โพสต์
“15 อันดับนักลงทุนไทย ที่ประสบความสำเร็จด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงพื้นฐาน”.................................
โลกแห่งการลงทุนในหุ้นนั้นมีความเชื่อ ความศรัทธา ในวิธีคิด กระบวนการ และหลักการอยู่มากมายหลายแขนง จากการศึกษาเชิงสถิติในทุกๆแนวคิดมีคนล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า มากกว่าคนที่ประสบความสำเร็จอยู่หลายเท่าตัวนัก ประวัติศาสตร์ตลาดทุนทั่วโลกได้ให้ความคิดเห็นไว้ว่า มีกลุ่มคนส่วนน้อยเพียงไม่ถึง 10% เท่านั้นที่จะลงทุนแล้วประสบความสำเร็จ มีกินมีใช้ หรือร่ำรวยมหาศาล เปลี่ยนสถานะทั้งสังคมของตนเองได้ ต่อมาอีก 10% นั้นการลงทุนของคนกลุ่มนี้คือ “ช่วงเวลาที่สูญหาย” ไม่ได้ ไม่เสีย ลงทุนมาอย่างยาวนานแต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกอย่างยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิม ไม่สามารถตักตวงผลประโยชน์อะไรจากตลาดทุนได้เลย ส่วนอีก 80% ที่เหลือ เรื่องราวความล้มเหลวของพวกเขาไม่เคยถูกบันทึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ ค่อยๆจางหายไปอย่างเงียบเชียบตามกาลเวลา.................................
สิ่งที่กล่าวไปข้างต้น มิได้มีเจตนาที่จะบั่นทอนกำลังใจของเหล่านักลงทุนผู้มุ่งมั่นแต่อย่างใด เหตุเพราะทั้งคุณและผมต่างหลงใหลในตลาดหุ้น มีเป้าหมายชีวิตอันมีอัตลักษณ์เฉพาะตน มีความเชื่อและความศรัทธาต่อวิถีทางอันเฉพาะตัว ประเด็นที่อาจฟันธงได้เลย ณ ตอนนี้ว่าเรามีข้อคิดเห็นคล้ายคลึงกันนั่นคือ “เรามีความเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดเป้าหมายของชีวิตในอนาคตระยะยาว” ไม่ว่าจะเป็นความมั่งคั่ง ร่ำรวย พออยู่ พอมี หรือชีวิตที่สมดุลในด้านใดก็ตาม
.................................
ส่วนเหตุผลที่จัดทำบทความนี้ขึ้นมาก็เพื่อเป็นดัชนีชี้วัด แรงกระตุ้น โน้มน้าว หรือไม่ว่าคุณจะนิยามมันว่าอะไรก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าเราน่าจะได้รับประโยชน์บางอย่างอยู่บ้างจากข้อมูลเหล่านี้ อย่างน้อยที่สุดจากข้อมูลดิบดังกล่าวนี้สามารถตอบเราได้บางส่วนว่ากระบวนการลงทุนใดๆ ที่มุ่งเน้นทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับการวิเคราะห์พื้นฐานของกิจการ บริษัท และอุตสาหกรรม อย่างลึกซึ้ง หรือที่เราเรียกว่า “การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน / การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ” คือหลักการหนึ่งที่เราควรยึดถือและใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับมัน หากคุณอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิตการเป็นนักลงทุนหุ้น นั่นเพราะข้อมูลในอดีตได้ชี้วัดแล้วว่า “มีโอกาสสำเร็จมากกว่า” แต่แน่นอน ไม่ว่าคุณจะมีกระบวนการลงทุนในรูปแบบใดก็ตาม ถ้ามันสามารถทำกำไรให้คุณได้ ก็ไม่ว่ากัน จงทำต่อไปในวิถีทางของตนเอง แต่โปรดอย่าละเลยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นที่ถือครองอยู่ อย่างน้อยที่สุดมันจะช่วยเพิ่มความมั่นใจต่อวิถีทางของคุณเอง
.................................
“เราจะลงทุนให้ดีได้อย่างไร ในเมื่อหุ้นที่ถือครองอยู่ เรายังไม่รู้เลยว่าเขาทำมาหากินอะไรกัน” ซึ่งจะรู้ก็ต่อเมื่อได้เริ่มต้นกระบวนการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงพื้นฐาน จากการสืบค้นข้อมูลการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยย้อนกลับไปประมาณ 300 – 400 ราย จากนั้นตัดรายชื่อบุคคลที่ร่ำรวยจากการถือหุ้นในบริษัทของตัวเองออกไป เพราะนิยามของพวกเขาคือนักธุรกิจ (แน่นอนว่าเชี่ยวชาญการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเช่นกัน จึงนำพาธุรกิจของตนเองมาได้ไกลขนาดนี้) รายชื่อที่หลงเหลืออยู่เราจะพบเห็นบุคคลที่ ณ ปัจจุบัน เรียกได้เต็มปากว่าพวกเขาคือ “นักลงทุนหุ้น” อยู่ 15 คน บางคนอาจสร้างฐานะจากการมีธุรกิจส่วนตัวมาก่อน แต่ผมคิดเห็นว่าวิถีชีวิตและการแบ่งเวลาส่วนใหญ่ของพวกเขาในปัจจุบันน่าจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการเป็นนักลงทุนในหุ้นมากพอสมควร จนสามารถต่อยอดความมั่งคั่งมาได้ไกลอย่างที่เป็นอยู่ และดำรงชีวิตด้วยเงินปันผลจากหุ้นเป็นรายได้หลัก..........................
ขออนุญาตเพิ่มเติมเกร็ดความรู้ ที่ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้อีกนิดหน่อย เราจะสังเกตได้ว่าจากรายชื่อ “นักลงทุนหุ้นซึ่งร่ำรวยมากที่สุดในประเทศไทย” (วัดจากขนาดของพอร์ตการลงทุน ณ ปัจจุบัน) ทั้งหมด 15 รายนั้น เกินครึ่งหรือไม่ต่ำกว่า 10 ราย อาจเรียกได้ว่าพวกเขาเป็นนักลงทุนวีไอ (Value Investor) และเป็นสมาชิกในสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ “THAI VI” ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง อาจมีรายชื่อตกหล่นไปบ้าง แต่นี่คือข้อมูลที่เราสามารถสืบค้น พิสูจน์และยืนยันได้จริง.................................
ข้อมูลดังกล่าวนี้เป็นการคำนวณมูลค่าพอร์ตการลงทุนของแต่ละบุคคลเฉพาะการถือครองหุ้นไทย ที่มีรายชื่อติดอันดับเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 รายแรกของบริษัทนั้นๆ เท่านั้น ซึ่งข้อมูลจะปรากฏต่อสาธารณะชัดเจน ตรวจสอบได้ ไม่นับรวมการถือครองหุ้นอื่นที่ไม่ติดอันดับ ไม่นับรวมหุ้นต่างประเทศ การถือหน่วยลงทุนผ่านกองทุน การถือหุ้นผ่านครอบครัว สามี ภรรยา และบุตร หรือในชื่อบุคคลอื่น และไม่นับรวมสินทรัพย์นอกตลาด หรือสินทรัพย์อื่นนอกเหนือไปจากหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย.................................
เราอาจสรุปอย่างหยาบๆ เบื้องต้นได้ว่านักลงทุนหุ้นไทยที่ประสบความสำเร็จในเชิงความมั่งคั่งของสินทรัพย์ที่มีหลักฐานยืนยัน สามารถตรวจสอบเส้นทางและประวัติย้อนหลังอย่างประจักษ์ชัดเจนได้นั้น ส่วนใหญ่มีแนวคิด หลักการ และกระบวนการอันมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงคุณภาพ รวมไปถึงแนวคิด “การลงทุนแบบเน้นคุณค่า” (Value Investing) ซึ่งมีแก่นสาระสำคัญคือ “การลงทุนในหุ้นให้เหมือนการทำธุรกิจ ร่วมเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของกิจการ” ถูกพิสูจน์แล้วว่ามีความเป็นไปได้จริง และมีอัตราของโอกาสที่จะประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง
.................................
แน่นอนว่าการประสบความสำเร็จในโลกแห่งการลงทุนต้องอาศัยปัจจัยอื่นอีกมากมาย รวมถึงจังหวะ บริบทชีวิต และโชคชะตา อีกทั้งการลงทุนแบบเน้นคุณค่าไม่ใช่เส้นทางเดียวที่คุณจะสามารถเดินตามรอยเท้าไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ บทสรุปอาจเป็นเพียงแค่ “จะลงทุนในแนวทางไหนก็ได้ ขอให้อยู่รอด และมีกำไรก็เพียงพอ” ก็สุดแล้วแต่จริตส่วนตน และความเชื่อมั่นในแนวทางที่คุณคัดสรรแล้วว่าเหมาะสมกับตัวตนอันแท้จริงของคุณเอง วัตถุประสงค์ของบทความนี้อาจเป็นเพียงแค่การที่นักลงทุนมือใหม่ซึ่งมีโอกาสได้ผ่านทางมาพบเห็น จะมีโอกาสทำความรู้จัก เริ่มต้นเรียนรู้จากประสบการณ์ของบุคคลที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ไม่ใช่การเรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้จากใครก็ไม่ทราบที่สถาปนาตนเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งพิสูจน์ทราบอะไรไม่ได้เลย
.................................
☑นักลงทุนมือใหม่ อาจลองเริ่มต้นจากการจดบันทึกชื่อของกลุ่มคนเหล่านี้ใส่สมุด สืบค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการลงทุนของพวกเขา ค้นหาบทความ หนังสือ บทสัมภาษณ์ การแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องราวต่างๆ การเรียนรู้ผ่านหนังสือดีๆสักเล่ม และการเรียนรู้ผ่านแนวคิด ประสบการณ์ของคนที่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางเดียวกับคุณ ล้วนเป็นหลักสูตรการเรียนรู้ราคาย่อมเยา อันมีคุณค่ามหาศาล ที่สามารถต่อยอดไปสู่สิ่งดีๆอีกมากมายในชีวิต การเริ่มต้นกลัดกระดุมเม็ดแรก ไม่ควรกลัดผิดทิศผิดทาง เราคงรอดปลอดภัย
..................................................................
ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ
บันทึกไม่สำเร็จ