พอร์ตของผู้มีความมั่งคั่งสูง/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1890
ผู้ติดตาม: 311

พอร์ตของผู้มีความมั่งคั่งสูง/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

จากการปรับตัวลงอย่างรุนแรงของตลาดทุนทั่วโลกในปีที่แล้ว หลานท่านอาจคิดว่า กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูงอาจได้รับผลกระทบไม่มากนัก แต่จากรายงานการวิจัยของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไนท์แฟรงค์ ล่าสุด ชื่อ The Wealth Report 2023 ซึ่งเผยแพร่ในสัปดาห์ที่แล้ว แสดงให้เห็นถึงข้อมูลอย่างหนึ่งว่า ความมั่งคั่งโดยรวม ของผู้มีความมั่งคั่งสูงระดับอภิมหาเศรษฐี (Ultra High Net Worth -UHNWI) คือผู้ที่มีความมั่งคั่งรวมตั้งแต่ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,050 ล้านบาทขึ้นไปในโลกนี้ ถูกกระทบจากผลของตลาดทุนที่ผันผวนและปรับตัวลงอย่างหนักในปี 2022 เช่นกัน

โดยความมั่งคั่งของอภิมหาเศรษฐีทั่วโลกลดลงโดยเฉลี่ย 10% อภิมหาเศรษฐีในยุโรป ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือมีความมั่งคั่งโดยรวมลดลง 17% ในขณะที่อภิมหาเศรษฐีในออสตราเลเชีย คือออสเตรเลียและนิวซีแลนด์และประเทศอื่นๆแถบมหาสมุทรแปซิฟิก มีความมั่งคั่งลดลง 11% ในทวีปอเมริกา มีความมั่งคั่งลดลง 10% ส่วนอภิมหาเศรษฐีในเอเชียและตะวันออกกลางมีความมั่งคั่งลดลง 7% และอภิมหาเศรษฐีในทวีปอัฟริกา มีความมั่งคั่งลดลง 5%เท่านั้น

รวมๆกันสรุปว่า ครั้งนี้ ฝนตกทั่วฟ้าจริงๆค่ะ

คำถามคือ กลุ่มอภิมหาเศรษฐีเหล่านี้ มีสินทรัพย์อยู่ในรูปแบบใดบ้าง

พบว่า ที่อยู่อาศัยของผู้มีความมั่งคั่งสูง คืออสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านที่อยู่อาศัยแห่งแรกและแห่งที่สอง มีมูลค่าสูงถึง 32% ของความมั่งคั่งรวมเลยทีเดียว หากคำนวณว่าสินทรัพย์ขั้นต่ำของอภิมหาเศรษฐีเท่ากับ 30 ล้านเหรียญ ที่อยู่อาศัยก็จะมีมูลค่าขั้นต่ำ 9.6 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 336 ล้านบาท โดยแต่ละแห่งจะมีมูลค่าสูง และอาจสลับสับเปลี่ยนอยู่อาศัยหลายแห่ง แต่ละแห่งจึงถือเป็นส่วนสำคัญของสินทรัพย์รวม และอาจมีการขายออกไปเพื่อซื้อแห่งใหม่ได้

ปกติในการวางแผนพอร์ตการลงทุน เราจะไม่นำอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่อยู่อาศัยหลัก มาคิดคำนวณด้วย เพราะเราถือว่าเราไม่ได้นำที่อยู่อาศัยไปทำประโยชน์ในการให้เช่า หรือหารายได้เพื่อนำรายได้มาใช้จ่าย และมีสมมุติฐานว่าถึงอย่างไรเราก็ไม่ขายค่ะ

หากมาดูสินทรัพย์อื่นที่เหลือและนำไปจัดสรรลงทุน พบว่าสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนสูงที่สุดของอภิมหาเศรษฐีทั่วโลก คือ อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งคนปกติทั่วไปจะลงทุนเป็นสัดส่วนไม่สูงมาก เพราะมีสภาพคล่องต่ำ และในการลงทุนใช้เงินจำนวนมาก แต่อภิมหาเศรษฐี ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นสัดส่วนประมาณ 34% โดยเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าโดยตรง 21% ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าโดยอ้อมผ่านกองทุน 8% และลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (กองรีท) อีก 5%

การลงทุนที่ให้น้ำหนักสูงลำดับถัดไปคือ หุ้นทุน ซึ่งในปีที่แล้วมีสัดส่วน 26% ตราสารหนี้และพันธบัตร 17% หุ้นนอกตลาดและกองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) 9% ลงทุนในสิ่งที่ชอบ (Passion Investment) เช่น งานศิลปะ รถยนต์ ไวน์ ฯลฯ 5% ลงทุนในทองคำ 3% ลงทุนในคริปโท 2% และลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ 7%

อภิมหาเศรษฐีส่วนใหญ่ (31%) ตั้งวัตถุประสงค์การลงทุนไว้เป็นการเติบโตของเงินลงทุน (Capital Appreciation) เพราะไม่ได้ต้องการเงินจากการลงทุนมาใช้จ่ายมากสักเท่าไร และมีวัตถุประสงค์รองคือ การปกป้องรักษามูลค่าเงินลงทุน (Capital Preservation) ซึ่งมีประมาณ 26% กลุ่มนี้มักจะเป็นกลุ่มที่ความมั่งคั่งสูงและอายุตัวอาจจะสูงด้วยค่ะ เพราะไม่ต้องการความหวือหวาจากการลงทุนแล้ว เงินที่มีก็พอยิ่งกว่าพอที่จะใช้ไปจนจากโลกนี้ไป หรือส่งต่อให้ทายาท

วัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อให้เกิดรายได้ เป็นวัตถุประสงค์ลำดับที่สาม คือมีสัดส่วน 23% และต้องการกระจายความเสี่ยงเป็นลำดับที่สี่ มีสัดส่วน 14% โดยมีการตั้งวัตถุประสงค์ลงทุนเพื่อการกุศล หรือเพื่อก่อให้เกิดผลดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Impact Investment/Philanthropy) 6%

สำหรับการจัดสรรเงินลงทุนในปี 2566 นี้ อภิมหาเศรษฐีทั้งหลายมีแผนดังนี้ค่ะ 47% มีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในปีนี้ 33% บอกว่าไม่เปลี่ยนแปลง และ 17% บอกว่าจะลดขนาดการลงทุนลง

46% จะเพิ่มเงินสด (แปลว่ายังกังวลกับสถานการณ์) 28% ไม่เปลี่ยนแปลงสัดส่วนเงินสดที่ถือครอง และ 23% จะลดสัดส่วนเงินสดลง (แปลว่ากล้าลงทุนมากขึ้น)

ประมาณ 39% ของอภิมหาเศรษฐีเหล่านี้จะเดินทางต่างประเทศเพิ่มขึ้น และ 36% จะเพิ่มการใช้จ่ายส่วนตัว ดิฉันคิดว่าคงมองว่า รีบใช้เงินก่อนไม่มีโอกาสใช้ เพราะในช่วงโควิดระบาด ไม่ค่อยมีโอกาสใช้เงิน 34% จะเพิ่มการลงทุนในธุรกิจ

สำหรับการลงทุนในสิ่งที่ชอบหรือ Passion Investment นั้น ในช่วงใน 10 ปีที่ผ่านมา ขวดวิสกี้เก่าหายาก มีราคาเพิ่มสูงขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง คือ 373% ตามมาด้วยรถยนต์ มีราคาเพิ่มขึ้น 185% ในสิบปีที่ผ่านมา ไวน์ มีราคาเพิ่มขึ้น 162% ในสิบปี นาฬิกา มีราคาเพิ่มขึ้น 147% กระเป๋าถือ ราคาเพิ่มขึ้น 74% เหรียญมีราคาเพิ่มขึ้น 69% เครื่องประดับ 44% เฟอร์นิเจอร์ 34% เพชรสี เพิ่มขึ้นน้อยที่สุด คือเพิ่มเพียง 16% ในสิบปีที่ผ่านมา

ท่านที่มีเงินลงทุนเหลือ จะหันมาลงทุนในสิ่งที่ชอบบ้างก็ได้นะคะ นอกจากจะมีความสุขใจแล้ว ยังมีโอกาสได้กำไรจากการลงทุนด้วย แต่ต้องอย่าลืมว่าสภาพคล่องต่ำ ขายออกยาก และหากไม่ชอบจริงไม่ควรลงทุน เพราะหากขายไม่ออก ท่านจะต้องมีสินทรัพย์นั้นค้างอยู่กับท่านตลอดไปค่ะ

ส่วนการลงทุนเพื่อการกุศล เพื่อสังคม สิ่งแวดล้อม และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของเพื่อนร่วมโลก เป็นสิ่งที่น่าสนับสนุนอย่างยิ่งค่ะ

ขอให้มีความสุขกับฤดูร้อนของเราที่เริ่มขึ้นแล้วค่ะ
โพสต์โพสต์