สรุปความรู้งาน Meeting VI ภาคใต้ (3 Mar 24)

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
earthcu
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 362
ผู้ติดตาม: 99

สรุปความรู้งาน Meeting VI ภาคใต้ (3 Mar 24)

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เนื่องด้วยมีโอกาสไปงานสัมมนา Meeting VI ภาคใต้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 Mar 24 ที่ผ่านมา จึงขออนุญาติ Share สรุปความรู้ที่ได้จากงานสัมมนาบางส่วนรวมทั้งความรู้ที่ได้จากการทานข้าวร่วมกับพี่ๆนักลงทุนภาคใต้ในวันเสาร์ที่ 2 Mar 24 เผื่อมีประโยชน์กับเพื่อนๆนักลงทุนท่านอื่นครับ

1.วิธีการที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ
ในช่วงแรกของชีวิตของพี่บางท่านเช่นพี่นุช พี่ๆบางท่านจะใช้วิธีขยันทำงาน เพื่อรวบรวมเก็บออมเงิน โดยพยายามใช้จ่ายเงินให้ต่ำกว่ารายได้ที่หาได้ เพื่อให้สามารถนำเงินที่ได้สะสมไปเรื่อยๆ จากนั้นนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้เงินลงทุนงอกเงย เมื่อได้ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ว่าจะเป็น Capital Gain หรือเงินปันผล ก็พยายามนำเงินนั้นไป Re-invest หรือนำไปลงทุนต่อเพื่อให้ขนาดของเงินลงทุนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากระยะเวลาลงทุนที่ยาวนานพอ จนสุดท้ายแล้วผลตอบแทนจากเงินลงทุน เช่นเงินปันผลนั้นมากกว่าค่าใช้จ่ายในแต่ละปี ก็สามารถที่จะทำให้มีอิสรภาพทางการเงินได้
(ในช่วงแรกๆของชีวิตนั้น พี่โจกับพี่นุช ใช้วิธีหาห้องเช่าที่ราคาถูกๆ และอยู่ในบริเวณที่มีรถขนส่งสาธารณะ/รถโรงงานผ่านเพื่อจะประหยัดค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้นำเงินที่เหลือไปเก็บออมและนำไปลงทุน)
โดยที่พี่โจเน้นย้ำเรื่องนี้ ว่าในกรณีที่เรามีต้นทุนชีวิตเริ่มต้นที่ต่ำนั้น เราอาจะต้องใช้วิธีที่สุดโต่งหน่อยเพื่อให้เราสามารถลืมตาอ้าปากได้ ซึ่งอันนี้อาจจะต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคนเพราะปัจจัยต้นทุนชีวิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน

2.ความลำบาก ไม่เท่ากับความทุกข์ ในความหมายคือ แม้จะมีความยากลำบาก เช่น ตัวเราพักอาศัยในห้องเช่าที่มีสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีเช่นมีกลิ่นน้ำเหม็นๆ แต่ถ้าใจของเรานั้นมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ว่าเราทำสิ่งนั้นไปเพื่ออะไร ก็จะทำให้ใจเราไม่รู้สึกทุกข์ และวันนึงก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้

3.สาเหตุที่เราควรศึกษาหุ้นต่างประเทศ เพราะจะทำให้เรามีโอกาสได้ผลตอบแทนจากประเทศอื่นๆกรณีที่ เศรษฐกิจเราอาจจะเติบโตได้ไม่ดี และปัจจุบันทางเลือกในการลงทุนหุ้นที่ดีๆในบ้านเราเริ่มลดลง จากการที่มีนักลงทุนรุ่นใหม่ๆที่มีความเก่งมากขึ้น อย่างไรก็ตามการลงทุนหุ้นต่างประเทศเราอาจจะต้องมีการพึ่ง Skill ทางภาษาบ้าง เพราะส่วนใหญ่เราอาจจะต้องอ่าน Report ที่เป็นภาษาอังกฤษ , ซึ่งตลาดหุ้นในบางประเทศเช่น จีน/ Hongkong ก็มีความน่าสนใจ เพราะมีบริษัทที่เยอะ แต่จำนวนนักลงทุนยังค่อนข้างน้อยทำให้มีโอกาสตกปลาได้ง่ายกว่าตลาดบ้านเรา

4.กรณีที่เลือกลงทุนที่ต่างประเทศ นั้นเนื่องจากหลายๆบริษัท เราไม่มีโอกาสได้สัมผัสสินค้า/บริการ ทำให้เราอาจจะต้องใช้ข้อมูลอย่างอื่นเข้าช่วยเวลาเลือกลงทุน เช่น พยายามเลือกบริษัทที่มี Business Model ที่ดี/ มีความสามารถในการแข่งขันที่สูง , มีงบการเงินที่แข็งแรง เป็นหลัก และพยายาม Diversify ความเสี่ยงไปในหลายๆบริษัท /หลายๆอุตสาหกรรม

5.ปัจจัยที่มองว่าหุ้นจีนอาจจะมีความเสี่ยง 1.)มีกรณี Insider Trading เยอะพอสมควร 2.)หุ้นที่ Valuation ดีๆ น่าสนใจในการลงทุนนั้นมีโอกาสถูก Tender Offer ออกจากตลาดในบางครั้ง และกรณีที่ถูก Tender Offer ที่นู่นก็เหมือนเราโดน Force ให้ต้องขายหุ้น 3.)งบการเงินก็มีโอกาสที่จะถูกตบแต่งบัญชีหรือโกงได้ เพราะฉะนั้นอย่างไรก็ตามเราก็ยังจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีในการ Diversify การลงทุนให้มากพอ (ไม่ควรทุ่มเงินลงทุนไปกับหุ้นน้อยตัวเกินไปในตลาดหุ้นที่เราอาจจะไม่มีความคุ้นเคยเท่าตลาดหุ้นเมืองไทย)

6.สิ่งที่สำคัญของการที่จะประสบความสำเร็จในด้านการลงทุน คือจำเป็นต้องหา Idol ต้นแบบในการลงทุนก่อน โดยพยายามเลือก Style ของ Idol การลงทุนให้เหมาะกับตัวเราอย่างพิถีพิถัน จากนั้นใช้วิธีเรียนรู้วิธีการของ Idol ท่านนั้นเพื่อให้เราสามารถเลือกหุ้น/บริษัทที่จะลงทุน จากนั้นค่อยๆพัฒนา Style การลงทุนขึ้นมาให้เป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นแนวทางที่ Comfortable หรือเหมาะสมกับนักลงทุนแต่ละท่าน

7.กรณีที่เราไม่มี Edge ในการลงทุน หรือไม่มีแต้มต่อเช่น ตัวเราไม่ได้มีความเข้าใจหรือไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมนั้นๆ เราก็ไม่ควรยุ่งกับหุ้นตัวนั้น และไม่ควรซื้อหุ้นตามใครโดยที่เราไม่ได้เข้าใจบริษัทนั้นอย่างถ่องแท้

8. จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เราควรจะต้องพยายามหาวิธีอยู่รอดในตลาดให้ได้ในระยะยาว เช่นการพยายามเลือกบริษัทที่มีรายได้/ยอดขาย ที่เป็นลักษณะ Recurring Income สม่ำเสมอ (มีรายได้ประจำและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) และมีกำไรที่สม่ำเสมอ ก่อนในช่วงแรกๆ ที่ยังลงทุนไม่เก่งนัก เพราะถ้ารีบไปเลือกลงทุนหุ้นที่มีความซับซ้อน เช่นเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Commodity เราอาจจะต้องไปหาข้อมูลอย่างอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น Supply/Demand ของสินค้าตั้งแต่แรกๆนั้นเพื่อใช้ในการเลือกลงทุน อาจจะทำให้เรามีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย

9.Recurring Income vs ธุรกิจที่รายได้ไม่แน่นอน
Recurring Income : มีรายได้ประจำ และมีโอกาสเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตลาดมักจะให้ Valuation P/E ที่สูงกว่าธุรกิจที่รายได้ไม่แน่นอน
ธุรกิจที่รายได้ไม่แน่นอน : เปรียบเสมือนบริษัทที่ทำไร่เลื่อนลอย มีโอกาสที่ ดินจะเสื่อมได้ ตัวอย่างเช่นธุรกิจรับงานเป็น Project พอจบ Project เองก็ต้องไปหาเพื่อรับงานใหม่ , หรือบางธุรกิจที่สินค้ามีความนิยมที่สั้น พอสินค้านั้น Success สักพัก ก็ต้องออกสินค้าใหม่ที่มีโอกาส Fail (ประสบความล้มเหลวได้) ทำให้กำไรของบริษัทมักไม่ต่อเนื่อง คาดการณ์กำไรได้ยาก ทำให้ตลาดมักจะให้ Valuation P/E ที่ต่ำกว่าธุรกิจที่มักจะเป็น Recurring Income

10.คำถาม พี่มองว่าอะไรที่เป็น Key หลักที่ควรจะต้องเลือกในการลงทุนหุ้นสัก 1 บริษัท
คำตอบ : ในเรื่องการลงทุนนั้นอาจจะไม่ได้มีเป็นสูตรสำเร็จเหมือนการชงกาแฟ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญเบื้องต้นมีดังนี้ 1.)บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันสูง 2.)บริษัทมี Business Model ที่ดี 3.)ผู้บริหาร ที่ซื่อสัตย์และมีความสามารถ ซึ่งจากปัจจัยเหล่านี้นั้นมีโอกาสที่จะทำให้เกิด impact ทำให้บริษัทมีงบการเงินที่ดี และมีโอกาสจะตอบแทนนักลงทุนจากการจ่ายปันผลที่ดีได้ หรือบริษัทมีโอกาสที่จะเติบโตได้ในอนาคต

11.คำถาม ทำยังไงไม่ให้เราเกิดการ Over information หรือเสพย์ข้อมูลในการลงทุนมากจนเกินไป
คำตอบ พยายามเลือกเน้นอ่านข่าวที่แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์หรือศึกษาข้อมูลเช่น Opp Day ของบริษัทก่อน ส่วนกรณีที่มี Page /Facebook ต่างๆ อาจจะอ่านได้ แต่พยายามอ่านเป็นข้อมูลเฉยๆก่อน กรณีจะลอง Search ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับบริษัทก็สามารถทำได้แต่ต้องไม่มีอคติ Bias เพราะอาจจะทำให้ไขว้เขว มีพี่ๆบางท่านเสริมเพิ่มว่าจริงๆแล้วเราก็ควรจะแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นๆในชีวิตด้วย ไม่ใช่เอาแต่ศึกษาการลงทุนเพียงอย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่นการหาเวลาเพื่อไปออกกำลังกายเพื่อดูแลสุขภาพเป็นต้น

12.เวลาลงทุนนั้น ไม่ควรดูแค่เป้าที่ผู้บริหารให้ว่าจะเติบโตเท่าไรเพียงอย่างเดียว แต่ควรดู Strategy ว่าเขาใช้วิธีการอะไรและดูสมเหตุสมผลไหม รวมถึงควรจะไปดู Track record ด้วยว่าที่ผ่านมาสามารถเติบโตได้จริงจาก Strategy ที่เขาเคยอธิบายไว้ไหม

13.พึงระวังอคติ เช่นการพยายามถัวหุ้นที่ขาดทุน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ % ติดลบของหุ้นตัวนั้นน้อยลง ยกตัวอย่างเช่น เราถือหุ้นที่ราคาลงมาแล้ว 30% (-30%) จากนั้นเราก็พยายามซื้อหุ้นนั้นเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดนึงเราอาจจะมีหุ้นนั้นเป็น 80-90% ของ Port เพียงเพื่อจะให้ตัวเลขติดลบของ % ลดลงเป็นต้น คือถ้าธุรกิจนี้ไม่ดี ไม่เติบโตและมีแนวโน้มแย่ลงเรื่อยๆ เราก็ควรจะต้องยอมมอบตัว มากกว่าการที่ไปถัวหุ้นเพิ่ม ซึ่งโดยส่วนใหญ่คนที่ถัวหุ้นมักมีอัตตามากจนเกินไป
ตัวเราเองก็อาจจะแพ้หรือยอมมอบตัวบ้างก็ไม่เป็นไร เพื่อรักษาเงินลงทุนส่วนใหญ่ไว้ให้สามารถนำเงินลงทุนนั้นไปใช้ในการลงทุนที่ทำให้เงินลงทุนนั้นเติบโตได้ในอนาคต เพื่อให้ชนะในภาพใหญ่
เสริมเพิ่มเติมปัจจุบันพี่ๆ ก็พยายาม control % หุ้น 1 ตัวใน Port ไม่ให้มี % ที่สูงจนเกินไป เช่นแม้จะเป็นหุ้นที่มีโอกาสตีแตกก็จะพยายามถือให้ไม่เกิน 30% ของ Port

14.วิธีการดูหุ้นปั่น By พี่โจ (ขออนุญาตินำจากข้อมูลที่พี่โจเคย Post ใน Thaivi และที่พี่อมรช่วยรวบรวมมา post อีกทีครับ)

“ หุ้นปั่นในนิยามของผม มี 2 จำพวก
– หุ้นพื้นฐานแย่มากๆ แล้วปั่น
– หุ้นพื้นฐานดี หรือพอมีพื้นฐานบ้าง ปั่นจนราคาแพงเวอร์ เป็นการปั่นแบบเนียนๆ
ลักษณะร่วมของหุ้นปั่นมีหลายอย่าง
หุ้นบางตัว อาจเป็นหุ้นที่ดีก็ได้ ถึงแม้ตรงกับหุ้นปั่นบางประการ
แต่ถ้ามีลักษณะร่วม ตรงกันหลายอย่าง โปรดระวัง

หุ้นปั่นมักเป็นอย่างไร
1.)ประตูหน้ามีไม่เข้า ชอบเข้าประตูหลัง
หน้าบ้านมี ชอบมุดเข้าประตูหลัง ไม่ปกติ หุ้นที่เข้าตลาดโดยการ backdoor listing ความเข้มงวดของกฎเกณฑ์อาจน้อยกว่า เข้าประตูหลัง ไม่เสียงดัง ไม่เอิกเกริก แต่ถ้าของดี ทำไมต้องทำลับลมคมใน ทำไมไม่เข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย หุ้นของใคร ที่เข้าประตูหลัง อาจจะไม่ทุกตัว แต่ควรสงสัย
2.)โปรดลืมฉัน
หุ้นบางตัว อยากให้นักลงทุนลืมๆชื่อเสียง(เน่าๆ) ในอดีต ทำอย่างไร วิธีที่นิยมคือเปลี่ยนชื่อบริษัท หุ้นบางตัว อยู่ๆโผล่ๆขึ้นมา ทั้งที่ไม่เคยมีการขาย ipo มันมาจากการเปลี่ยนชื่อ หวังว่าเปลี่ยนชื่อแล้ว จะเป็นสิริมงคล เป็นจุดเปลี่ยนของบริษัท ล้างเรื่องเน่าๆ ในอดีตให้ผ่านไป มันก็แค่ “เหล้าเก่าในขวดใหญ่” นิสัยกมล…ของผู้บริหาร มันไม่ได้เปลี่ยนตามชื่อบริษัท ลองดูหุ้นที่ถือ ถ้าเปลี่ยนชื่อแล้ว ชื่ออีก จนขุดหารากเหง้าไม่เจอ ท่านต้องระวังตัวแล้ว
3.)หากำไรไม่เจอ
หรือมีก็บางๆ ก็ความมั่งคั่งหลักของผู้บริหาร ไม่ได้มาจากเงินปันผล แต่มาจากการหากินกับราคาหุ้น กับ”การดูด” ความมั่งคั่งจากบริษัท ผ่านรายจ่ายที่ถูกกฏหมาย เช่นเงินเดือน รถประจำตัวแหน่ง ค่าตอบแทนต่างๆ กับผลประโยชน์ที่ตกลงกับบุคคลที่ 3 ผ่านการซื้อสินค้าหรือบริการ ราคาแพงกว่าปกติ ส่วนที่จ่ายเกิน ก็ทอนกับมาสู่ผู้บริหารหรือเครือญาติ บริษัทเหล่านี้มีแต่ขาดทุนซ้ำซาก เพราะผู้บริหารร่วมใจกัน “ดูด” นั่นเอง หรือบางครั้งก็เลี้ยงให้บริษัทมีกำไรขาดทุนบางๆ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นด่ามาก แล้วเอาเวลามาหากินกับส่วนต่างราคาหุ้น เป็นพักๆ ท่านเห็นไหมบริษัทอย่างนี้ มีกี่บริษัทในตลาดหุ้นไทย
4.)เพิ่มทุนเป็นนิจ
ต่อจากข้อที่แล้ว ในเมื่อกิจการขาดทุนเสมอๆ จากการดูดเงินของผู้บริหาร เมื่อผ่านไปนานเข้า เงินหมดบริษัท ส่วนทุนใกล้ติดลบ อาจโดนตลาดแขวน sp ย้ายเข้ากลุ่มี rehap ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว นั่นคือการเพิ่มทุน จะเอาเงินจากใครดี ควักกระเป๋าเอง หรือดูดเงินจากรายย่อย แน่นอนต้องเป็นอย่างหลัง (บางบริษัทมีเงื่อนใขให้รายย่อยซื้อหุ้นเพิ่มทุนเกินสิทธิ์ได้ พอเม่าคนไหนใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเกินสิทธิ์ ผลออกมา ได้ครบทุกคนเลย แต่ผู้บริหารไม่ซื้อสักหุ้น โอละพ่อ.. ก็วัตถุประสงค์คือดูดเงินจากรายย่อย นี่นา
5.)ปั่นหุ้น ต้องมีสตอรี่
ต่อเนื่องจากการเพิ่มทุน ก็ถ้าไม่มีสตอรี่ ที่ตื่นเต้น ใคร้..จะยอมเพิ่มทุน คราวนี้ก็โหมประโคมข่าวตามหนังสือพิมพ์ โปรเจคโน้นนี้ เราจะทำพลังงานทดแทน เราจะหันไปทำธุรกิจใหม่ ยอดขายเราจะโตปีละ 50% บลาาๆ รายย่อยพอให้ฟังเรื่องราวน่าตื่นเต้น บวกกับการชงข่าว ออกข่าวของผู้บริหาร เกิดอาการอิน ความโลภเริ่มทำงาน สติเริ่มหาย โลกสดใสเหลือเกิน จัดไปเพิ่มทุน แถมซื้อเกินสิทธ์
6.)ฝนตกขี้หมูไหล คน…มาพบกัน
สังเกตไหม หุ้นปั่นมักจะมีชื่อ นามสกุล ซ้ำๆไปมาไม่กี่ตระกูล ไม่กี่คน โยงใยกันไหมหมด ชาติที่แล้วอาจมีกรรมอะไรกัน ชาตินี้เลยต้องมาพบกัน (เพื่อปั่นหุ้น) หุ้นบางตัว รายชื่อผู้ถือหุ้นจะซ้ำๆ กับหุ้นอีกตัว หรืออีกหลายตัว เป็นไปได้ไหมว่า คนเหล่านี้ อาโนเนะ ไร้เดียงสา ไม่รู้จักกันจริ๊งๆ เราพบกันโดยบังเอิญ หรือที่จริงเป็นการสบคบคิด รวมหัว เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง แล้วแบ่งผลประโยชน์กัน เคยเห็นไหม หุ้นบางตัวเพิ่มทุน ได้เงินทุน แทนที่จะนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ กลับเอาไปซื้อหุ้นอีกตัวที่ราคาแพงๆ (แล้วไอ้โม่งที่ขายหุ้นให้คือใคร) หุ้นบางตัว swap หุ้นวุ่นวายกันไปหมด แต่สุดท้ายพวกเดียวกันทั้งน้านนนน
7.)หุ้นดี ดันไม่มีเจ้าของ
บ้าหรือเปล่า บอกว่าหุ้นตัวเองดีนักหนา แต่ไปดูรายชื่อผู้ถือหุ้น ถือกันคนละไม่เกิน 5% ไหนบอกดีหนักหนา ทำไมไม่ถือหุ้น 50% ก็วัตถุประสงค์การถือหุ้นไม่ใช่ รอรับปันผล หรือส่วนแบ่งกำไร แต่คือการดูดและเอาส่วนต่างราคา ทำไมจะต้องไปถือหุ้นเยอะๆ ล่ะ ถือแค่ให้พอรวบอำนาจการบริหารก็พอ หุ้นปั่นแทบทุกตัวจะเป็นอย่างนี้
แต่หุ้นบางตัวถือกันคนละไม่เยอะจริง แต่ส่วนใหญ่ดันเป็น nominee คนกันเองทั้งนั้น อย่างนี้อาจไม่เข้าข่าย
8.)ลูกรักของ กลต. ตลท.
เมื่อทางการเริ่มได้กลิ่นไม่ดี สิ่งแรกที่ทำคือให้บริษัทชี้แจง ซึ่งบริษัทก็จะตะแบงไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็แถจนผ่านละ เพราะที่ปรึกษาทางการเงินก็เตรียมข้อมูลมาแล้ว (รับเงินมาแล้วนี่) ตอนผ่านวาระประชุม ก็สบายเพราะผู้บริหารถือสัก 20% ก็ผ่านแล้ว รายย่อยที่มีเป็นหมื่นเป็นพัน แต่ไม่มีพลัง เพราะส่วนใหญ่ไม่ไปประชุมผู้ถือหุ้น ไม่รู้จักการพิทักษ์สิทธ์ตัวเองด้วยซ้ำ ทางการก็พยายามเตือนเท่าที่จะทำได้ บอกให้ไปประชุมผ่านวาระสำคัญ ใส่เทรดดิ้ง alert ใส่ turnover list ยังเอาไม่อยู่
9.)ไม่ครบองค์ประชุม
ในเมื่อเป็นบริษัทไม่มีเจ้าของ ถือหุ้นเป็นเบี้ยหัวแตก รวมกันได้แค่ 20-30% พอนัดประชุมก็มัก “ไม่ครบองค์ประชุม” ต้องนัดใหม่ ซึ่งครั้งที่ 2 มักจะประชุมได้ เพราะใช้คนละเกณฑ์ วาระไหนที่น่าสงสัย ก็มักจะผ่านในการประชุมครั้งที่ 2 นี่เอง หุ้นตัวไหนที่ไม่ครบองค์ประชุม ต้องระวัง
10.)ราคาที่หวือหวา
เป็นหุ้นปั่น ราคาต้องหวือหวา เพราะนี่คือเชื้อไฟอย่างดีเพื่อล่อ “แมงเม่า”ให้มาติดกับ ไฟหน้าจอหุ้นปั่นจะกระพริบตลอดเวลา เปรียบเสมือนไฟจากกองไฟที่ล่อแมงเม่า เม่าหลายคนแม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นหุ้นปั่น แต่ overconfidence bias มักคิดว่าตัวเองเจ๋งจะ”หนีทัน” ดันลืมไปว่า ถ้าจ้าวมือไม่เก่งจริง โดนเม่ากิน จะเป็นจ้าวมือได้อย่างไร ราคาหุ้นที่ขึ้นพร้อมบิดหนาๆ อย่าเพิ่งชะล่าใจว่ามีคนจะซื้อเยอะ เผลอเมื่อไหร่บิดหายทันที พร้อมกันห้าช่อง เหลือแต่บิดรายย่อย แล้วโยนโครมซ้าย ยัดหุ้นใส่มือเม่า offer ที่หนาๆ โดนเคาะ อย่าคิดว่าแรงซื้อจริง อาจเป็นของจ้าวมือหรือเครือขายซื้อหุ้นตัวเอง เพื่อทำเสมือนมีคนสนใจซื้อหุ้นเยอะ ในหุ้นปั่น อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น
11.)เราจะ turnaround
เราเปลี่ยนชื่อบริษัท เราเปลี่ยนกรรมการ เราจะเปลี่ยนธุรกิจ เราจะเทินอราวด์ ถ้าธุรกิจมันเปลี่ยนกันง่ายๆก็ดีซิ หุ้นหลายตัวเอาให้ได้โครงการไว้ก่อน (ไว้หลอกนักลงทุนให้เพิ่มทุน) พอทำจริงๆ ขาดทุนบักโกรก จำบริษัททำป้ายโฆษณารถเมย์ได้ไหม เป็นตัวอย่างสูตรสำเร็จของการปั่นหุ้น สตอรี่เทินอราวด์ เอาไว้หลอกวีไอที่ฟังก็ชักเคลิ้ม
12.)ขุดผีจากหลุม
บางครั้งลงทุนแม้กระทั่งขุดผีจากหลุม วิธีการก็ไปซื้อบริษัทเน่าๆที่อยู่ใน rehap นำมาปัดฝุ่น ใส่ธุรกิจใหม่ที่ดาดๆ พอผลประกอบการผ่านเกณฑ์ ก็ออกจากหลุม ปั่นราคาขึ้นไปเยอะ นัยว่าธุรกิจพื้นตัวแข็งแกร่งแล้ว ระหว่างก็รินขายตลอด จำบริษัท ภาพทางขวางของเอเชีย ได้ไหม นี่ก็เห็นบริษัทก่อสร้างอีก บริษัที่ผู้บริหารโดนคดียักยอก สุดท้ายต้องตัดขายหุ้นให้พวกขุดผี น่าแปลกว่าคนที่ไปขุดผี ดันเป็นกลุ่มเดิมๆอีกแล้ว บังเอิญจิงๆๆ
13.)พื้นฐานวันนี้ ราคาชาติหน้า
เป็นหุ้นที่พอจะมีพื้นฐานบ้าง เป็นหุ้นที่อาจจะ turnaround ได้จริง จากขาดทุนซ้ำซาก มีกำไรนิดหน่อย แต่ราคาหุ้นโดนกระชากไป สะท้อนกำไรหลายๆปีข้างหน้าแล้ว หุ้นโรงไฟฟ้าเอย หุ้นลม หุ้นอาทิตย์
14.)หุ้นปั่น วีไอ
บริษัทมีโปรเจคมากมาย เป็นโปรเจคจริง แต่ใช้เงินเยอะจังเลย จะหาเงินจากไหนดี เอ่อ…ได้ข่าวนักลงทุนวีไอรวยกันนักใช่ไหม เอางี้ ไปติดต่อให้มา company visit บริษัทเราเดี่ยวนี้ !! ให้ตัวเลขกำไรไปเลย อีก 5 ปีข้างหน้า เราจะกำไรเท่าไหร่ อัดแต่ข่าวดีๆ เอาให้เว่อๆหน่อย วีไอชอบ พอวีไอไล่ซื้อ ราคาดี เราก็ทยอยเพิ่มทุนไปเรื่อยๆ อย่าให้มาก เดี๋ยวแตกตื่น เท่านี้เราก็ได้เงินทุนมาใช้ เสียสัดส่วนหุ้นไม่เท่าไหร่ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม (พอเพิ่มทุนเสร็จ ก็ไม่ต้องให้ข่าวดีแล้วนะ)
15.)หุ้นปั่นไอพีโอ
หุ้นเก่าเป็นสนิม หุ้นใหม่หน้าตาจุ๋มจิ่ม นักลงทุนชอบของใหม่ บิ้วให้เยอะๆ ออกสื่อ road show ขายหุ้นให้แพงที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าของเดิม (ถ้าขายได้ถูกๆก็ไม่ต้องเข้าตลาดดีกว่า) หุ้นเก่าๆพีอี 10 เท่าแพง หุ้นใหม่ๆพีอี 30 เท่าบอกถูก ยังไม่พอ เทรดวันแรกบิ้วไปเลย ข่าวดีอัดเข้าไป ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ให้ข่าวเยอะๆ ยังขึ้นได้อีก ทีอีตันยังขึ้นเยอะได้เลย นี่กองทุนมาร์คก็เข้ามาซื้ออีก บิ้วไป ขายไอพีโอว่าแพงแล้ว เข้าตลาดยังแพงได้อีกกกก นักลงทุนไทย สุดยอด(ดอยอีกแล้ว )..
ใช้คำพูดแรงไปนิด พาดพิงใคร หรือหุ้นใครไปบ้างก็อภัยนะครับ
จิ้งจกทักยังฟัง ก็ฟังผมบ่นบ้างละกัน
แต่อยากย้ำนะครับ ไม่ใช่หุ้นทุกตัวที่มีคุณสมบัติเหล่านี้แล้วจะเป็นหุ้นปั่น แต่ถ้ามีลักษณะร่วมกันหลายข้อ เราเตือนแล้วนะ..
ใครจะเสริมข้อไหน หรือแนะนำเพิ่มก็ดีครับ
เกือบลืม ไม่ได้ตั้งกระทู้เพราะอิจฉาที่หุ้นปั่นวิ่งเอาๆ นะครับ หุ้นผมก็โอเคนะครับ ไม่ได้มีปัญหาอะไร”
16.)ปันผลไม่เคยเห็น
จะเห็นได้ไง มีแต่การดูดเงิน(เพิ่มทุน) ไม่มีหน้าที่แจกเงิน (ปันผล) ส่วนใหญ่ขาดทุนซ้ำซาก ปันผลไม่ได้อยู่แล้ว แต่บางตัวมีกำไร ทำไมไม่จ่าย ก็จะแจกเงินให้รายย่อยทำไมล่ะ เราเข้ามาดูดเงินอย่างเดียว เงินอยู่ในบริษัท เดี๋ยวเราก็ดูดออกได้ แบ่งให้รายย่อยทำไม บางบริษัทต้องตุนเงินสดไว้ทำธุรกิจ ปันผลไม่ได้ เพราะแบงค์รู้ทัน ไม่ยอมปล่อยกู้ บริษัทปั่นหุ้น
17.)อ๊อฟเดส์ไม่เคยโผล่
จะโผล่มาได้ไง มีแต่แผลทั้งนั้น มาให้นักลงทุนลากใส้หรือ วัวสันหลังหวะ คนทำผิด ย่อมไม่กล้าสู้หน้าคน กลัวโดนซักมาก เดี๋ยวจับได้ไล่ทัน ผิดกับทองแท้ ย่อมไม่กลัวไฟ มีหุ้นปั่นตัวไหน กล้ามาอ๊อฟเดส์บ้าง มีแต่ชอบออกหนังสือพิมพ์ปั่นหุ้น
18.)สำเร็จกิจ ถีบหัวส่ง
การเพิ่มทุนเป็นเป็นกระบวนการที่สำคัญมากๆของการปั่นหุ้น เป็นการ”ดูดเงิน” ที่ถูกกฎหมาย อยู่ๆจะเพิ่มทุน ใคร้รรจะมาซื้อหุ้น วิธีที่ได้ผลและทุกบริษัททำคือ ทำราคา+อัดสตอรี่ จ้างสปอนเซอร์มาทำราคา กระชากขึ้นไป พอราคาขึ้น ก็ถึงตาของผู้บริหารให้ข่าว สอดรับเป็นปี่เป็นขลุ่ย เราจะทำโปรเจคโน้นนี้ (ใช้เงินทั้งนั้นแหละ) ราคาที่ขึ้นไปเรื่อยๆ บวกสตอรี่ที่สดใส ฟ้าสีทอง ผ่องอำไพอยู่เบื้องหน้า ถึงจุดไครแม็ก ประกาศเพิ่มทุน (จะเอาไปทำโปรเจคที่ว่าไว้) เพิ่มทุนที่ราคาดอย = ดูดเงินได้สูงสุด พอเพิ่มทุนสำเร็จกิจ ก็แยกทาง ตัวใครตัวมัน สปอนเซอร์หมดหน้าที่ ราคาหุ้นจะค่อยๆไหลลง แม้แต่บริษัทที่พอมีพื้นฐานบ้างก็ทำอย่างนี้ ยังจำกลุ่มสื่อที่หันไปทำธุรกิจดิจิตอลได้ไหม pattern เหมือนที่เล่าเป๊ะๆหรือเปล่า”
15.คำแนะนำเพิ่มเติมของพี่นุช เกี่ยวกับ Mentality ในการลงทุนเพื่อให้จิตใจไม่แกว่งมากเวลาที่ตลาดหุ้นลงแรงๆ หรือหุ้นที่ถือราคาลงไปเยอะๆ พยายามให้มองว่าแม้จะราคาหุ้นลงไป แต่รายได้/กำไรของบริษัท รวมถึงปันผลของบริษัทที่จ่ายให้เราก็ยังดีอยู่ ซึ่งในบางท่าน เงินปันผลที่ได้จากบริษัทที่ลงทุนก็มากกว่าค่าใช้จ่ายของเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปรู้สึกเครียด/กังวลกับราคาหุ้นที่ลดลงแต่อย่างใด และในการลงทุนเราไม่จำเป็นต้องไปสนใจผลตอบแทนการลงทุนของเพื่อนคนอื่นๆ หรือพยายามไปเปรียบเทียบผลตอบแทนการลงทุนของตัวเองกับคนอื่นๆ เพราะอาจจะทำให้ชีวิตของเราไม่มีความสุขได้แม้ผลการลงทุนของเราจะดีก็ตาม


16.วิธีการเลือกหุ้นแนวหุ้นปันผล
1.)พยายามเลือกบริษัทที่มี Business model ที่ดี ,รายได้อาจจะเป็นแนว Recurring income และกำไรที่ยังแนวโน้มดีอยู่ (ไม่ควรเลือกหุ้นปันผลจากหุ้นที่เป็นวัฎจักร และไม่ควรเลือกหุ้นที่อุตสาหกรรมกำลัง Decline, สูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับบริษัทอื่นๆ)
2.)ทำธุรกิจในระยะเวลาที่ยาวนานพอ เพื่อให้มี Track record ดูในเรื่องทั้งรายได้/กำไร และเงินปันผล
3.)เป็นธุรกิจที่เราสามารถเข้าใจได้
4.)ปันผลที่ได้ มี % ที่สูงในระดับนึง เช่น (5-8%)

17.เวลาลงทุนในบริษัทควรจะลองทำข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่งที่คล้ายๆกันในอุตสาหกรรมด้วย เช่นดูข้อมูล GPM, NPM , Inventory Day เพื่อวิเคราะห์ทั้งความสามารถในการแข่งขัน และเพื่อให้เข้าใจความผิดปรกติของงบการเงิน เพราะในบางครั้งการที่เราเห็นความผิดปรกติอาจจะทำให้เราสามารถที่จะป้องกันการเลือกลงทุนในบริษัทที่น่าสงสัยบางบริษัทได้

18.พึงระวังบริษัทที่อยู่ๆ GPM และ NPM เพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆในระดับที่สูงเพราะอาจจะมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้ ตัวเลข GPM และ NPM นั้นเพิ่มขึ้นชั่วคราว กรณีที่เรานำตัวเลขนั้นไปใช้ในการประเมิน Valuation อาจจะทำให้เราได้ภาพที่ดีเกินความเป็นจริงได้

19.คำถาม คิดยังไงกับหุ้นปั่นที่อาจจะมีโอกาสทำกำไรในระยะสั้น
คำตอบ : พยายามรักษาทัศนคติแบบ VI ไว้ให้ยาวนาน , อย่าปล่อยให้ใจของตัวเองไปยึดติดกับการเน้นทำกำไรในระยะสั้น เพราะอาจจะทำให้เราอาจจะค่อยๆสูญเสียความเชื่อ/ทัศนคติแบบ VI ที่ดีได้ และหรืออาจจะทำให้เราไขว้เขวกับการลงทุนแนว VI (เน้นคุณค่า)ได้ และเราควรจะมีความภาคภูมิใจกับอุดมการณ์ของตัวเรา

20.สุดท้ายฝากทิ้งท้ายจากพี่ๆมือเก๋า
พี่นุช : เน้นจัดทัพหลายๆกองทัพ (จัด Port กระจายประมาณนึง) และอย่าใช้เงินร้อนในการลงทุนเพราะในบางครั้งเราอาจจะต้องถูกบังคับขายหุ้นในจังหวะที่ไม่ดีได้
พี่ตี้ : มือใหม่เน้นลงทุนท่าง่ายๆก่อน อย่าใช้ท่ายาก/พลิกแพลง จนเกินไป เพราะมีโอกาสที่จะขาดทุนได้ง่าย เน้นเลือกบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดี มีความมั่นคง สามารถจ่ายเงินปันผลได้เสมอๆ
พี่โจ : เมื่อผ่านจากวันนี้ไปสักพัก เราเองอาจจะเริ่มเหี่ยว ในความหมายคือเริ่มจะหมดแรงบันดาลใจ หรือเริ่มหลงลืมแก่นแท้ของการลงทุนไป กรุณาอย่าลืมกลับมา Boost Up หรือ Motivate ตัวเอง เช่นกลับมา Join งานสัมมนา VI ภาคใต้ (หรืออาจจะลองหาฟัง Clip VDO ของ Idol ในการลงทุนที่เรานับถือ)


ปล. เนื่องด้วยในวันงานทั้ง 2 วัน ผมอาจจะไม่ค่อยได้จดบันทึกสักเท่าไร ข้อมูลบางส่วนที่สรุปมาจากการนึกย้อนหลังกลับไปและเนื้อหาที่สรุปอาจจะมีการปรับคำพูดบางคำเพื่อให้อธิบายได้เข้าใจง่ายขึ้น กรณีที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ทางวิทยากรต้องการสื่อสาร รบกวนพี่ๆเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปในวันนั้นช่วยแนะนำให้ผมด้วยครับ



โดยส่วนตัวขอขอบคุณ

1.พี่โจ (ลูกอีสาน) และ พี่ตี้ วิทยากรหลัก ที่ช่วยให้ความรู้/คำแนะนำในด้านการลงทุน กับผมและเพื่อนๆนักลงทุนอยู่เสมอ (ครั้งนี้ที่จัดเป็นครั้งที่ 58 แล้ว) และขออนุญาติสุขสันต์วันเกิดพี่โจ ที่อายุครบ 50 ปีด้วยครับ
พี่นุช, พี่เบิ้ม (Kaiser) , พี่วัฒ (Teerawat) ,พี่อมร ที่เปรียบเสมือนเป็น Special Guest ของงานทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

2.พี่ๆทีมงานที่จัดงาน Meeting ภาคใต้ทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์ทุกท่าน (พี่แมว, พี่จรัญ, พี่บัวดิน, พี่เปรี้ยว etc.)

3.พี่ๆเพื่อนๆนักลงทุนที่ช่วยให้ความรู้/ข้อมูลกับเพื่อนๆท่านอื่นในวันงาน (พี่ You, พี่เชน, พี่โต, พี่ต้อม, พี่กอล์ฟ, เป้, หมอปิง, พี่ Big, อู๋ etc.)

และสุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Website Thaivi และกัลยาณมิตรของผมทุกๆท่าน ที่ช่วยให้ความรู้ในด้านการลงทุนกับผมอยู่เสมอๆ

ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง
earthcu/4 Mar 24
Life is beautiful + Financial freedom within 2015 by investment stock & real estate
ภาพประจำตัวสมาชิก
Bird.Songwut
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 237
ผู้ติดตาม: 163

Re: สรุปความรู้งาน Meeting VI ภาคใต้ (3 Mar 24)

โพสต์ที่ 2

โพสต์

เนื้อหาดีมาก ขอบคุณครับ
"มีกระแสน้ำสายหนึ่งในกิจกรรมของคน ซึ่งเมื่อมันไหลบ่าท่วมท้นจะนำไปสู่ความมั่งคั่งมหาศาล"
Investor hub : ห้องลับนักลงทุน https://www.youtube.com/@Investor_hub
ภาพประจำตัวสมาชิก
vilage
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 201
ผู้ติดตาม: 8

Re: สรุปความรู้งาน Meeting VI ภาคใต้ (3 Mar 24)

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณครับ
โพสต์โพสต์