>>>Investor Playbook โดยพี่เชาว์ และพี่หมอพงศ์ศักดิ์<<< ---The Standard Wealth

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
จอมยุทธอินทรี
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 524
ผู้ติดตาม: 226

>>>Investor Playbook โดยพี่เชาว์ และพี่หมอพงศ์ศักดิ์<<< ---The Standard Wealth

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากงาน The Standard Wealth
>>> Investor Playbook โดยพี่เชาว์ และพี่หมอพงศ์ศักดิ์<<<
.
.
===นิยามของคำว่า VI===
.
>>>พี่หมอพงศ์ศักดิ์<<<
- Value Investor คือการซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง
- เราจะรู้มูลค่าได้ก็ต่อเมื่อเรารู้วิธีการประเมิน
- ซึ่งการประเมินมูลค่าแบ่งออกเป็น 2 แบบ
- 1.) ดูจากราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าปัจจุบัน
- 2.) ประเมินมูลค่าจากอนาคตแล้วรู้ว่าถูก
- VI ไม่จำเป็นต้องซื้อของถูกในปัจจุบันเท่านั้น
- ความยากของ VI คือการประเมินอนาคต เพราะอนาคตมีความไม่แน่นอนสูง
- แต่ อะไรที่ยากแล้วเราทำสำเร็จ
- ผลตอบแทนก็จะดีกว่า
- ถ้าอยากได้ผลตอบแทนดี
- เราต้องทำอะไรที่คนส่วนใหญ่มองไม่ออก
>>>พี่เชาว์<<<
- เหมือนพี่หมอ (55555)
- Value Investor มี concept ที่ไม่ยาก
- เป็นการลงทุนที่หวัง return ในอนาคตกลับมาเยอะๆ
- แต่ปัญหาคือคนส่วนใหญ่ไม่อยากซื้อแล้วรอ อยากรวยไวๆ
.
>>>พี่หมอพงศ์ศักดิ์<<<
- VI ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ต้องพัฒนา process การเรียนรู้
- บางครั้งเราไปพัฒนาสิ่งที่ ไม่เกิดประโยชน์ ในการเป็น VI
- เช่นการไปให้ความสำคัญ ในการพัฒนากระบวนการเรียนรุ้หรือเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการ
- พี่หมอให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวเอง ในสิ่งที่ถูกต้อง และต้องไม่หยุดพัฒนาด้วย
- ถ้าเราหยุดพัฒนา เราจะกลายเป็นผู้ชนะในอดีต
.
.
===Silicon Valley Bank ล้ม เราต้องสนใจไหม===
>>>พี่เชาว์<<<
- Relate กับที่พี่หมอพูด
- ต้องดูว่าอะไรสำคัญ ไม่สำคัญ
- อีก 5 ปี ไม่มีคนสนใจแล้ว Silicon Valley Bank
- แต่อาจจะกระทบกับราคาหุ้นบ้าง
- ถ้ามันลงมา undervalue ก็ซื้อ
.
>>>พี่หมอพงศ์ศักดิ์<<<
- ข่าว Silicon Valley Bank ล้ม คาดว่ากระทบไม่มาก
- แต่ก็ไม่รู้จริง
- ตอน Lehman Brothers ล้ม พี่หมอก็คิดผิด คิดว่าไม่มีอะไร
- ถ้าจะลองตั้งคำถามว่า กิจการจะกระทบไหม???
- ต้องคิดว่า มันจะมีผลต่อ Liquidity ไหม
- ถ้ากิจการเป็นกลุ่มที่ต้องการ Liquidity สูง น่าจะกระทบ
- จากตัวอย่าง เราอาจจะคาดการณ์ผิด แต่เราจะรู้ action ถ้ามันเกิดขึ้น
เราจะต้อง action เร็ว ก่อนที่ราคาจะสะท้อน
.
.
===ข้อผิดพลาด===
>>>พี่หมอพงศ์ศักดิ์<<<
- นักลงทุน VI สอนแต่ซื้อหุ้น
- แต่ที่ไม่ได้สอนคือ “การขายหุ้น”
- ที่ลองย้อนดูตัวเอง การขายหุ้นจะยากที่สุด
- เราจะ biased กับความสำเร็จของหุ้นในอดึต
- อยากให้มีหนังสือเรื่อง การขายหุ้นที่ถูกต้อง
.
>>>พี่เชาว์<<<
- ตั้งแต่ลงทุนมา มีข้อผิดพลาดเยอะมาก
- โอกาสมากมายที่เข้ามาแล้วไม่ได้ซื้อ ก็ถือเป็นเรื่องผิดพลาด
- ช่วงหลัง subprime ตลาดหุ้นไทย takes off
- พลาดหุ้นสิบเด้งที่พี่หมอซื้อไปหลายตัวเช่น hmpro, cpall
- เหตุผลที่ไม่ได้ซื้อ เพราะไม่เข้าใจ
- ช่วงนั้น p/e ตลาด 7-8 เท่า แต่ hmpro 10 กว่าเท่า ดูแพง
- แต่จริงๆถ้าเทียบ growth ถูกมาก ถือว่าพลาดไป
.
.
===ตัวอย่างวิธีการทำความเข้าใจกิจการ===
>>>พี่เชาว์<<<
- ยกตัวอย่างหุ้นที่ถือมานานแล้วคือ karmart
- การทำความเข้าใจคือ ศึกษาอุตสาหกรรมล่วงหน้า
- ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมความงาม ถ้าไปดูต่างประเทศ ก็จะมี Estee, LVMH เป็นต้น
- ทำแม้กระทั่งขอนัดเจอผู้บริหาร, เปิด shop Karmart เพื่อทำความเข้าใจเชิงลึก
- Key คือ ต้องเห็นก่อนคนอื่น ไม่งั้นจะไม่ได้กำไรเยอะๆ
>>>พี่หมอพงศ์ศักดิ์<<<
Com7
- ยกตัวอย่าง com7 แต่เนื่องจากยังถืออยู่จึงขอพูดคร่าวๆ
- ช่วงนั้นก่อนซื้อ ได้ตามหุ้นมาระยะนึงก่อน
- อ่าน review หลายรอบ ทำ model ในใจ
- จดคำพูดผู้บริหาร (คุณสุระ) ทุกสัมภาษณ์ แล้วอ่านซ้ำ 5-10 รอบเพื่อ track progress
- วันนึงหุ้นตกมา แล้วได้ฟังแถลงผลประกอบการ
- คิดว่าช่วงนั้นซื้ออยู่คนเดียวเพราะมีแต่คนขาย
- การที่เราจะกล้าสวน เราต้องเข้าใจมากกว่านักลงทุนและนักวิเคราะห์คนอื่น
- สาเหตุที่หุ้นตกลงมาแรงก็คือ
- ช่วงนั้น com7 ได้เริ่มต้นไปบริหาร True Shop แล้วไม่ Success
- พอเรามาวิเคราะห์ตัว existing business ยังดีอยู่และอยู่ในช่วง growth
- ประเมิน Marketshare ช่วงนั้นอยู่ประมาณ 5%
- หุ้นตกลงมาแรงเพราะนักลงทุนไปให้ความสำคัญกับจุดผิดพลาดเล็กๆ
- ส่วนตัวเวลาลงทุน หมอพงศ์ศักดิ์จะมอง Business Life Cycle
- จะสนใจหุ้นที่พอมองไปข้างหน้าต้องมากกว่า 5 ปีถึงจะเข้าสู่ mature stage
.
AOT
(ช่วงทำความเข้าใจ)
- ไปอ่านหมายเหตุประกอบงบ
- เจอว่านโยบายการตัดค่าเสื่อม software 5 ปี ซึ่งช่วงนั้นใกล้ครบแล้ว
- การที่ค่าเสื่อมหาย รายได้เพิ่มนิดเดียวกำไรจะกระโดด +70%
- โทรไป confirm กับ IR ว่าคิดถูกไหม
- หลังจากนั้น น้ำท่วม ตอนแรกซื้อไป 30 บาท ร่วงมา 10%
- คิดว่าเป็นโอกาสที่ดี เพราะเป็นเรื่องชั่วคราว จึงเพิ่ม position ไปใน AOT
- โชคดีที่หลังจากนั้นคิดถูก
- โชคดีซ้ำสองคือในจีนมีหนังเรื่อง Lost in Thailand ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนโตกระโดด
- กิจการที่มี Fixed Cost เยอะ รายได้ที่เข้ามาใหม่จะลง bottom line เลย
- ตอนนี้คนรู้ท่านี้เยอะแล้ว ต้องใช้ท่ายากกว่านี้
(ข้อผิดพลาด)
- เคสนี้มีข้อผิดพลาดคือประเมินผิด
- ตอนนั้นคิดว่าจำนวนนักท่องเที่ยว 30 ล้านนี่ mature แล้ว
- เลยขายหุ้นไปตอน 400 บาท (😳)
- แต่จริงๆแล้ว runway อีกยาวมาก
- มองว่าประเทศไทยรับนักท่องเที่ยวได้ถึง 120 ล้านจึงจะเริ่ม mature
- ปัจจัยอยุ่ที่ speed ในการรองรับนักท่องเที่ยว
โดยสรุปหมอพงศ์ศักดิ์ประเมินการลงทุนโดย
- คิด upside
- สมมติถือ 10 ตัว จะหาหุ้นมา challenge 10 ตัวที่ถือตลอดเวลา
- ประเมิน upside 1-3 ปีข้างหน้า
- ประเมิน mature state จะสิ้นสุดเมื่อไร แล้วไปขายใกล้ๆ
.
>>>พี่เชาว์<<<
Kamart
- บริษัท karmart นั้นเริ่มจากขายเครื่องใช้ไฟฟ้า Distar
- ตอนนั้นทำงานแถวอโศก เห็นผู้หญิงมุงร้านลิปสติก
- พอพลิกมาดู ผลิตโดยบริษัท ไดสตาร์
- พอกลับออฟฟิศไม่ทำงานแล้ว โทรไปหาบริษัทขอ visit
- โชคดีที่บริษัทให้เข้าไปพูดคุย
- CEO ให้พบเพราะ 5 ปีไม่มีใครเคยติดต่อเลย
- ช่วงนั้นเครื่องใช้ไฟฟ้าไดสตาร์มีปัญหาเนื่องจากโดนแบรนด์จีนเข้ามาตี
- บริษัทเปลี่ยนมาขายเครื่องสำอางค์
- พอลองไปหาข้อมูลบริษัทใกล้เคียงอย่างมิสทีนมียอดขาย 10,000 ล้าน
- ลองทำ valuation บริษัทคร่าวๆคิดว่ามี potential เป็นหุ้นหลายสิบเด้ง
.
.
===Playbook ที่ใช้ได้ และใช้ไม่ได้แล้ว===
>>>พี่หมอพงศ์ศักดิ์<<<
- ปัจจุบันนักลงทุนในตลาดเก่งมากจึงต้องวิเคราะห์ละเอียดขึ้น
- เวลาฟังผู้บริหารต้องเข้าใจผู้บริหาร
- เช่นผู้บริหารบอกว่าโต 10% ใน valuation เรา ต้องใส่เท่าไร
- ผู้บริหารบางท่านบอกโต 10% ในใจเค้าคือโต 20%
- บางท่านบอกโต 10% ในใจเค้า 5% ก็เก่งแล้ว
- ต้องหาคำตอบด้วยว่าจะโตยังไง
1) Store Expansion,
2) SSSG,
3) Store Format/Size ใหญ่หรือเล็กกว่าเดิม
- พองบออกมาพบว่าประเมินผิด
- ต้องดูว่าผิดบรรทัดไหน
- ถ้าต้นทุนผิด เป็น One-time หรือถาวร
- ต้องเข้าใจ COGS ตั้งแต่ raw materials, overheat cost เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของต้นทุน
- ถ้าอ่านบทวิเคราะห์ต้องรู้มากกว่าบทวิเคราะห์
- บางครั้งการฟังบริษัทที่ไม่ได้ลงทุน อาจช่วยประเมินบริษัทที่เราลงทุน
เช่น บริษัท A ทำพลาสติดบอกว่าขึ้นราคา, บริษัท B ต้อใช้พลาสติกบอกว่าต้นทุนไม่ขึ้น อาจจะต้องไปฟังบริษัท C ว่ายังไง แล้วสรุปเราจะเชื่อใคร
- ส่วน Playbook ที่ใช้ไม่ได้แล้วคือการมองภาพใหญ่แล้วไม่ลงรายละเอียด
.
>>>พี่เชาว์<<<
- VI รุ่นใหม่เก่งเยอะมาก
- กลายเป็นว่าคู่แข่งที่มาลงทุนกับเราเก่งขึ้นเยอะ
- แต่ที่สำคัญก็คือเราต้องหา Edge ให้เจอ
- หุ้นในตลาดมี 800 ตัว เราต้องหาบริษัที่เรามี Edge
- ยกตัวอย่างเช่นในตลาดอเมริกา
- คิดว่า VI ในอเมริกาเก่งกว่าเราเยอะ
- เราไม่ได้มี Edge เราต้องไปวิเคราะห์ ต้องไปฟัง Earning Call แข่งกับนักลงทุน ผู้จัดการกองทุนที่จบจาก U ดังๆอย่าง Harvard ซึ่งเราสู้ไม่ได้
.
ปล.ถ้าสรุปผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยคร้าบ
หากขาดตกบกพร่องและมีเพื่อนๆอยากเสริม สามารถช่วยเสริมได้ตามสบายเลยคร้าบ =/\=
.
https://www.facebook.com/permalink.php? ... 9287180353
.
B993B58B-5D56-4291-A8C0-2DACE00B9147[1].jpg
ภาพประจำตัวสมาชิก
Bird.Songwut
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 221
ผู้ติดตาม: 136

Re: >>>Investor Playbook โดยพี่เชาว์ และพี่หมอพงศ์ศักดิ์<<< ---The Standard Wealth

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณสำหรับการสรุปเนื้อหาด้วยครับ
"มีกระแสน้ำสายหนึ่งในกิจกรรมของคน ซึ่งเมื่อมันไหลบ่าท่วมท้นจะนำไปสู่ความมั่งคั่งมหาศาล"
Investor hub : ห้องลับนักลงทุน https://www.youtube.com/@Investor_hub
จอมยุทธอินทรี
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 524
ผู้ติดตาม: 226

Re: >>>Investor Playbook โดยพี่เชาว์ และพี่หมอพงศ์ศักดิ์<<< ---The Standard Wealth

โพสต์ที่ 3

โพสต์

คลิปเต็มจาก The Standard Wealth มาแล้วครับ

phpBB [video]
ภาพประจำตัวสมาชิก
Moat
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3
ผู้ติดตาม: 0

Re: >>>Investor Playbook โดยพี่เชาว์ และพี่หมอพงศ์ศักดิ์<<< ---The Standard Wealth

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณครับ
โพสต์โพสต์