนั้นมันไม่คุ้มกับ return ที่ได้ หุ้น deep value (P/B ต่ำมากๆ หรือมี net cash positions ที่สูง) เป็นกับดักเนื่องจากไร้ความสามารถในการสร้างกำไร โดยมีผู้บริหาร/เจ้าของที่ overly conservative เหมือนหลายบริษัทในไทย ที่ไม่ยอมจะสร้างผลประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นเป็นอันดับแรก ส่วนหุ้นตัวเล็กที่มีงบการเงินที่ดี และยังแข่งขันในระดับโลกได้ ราคาวิ่งไปจนไม่มี margin of safety แล้ว
5. ถ้าปู่เข้าไปซื้อ แล้วราคาไป นั่นหมายความว่ามีคนตามไปและคนกลุ่มนั้นอาจเป็นนักเก็งกำไรหรือพวกกองทุน value (พวกกองทุนที่ชื่อมักจะลงท้ายด้วย "... Capital, Inc.") ต่างๆ รวมถึงรายย่อยที่ลงทุนเป็นอาชีพ ที่ไปดันราคาขึ้นหวังที่จะ unlock value ออกมา ซึ่งนั่นถือเป็น herd behavior ของนักลงทุน ผมเคยเจอแบบนี้ตั้งแต่เข้าตลาดมาใหม่ๆแล้วเข็ดไปจนชั่วชีวิต
จำไว้ว่า สังคมญี่ปุ่น มีวัฒนธรรมต่างกับสังคมตะวันตก พวกเขานิยมสร้าง value เหมือนกัน แต่เป็น value คนละชนิดที่ไม่ใช่ capital value ญี่ปุ่นยังเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการแจกของชำร่วยให้กับผู้ถือหุ้น (ที่มีที่อยู่ในญี่ปุ่นเท่านั้น) เช่น คูปอง ส่วนลด สินค้าดัวอย่าง ทั้งๆที่ในหลายประเทศรวมถึงไทย ไม่มีการแจกของอย่างนี้ในปัจจุบันอีกแล้ว
สรุปคือ ไม่มีอะไรที่น่าสนใจที่นั่น
หุ้นยุโรปหลายๆตัวยังสามารถให้ผลตอบแทนได้สูงกว่าหุ้นญี่ปุ่นทั้งๆที่เทรดที่ P/E ที่สูงกว่าด้วยซ้ำ
Jeg vil ud, Jeg vil bort, Jeg vil væk fra SET!
- Linzhi
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1525
- ผู้ติดตาม: 247
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 153
เรื่องภาษีหุ้นต่างประเทศ
.
ข้อสรุปสั้น ๆ ผมยังคิดว่า การลงทุนต่างประเทศ ก็ยังจำเป็นอยู่ดี ไม่ว่าสุดท้ายจะเสียภาษีหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะกับนักลงทุนที่มุ่งหวังผลตอบแทนระยะยาว สำหรับการเกษียณ กลยุทธ์การลงทุนหุ้นต่างประเทศบาง playbook ก็ยังตอบโจทย์ได้ค่อนข้างดี ในแง่มุมของผลตอบแทนความเสี่ยง และ weight ด้วยความสามารถหรือความพยายามของนักลงทุน
.
แต่การเสียภาษีนั้นย่อมทำให้แรงจูงใจน้อยลงมากเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะนักลงทุนที่หวังปั้นพอร์ตและเลือกหุ้นรายตัว และทำให้เหตุผลที่จะลงทุนหุ้นต่างประเทศในสัดส่วนมาก ๆ น้อยลงด้วย ข้อสรุปผมส่วนตัวอาจจะเป็นดังนี้
.
1. ไม่ว่าอย่างไร ผมยังคงไม่เห็นด้วยกับการลงทุนหุ้นต่างประเทศในสัดส่วนสูงเกินไป (โดยเฉพาะสูงเกินประสบการณ์และความสามารถ) เหตุผลคือหุ้นไทยเรายังได้เปรียบนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศยังมีข้อจำกัดในเรื่องภาษาไทย นี่คือ edge ของนักลงทุนไทย ทำให้เราใช้เวลาติดตามน้อยกว่ามาก เป็นแหล่งฝึกปรือฝีมือที่ดีมาก ๆ สำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ เพราะปัจจุบันเรามีนักลงทุนหุ้นไทยที่เก่งจำนวนมากสะสมมาเป็นสิบ ๆ ปี
.
2. แต่ผมยังคิดว่าการลงทุนหุ้นต่างประเทศยังจำเป็นมาก ๆ อยู่ดี การศึกษาหุ้นต่างประเทศต้องเป็นวัตรปฏิบัติสำหรับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะเราได้ประโยชน์หลากหลาย ใครอยากรู้เดี๋ยวไปฟังงานลงทุนแมน ผมจะเล่าข้อคิดเกร็ดจากประวัติศาสตร์บางอย่างให้ฟัง (ลงทุนแมนไม่ได้เล่า ผมเล่าเอง 55555)
.
3. ผมยังไม่เห็นด้วยกับการย้ายพอร์ตเข้า ๆ ออก ๆ ประเทศ สิ่งที่ดีกว่าคือ พอร์ตที่อยู่ต่างประเทศนั้น กลับมาเมื่อยามจำเป็น หรือยามเกษียณอายุเท่านั้น ดังนั้น การวางสัดส่วนหุ้นไทยและหุ้นนอกที่ถูกต้องตั้งแต่แรกจำเป็นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามี friction เรื่องภาษีมาเกี่ยวข้อง
.
4. เรื่องภาษีผมไม่มีความเห็น มันขึ้นกับผลประโยชน์ ใครเสียผลประโยชน์ก็จะรู้สึกแย่ ใครไม่เสียหรือได้ผลประโยชน์ก็จะมักจะเห็นด้วย แต่ภาพกว้าง ๆ คือภาษีเป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก สิ่งที่จำเป็นคือ รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้น เรื่องภาษีจะต้องมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ไม่ว่าคุณจะทำอะไรที่ไหน หรืออย่างไร
.
ข้อสรุปสั้น ๆ ผมยังคิดว่า การลงทุนต่างประเทศ ก็ยังจำเป็นอยู่ดี ไม่ว่าสุดท้ายจะเสียภาษีหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะกับนักลงทุนที่มุ่งหวังผลตอบแทนระยะยาว สำหรับการเกษียณ กลยุทธ์การลงทุนหุ้นต่างประเทศบาง playbook ก็ยังตอบโจทย์ได้ค่อนข้างดี ในแง่มุมของผลตอบแทนความเสี่ยง และ weight ด้วยความสามารถหรือความพยายามของนักลงทุน
.
แต่การเสียภาษีนั้นย่อมทำให้แรงจูงใจน้อยลงมากเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะนักลงทุนที่หวังปั้นพอร์ตและเลือกหุ้นรายตัว และทำให้เหตุผลที่จะลงทุนหุ้นต่างประเทศในสัดส่วนมาก ๆ น้อยลงด้วย ข้อสรุปผมส่วนตัวอาจจะเป็นดังนี้
.
1. ไม่ว่าอย่างไร ผมยังคงไม่เห็นด้วยกับการลงทุนหุ้นต่างประเทศในสัดส่วนสูงเกินไป (โดยเฉพาะสูงเกินประสบการณ์และความสามารถ) เหตุผลคือหุ้นไทยเรายังได้เปรียบนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศยังมีข้อจำกัดในเรื่องภาษาไทย นี่คือ edge ของนักลงทุนไทย ทำให้เราใช้เวลาติดตามน้อยกว่ามาก เป็นแหล่งฝึกปรือฝีมือที่ดีมาก ๆ สำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ เพราะปัจจุบันเรามีนักลงทุนหุ้นไทยที่เก่งจำนวนมากสะสมมาเป็นสิบ ๆ ปี
.
2. แต่ผมยังคิดว่าการลงทุนหุ้นต่างประเทศยังจำเป็นมาก ๆ อยู่ดี การศึกษาหุ้นต่างประเทศต้องเป็นวัตรปฏิบัติสำหรับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะเราได้ประโยชน์หลากหลาย ใครอยากรู้เดี๋ยวไปฟังงานลงทุนแมน ผมจะเล่าข้อคิดเกร็ดจากประวัติศาสตร์บางอย่างให้ฟัง (ลงทุนแมนไม่ได้เล่า ผมเล่าเอง 55555)
.
3. ผมยังไม่เห็นด้วยกับการย้ายพอร์ตเข้า ๆ ออก ๆ ประเทศ สิ่งที่ดีกว่าคือ พอร์ตที่อยู่ต่างประเทศนั้น กลับมาเมื่อยามจำเป็น หรือยามเกษียณอายุเท่านั้น ดังนั้น การวางสัดส่วนหุ้นไทยและหุ้นนอกที่ถูกต้องตั้งแต่แรกจำเป็นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามี friction เรื่องภาษีมาเกี่ยวข้อง
.
4. เรื่องภาษีผมไม่มีความเห็น มันขึ้นกับผลประโยชน์ ใครเสียผลประโยชน์ก็จะรู้สึกแย่ ใครไม่เสียหรือได้ผลประโยชน์ก็จะมักจะเห็นด้วย แต่ภาพกว้าง ๆ คือภาษีเป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก สิ่งที่จำเป็นคือ รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้น เรื่องภาษีจะต้องมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ไม่ว่าคุณจะทำอะไรที่ไหน หรืออย่างไร
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- Linzhi
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1525
- ผู้ติดตาม: 247
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 154
หลังจากที่มีข่าวเรื่องภาษีหุ้น ผมยังรอความชัดเจนอีกนิดนึง อาจจะปลายปีนี้
แต่ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามข่าว กลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศของส่วนตัวผมจะ shift ใหญ่อีกรอบนึงครับ
และคิดว่าสำหรับนักลงทุนทั่วไป จะต้องลง detail เยอะมาก สำหรับการกำหนดกลยุทธ์
พอร์ตใหญ่ พอร์ตเล็ก
ลงทุนเพื่อเปลี่ยนชีวิต ลงทุนเพื่อเกษียณ
ลงทุนไปทำงานไป ลงทุนเป็นอาชีพ
ลงทุนระยะยาว ระยะกลาง ระยะสั้น
ผลสรุปสุดท้ายออกมาผมจะมาแชร์ไอเดียให้ฟัง ใครไปงานลงทุนนอก ไปเจอกันได้ครับ
แต่ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามข่าว กลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศของส่วนตัวผมจะ shift ใหญ่อีกรอบนึงครับ
และคิดว่าสำหรับนักลงทุนทั่วไป จะต้องลง detail เยอะมาก สำหรับการกำหนดกลยุทธ์
พอร์ตใหญ่ พอร์ตเล็ก
ลงทุนเพื่อเปลี่ยนชีวิต ลงทุนเพื่อเกษียณ
ลงทุนไปทำงานไป ลงทุนเป็นอาชีพ
ลงทุนระยะยาว ระยะกลาง ระยะสั้น
ผลสรุปสุดท้ายออกมาผมจะมาแชร์ไอเดียให้ฟัง ใครไปงานลงทุนนอก ไปเจอกันได้ครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- Linzhi
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1525
- ผู้ติดตาม: 247
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 155
ผมมาอัพเดทครับ
ถ้าไปฟังในงาน ผมก็จะมีกลยุทธ์อยู่สามอย่าง คือ
Trapping คือ การดักรอหาจังหวะ "หุ้นถูก ๆ" ซึ่งการวาง Trap ที่ดี คือต้องรู้ให้กว้าง แต่ไม่ลึก
อาจจะต้องวาง Trap นาน หรือ แป๊ปเดียว ก็ขึ้นกับโชคพอสมควร แต่เราต้องวางในตำแหน่งที่คิดว่าถูกมากแล้ว
เช่นหุ้นเวียดนามรอบนี้ ผมก็ดักจังหวะ ซื้อและขาย ได้กำไรมาระดับนึง
และผมจะลงแบบ ETF หรือ DR เป็นหลัก เพราะผมต้องการเข้าและออกเมื่อมูลค่าเริ่มเหมาะสม
นักลงทุนหุ้นต่างประเทศที่เป็น VI เก่ง ๆ ผมคิดว่าเค้าชอบเล่นท่านี้ เพื่อชดเชยความเสียเปรียบจากนักลงทุนในพื้นที่
Hunting คือ การล่าของที่คนชอบกัน ปัจจัยในการล่าที่ดีคือ "ความเร็ว" การเล่นตามกระแส ในไทยก็คือเล่น Story
ผมคิดว่าอันนี้เราเสียเปรียบมาก ๆ ถ้าเราผิดทาง มีโอกาสโดนทำโทษค่อนข้างสูง แต่ผลตอบแทนมักจะสูงมากในระยะเวลาสั้น ๆ
ช่วงที่หุ้นเทคขึ้นเยอะ ๆ ผมเข้าไปเกม Hunt แต่กลับอยู่ Farm ต่อ ทำให้ขาดทุนเสียหายหนัก
หุ้น Hunting ผมคิดว่าผมจะเลิก หุ้นแพง ๆ ที่มีกระแสเยอะ ๆ ไม่ว่าจะขึ้นเร็วแค่ไหน จะไม่ลงทุนเพราะเราเสียเปรียบด้านความเร็ว
แต่ Hedge fund manager เก่ง ๆ ผมคิดว่าเค้าชอบเล่นท่านี้ เป็น thematic play / country play / fund flow / macroeconomic play
ผมเพิ่งได้พูดคุย fund manager ของ fund ที่ใหญ่ต้น ๆ ของโลก แกน่าจะเป็นยิว ดูฉลาดมาก ดังนั้นการเล่นเกมหุ้นต่างประเทศต้องระวัง ๆ ครับ
เพราะหุ้นที่ผลตอบแทนสูง (ในระยะสั้น ๆ) มักจะดึงดูดคนเก่ง ๆ เข้าไปจำนวนมาก
Farming คือ การหาถิ่นที่อยู่ ซื้อและถือยาว ๆ ซึ่งการ Farm ที่ดีคือต้องหาหุ้นที่ความสามารถในการแข่งขันดี
ดีแบบใครเทียบเคียงยาก เติบโตไปเรื่อย ๆ ซื้อแล้วถือยาว ๆ แบบบัฟเฟตต์ เอาจริง ๆ ผมว่าเราจะเจอหุ้น Farm ที่ดีได้
เราอาจจะต้องอยู่ในประเทศนั้น และมี edge เพื่อจะเห็นอะไรบางอย่างก่อน
รายย่อยเราก็ไม่ต้องหา Farm ที่ใหญ่ก็ได้ mkt cap 5000 ล้าน เราก็ซื้อได้สบาย และบริษัทก็มี run way ในการโตไม่ยากด้วย
ดังนั้นหุ้น Farm ผมอาจจะโฟกัสที่ตลาดหลักของผม ซึ่งน่าจะเป็นไทย
แต่หลายท่านไป Farm หุ้นแข็งแกร่งมาก ๆ ในต่างประเทศ ผมก็คิดว่าเป็นทางเลือกที่ดี ถ้าเราหาหุ้นเล็ก ๆ ในพื้นที่ไม่ได้จริง ๆ
เพราะ Farm ในต่างประเทศมันใหญ่มาก พอจะแบ่งปันอาหารกันได้ ถ้าเลือกถูกก็คาดหวังผลตอบแทนได้มากกว่าตลาดในระยะยาวได้
พอผม scope มาลักษณะนี้ พอร์ตผมทะยอยปรับเยอะมาก
และเป้าหมายการลงทุนหุ้นต่างประเทศผม จะเป็นเรื่องความรู้เป็นหลัก ประเทศไหนผมไปแล้วไม่ได้ความรู้ใหม่ ๆ ผมจะทะยอยลด
เพราะหุ้นต่างประเทศ ยังเป็นแหล่งที่ทำให้ผมได้ความรู้เยอะมากอยู่ตลอด และนำมาปรับใช้ในหุ้นไทยได้ดีพอสมควร
ผมแนบ transcript ของเทปปู่ชาลีไว้ แกพูดถึงหุ้นหลายตัว เช่น Hermes, Costco, Kraft heinz, BYD ด้วยมุมมองที่เฉียบคมเช่นเดิม
ไปต่างประเทศก็ยังได้ลับเลื่อยตัวเอง ผมก็ยังชอบตรงนี้
ถ้าไปฟังในงาน ผมก็จะมีกลยุทธ์อยู่สามอย่าง คือ
Trapping คือ การดักรอหาจังหวะ "หุ้นถูก ๆ" ซึ่งการวาง Trap ที่ดี คือต้องรู้ให้กว้าง แต่ไม่ลึก
อาจจะต้องวาง Trap นาน หรือ แป๊ปเดียว ก็ขึ้นกับโชคพอสมควร แต่เราต้องวางในตำแหน่งที่คิดว่าถูกมากแล้ว
เช่นหุ้นเวียดนามรอบนี้ ผมก็ดักจังหวะ ซื้อและขาย ได้กำไรมาระดับนึง
และผมจะลงแบบ ETF หรือ DR เป็นหลัก เพราะผมต้องการเข้าและออกเมื่อมูลค่าเริ่มเหมาะสม
นักลงทุนหุ้นต่างประเทศที่เป็น VI เก่ง ๆ ผมคิดว่าเค้าชอบเล่นท่านี้ เพื่อชดเชยความเสียเปรียบจากนักลงทุนในพื้นที่
Hunting คือ การล่าของที่คนชอบกัน ปัจจัยในการล่าที่ดีคือ "ความเร็ว" การเล่นตามกระแส ในไทยก็คือเล่น Story
ผมคิดว่าอันนี้เราเสียเปรียบมาก ๆ ถ้าเราผิดทาง มีโอกาสโดนทำโทษค่อนข้างสูง แต่ผลตอบแทนมักจะสูงมากในระยะเวลาสั้น ๆ
ช่วงที่หุ้นเทคขึ้นเยอะ ๆ ผมเข้าไปเกม Hunt แต่กลับอยู่ Farm ต่อ ทำให้ขาดทุนเสียหายหนัก
หุ้น Hunting ผมคิดว่าผมจะเลิก หุ้นแพง ๆ ที่มีกระแสเยอะ ๆ ไม่ว่าจะขึ้นเร็วแค่ไหน จะไม่ลงทุนเพราะเราเสียเปรียบด้านความเร็ว
แต่ Hedge fund manager เก่ง ๆ ผมคิดว่าเค้าชอบเล่นท่านี้ เป็น thematic play / country play / fund flow / macroeconomic play
ผมเพิ่งได้พูดคุย fund manager ของ fund ที่ใหญ่ต้น ๆ ของโลก แกน่าจะเป็นยิว ดูฉลาดมาก ดังนั้นการเล่นเกมหุ้นต่างประเทศต้องระวัง ๆ ครับ
เพราะหุ้นที่ผลตอบแทนสูง (ในระยะสั้น ๆ) มักจะดึงดูดคนเก่ง ๆ เข้าไปจำนวนมาก
Farming คือ การหาถิ่นที่อยู่ ซื้อและถือยาว ๆ ซึ่งการ Farm ที่ดีคือต้องหาหุ้นที่ความสามารถในการแข่งขันดี
ดีแบบใครเทียบเคียงยาก เติบโตไปเรื่อย ๆ ซื้อแล้วถือยาว ๆ แบบบัฟเฟตต์ เอาจริง ๆ ผมว่าเราจะเจอหุ้น Farm ที่ดีได้
เราอาจจะต้องอยู่ในประเทศนั้น และมี edge เพื่อจะเห็นอะไรบางอย่างก่อน
รายย่อยเราก็ไม่ต้องหา Farm ที่ใหญ่ก็ได้ mkt cap 5000 ล้าน เราก็ซื้อได้สบาย และบริษัทก็มี run way ในการโตไม่ยากด้วย
ดังนั้นหุ้น Farm ผมอาจจะโฟกัสที่ตลาดหลักของผม ซึ่งน่าจะเป็นไทย
แต่หลายท่านไป Farm หุ้นแข็งแกร่งมาก ๆ ในต่างประเทศ ผมก็คิดว่าเป็นทางเลือกที่ดี ถ้าเราหาหุ้นเล็ก ๆ ในพื้นที่ไม่ได้จริง ๆ
เพราะ Farm ในต่างประเทศมันใหญ่มาก พอจะแบ่งปันอาหารกันได้ ถ้าเลือกถูกก็คาดหวังผลตอบแทนได้มากกว่าตลาดในระยะยาวได้
พอผม scope มาลักษณะนี้ พอร์ตผมทะยอยปรับเยอะมาก
และเป้าหมายการลงทุนหุ้นต่างประเทศผม จะเป็นเรื่องความรู้เป็นหลัก ประเทศไหนผมไปแล้วไม่ได้ความรู้ใหม่ ๆ ผมจะทะยอยลด
เพราะหุ้นต่างประเทศ ยังเป็นแหล่งที่ทำให้ผมได้ความรู้เยอะมากอยู่ตลอด และนำมาปรับใช้ในหุ้นไทยได้ดีพอสมควร
ผมแนบ transcript ของเทปปู่ชาลีไว้ แกพูดถึงหุ้นหลายตัว เช่น Hermes, Costco, Kraft heinz, BYD ด้วยมุมมองที่เฉียบคมเช่นเดิม
ไปต่างประเทศก็ยังได้ลับเลื่อยตัวเอง ผมก็ยังชอบตรงนี้
แนบไฟล์
- Charlie Munger-transcript.pdf
- (187.74 KiB) ดาวน์โหลด 55 ครั้ง
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- Peter1011
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 369
- ผู้ติดตาม: 156
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 156
ขอมาเล่าสิ่งที่พบเห็นในการลงทุนตปท.ของผมครับ
(1) อย่าซื้อ index ETF มั่วๆ: ผมเห็นหลายๆๆๆ คนที่คิดว่าซื้อ index ETF ตปท.ไปตั้งแต่ช่วงปี 2020-21 แล้วจะไม่ขาดทุน ผลปรากฏว่าต้องคัทกันเกือบหมดโดยเฉพาะหุ้นจีน ส่วนผมเองก็โดน index fund ทุกตัวที่ไปซื้อ (ไม่รอดแม้กระทั่ง fixed-income) จนต้องคัทออกไปบางตัว เอาไปซื้อหุ้นที่ประเมินมูลค่าแล้วได้ return ที่ดีกว่า
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าเราควรที่จะ "taking the temperature" ก่อนที่จะซื้อ ทุกอย่าง และอย่าคิดว่าดัชนีหุ้นในหลายประเทศจะ efficient เท่า S&P 500
(2) ระวังหุ้น P/E ต่ำ %yield สูงให้ดี: บางตัวเป็นหุ้น commo ราคาที่เห็นทำ new high ขณะที่ P/E ทำ new-low ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายมาก (แต่ในไทยอันตรายกว่า! 555)
(3) โรบอทเทรดเป็นเรื่องธรรมดา: พวกนี้มีอยู่ทุกที่ ผมไปมาหลายๆตลาดแล้วก็เห็นจนเบื่อ นานๆทีโบรคเกอร์ก็เอาโรบอทเทรดมาช่วย optimise ราคาที่เราซื้อหรือขายหุ้นที่เราอยากได้ผ่าน high frequency trading/big-lot trading ก็ได้ (เคยเจอที่สิงคโปร์)
(4) cost of scuttlebutt: หุ้นบางตัวมีค่าใช้จ่ายแฝงในการ scuttlebutt เช่น product บางตัวที่ต้องซื้อเพื่อทดลองใช้หรือค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปในที่ต่างๆ ถ้าไม่อยากจ่ายตรงนี้ก็ไม่เป็นไร แต่เราก็ต้องไปซื้อ research paper มาอ่านแทน
ค่าใช้จ่ายพวกนี้อาจกิน profit ที่เราทำได้ไปเกือบหมดจากหุ้นตัวนั้นก็ได้
(5) การอ่าน annual report: ระวังพวกที่ชอบใช้คำสวยหรู เพ้อเจ้อเกินเหตุ ผมเห็นประจำในหุ้นจีนหลายๆตัว
(6) opinions aren't facts: ผมไม่ค่อยเชื่อพวกโพสท์ twitter เท่าไหร่เพราะมันเป็นแค่ความเห็น แต่ความเห็นพวกนี้เป็นข้อมูลสำคัญในการทำ "taking the temperature"
(7) ความผันผวนเป็นเพื่อนคุณ: หุ้นต่างประเทศอย่างว่ามีการใช้ high frequency robot trade กันแพร่หลาย ราคามันก็ผันผวนมาก ในไทยเห็นลบ 2-3% ก็ถือว่าลงแรง ในบางประเทศไม่มี ceiling-floor นะครับ ราคาวิ่งกันหวาดเสียวมากเปลี่ยนกันทีเป็น xx%
หุ้นใน HKEx บางตัวมีสภาพคล่องตำ่ทำให้มี spread สูง พอมีโรบอทเข้ามาเทรดทีนึงก็เปลี่ยน 2-3% บางทีเจอข่าว regulation change ก็ลบเกือบ 10% ล่าสุดผมเจอแค่
(8) หุ้นประหลาด: ลงทุนในหุ้นต่างประเทศทำให้ผมเห็นหุ้นนาๆชนิดที่ไม่มีในไทยเช่น (a) บริษัทเกี่ยวกับการจัดงานศพ (b) หุ้นหรือรีทคุก (c) หุ้นเหล้า/บุหรี่/casino (d) ETF ปันผลรายอาทิตย์ (e) บริษัทกำจัดขยะ หรือแม้แต่ (f) แบงค์ชาติ!
ลองไปดูสิครับ...
(1) อย่าซื้อ index ETF มั่วๆ: ผมเห็นหลายๆๆๆ คนที่คิดว่าซื้อ index ETF ตปท.ไปตั้งแต่ช่วงปี 2020-21 แล้วจะไม่ขาดทุน ผลปรากฏว่าต้องคัทกันเกือบหมดโดยเฉพาะหุ้นจีน ส่วนผมเองก็โดน index fund ทุกตัวที่ไปซื้อ (ไม่รอดแม้กระทั่ง fixed-income) จนต้องคัทออกไปบางตัว เอาไปซื้อหุ้นที่ประเมินมูลค่าแล้วได้ return ที่ดีกว่า
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าเราควรที่จะ "taking the temperature" ก่อนที่จะซื้อ ทุกอย่าง และอย่าคิดว่าดัชนีหุ้นในหลายประเทศจะ efficient เท่า S&P 500
(2) ระวังหุ้น P/E ต่ำ %yield สูงให้ดี: บางตัวเป็นหุ้น commo ราคาที่เห็นทำ new high ขณะที่ P/E ทำ new-low ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายมาก (แต่ในไทยอันตรายกว่า! 555)
(3) โรบอทเทรดเป็นเรื่องธรรมดา: พวกนี้มีอยู่ทุกที่ ผมไปมาหลายๆตลาดแล้วก็เห็นจนเบื่อ นานๆทีโบรคเกอร์ก็เอาโรบอทเทรดมาช่วย optimise ราคาที่เราซื้อหรือขายหุ้นที่เราอยากได้ผ่าน high frequency trading/big-lot trading ก็ได้ (เคยเจอที่สิงคโปร์)
(4) cost of scuttlebutt: หุ้นบางตัวมีค่าใช้จ่ายแฝงในการ scuttlebutt เช่น product บางตัวที่ต้องซื้อเพื่อทดลองใช้หรือค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปในที่ต่างๆ ถ้าไม่อยากจ่ายตรงนี้ก็ไม่เป็นไร แต่เราก็ต้องไปซื้อ research paper มาอ่านแทน
ค่าใช้จ่ายพวกนี้อาจกิน profit ที่เราทำได้ไปเกือบหมดจากหุ้นตัวนั้นก็ได้
(5) การอ่าน annual report: ระวังพวกที่ชอบใช้คำสวยหรู เพ้อเจ้อเกินเหตุ ผมเห็นประจำในหุ้นจีนหลายๆตัว
(6) opinions aren't facts: ผมไม่ค่อยเชื่อพวกโพสท์ twitter เท่าไหร่เพราะมันเป็นแค่ความเห็น แต่ความเห็นพวกนี้เป็นข้อมูลสำคัญในการทำ "taking the temperature"
(7) ความผันผวนเป็นเพื่อนคุณ: หุ้นต่างประเทศอย่างว่ามีการใช้ high frequency robot trade กันแพร่หลาย ราคามันก็ผันผวนมาก ในไทยเห็นลบ 2-3% ก็ถือว่าลงแรง ในบางประเทศไม่มี ceiling-floor นะครับ ราคาวิ่งกันหวาดเสียวมากเปลี่ยนกันทีเป็น xx%
หุ้นใน HKEx บางตัวมีสภาพคล่องตำ่ทำให้มี spread สูง พอมีโรบอทเข้ามาเทรดทีนึงก็เปลี่ยน 2-3% บางทีเจอข่าว regulation change ก็ลบเกือบ 10% ล่าสุดผมเจอแค่
ทำหุ้นลงไปเกือบ 10% และลามไปหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันด้วยครับwe will take an accounting non-cash adjusting impairment charge of around £25bn
(8) หุ้นประหลาด: ลงทุนในหุ้นต่างประเทศทำให้ผมเห็นหุ้นนาๆชนิดที่ไม่มีในไทยเช่น (a) บริษัทเกี่ยวกับการจัดงานศพ (b) หุ้นหรือรีทคุก (c) หุ้นเหล้า/บุหรี่/casino (d) ETF ปันผลรายอาทิตย์ (e) บริษัทกำจัดขยะ หรือแม้แต่ (f) แบงค์ชาติ!
ลองไปดูสิครับ...
Jeg vil ud, Jeg vil bort, Jeg vil væk fra SET!
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 157
ผมก็พึ่งมาเริ่มลงทุนในหุ้นต่างประเทศครับ เน้นอ่านเอาความรู้ในนี้ และ อ่านข่าวหุ้นต่างประเทศในเว็บ https://greenbull.app/ เพราะเป็นข่าวแปลไทย ก็พยายามศึกษาเรื่อยๆ