✅“3 เปอร์เซ็นต์ : ความสำเร็จในตลาดหุ้นไทย”🔥 พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Introverted investor
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 117
ผู้ติดตาม: 270

✅“3 เปอร์เซ็นต์ : ความสำเร็จในตลาดหุ้นไทย”🔥 พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี

โพสต์ที่ 1

โพสต์

uu.png
......................................................................

🕑ผมลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาประมาณ 20 ปี ซึ่ง 10 ปีแรกของการเริ่มต้นชีวิตนักลงทุนถือว่าไม่เหนือบ่ากว่าแรงนัก เศรษฐกิจเติบโตดี ดอกเบี้ยต่ำ ส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนทำมาหากินสร้างกำไรได้ดี เลือกหุ้นง่ายมาก หุ้นเติบโตมีวางเกลื่อนเต็มตลาดไปหมด หากแต่อีก 10 ปีหลังจากนั้นจนถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยย่ำอยู่กับที่ ไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย
........................................

✴️10 ปีที่ผ่านมา ณ ตลาดหุ้นไทย มีบริษัทที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ย 15% ต่อปี (คำนวณจากการเติบโตของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ Market Cap.) อยู่ 22 บริษัท
...
✴️มีบริษัทที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ย 20% ต่อปี อยู่ 17 บริษัท
...
✴️มีบริษัทที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ย 25% ต่อปี อยู่ 5 บริษัท
...
จากข้อมูลก็นับเป็นเพียงสัดส่วนประมาณ 3% เท่านั้นของตลาดหุ้นไทย สำหรับบริษัทที่น่าสนใจลงทุนในระยะยาว และผมเชื่อว่าอีก 10 ปีนับจากนี้ต่อไปในอนาคต สัดส่วนหุ้นผู้ชนะก็คงไม่เกิน 3% หรืออาจลดน้อยถอยลงมากกว่านี้ด้วยซ้ำ โลกการลงทุนนับจากวันนี้มันจะยากขึ้นด้วยหลายเหตุปัจจัย การหาหุ้นไทยที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 15% ต่อปีในระยะยาวจนพบเจอนั้นสำหรับผมก็ดีใจมากแล้วในปัจจุบัน
........................................

ยุคสมัยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว บริษัทคุณภาพดี มีการเติบโตสูง P/E ไม่เกิน 10 เท่า มีอยู่เกลื่อนเต็มตลาดหุ้นไทย แต่ปัจจุบันหุ้นเติบโตดีๆนั้นอย่างน้อยก็ P/E 20-30 เท่า มันจึงคาดหวังการเติบโตในเชิงราคาหุ้นลำบากแล้ว นักลงทุนเก่งๆมีจำนวนเยอะมากขึ้น ผู้คนให้ความสนใจตลาดหุ้นมากขึ้น หุ้นราคาถูกหายากมากขึ้นหลายเท่าตัว สมัยก่อนแรงขับดันของราคาหุ้นมีอยู่ 2 ทาง เสมือนมี 2 เครื่องยนต์ในการทำงาน นั่นคือ กำไรสุทธิเติบโต และอัตราส่วน P/E เติบโต ซึ่งนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พอร์ตการลงทุนของผมเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทั้งเลือกหุ้นถูกตัว และตลาดปรับ P/E หุ้นดังกล่าวให้สูงขึ้นมามาก
........................................

แต่ปัจจุบันการลงทุนมันเหลือแค่เครื่องยนต์เดียว นั่นคือการรอคอยให้กำไรของบริษัทเติบโตเท่านั้น คุณไม่สามารถคาดหวังให้ตลาดปรับ P/E ได้เลย ก็ในเมื่อตอนนี้ทุกคนคาดหวังอะไรที่เหมือนๆกัน จึงไม่แปลกที่การลงทุนในหุ้นเติบโตมันจะไม่สวยหรูเหมือนดังเช่นในอดีตที่ผ่านมา
........................................

📈ตลอดช่วงชีวิต 20 ปีของการเป็นนักลงทุน ผมซื้อหุ้นลงทุนมาแล้ว 49 บริษัท ขาดทุนหนักๆเลย 1 บริษัท และขาดทุนเล็กน้อยถึงปานกลางอีก 14 บริษัท นับเป็นความล้มเหลวประมาณ 30% ของการตัดสินใจลงทุน เป็น 30% แห่งความผิดพลาดซึ่งมอบบทเรียนที่ทำให้เรารู้จริง ไม่เหมือนการเรียนรู้จากตำรา ประสบการณ์จริงมันจะทำให้เราจดจำ และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำมันอีกในอนาคต ความผิดพลาดส่วนใหญ่ในอดีตของผมคือการให้ความสำคัญกับประเด็นผู้บริหารน้อยเกินไป ไม่เข้าใจโครงสร้างทางธุรกิจมากพอ และมองผิดพลาดในด้านความสามารถทางการแข่งขันของบริษัท
........................................

กระบวนการตัดสินใจในการลงทุนบนข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์นั้นอย่างน้อยเราต้องมั่นใจว่าโอกาสผิดพลาดมีไม่เยอะ โดยคำนึงถึงรูปแบบโครงสร้างทางธุรกิจของบริษัทที่เราสนใจ และส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย (Margin of Safety : MOS) เป็นสำคัญ หากเราเข้าใจตนเองว่ายังรู้น้อย ยิ่งต้องมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยเยอะ การตระหนักเสมอว่ามันมีสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกมาก จะทำให้เกิดความระมัดระวังตัว การประเมินตนเองไว้สูงกว่าความเป็นจริงถือเป็นความผิดพลาดซึ่งพบเจอได้บ่อยในโลกแห่งการลงทุน
........................................

🟢เลือกหุ้นเพื่อลงทุนอย่างไร?
...
กระบวนการเลือกหุ้นคือการคิดล่วงหน้าไปยังอนาคตอีก 3-5 ปี ว่าบริษัทเหล่านั้นเราสามารถคาดหวังการเติบโตได้เท่าไหร่? และพวกเขาจะเติบโตอย่างที่คิดได้อย่างไร? โดยวิธีการสืบค้นข้อมูลอย่างเจาะลึกไปที่กลยุทธ์ของบริษัท แผนการเติบโตในอนาคต ตลาด อุตสาหกรรม และความสามารถในการแข่งขัน จากนั้นนำมาแปลงค่าเป็นตัวเลขทางการเงินได้ไหม? หากทำได้ก็จำเป็นต้องทำทั้งในกรณีที่ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด ปานกลาง และกรณีที่ผิดพลาดย่ำแย่มากที่สุด เมื่อได้ผลลัพธ์มาแล้วค่อยวิเคราะห์ต่อว่าผลตอบแทนที่คาดหวังนั้นน่าสนใจเข้าลงทุนไหม?
........................................

เราต้องประเมินทุกอย่างจากข้อมูลทั้งหมดที่มี ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ในอนาคตเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง มีข้อมูลใหม่ๆ เราก็ต้องกลับมาวิเคราะห์ใหม่ด้วยทุกครั้ง บริษัทคือสิ่งมีชีวิต มีดีขึ้น มีแย่ลง ศึกษาเพียงครั้งเดียวมันไม่จบหรอก ต้องประเมินอยู่ตลอดเวลาว่ายังน่าสนใจเหมือนเดิมไหม มีทางเลือกการลงทุนอื่นๆมาเปรียบเทียบด้วยว่าคุ้มค่ารึเปล่า
........................................

🟢จะลงทุนหุ้นสักหนึ่งตัวต้องหาข้อมูลนานแค่ไหน?
...
นานเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับความรู้และความเชี่ยวชาญส่วนตัวของตนเอง หากเป็นธุรกิจที่คุ้นเคยดีอยู่แล้วอย่างน้อยสำหรับผมก็ต้องใช้เวลา 2-3 เดือนขึ้นไปเพื่อติดตามอย่างรอบด้าน หากเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ส่วนตัวแล้วตามประสบการณ์ที่ผ่านมาหากติดตามบริษัทใดบริษัทหนึ่งโดยใช้ระยะเวลาสัก 1 ปี เราจะมีความรู้ประมาณ 50% ถ้า 3 ปี เราจะมีความรู้ประมาณ 70-80% แน่นอนว่ากว่าที่ผมจะตัดสินใจลงทุนในบริษัทใดๆอย่างมีความมั่นใจจริงนั้นต้องใช้เวลากว่า 2-3 ปี มันยากมากเลยนะ กว่าที่เราจะเข้าใจสิ่งใดอย่างลึกซึ้ง ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันอย่างไร? จุดแข็งและจุดอ่อนอยู่ตรงไหน? มีความเสี่ยงอะไรแอบแฝงอยู่บ้าง?
........................................

⭕อาชีพนักลงทุนมันยากมากเลยนะ เสมือนเราต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่เสมอ ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคย ต้องตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ไม่มีวันครบถ้วนสมบูรณ์แบบ มันเกิดความผิดพลาดได้เสมอ เราไม่สามารถรอคอยให้รู้ทุกอย่างแล้วค่อยลงทุน มันไม่ประสบความสำเร็จหรอกหากรอให้ทุกสิ่งเฉลยออกมา เพราะราคาหุ้นมันตอบรับข้อมูลทุกอย่าง ซึ่งโอกาสดีๆมันผ่านเข้ามา แล้วก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
........................................

☑️คำถามแรกก่อนคิดที่จะซื้อหุ้นบริษัทใดก็ตาม ซึ่งเป็นคำถามสำคัญมากที่สุดคือ บริษัทนี้มีความสามารถในการแข่งขันหรือไม่? ถ้ามีแล้วมีจุดไหน? มีขนาดไหน? คำถามข้อต่อไปคือ โครงสร้างธุรกิจของบริษัทนั้นสามารถควบคุมชะตาชีวิตตนเองได้หรือไม่? กล่าวคือบริษัทสามารถควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วยตนเองหรือไม่? และสุดท้ายคือผู้บริหารดีหรือไม่? ตั้งใจทำงาน ซื่อสัตย์ ทำเพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น หากบริษัทนั้นๆผ่านเกณฑ์ขั้นต้น 3 ข้อดังกล่าวนี้แล้วเราค่อยไปศึกษาเจาะลึกในส่วนอื่นต่อไป แต่หากไม่ผ่านเรื่องเหล่านี้ ผมจะไม่สนใจเลย คัดทิ้งทันที เสียเวลาเปล่า
........................................

เวลาวิเคราะห์หุ้น อย่าดูแต่เพียงกำไรที่บริษัททำได้ อย่าดูแต่เพียงผลประกอบการ การเติบโตอย่างมีคุณภาพของธุรกิจคือการมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นทุกปีด้วย พูดง่ายๆก็คือ “ยิ่งนานวัน ลูกค้ายิ่งติดใจ” มันคือสิ่งบ่งชี้แนวโน้มของกำไรในอนาคตว่าทิศทางต่อไปจะเป็นอย่างไร อย่าลืมเหลียวมองดูคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันด้วยว่าพวกเขามีอะไรใหม่ๆที่จะเข้ามาทำลายบริษัทของเราไหม? เรื่องของกระแสเงินสดก็สำคัญ ผมชอบบริษัทที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเพื่อขยายกิจการเยอะ ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มแต่สร้างกระแสเงินสดได้มาก กระแสเงินสดนั้นสำคัญกว่ากำไรสุทธิ
........................................

☑️การประเมินตนเองว่าเราประสบความสำเร็จในด้านการตัดสินใจลงทุนหรือไม่นั้นเกณฑ์ชี้วัดมีอยู่ 2 อย่าง คือ เมื่อเวลาผ่านไปบริษัทนั้นเติบโตจริงๆ ด้วยเหตุผลตามที่เราคิดไว้ และผลประกอบการก็มีผลลัพธ์ออกมาตามที่คาดการณ์ แบบนี้คือว่าผ่าน เราคิดถูกทั้งสองด้าน แต่ถ้าเราคิดถูกเพียงข้อใดข้อหนึ่งแบบนี้ถือว่าโชคดี เป็นเรื่องของโชคชะตา ไม่ใช่ความสามารถส่วนตัวทั้งหมด นี่เป็นสิ่งที่เราต้องประเมินและยอมรับ ซึ่งที่ผ่านมาในอดีตผมก็มีทั้งสองอย่างคละเคล้ากันไป
........................................

ผมลงทุนโดยวิธีการศึกษาหุ้นรายตัวเป็นหลัก การจะออกไปลงทุนในต่างประเทศก็ต้องประเมินตนเองให้ดี สำหรับผมคงลำบาก ความสามารถไม่พอ สุดท้ายในอนาคตถ้าจำเป็นต้องไปจริงๆก็อาจลงทุนผ่านกองทุนดัชนี (Passive Fund)
........................................

อนาคตอันใกล้นี้ ผมก็ต้องยอมรับความจริงว่าคงไม่สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดีเท่าในอดีตอีกแล้ว พอร์ตมันใหญ่ขึ้น โอกาสทางการลงทุนก็น้อยลง สำหรับตลาดหุ้นไทยก็ไม่ถึงขนาดว่าจะไม่มีโอกาสไปเสียเลย ยังมีอยู่ 3% ดังที่ผมได้กล่าวถึงไปแล้วในตอนต้น เพียงแต่คุณต้องหามันให้เจอ
...............................................................................

🖊️นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี
........................................

🔗ขอขอบคุณข้อมูลและเนื้อหาบางส่วนจาก ‘Money Chat Thailand’
...
ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 😊
Try to be : Full Time Investor, Reader, Writer, Learner & Cultural observer.
......................................
I have a passion for keeping things simple.
......................................
https://www.facebook.com/Introverted.investor
โพสต์โพสต์