ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Peter1011
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 325
ผู้ติดตาม: 109

ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

โพสต์ที่ 1

โพสต์

จากที่เคยได้ยินคนอื่นบ่นแล้วไม่เชื่อ จนต้องมาเจอกับตนเอง การลงทุนที่เน้นคุณค่าในไทยมันคงจะจบที่รุ่นของผมครับ

อย่างแรก ผมขอแยกตลาดไทยเป็นสองฝั่ง ฝั่งที่ efficient และฝั่งที่ไม่ใช่ โดยผมสังเกตมานานแล้วว่าฝั่งที่ efficient จะมีราคาที่สะท้อนอนาคตไปแล้วและไม่สามารถทำผลตอบแทนได้อย่างตำ่ 7% ต่อปี เช่น
(1) หุ้นที่ P/E ตำ่ yield สูง: ทั้งหมดเป็นหุ้นคอมโมหรือหุ้นที่มีกำไรมีปันผลชั่วคราว ซื้อไปแล้วขาดทุนแน่นอน ราคาจะลงก่อน แล้วผลประกอบการลดปันผลก็จะลดตาม
(2) หุ้นที่มีคุณภาพดี: เช่นแบรนด์เก่าแก่ หุ้นมี moat มีของติดตลาดมายาวนาน พวกนี้มักมี P/E ที่เป็น 1X-2X และมี P/B ที่สูงกว่า 2 ปันผลก็อย่างมาก 4.5-5%
(3) หุ้นถูกเรื้อรัง: บางตัวราคาสะท้อนไปแล้วว่าเป็นตะวันตกดิน แต่ก็ยังมีบางตัวที่ยังทำกำไรได้ดี แต่ทำไมราคาไม่ไป นั่นก็เพราะว่า มี FF ตำ่ มีผถห.ใหญ่คุมอยู่ และมักจะมีนโยบายการจ่ายปันผลที่น้อยมาก (โดยที่จะเอื้อประโยชน์แก่ผู้บริหารซึ่งก็มักจะเป็นเจ้าของหรือผู้ก่อตั้ง ที่มีสัดส่วนการถือหุ้นที่มากกว่า 50%) หุ้นพวกนี้มักจะมีบริษัทย่อยที่ "ชอบมีปัญหา" แต่ก็ยังปล่อยกู้ให้พวกนี้อีก พอเป็นแบบนี้ราคาก็เลยสะท้อนไปแล้ว หุ้นกลุ่มนี้รวมไปถึงหุ้น asset play ด้วยครับที่เจ้อของไม่ยอมขายซักที ที่น่าตกใจคือมีบางกลุ่มที่ไปลงทุนในหุ้นพวกนี้ แช่งให้เจ้าของหรือผู้ก่อตั้งตายเร็วๆเพื่อที่จะให้ unlock asset ออกมาโดยรุ่นลูกหรือทายาท

กลุ่ม (1) และ (2) เวลาทำ conservative valuation (DCF) จะไม่มี margin of safety เหลือ ส่วนกลุ่ม (3) ทำไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะราคามันคงไม่ไปไหน ผมเคยเอาหุ้นกลุ่มที่ (3) ไปคุยกับหลายๆคน ก็จะได้คำตอบประมาณว่า
(a) สภาพคล่องมันไม่มี ระวังจะขายออกมาไม่ได้
(b) หุ้นนี้เจ้าของไม่มีทางจ่ายปันผลออกมาง่ายๆหรอก
(c) จะไปสู้กับเสียงของทางเจ้าของได้อย่างไร มัน unlock value ไม่ได้หรอก
(d) อย่าเสียเวลากับบริษัทพวกนี้ ไปหาหุ้น growth ดีกว่า (ที่เต็มมูลค่าไปแล้ว)

คราวนี้ก็ฝั่งที่ inefficient กันบ้าง อย่าหวังว่าหุ้นกลุ่มนี้จะถูก มันไม่มีหรอกครับ
(1) หุ้นปั่น พวกตัวเล็กและกลางทั้งหลาย
(2) หุ้นอาศัย story เหมือนว่าจะดีทำให้ P/E P/B สูงลิบลิ่ว แต่ก็สะดุดล้มจนได้ ช่วงปี 2015-22 มีอยู่ตั้งหลายกลุ่ม ลองไปดูครับ
(3) หุ้นที่มีคุณภาพดี แต่ดันโดน corner เช่น xOx, xH, xxxxL, xxLxx, xxLx, xxxxT, xxT, etc. บางตัวเป็นตัวคุมดัชนี

สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ ผมคาดว่า
(1) มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาดมากขึ้นทั้ง VI (สังเกตจากงานที่มีคนจองอย่างล้นหลาม) และสายอื่น และแต่ละคนก็เก่งมาก ทำการบ้านมาอย่างดี
(2) ในขณะที่จำนวนหุ้นที่มีคุณภาพลดลงจากที่ประชากรไทยมีแนวโน้มที่จะลดลง เศรษฐกิจไทยไปต่อไม่ได้เนื่องจากไม่มี innovative products ที่จะไปแข่งกับชาติอื่นได้ แบบนี้มันทำให้เหมือนกับว่าหุ้นมันเป็นทรัพยากรจำกัดที่มีคนหลายๆคนกำลังแย่งกันอยู่

ดูสภาพโดยรวมแล้วคงจะถือยาวไม่ได้ คงจะต้องเล่นเก็งกำไรอย่างเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่อยากพูดอยู่ด้านเดียว ก็อยากจะเรียนเชิญท่านอื่นๆมา พูดคุย แลกเปลี่ยน โต้แย้ง ถกประเด็น กันครับ
Was der Onkel Charlie sagt, das soll man immer tun!
ภาพประจำตัวสมาชิก
ส.สลึง
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3779
ผู้ติดตาม: 75

Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ไม่รู้เหมือนกันครับ
เพราะผมไม่เก่ง
และดูเทรนด์อะไรไม่ออก

แต่จากประสบการณ์
หลายครั้งที่มีอาการ...
คล้ายจะจนแต้ม หรือ มืดแปดด้าน

ผมมักจะเจอหุ้นที่มัน mispriced ได้เรื่อยๆ
"วิถีรักษ์โลก บ้าน 1 หลัง รถ 1 คัน สาว 1 คน กางเกงใน 1 ตัว" <⁠(⁠ ̄⁠︶⁠ ̄⁠)⁠> ...
Bankun
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 15
ผู้ติดตาม: 3

Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

โพสต์ที่ 3

โพสต์

คิดว่าจริง เพราะคนรุ่นใหม่มีค่านิยมรวยเร็วไม่ทำงานชอบเล่นโซเชียล
ทำให้ความรู้หาง่าย ทันกันหมด เชิงลึกไม่ต้องวิเคราะห์เอง มีผู้เก่งกว่าทำงานวิเคราะห์แข่งกันในหุ้นตัวเดียว เอามาเทียบได้
การถือนานกำไรหายหรือขาดทุนได้ ทั้งที่บริษัทยังโตตามที่ผบห.บอก เพราะราคาสะท้อนเร็วกว่า ตามด้วย premium จาก AI Trade
ดังนั้น VI เด้งเดียวก็อาจจะเก็บร้าน รอตลาด Y เข้าไปใหม่ มันก็กลายเป็น Trader ระยะกลาง+ยาวไป บางที SAP ก็โดนปาของใส่
ต้องเก็บแพงกว่าทุนเดิม เพราะกว่าจะเลือกบริษัทหนึ่งๆได้ มันยากกว่าเดิมมาก

แนวโน้ม VI รุ่นใหม่คงวิ่งไปที่หุ้น IPO ขนาดเล็ก กลาง โดยดู 5 force model (อยากเป็นเจ้าของกิจการเปลี่ยนชีวิต)
เก็บหลายตัวลดความเสียว ฟลุ๊กได้เยอะก็ใส่ลงไปหุ้นโบราณ(โต้ช้าแข็งแกร่ง)ประกันความเสี่ยงกันไป ซึ่งก็ต้องรอวิกฤตอีก

ส่วนตัวคิดว่าประเทศจะไปได้ไกลๆ คนทำงานและสะสมหุ้นต้องมากๆ คนเทรดฟูลไทม์ต้องน้อยๆ
ประเทศบนเขามีแต่พระคนทำงานไม่มี จนพระต้องมาปลูกข้าวเอง
ประเทศมีแต่คนเล่นเกมส์การเงิน ไม่มีคนทำผลผลิต วันหนึ่งคงต้องไปเทรดหุ้นตปท.กันหมด
ภาพประจำตัวสมาชิก
Peter1011
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 325
ผู้ติดตาม: 109

Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

โพสต์ที่ 4

โพสต์

Bankun เขียน:
พฤหัสฯ. มี.ค. 23, 2023 5:08 pm
คิดว่าจริง เพราะคนรุ่นใหม่มีค่านิยมรวยเร็วไม่ทำงานชอบเล่นโซเชียล
ตอนแรกผมจะเขียนแบบนี้แล้ว แต่ไม่กล้ากลัวโดนทัวร์ลง ผมเห็นคนรุ่นใหม่หลายๆคนแต่ไม่ใช่ทั้งหมด มีเงินจากพ่อแม่เอามาเล่นหุ้นหรือลงทุนแช่ยาวแล้วไม่ทำงานหวังกินเงินปันผล ส่งผลกระทบต่อ real sector อย่างยิ่ง

ใครเคยดู series อังกฤษ ที่ย้อนกลับไปในช่วง พ.ศ. 2470-80 เช่น Poirot Jeeves and Wooster และ Downton Abbey ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่มีชีวิตที่ดี แต่ไม่ได้ทำงาน แล้วเงินมาจากไหนหล่ะ? ก็เงินลงทุนและมรดกทั้งนั้น นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อังกฤษหมดความเป็นมหาอำนาจแล้วโดนอเมริกาแซง
Bankun เขียน:
พฤหัสฯ. มี.ค. 23, 2023 5:08 pm
เก็บหลายตัวลดความเสียว ฟลุ๊กได้เยอะก็ใส่ลงไปหุ้นโบราณ(โต้ช้าแข็งแกร่ง)ประกันความเสี่ยงกันไป ซึ่งก็ต้องรอวิกฤตอีก
แล้วก็ทำให้หุ้นพวกนี้ราคาเต็ม ผลตอบแทนตำ่มาก
Was der Onkel Charlie sagt, das soll man immer tun!
ภาพประจำตัวสมาชิก
Natty-9656
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 70
ผู้ติดตาม: 53

Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ทุกวันนี้สิ่งที่สังเกตได้ง่ายๆคือหุ้น IPO ราคากระฉูดมาเหมือนคนเล่นเส้นจองได้ถือไว้รอขาย แล้วราคามันก็ค่อยๆเทมา บางทีก็เอาเงินมาปันผลใหม่มาปันผลผู้ถือหุ้นเดิม( ดูเป็นแบบนั้น )ทั้งๆที่เหตุผลหลักในการเข้าตลาดหุ้นควรเป็นการระดมทุนเพื่อไปจ่ายหนี้และเพื่อขยายกิจการ
ประโยชน์ที่ผู้ถือหุ้นเดิม( และกรรมการ )พึงได้รับคืออย่ามาหวังกับราคาหุ้นที่จะขายไป แต่ให้ไปหวังที่กิจการดีและได้ปันผล บริษัทเติบโตมีมูลค่า

บางครั้งสงสัยว่าไปซื้อหุ้นแม่เพื่อจะไปจองซื้อหุ้นลูกกันใช่ไหม
ทุกวันนี้คิดว่าหุ้น 10 เด้งไม่มีแล้วแต่หุ้น 2 เด้งยังพอมีค่ะ( ความเชื่อส่วนบุคคล ) ทางเลือกเดียวที่มีคือขยันต่อไป หุ้นไทยไม่มีก็หาหุ้นที่อื่นเอาค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Peter1011
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 325
ผู้ติดตาม: 109

Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

โพสต์ที่ 6

โพสต์

Peter1011 เขียน:
พุธ มี.ค. 15, 2023 5:34 pm
สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ ผมคาดว่า
(1) มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาดมากขึ้นทั้ง VI (สังเกตจากงานที่มีคนจองอย่างล้นหลาม) และสายอื่น และแต่ละคนก็เก่งมาก ทำการบ้านมาอย่างดี
(2) ในขณะที่จำนวนหุ้นที่มีคุณภาพลดลงจากที่ประชากรไทยมีแนวโน้มที่จะลดลง เศรษฐกิจไทยไปต่อไม่ได้เนื่องจากไม่มี innovative products ที่จะไปแข่งกับชาติอื่นได้ แบบนี้มันทำให้เหมือนกับว่าหุ้นมันเป็นทรัพยากรจำกัดที่มีคนหลายๆคนกำลังแย่งกันอยู่
ขอเสริมต่อครับ สำหรับสาเหตุ หรือ สิ่งที่บ่งบอก เรื่องแบบนี้ ที่เขียนมาเอามาจากสิ่งที่เห็นและพบเจอ ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่ามันก็ยังจะไม่เหมือนกับสิ่งที่คนอื่นเห็น:

(1 ต่อ) รวมถึงข้อมูลดิบที่หาได้อย่างง่ายดาย ทุกอย่างถูกวิเคราะห์ด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ ทั้งงบ ข้อมูลบริษัท ข่าว IR และยังมีเพจการลงทุนที่เกิดใหม่นับไม่ถ้วนที่นำเสนอข้อมูลที่หลากหลาย

VI รุ่นใหม่นั้นเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน และที่สำคัญ รอบรู้ ตอนผมไปในงานสังสรรค์ ได้ลองไปแอบฟังหลายๆคนพูดกัน ผมทึ่งจริงๆ แต่ละคนรู้ลึกมาก โดยเฉพาะข้อมูลแนวโน้มอุตสาหกรรมต่างๆที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน ถ้าให้ไปแข่งลงทุนผมคงถูกคัดตกรอบก่อนที่จะเข้าไปแข่งอีก

(2 ต่อ) ในช่วงผ่านๆมาที่เศรษฐกิจดี เงินไหลมาเทมา ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้มีการนำกลับไปพัฒนาสร้าง innovation ใหม่ๆ (ไม่งั้นเราก็คงได้เห็น technology ของไทยที่ดังไปทั่วโลกแล้ว) ที่เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของไทย แต่ถูกนำไปเก็บไม่ว่าจะเป็นเงินออม กองทุน หุ้นกู้ หุ้น ทำให้เงินล้นระบบ สิ่งนี้ได้ทำให้มูลค่าของหุ้นไทยได้แพงขึ้นและเร็วกว่าอัตราการโตของคุณภาพหุ้นนั้นๆ

ยิ่งพวกพันธบัตร หุ้นกู้ หุ้น IPO ที่ขายหมดอย่างรวดเร็ว เพราะในสภาวะเงินล้นตลาด ดอกเบี้ยต่ำ (Did you know? หุ้นกู้ส่งผลส่วนหนึ่งให้กำไรแบงค์ไม่โต ก็เพราะว่าแทนที่บริษัทพวกนี้จะไปกู้แบงค์ซึ่งมีดอกเบี้ยที่สูงกว่า ก็มากู้พวกเราไงหล่ะที่มีดอกเบี้ยตำ่กว่า พวกเรามิหนำซำ้ยังโดน management fee ของกองทุน fixed income อีกด้วยทำให้ผลตอบแทนตำ่ลงไปอีก มีต่อข้างล่าง...) ก็เป็นปกติที่ทั้ง กองทุน รายใหญ่ นักลงทุน และ รายย่อย จะแย่งของกัน

(3) มีผลิตภัณท์ทางการเงินใหม่ๆที่มีความซับซ้อนเกิดขึ้น เช่น structure note, unit link, trigger fund ที่บางคนอาจจะไปลงทุนตามการชักชวนของพนักงานแบงค์โดยที่มองแต่ผลตอบแทนอย่างเดียว

ผมมองว่า การที่มีผลิตภัณท์ที่มีลูกเล่นซับซ้อนอาจบ่งบอกถึง ผลตอบแทนปัจจุบันในตลาดที่ตำ่มาก

(4) มีหนังสือที่เกี่ยวกับ VI และการลงทุน ออกมามากมายทำให้คนรู้จักมันเยอะมากขึ้น และติดภาพว่า การลงทุนแบบ VI นั้นจะทำให้มีอิสรภาพทางการเงิน หรือพูดง่ายๆว่า "รวยขึ้น" แต่การที่คนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นนั้นใช้วิธีลงทุนแบบ VI มันก็จะทำให้ผลตอบแทนนั้นตำ่ลง ไม่งั้นทุกคนก็คงจะรวยกันหมดแล้ว

(5) การปั่นสตอรี่ในตลาดหุ้นที่มีอยู่มากมาย รวมถึงบนเวปนี้ด้วย หลอกลวงคนที่ไม่ยอมทำการบ้าน หรือ ทำการบ้านไม่เต็มที่ ไปติดดอยหุ้นที่ "หุ้น growth ปลอม" รวมถึงการใช้เส้นสาย เล่นพรรคเล่นพวก ในการ corner หุ้น big cap หลายๆตัว ทำให้สภาพตลาดหุ้นไทยไม่ต่างไปจากบ่อน

(6) ผมไม่อยากเขียนข้อนี้ครับ เพราะมันค่อนข้างแรง

(ต่อเรื่องหุ้นกู้) มีบริษัทหนึ่ง (ไม่ใช่สายการบิน) ที่ออกหุ้นกู้ มีเรทติ้ง A+ investment grade แต่ดันมีความเสี่ยงมากกว่าหุ้นกู้บางตัวอีกที่มีเรทติ้งตำ่กว่า บริษัทนี้ชอบขาดทุนอยู่บ่อยครั้งจนขาดทุนสะสม ทั้งๆที่บริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันไม่มีขาดทุนสะสม บริษัทนี้อยู่ได้ด้วยการ roll-over หุ้นกู้ไปเรื่อยๆโดยมีสภาพไม่ต่างจากแชร์ลูกโซ่ ถ้าดอกขึ้นแล้วบริษัทไม่สามารถออกหุ้นกู้ หรือจ่ายดอกเบี้ยต่อไปได้ ก็จะเจ๊ง
Was der Onkel Charlie sagt, das soll man immer tun!
ภาพประจำตัวสมาชิก
Peter1011
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 325
ผู้ติดตาม: 109

Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

โพสต์ที่ 7

โพสต์

นี่คือข้อ (6) ครับ

SET index หากไม่รวมหุ้น DELTA ที่ถูก corner ควรที่จะอยู่แถวๆ 1328.91

แล้วมันถูกหรือยัง?
ผมกล้าตอบได้เลยว่า ไม่

จะยังไงก็ตาม ดัชนี SET นั้น ยังบิดเบือนจากมูลค่าที่แท้จริงอย่างมหาศาล เนื่องจากว่ายังมีหุ้น SET50 อีกหลายๆตัวที่โดน corner แต่ยังไม่ได้ตัดมูลค่าส่วนเกินออก เช่น

xOx
xPxxx
xxN
xxC
xxLx

ผมเคยเห็นหุ้นอย่าง xGxxx xA xxxC xxxRx xMx ที่ถูกลากราคาไปสูงลิ่ว แล้วตกลงมาเพราะราคาไม่สะท้อนความจริง

แล้วมันจะลงต่อไปมั้ย?
ผมกล้าตอบได้เลยว่า ไม่รู้

มันอาจจะอยู่ตรงนี้ไปอีกหลายๆปี หรือเด้งกลับก็ได้ ใครจะไปรู้หล่ะ แต่ถ้าผมรู้ผมก็คงไม่บอกหรอก ไม่อยากทุบหม้อข้าวตัวเอง

ผมได้ยินศัพท์ที่นลท.ฝรั่งเค้าใช้กันเวลาหุ้นตกหนักๆ คือคำว่า correction ซึ่งหมายความว่า "the action or process of correcting something" ถ้าถูกนำมาใช้กับตลาดหุ้นนั้นก็หมายความว่า ตลาดกำลังปรับตนเองเข้าสู่สภาพที่เหมาะสม ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากมูลค่าของตลาดหุ้นวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็วไปถึงจุดที่ "ไม่สมดุลมาก" กล่าวคือ ราคาสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง (intrinsic value)

จากที่ผมอยู่ในตลาดหุ้นมาได้พักหนึ่ง ผมได้เรียนรู้ว่าจุดสมดุลของตลาดหุ้นนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ราคากับมูลค่าที่แท้จริง แต่มีตัวแปรอื่นๆที่สำคัญด้วยเช่น

(1) จำนวนผู้เข้าร่วม (ผู้เข้าร่วม = นักลงทุน นักเก็งกำไร)
(2) ความรู้ ความรวดเร็ว ความรอบคอบ และความอดทนของผู้เข้าร่วม
(3) การปฏิบัติตัวของผู้เข้าร่วม (เช่น VIถือยาว, VIถือสั้น, VIเล่นรอบ, เทคนิก, herding, passive indexing, etc.)
(4) เวลา

แต่ก็ยังมีตัวแปรอื่นๆอีกมากมายที่ผมยังไม่ได้กล่าวหรือรับรู้

(เดี๋ยวจะมีต่อครับ)
Was der Onkel Charlie sagt, das soll man immer tun!
ภาพประจำตัวสมาชิก
Peter1011
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 325
ผู้ติดตาม: 109

Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ผมอยากจะย้ำอีกทีว่าหลายปีที่ผ่านมาตลาดอยู่ในช่วงที่ "ไม่สมดุลมาก" เห็นได้จากหลายอย่างเช่น มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมากเพื่อหวังที่จะ "รวย" เหมือนนักลงทุนรุ่นก่อนๆ ในขณะที่เศรษฐกิจที่ไม่ค่อยจะเติบโต ทำให้ราคาหุ้นที่แพงเกินความเป็นจริง และผลตอบแทนที่ดีก็ไม่เหลือให้เห็น เพราะทุกคนแย่งมันไปหมดแล้ว

การแย่งกันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในตัวของหุ้นแต่เป็น ที่นั่งสัมมนา/ที่นั่ง company visit/ที่นั่ง investor talk/หนังสือ limited edition ที่หมดอย่างรวดเร็ว ส่วนงานครบรอบที่ผมไปมา ผมผิดหวังอย่างมาก เนื่องจากเหมือนชุมชนแออัดแถมยังเลือกที่นั่งไม่ได้อีก ผมคงไม่อยากจะไปอีกแล้ว

รูปภาพ


ลองไปดูกราฟสมาชิกใหม่ข้างบนครับ จะได้เห็นเป็นภาพ

ในสภาวะที่บริษัทในตลาดหุ้นส่วนใหญ่โตต่อไปไม่ได้แล้ว ก็อาจจะยังมีบริษัทเล็ก-กลางบางตัวที่ยังโตได้อยู่ เนื่องจากว่ายังมีช่องว่างใน "TAM" ที่ยังทำให้ขยายรายได้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทกลุ่มนี้มีจำนวนค่อนข้างจะน้อย แต่มีนักลงทุนจำนวนมากที่รอหาหุ้น "super stock" ตัวถัดไป ทำให้เกิดการแย่งทรัพยากรณ์กัน แต่มันยังไม่จบแค่นี้ บางคนไม่ทำการบ้านแล้วตามไปก็มี (แล้วก็ยังทำ capital gain ได้อีก) บางคนที่ทำการบ้านมาแล้วรู้ว่าหุ้นแพงไม่สมเหตุสมผลก็มี แต่ก็ยังตามๆคนอื่นไปเนื่องจากกลัวไม่ได้กำไรอยู่คนเดียวในขณะที่คนอื่นได้ บางคนทำการบ้านแล้ว มี insight มากก็อัดไปเต็มที่เพราะเชื่อว่าหุ้นตัวนี้จะขึ้นไปอีกหลายเด้ง บางคนเห็นว่าบริษัทกลุ่มนี้ทำ return ได้ดี ก็ย้ายมาจากหุ้นตัวอื่น เหตุนี้จึงทำให้เกิดเป็น double effect ราคาวิ่งสูงแล้วสูงอีก

ช่องทางและข่าวสารทางการลงทุนมีมากมายจนอยู่ในระดับที่ "เฟ้อ" ในช่วงสามปีที่ผ่านมา มีเพจ facebook substack medium รวมถึงช่อง youtube กลุ่ม discord line ที่ผุดขึ้นเป็นจำนวนมากอย่างกับดอกเห็ด ทุกที่มีส่วนทำให้ข้อมูลลื่นไหลอย่างรวดเร็ว และทำให้นักลงทุนหลายๆคนเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถลงทุนได้ง่ายๆโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่บางคนที่มีความรู้น้อยนิดก็มาเปิดเพจลงทุนของตนเอง พวกนี้บางรอบไม่รู้มากแต่ทำเป็นรู้มาก ทำให้เกิดข้อมูลผิดๆขึ้นมาด้วย

อีกสิ่งหนึ่งคือการ repetition ที่ตอกย้ำ ยกตัวอย่างเช่นหุ้น xxxxRx xxxPx xx ที่เป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุน ก็จะมีคนพูดถึงเป็นจำนวนมาก ทั้งเพจต่างๆหรือช่อง youtube ที่พูดถึง ทำให้เกิดการย้ำอย่างต่อเนื่อง สร้าง illusion เกินความเป็นจริง

และส่วนใหญ่ข้อมูลก็จะอยู่ในแง่ดี หลายต่อหลายคน ยอมรับข้อมูลด้านตรงข้ามไม่ได้ ผม (และมีตัวอย่างจากสิ่งที่คุณ AnieLee เคยโดนที่นี่ viewtopic.php?f=1&t=63575&p=1974815#p1974815) เคยทดลองให้ข้อมูลในแง่ลบในบางเพจ หรือบางกระทู้ ก็จะโดนโจมตีอย่างหนัก ผมรู้สึกได้เลยว่าผมกลายเป็นตัวประหลาดที่ไม่มีที่ยืนในสังคม ความรู้สึกนี้มันเป็นแรงผลักให้นักลงทุนบางคนคล้อยตามไปตามคนส่วนใหญ่ไปติดดอยหุ้นยอดนิยมหลายๆตัว

เมื่อสองปีก่อนมีกรณีของหุ้นสองตัวที่ทำธุรกิจคล้ายกัน (xxC และ xxS) ผบห. ของบริษัทแรกไม่ค่อยจะทำอะไร บริษัทก็ย่ำอยู่กับที่ ไม่โต ส่วนบริษัทสอง ผบห. ทำทุกอย่างให้บริษัทโตและมีผลงานให้เห็นได้ชัด ในกลุ่มนักลงทุนกลุ่มหนึ่ง ผมเคยพูดถึงหุ้นตัวแรกก็โดนรุมต่อว่า ว่าผบห. ห่วยไม่เคยเอาใจใส่ผู้ถือหุ้น แล้วก็ "แนะนำ" กึ่งๆไล่ให้ไปดูบริษัทที่สอง พอผมเห็นราคาบริษัทที่สองผมก็ไม่สนใจ เพราะราคาแพงเกินความเป็นจริง ผมก็กังวลเหมือนกันแหละครับ แต่ก็ตัดสินใจอยู่กับหุ้นตัวแรกต่อไป ณ ตอนนี้ ถ้าหากผมอยู่กับหุ้นตัวที่สอง ผมจะขาดทุนถึง 50%

(เดี๋ยวมีต่อครับ)
Was der Onkel Charlie sagt, das soll man immer tun!
Factor_9
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 412
ผู้ติดตาม: 0

Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ตลาดไม่ไปต่อ น่าจะดีไม่ใช่หรือครับ
ทำให้เรามีโอกาสเก็บหุ้นดีๆเพิ่ม รับปันผลเพิ่มครับ
stay calm stay invest
ภาพประจำตัวสมาชิก
Peter1011
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 325
ผู้ติดตาม: 109

Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ในเมื่อเกิด "ความไม่สมดุล" มันก็จะมีแรงดึงกลับสู่ความสมดุล แต่แรงดึงกลับมันก็แรงพอสมควร ทำให้สภาพของตลาดวิ่งเข้าสู่ "ความไม่สมดุล" ที่อยู่ตรงกันข้ามในขณะที่ช่วงเวลาของ "ความสมดุล" ของสภาพตลาดมีเวลาอันสั้น เหมือนที่ Howard Mark เคยเปรียบเทียบสภาพตลาดหุ้นกับลูกตุ้ม pendulum

Screenshot 2023-10-24 at 16.16.32.png

แต่การเปรียบเทียบอย่างนี้มันง่ายเกินไป ถ้าใครเคยเรียน mechanics ก็จะรู้ว่าสมการ pendulum มี 5 ตัวแปรและ constants (m, g, θ, L, t) แต่ในความเป็นจริงแล้ว สมการ pendulum สไตล์ตลาดหุ้นนี้ มีตัวแปรเป็นล้านล้านตัวแปร กล่าวคือลูกตุ้ม pendulum นั้นถูก external force รบกวน (perturbation) อยู่ตลอดเวลา แล้วไอ้ตัว perturbation นี่แหล่ะที่ทำให้สมการ pendulum นี้มีหลายล้านตัวแปร เอาหล่ะทุกคนคงงงกับสิ่งที่ผมเขียนมา ผมพูดง่ายๆละกันว่า ลูกตุ้ม pendulum แบบนี้มันคาดเดาไม่ได้ เพราะฉะนั้นการคาดเดาตลาดหุ้นให้ถูกต้องนั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้

ผมต้องการสื่อว่าอะไร?

ถ้าผมลองพูดว่าหุ้นตัวนี้ ณ จุดนี้ยังเกินมูลค่าที่แท้จริงอยู่หุ้นจะลง แม้ว่าการเกินมูลค่าเป็นความจริง แต่หุ้นได้เด้งกลับไปจุดที่สูงกว่ามาก ในกรณีนี้ผมคาดเดาผิดแม้ว่าผมจะใช้เหตุผลที่ถูกต้องครบถ้วน ดังนั้น แม้ว่าผมจะออกมาพูดว่าตลาดหุ้นยังมี valuation ที่แพงอยู่ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าตลาดหุ้นจะลงต่อไป ดังนั้นอย่าเชื่อเวลามีคนออกมาบอกว่า SET จะไปนู่นนี่นั่น รวมถึงผมเองด้วย

ผมเคยพูดไว้ว่าเงินในระบบมีอยู่มหาศาล เงินก้อนนี้เป็นอดออมของคนรุ่นก่อนๆ โดยเฉพาะกลุ่ม baby boomers แล้วถูกนำมาลงทุนในตลาดหุ้น หุ้นกู้ กองทุน พันธบัตรรัฐบาล crypto โดยคนกลุ่มนี้เองหรือลูกหลาน ซึ่งไม่ได้ถูกนำไปพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้เกิดการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่มันยังมีอีกเรื่องที่น่ากังวลใจอยู่คือการช้อนซื้อเมื่อหุ้นตก

ในเมื่อมีเงินอยู่ในระบบมากกอปรกับจำนวนนักลงทุนที่มหาศาล ทำให้มีโอกาสสูงที่จะมีคนช้อนซื้อเวลาหุ้นตก ถ้าหากมีการช้อนซื้อมาก นั่นก็จะทำให้หุ้นเด้งกลับ valuation ก็จะยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งนั่นก็เป็นสภาพ "ส่วนใหญ่" ของตลาดหุ้นไทยที่ไม่ไปไหนมาสิบกว่าปีและยังไม่มีความน่าสนใจในเชิงของมูลค่าอีกด้วย ตราบใดก็ตามที่คนส่วนใหญ่ยังรอช้อนอยู่

แล้วโอกาสที่จะได้เห็นตลาดหุ้นไทยมีโอกาสกลับมาอยู่ในระดับที่ถูกจะมีหรือไม่? มันเป็นไปได้ครับ แต่โอกาสมากน้อยแค่ไหนผมไม่รู้หรอก

มีตัวอย่างที่ตลาดหุ้นฮ่องกงที่กำลังตกตำ่มาสองสามปีแล้ว หุ้นดีๆที่ถูกแล้วมีถูกกว่าอีก แม้ว่าตลาดหุ้นฮ่องกงจะมีการเปิดเสรีในการเข้าถึงมากกว่าตลาดหุ้นไทยแต่ดูเหมือนนักลงทุนทัวโลกจะไม่ค่อยสนใจและด้อยค่าไปด้วยซำ้ เพราะกลัวปัญหาเรื่องการเมืองระหว่างจีนและตะวันตกที่อาจบานปลายได้ ที่นี่คุณจะได้เห็นหุ้นที่ธุรกิจไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย healthy balance sheet กำไรปกติ กระแสเงินสดก็เข้ามาตามปกติ แต่ราคาหุ้นค่อยๆดิ่งลงมาเรื่อยๆในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จาก P/B 2 เหลือ P/B 1 จนบางที่ไปถึง 0.5 ตลาดหุ้นไทยอาจจะตามรอยฮ่องกงได้ถ้าหากปัญหาความมั่นคงทางการเมืองยังมีต่อไปจนบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยและต่างชาติ

ขอแค่นี้ มันคงจะมากเกินพอไปด้วยซ้ำสำหรับข้อ (6)
Was der Onkel Charlie sagt, das soll man immer tun!
jokerz
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1739
ผู้ติดตาม: 21

Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ผมเคยคิดเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจไทยเหมือนกันครับ ที่ว่าจะมีโอกาสโตช้ากว่าหลายประเทศ คนสูงอายุเยอะ แรงงานลดลง

ในมุมส่วนตัวที่คิดเอาเอง ผมว่าหุ้นไทยยังมีโอกาสแน่ๆ ครับ แต่ค่อนข้างยากขึ้น และต้องทำการบ้านหนักมาก ผมเข้าใจว่าในแต่ละปี เรายังเจอหุ้นที่สามารถเติบโตได้ แม้ตลาดจะติดลบ หรือทรงตัว เพียงแต่ว่าหุ้นที่บวกสวนตลาดในปีนั้นๆ อาจจะมาจากการปั่น หรือเป็นหุ้นที่ต้องขุดละเอียดมากๆ ถึงจะเจอ ดังนั้น ผมยังคิดว่ามีโอกาส แต่ยาก อีกวิธีหนึ่ง คือ รอตลาดเกิดวิกฤติหรือปรับฐานเยอะๆ เช่น ตอนนี้แล้วค่อยเข้าซื้อ ซึ่งผมคิดว่าจะทำให้ยังมีโอกาสหากำไรได้ในระดับหนึ่ง แต่ปัญหาข้อนี้ ก็คือ เหตุการที่ตลาดปรับลงแรงๆ มีไม่บ่อย ถ้าตลาดเป็น sideway นานๆ ก็อาจจะทำให้ไม่กล้าลงทุน

สำหรับการลงทุนต่างประเทศ ตอนนี้ผมก็มีดูเวียดนามอยู่ แต่ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ที่ไม่มาก และยังต้องทำงานประจำ ทำให้ผมเลือกที่จะลงทุนเป็น ETF แทน แต่ก็แอบหวาดเสียว เพราะผมคิดว่าเวียดนามอาจจะมีปัญหาอะไรซ่อนอยู่ที่ยังไม่รู้

กลับมาที่ไทย แม้ดูเส้นทางการเติบโตจะไม่ง่าย แต่จริง ผมว่าเรายังมีช่องทางก็เติบโตในระดับที่เหมาะกับเราได้อยู่

แนวทางที่ผมลองคิดดูว่าอาจจะช่วยเศรษฐกิจกับตลาดหุ้นได้
- ปฏิรูปเรื่องระบบราชการ ซึ่งผมเข้าใจว่ายังมีบางส่วนที่อาจจะเพิ่มประสิทธิภาพได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลดีต่อองค์กร รวมถึงประชาชนที่ได้รับบริการ ซึ่งถ้าปฏิรูปได้ จะทำให้สามารถดึงดูดเด็กรุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงานได้ และจะช่วยให้องค์กรมีความคิดสร้างสรร์ และส่งผลดีต่อระเทศในระยะยาว

- เรื่องการคอร์รัปชั่น ซึ่งอันดับของประเทศเรา ยังพัฒนาได้แน่นอน เม็ดเงินส่วนที่ตกหล่น หากสามารถไหลกลับเข้าสู่ประชาชน ผมว่าดีขึ้นต่อภาพรวมประเทศแน่นอน ยังสามารถเอาไปพัฒนาทั้งโครงสร้างพื้นฐาน หรือทรัพยากรบุคคลได้

- พยายามหาจุดเด่นของประเทศ และพัฒนาอย่างจริงจัง เช่น เรื่องท่องเที่ยว การแพทย์ หรือการขนส่ง ซึ่งผมว่าบ้านเราทำได้ดีอยู่แล้ว แต่สามารถพัฒนากว่านี้ได้อีก ซึ่งเป็นเทรนด์ที่อนาคตน่าจะมาแน่ๆ ถ้าเตรียมความพร้อมให้ดีมากๆ เชื่อว่าจะยังโตได้อีกพอสมควร

- เรื่องบริษัทที่ปั่นหุ้น หรือ fraud จะต้องมีบทลงโทษที่หนักพอ ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้น้อยลงในตลาด เพราะผมว่าส่งผลต่อภาพลักษณ์ตลาดพอสมควร

- ให้ความรู้การเงิน การลงทุน อย่างจริงจัง ให้ทั่วถึงทั้งประเทศ ซึ่งเชื่อว่ายังมีคนอีกมากที่มีเงิน และลงทุนได้ แต่ยังไม่มีความรู้ และไม่เข้าถึงเพียงพอ การเข้าไปให้ข้อมูลตรงนี้ จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมในตลาดหุ้นของคนในประเทศมากขึ้น

- ลองพิจารณาหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสภาพคล่องของบมจ. เข้าใจว่าบางบริษัทพอจดทะเบียนแล้ว แทบจะไม่สนใจผู้ถือหุ้นเลย ถามว่าผิดมั้ย จริงไม่ผิดเลย แต่ถ้าอยากให้ตลาดก้าวหน้ากว่านี้ ผมว่าต้องพยายามให้บริษัทจดทะเบียน active มากขึ้น และลองใส่ใจผู้ถือหุ้นมากขึ้นครับ (จริงๆ หลายบริษัททำดีอยู่แล้ว และบริษัทที่ไม่ active ไม่ใช่ไม่ดีนะครับ หลายๆ บริษัทที่ทำธุรกิจสุจริต มีการเติบโตที่ดี เพียงแต่บางทีการลงทุนในหุ้นของบริษัท อาจจะมีข้อจำกัดที่สามารถแก้ไขได้

- เรื่องกองทุนประหยัดภาษี อันนี้ถ้าหมดจาก SSF ปี 67 ความเห็นส่วนตัว คือ อยากให้กลับไปใช้รูปแบบคล้ายๆ LTF เพื่อซัพพอร์ตตลาดในประเทศ
เพราะ SSF เท่าที่ทราบ มีคนสนใจไม่เท่า LTF RMF

-ตั้งนโยบายและกองทุนที่สนับสนุนบริษัท start-up ที่มีศักยภาพในประเทศ ซึ่งบริษัทเหล่านี้ ถ้าได้รับการสนับสนุนที่ดี และเติบโตได้จริง ก็มีโอกาสที่จะเติบโตและเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Peter1011
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 325
ผู้ติดตาม: 109

Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

โพสต์ที่ 12

โพสต์

jokerz เขียน:
พฤหัสฯ. พ.ย. 02, 2023 1:59 pm
- ปฏิรูปเรื่องระบบราชการ ซึ่งผมเข้าใจว่ายังมีบางส่วนที่อาจจะเพิ่มประสิทธิภาพได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลดีต่อองค์กร รวมถึงประชาชนที่ได้รับบริการ ซึ่งถ้าปฏิรูปได้ จะทำให้สามารถดึงดูดเด็กรุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงานได้ และจะช่วยให้องค์กรมีความคิดสร้างสรรค์ และส่งผลดีต่อระเทศในระยะยาว

- เรื่องการคอร์รัปชั่น ซึ่งอันดับของประเทศเรา ยังพัฒนาได้แน่นอน เม็ดเงินส่วนที่ตกหล่น หากสามารถไหลกลับเข้าสู่ประชาชน ผมว่าดีขึ้นต่อภาพรวมประเทศแน่นอน ยังสามารถเอาไปพัฒนาทั้งโครงสร้างพื้นฐาน หรือทรัพยากรบุคคลได้
ผมเกรงว่าการปฏิรูปเรื่องระบบราชการมันเป็นแค่การแก้ใขที่ต้นเหตุ สิ่งที่ควรทำอย่างแรกคือการปฏิรูปการศึกษาซึ่งเป็นรากฐานของความเจริญ การปฏิรูปการศึกษานั้นเป็นเรื่องยากโดยเฉพาะช่วงนี้ที่มีปัญหารุมเร้าต่างๆทางการเมืองที่ต้องการการแก้ไขโดยด่วนและปัญหาอดยากของประชาชน

ผมเห็นตัวอย่างที่สิงคโปร์ทำจนเขามีทุกวันนี้ใช้เวลาหลายสิบปีและไม่ได้มาง่ายๆ ต้องผ่านอุปสรรค์มากมาย ส่วนไทยเราคงต้องใช้เวลามากกว่า (อาจจะเท่าอายุคนๆหนึ่ง) เพราะคนของเรามีเยอะกว่ามาก และยังต้องรอพวกเต่าล้านปีตายไปก่อน
Was der Onkel Charlie sagt, das soll man immer tun!
ภาพประจำตัวสมาชิก
Peter1011
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 325
ผู้ติดตาม: 109

Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

โพสต์ที่ 13

โพสต์

Peter1011 เขียน:
อาทิตย์ พ.ย. 05, 2023 12:28 pm
ผมเกรงว่าการปฏิรูปเรื่องระบบราชการมันเป็นแค่การแก้ใขที่ต้นเหตุ
ขอโทษครับ ที่จริงควรจะเป็น "ผมเกรงว่าการปฏิรูปเรื่องระบบราชการมันเป็นแค่การแก้ใขที่ปลายเหตุ"

ตอนนี้เห็นมีหลายๆพูดถึงเรื่องของ short sell มาก ขอแจมด้วยคน 555

ที่กลต.ออกมาแถลง ผมสงสัยว่าจะออกมาแถลงทำไม? ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ short sell มันก็เป็นส่วนหนึ่งของตลาดหุ้นมาช้านานแล้ว (น่าจะเป็นร้อยปีไปแล้ว) แล้วเรื่องความผิดปกติของราคาหุ้น xTx ที่มีการปั่นอย่างบ้าคลั่งเมื่อสองปีก่อนหล่ะ ทำไมไม่ทำเป็นประเด็นบ้าง?

เอาเป็นว่า คนที่มาชอร์ตหุ้น เค้าเข้ามาทำให้ราคาลง เพื่อเก็งกำไรทางเทคนิกหรือคาดผลประกอบการณ์ระยะสั้นจะลด ไม่ใช่เข้าไปทำให้บริษัทมีปัญหาส่งผลให้ผลประกอบการลงถาวร ดังนั้นถ้าหากบริษัทแย่แค่ชั่วคราว ราคาลงจากการชอร์ตหุ้นก็เป็นเพียงแค่ noise รบกวนเท่านั้น

ที่เกาหลี(ใต้) สั่งห้ามการขายชอร์ต ผมว่าเค้าทำเกินไปและยังไปบิดเบือนตลาดหุ้นอีก

ตลาดหุ้นเป็น wild wild west ที่คุณต้องดูแลตนเองให้ดี เอาตัวเองให้รอด อย่าไปพึ่งคนอื่น นายอำพงนายอำเภอก็ช่วยคุณไม่ได้หรอก ถ้าคุณไปกู้มาร์จิ้นแล้วล้มจากการโดนขายชอร์ต คุณก็ผิดเองที่วางแผนเรื่องความเสี่ยงไม่ดี ไม่ต้องไปโทษทางการที่ไม่ทำอะไรเลย

แต่

ถ้าหากคนที่มาชอร์ตหุ้นเข้าไปทำให้บริษัทมีปัญหาส่งผลให้ผลประกอบการลงถาวร แล้วเก็งกำไรจากการชอร์ตหุ้น แล้วหน่วยงานทางการไม่ take action อันนี้แหละที่หน่วยงานทางการควรที่จะโดนยำจนเละ
Was der Onkel Charlie sagt, das soll man immer tun!
ภาพประจำตัวสมาชิก
Peter1011
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 325
ผู้ติดตาม: 109

Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

โพสต์ที่ 14

โพสต์

หุ้นในกลุ่ม "QUESTIONABLE" นั้นเป็นหุ้นที่อาจมีการ

(1) ทำราคา
และ/หรือ
(2) เป็นหุ้นยอดนิยม ในอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง
และ/หรือ
(3) มีการปั่นสตอรี่
และ/หรือ
(4) มีปัญหาทางด้านความโปร่งใส
และ/หรือ
(5) มี insider

ซึ่งผมจะเอามาเป็นแค่ watchlist สังเกตุการณ์โดยไม่มีการเอาไปเก็งกำไรใดๆทั้งสิ้น และผมขอพูดดักไว้ก่อนว่าหุ้นที่ผมจัดให้อยู่ใน watchlist กลุ่มนี้ไม่ได้หมายความว่าราคามันจะลง เพราะมันเป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้นที่ยังไงก็ยังมีโอกาสที่ผิด

ตามอักษร A-Z

xxxK
xx8
xxx7
xxxxW
Dxxxx
xxxF
Jxxxx
xxT
xxS
xxMxxx
xGx
xxxxY
Sxxxx
xxC
xxxxxR
xxxB
xxY
xxUx
Xx
Was der Onkel Charlie sagt, das soll man immer tun!
miracle
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 18398
ผู้ติดตาม: 75

Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ถ้าหากมอง ตามวัฏจักร มีขึ้นก็มีลง
ตอนนี้เศรษฐกิจของเรา พึ่งพาประเทศจีน เป็นส่วนใหญ่
ดังนั้น เมื่อประเทศจีน มีปัญหา ก็ต้องย้ายการผลิตออกจากจีน
เหมือนครั้นที่ ย้ายฐานการผลิตจากญี่ปุ่นมายังไทย แต่รอบนี้ จีนไม่ได้เลือกไทย ไปเลือก ที่อื่นๆ
และ ประเทศที่ลงทุนในจีนก็ย้ายไปที่อื่นๆไม่ใช่ที่ไทย
ไทย เลย ไม่ได้ sexy ตามสายตาโลก

แถมเรื่องของ การขาดดุลทางการคลัง ที่เริ่มกดดัน มากขึ้นเรื่อยๆ
เรื่อง input ที่ใส่ในเศรษฐกิจ ไม่ได้ output ที่มากกว่า กลับกลายเป็นกระจุกตัวมากกว่า
มันเลยเป็นตัวที่ทำให้บั่นทอนลงไป

แล้วเรื่องดอกเบี้ยก็เป็นอีกเรื่องที่เรา ดอกเบี้ยต่ำกว่า US นั้นคือ สินค้าของเราราคาน่าจะแพงกว่า US
สินค้าของเรายังไม่ได้เป็นสินค้าอุตสาหกรรมเข้มข้น ยังเป็น สินค้าทางเกษตรเป็นหลักอยู่
ที่เลี้ยงประชากรประมาณ 60% ของทั้งหมด

ส่วนภาคท่องเที่ยว ก็ค่อยๆฟื้นตัว แต่ต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวมาก แต่ การใช้จ่ายนั้นกลับสวนทางหรือเปล่า
ต้องหาสิ่งแปลกใหม่ เช่น มูเตลู หรือ สายศรัทธาเป็นหลัก ในการท่องเที่ยว นั้นเอง

คำถามที่สำคัญ คือ เรามองตัวเราเป็นอะไร ในอนาคต อีก 5/10/15/20 ปีข้างหน้า
ไทย หลุดจากประเทศรายได้ปานกลาง ค่อนบนได้ไหม ไปเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้ไหม
คนของประเทศไทยนั้น สามารถรับการเปลี่ยนแปลงได้ไหม
ที่คือ โจทย์ใหญ่ๆ ที่ตลาดหุ้นไทยสะท้อนออกมา

ปล
ถ้าใครดูแลคนป่วยจะรู้ดีกว่า ผู้ป่วยก่อนเสียชีวิต นั้น อาการดีขึ้น จนญาติดีใจ ว่าแข็งแรงแล้ว
จากนั้น คือ จากไป ดังนั้น ต้องระวัง ปี 2567 ดีแต่ ปี 2568 นั้นแหละที่ มีเครื่องหมายคำถามใหญ่ๆ
:)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Peter1011
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 325
ผู้ติดตาม: 109

Re: ตลาดหุ้นไทย ไปต่อไม่ได้แล้ว

โพสต์ที่ 16

โพสต์

Observations ของผม

1. พันธบัตรที่ออกขายบนเป๋าตัง หมดภายใน 2 นาที
2. หุ้นกู้ (เช่นของ CPALL และ SIRI) ที่ขายหมดอย่างรวดเร็ว
3. ที่นั่ง CV ของเกือบทุกบริษัทที่หมดอย่างรวดเร็ว (บางที่ใครคลิกตอน 9.00 ก็ยังไม่ได้)
4. หุ้นที่ราคาถูกๆ ทั้งหมดจะเป็นหุ้นที่คุณพยายามคุ้ย (scuttlebutt) เท่าไหร่แต่ value ก็ไม่สามารถ compensate กับความแย่ของผู้บริหารและ/หรือธุรกิจได้ (ที่ผมเคยย้ำว่า ซื้อแล้วขาดทุนแน่นอน)

ดูเหมือนว่ายังมีนักลงทุนอีกหลายคนที่ยังแย่งกันรอช้อนซื้อหุ้นตอนราคาตกหนักๆ นั่นอาจจะเป็นไปได้ว่าหุ้นไทยอาจจะไม่ได้ลงไปหนักกว่านี้แล้ว แม้ว่าหุ้นส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนเผื่อความปลอดภัยเหลืออยู่แล้ว

Screenshot 2024-03-23 at 13.17.57.png

ตารางข้างบนนี้เป็นการเปรียบเทียบแบบ qualitative ว่าตลาดหุ้น (โดยบริษัทส่วนใหญ่) ในแต่ละที่ ที่ผมไป survey มามันมีลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งเห็นได้เลยว่าตลาดหุ้นไทยนั้นอยู่ในเกณฑ์แย่มากถ้าเทียบกับที่อื่นในทุก parameter
Was der Onkel Charlie sagt, das soll man immer tun!
โพสต์โพสต์