ดีเลิศหรือเลวร้ายต่างก็เป็นเรื่องชั่วคราว/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1890
ผู้ติดตาม: 311

ดีเลิศหรือเลวร้ายต่างก็เป็นเรื่องชั่วคราว/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ช่วงเร็ว ๆ นี้ ผมและสมาชิกในครอบครัวซึ่งมี 7 คนรวมถึงเด็กอายุเพียง 2 เดือนต่างก็เจ็บป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับไวรัสที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก ผมเองเริ่มจากโควิด หลังจากหายได้ประมาณเดือนสองเดือนก็ติด RSV ซึ่งก็เป็นโรคหวัดอีกแบบหนึ่งที่ติดกันได้ง่ายมากพอ ๆ กับโควิด แต่อาการไม่รุนแรงเท่า อย่างไรก็ตาม ทั้งสองโรคกว่าจะหายก็ใช้เวลาเป็นประมาณ 10 วัน และยังมีผลข้างเคียงตามมาอีกหลายวัน รวมแล้วเป็นเดือนที่ต้องทรมานอยู่กับโรค

ช่วงที่เป็นนั้น ผมก็ได้แต่คิดว่า บางทีโลกเราอาจจะ “เปลี่ยนไปจากอดีต” เราอาจจะต้องผจญกับการติดโรคที่สามารถติดต่อกันทางอากาศและการสัมผัสได้ง่ายขึ้นมาก การท่องเที่ยวหรือพบปะผู้คนใกล้ชิดอาจจะทำไม่ได้เหมือนเดิม การติดเชื้อหรือเป็นโรคซ้ำอาจจะทำให้อาการหนักขึ้นจนเป็นอันตรายอย่างที่ “ผู้เชี่ยวชาญ” พูดกัน ครอบครัวที่อยู่กันถึง 7 คนไม่รวมพี่เลี้ยงเด็กและแม่บ้านอย่างบ้านผมก็ยิ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นทวีคูณ ไม่สนุกเลย!

แต่ความคิดแบบนั้นจะเป็นจริงหรือ? โลกเปลี่ยนไปแล้วจริงหรือเปล่า? โควิด-19 จะอยู่กับเราและเราจะติดได้ง่าย ๆ และเป็นอันตรายเพิ่มเมื่อติดซ้ำและถ้าเป็นหลายครั้งเข้าอาการของเราจะหนักขึ้นจนอาจจะต้องตายในที่สุดหรือ? พูดตามตรง ผมก็ไม่รู้

แต่ถ้ามองย้อนหลังกลับไปในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ผมเกิดมา โอกาสที่เราจะอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นยาวนานก็น่าจะมีน้อยมาก แม้แต่ปรากฎการณ์ไข้หวัดสเปนเมื่อ 100 ปีที่แล้วที่คนตายเป็นล้าน ๆ คนและมนุษยชาติก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขหรือป้องกันอย่างไรก็หายไปจากโลกในเวลาไม่นาน ดังนั้น สิ่งที่ผมกลัวหรือกังวลคงจะเกิดขึ้นเพราะผมกำลังประสบกับความเลวร้าย “ในขณะนั้น” ซึ่งก็มักจะทำให้จิตใจคิดว่า “มันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป”



จิตวิทยาของนักลงทุนก็เช่นเดียวกัน เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงและเจ็บปวด “เป็นปี” อย่างเรื่องอัตราเงินเฟ้อหรือดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นสูงต่อเนื่อง ถึงวันหนึ่งเขาก็จะคิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น “ตลอดไป” และหุ้นก็จะต้องตกต่อเนื่องไปอีกนาน ว่าที่จริงวันที่เขาคิดนั้น หุ้นอาจจะตกลงไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งก็ทำให้เขาบาดเจ็บอย่างหนักและอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาคิดว่าเงินเฟ้อและดอกเบี้ยจะอยู่ต่อไปอีกนาน สภาพคล่องจะหายไป และหุ้นก็จะถูกขายและตกลงมาอย่างไม่รู้ว่าจะถึงพื้นตอนไหน

แต่ถ้าดูจากประวัติศาสตร์ตลาดหุ้น มองย้อนหลังไปเกือบ 50 ปีในตลาดหุ้นไทยและกว่าร้อยปีในตลาดหุ้นอเมริกาก็จะพบว่า ในที่สุด บางทีแค่ 2-3 ปี เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยก็ลดลงมาและตลาดหุ้นก็ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว น้อยครั้งที่เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะสูงอยู่นานมาก ว่าที่จริง ธนาคารกลางสหรัฐก็คงไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น เพราะจะทำให้เศรษฐกิจพังพินาศ

ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่สูงขึ้นผิดจาก “ปกติ” มากนั้น เป็นเรื่อง “ชั่วคราว” นักลงทุน “ระยะยาว” ที่มักจะลงทุนในหุ้นแต่ละตัวหรือลงทุนเป็นพอร์ตระยะยาวเกิน 3-5 ปี ขึ้นไปนั้น จึงแทบไม่ต้องสนใจว่าเงินเฟ้อและดอกเบี้ยจะเป็นเท่าไร เพราะเราจะถือหุ้นผ่านช่วงเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่สูงกว่าปกติไปอยู่แล้ว และก็แน่นอนว่ามักจะผ่านช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำเพราะเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่สูงกว่าปกตินั้นด้วย

เช่นเดียวกับเรื่องเลวร้าย เรื่องดี ๆ ต่อตลาดหุ้นเองก็มักจะเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” การอัดฉีดเงินจำนวนมากของรัฐบาลต่าง ๆ ให้แก่ประชาชนเพื่อลดผลกระทบจากโควิด ซึ่งส่งผลให้เกิดสภาพคล่องทางการเงินเหลือล้นและอัตราดอกเบี้ยต่ำลง และทำให้นักลงทุนส่วนบุคคลเข้ามาเล่นหุ้นและหลักทรัพย์เก็งกำไรเช่นเหรียญดิจิทัลต่าง ๆ มากขึ้นมหาศาล ได้ส่งผลให้หุ้นและตราสารเก็งกำไรต่าง ๆ ปรับตัวสูงขึ้นมาก

การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและ “บ้าคลั่ง” ต่อเนื่อง “เป็นปี ๆ” นั้น ได้ทำให้คนที่ทำกำไรจากการลงทุนเป็นกอบเป็นกำอย่างง่าย ๆ นั้นคิดว่า โลก “กำลังเปลี่ยนไป-ตลอดกาล” และ “คุณค่าของหลักทรัพย์หรือทรัพย์สิน” นั้น ไม่จำเป็นที่จะเป็นตัวกำหนดราคาหุ้น



พูดง่าย ๆ พวกเขาเชื่อว่าราคาหุ้นก็จะขึ้นไปเรื่อย ๆ และก็ไม่ต้องห่วงว่าราคาจะแพงเกิน “พื้นฐาน” ที่คิดจาก “ผลประกอบการของกิจการ” ไปมากมาย หุ้นจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับพวกเขาเองที่จะซื้อหรือขาย โดยที่การจะซื้อหรือขายนั้น อาจจะขึ้นอยู่กับสตอรี่หรือเรื่องราวที่พวกเขา “เชื่อ” โดยที่ไม่ต้องมีเหตุผลและตัวเลขที่หนักแน่นมารองรับ ในกรณีของบิทคอยน์เองนั้น ช่วงที่มันมีราคาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วนั้น คนจำนวนมากที่ได้กำไรมากมายต่างก็คิดว่า บิทคอยน์ 1 เหรียญอาจจะมีราคาเป็นล้านดอลลาร์ก็ได้ เพราะอนาคตมันจะ “แทนเงินเฟียตทั้งโลก”

ผมคงไม่ต้องบอกว่าสถานการณ์ช่วงโควิด-19 ที่ดีมาก ๆ ต่อตลาดหุ้นโดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐและอีกหลายแห่งของโลกนั้น เป็นเรื่อง “ชั่วคราว” ที่นักลงทุนน่าจะคาดการณ์ได้ เพราะจะเป็นไปได้อย่างไรที่รัฐบาลแทบทุกประเทศจะอัดฉีดเงินมหาศาลเข้าสู่ระบบในขณะที่คนทำงานน้อยลงเพราะต้องถูก “ล็อกดาวน์” อยู่เป็นครั้งคราวเป็นระยะเวลายาวนาน ถ้าเป็นแบบนั้น ในที่สุดเงินก็ต้องเฟ้อและดอกเบี้ยก็จะต้องเพิ่ม ซึ่งก็จะทำให้หุ้นตก และนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหลังจากเวลาผ่านไป 2 ปีที่นักลงทุน “เชื่อ”ไปแล้วว่าสถานการณ์ที่หุ้นขึ้นอย่างบ้าคลั่งเพราะการเก็งกำไรจะอยู่กับเราตลอดไป

ประเด็นสำคัญที่จะต้องเข้าใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ อะไรคือ “ดีเลิศ” หรือ “เลวร้าย” ที่จะเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” ที่นักลงทุนระยะยาวอาจจะไม่ต้องสนใจเพราะ “มันจะผ่านไป”



ผมเองคิดว่าจะต้องเปรียบเทียบกับ “ภาวะปกติ” ซึ่งก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่ของเวลาที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น อัตราดอกเบี้ยปกติของอเมริกาในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 3% หรือถ้ามองย้อนหลังไป 60 ปี ก็อาจจะขึ้นไปถึง 6% ดังนั้น เราก็อาจจะพูดว่าช่วงเวลาย้อนหลังไป 10 ปีที่ดอกเบี้ยเหลือเพียงไม่ถึง 1% เป็นช่วงเวลาที่ “ดีเลิศ” และเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” ที่ยาวมาก ในขณะที่ช่วงเวลานี้ที่อัตราดอกเบี้ยที่ 4% และกำลังจะขึ้นต่ออีก 1% นั้น เป็นช่วงที่เลวร้ายและก็น่าจะเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” ดังนั้น ถ้าเป็นนักลงทุนระยะยาวก็อย่ากลัวไปเลย เดี๋ยวมันก็จะลดลง ถ้าสนใจหุ้นตัวไหนก็ลงทุนได้ ดูที่พื้นฐานเทียบกับราคาหุ้น

เรื่องดีเลิศหรือเลวร้ายนั้น ไม่ได้ใช้ดูหรือพิจารณาเฉพาะตลาดหุ้นหรือตราสารอื่นโดยรวม แต่ยังสามารถใช้ได้กับหุ้นหรือกิจการแต่ละแห่งด้วย ในบางช่วงตัวกิจการอาจจะ “ดีเลิศผิดปกติ” เพราะภาวะอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น – ชั่วคราว หลังจากที่อยู่ในภาวะปกติมานาน เช่น กิจการไม่ค่อยโต กิจการทำกำไรต่ำวัดจากกำไรต่อยอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3% เพราะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์หรือสินค้าที่มีผู้ขายแข่งขันกันรุนแรงและไม่มีใครได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืนจริง ๆ แต่แล้วภาวะอุตสาหกรรมก็ดีขึ้นอย่างทันทีเพราะเกิดโควิด-19 ซึ่งทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นและกำไรต่อยอดขายสูงขึ้นมาก นี่ทำให้ผลประกอบการบริษัท “โต” ขึ้นต่อเนื่องมา 2 ปี ภาพของบริษัทเปลี่ยนไปกลายเป็นหุ้นโตเร็ว ราคาหุ้นวิ่งตามมา แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” หลังจากโควิดจบ มันก็จะกลับลงมา ว่าที่จริงมันอาจจะลงมาก่อนโควิดจบหลายเดือน

เช่นเดียวกับ “สิ่งเลวร้าย” ที่เกิดขึ้นกับหุ้นค้าปลีก ผู้บริโภค และการท่องเที่ยวที่ทำให้หุ้นตกเนื่องจาก “เศรษฐกิจถดถอย” เพราะโควิด ซึ่งก็เป็นเรื่อง “ชั่วคราว” ที่ในที่สุดก็จะผ่านไป และหุ้นที่แข็งแกร่งและมีความได้เปรียบคู่แข่งที่ยั่งยืนก็จะกลับมาสู่ภาวะ “ปกติ” ดังนั้น สำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว ก็ไม่ต้องสนใจมาก สิ่งที่เรามองตลอดเวลาก็คือ ความสามารถในการแข่งขันของหุ้นที่จะผ่านภาวะเลวร้ายต่าง ๆ ไปได้ ส่วนคนที่อยากจะฉวยโอกาส “ทำกำไรเพิ่มเติมในภาวะชั่วคราว” ก็อาจจะทำได้เช่นเดียวกัน แต่นี่ก็อาจจะเป็นศาสตร์และศิลป์อีกอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าไม่จำเป็นและก็ไม่การันตีว่าจะประสบความสำเร็จ
ภาพประจำตัวสมาชิก
IndyVI
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 17922
ผู้ติดตาม: 921

Re: ดีเลิศหรือเลวร้ายต่างก็เป็นเรื่องชั่วคราว/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ดีเลิศหรือเลวร้ายต่างก็เป็นเรื่องชั่วคราว - โลกในมุมมองของ Value Investor ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

https://youtu.be/B6M3ShbxyBU

phpBB [video]
Investment success doesn’t come from “buying good things,” but rather from “buying things well.
# Howard Mark #
ภาพประจำตัวสมาชิก
IndyVI
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 17922
ผู้ติดตาม: 921

Re: ดีเลิศหรือเลวร้ายต่างก็เป็นเรื่องชั่วคราว/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 3

โพสต์

FM 96.5 | รู้ใช้เข้าใจเงิน | ดีเลิศหรือเลวร้ายต่างก็เป็นเรื่องชั่วคราว | 19 ธ.ค. 65

คุยกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

https://www.youtube.com/watch?v=Badv--BY_1Q&t=1840s

phpBB [video]
Investment success doesn’t come from “buying good things,” but rather from “buying things well.
# Howard Mark #
ภาพประจำตัวสมาชิก
Peter1011
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 320
ผู้ติดตาม: 106

Re: ดีเลิศหรือเลวร้ายต่างก็เป็นเรื่องชั่วคราว/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 4

โพสต์

จริงหรอครับ? ลองไปเป็นคนโปแลนด์กับฮังการีดูสิครับ และถ้าคุณไปลงทุนในประเทศพวกนี้ในปี 1936 แล้วไม่ได้ขายออกมา คุณจะไม่เหลืออะไรเลย หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว ตลาดหุ้นของสองประเทศนี้โดน nationalised โดยกองทัพคอมมิวนิสต์ ใช่ครับ นี่ก็เป็นเรื่องชั่วคราว แต่ยาวมาากว่า 50 ปี
To try not to lose money in stocks is when you know what you own and why you own it so that you can buying things well and own a great company at a fair price, therefore the time to sell it is - almost never!
โพสต์โพสต์