องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ปี 2022 กำลังจะผ่านไป ปีนี้ผมลงทุนในหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ ได้ครบ 10 ปี แถมปีนี้หุ้นเทคฯ ลงหนัก พอร์ตคนที่ลงทุนในหุ้นเทคฯ หลายๆ คนคงจะเสียหายมากเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น เลยอยากจะสรุปองค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้รับมาจากการลงทุนที่ต่างประเทศมาตลอด 10 ปีนี้ เผื่อจะช่วยให้เพื่อนๆ ที่กำลังหมดหวัง หาทางออกไม่เจอ อาจจะได้ประโยชน์อะไรบ้างจากประสบการณ์ของผม

ตามปกติผมเวลาผมจะเขียนอะไร ผมจะตั้งใจเขียน edit หลายรอบ อ่านทวนซ้ำ ทำให้ดีที่สุดก่อนโพสต์ พยายามให้ถูกต้องที่สุดทั้งแนวคิด อักขระ พยัชญนะ ซึ่งมันทำให้ผมเขียนอะไรได้ช้ามาก เปลืองพลังงานสุดๆ แต่ในการเขียนครั้งนี้ ผมจะเขียนแบบว่า คิดอะไรได้ เขียนเลย ไม่ edit ไม่ตรวจคำผิด อยากเขียนก็เขียน หมดเรื่องที่จะเขียนก็จะหยุดเขียน ซึ่งอาจจะกินเวลาหลายวัน หรือเป็นเดือน แล้วแต่ความสะดวก และแรงบันดาลใจ ณ ขณะนั้น ซึ่งก็รบกวนผู้อ่าน ผู้ Comment และ Moderator ช่วยกันดูเองแล้วกันนะครับว่าจะทำอย่างไรให้สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ผมเขียน สามารถอ่านได้ง่าย

แต่ที่แน่ๆ คือ ผมจะไม่ตอบคำถามอะไรที่ใครถามเข้ามา ผมไม่อยากเสียสมาธิ และเปลืองพลังงานกับการตอบคำถาม แค่อยากสรุปสิ่งที่ตัวเองได้มา ให้มัน Flow ไหลออกมาเฉยๆ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ปี 2022 เป็นปีที่หุ้นเทคฯ ลงหนัก พอร์ตผมก็เจ็บหนักที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 เช่นกัน ซึ่งอันนี้เป็นสถานการณ์เริ่มต้นของการเขียนขณะนี้ ผมจะเริ่มต้นด้วยความรู้สึกที่เป็นปัจจุบันที่ผมเชื่อว่าคนที่ลงทุนหุ้นเทคฯ รู้สึกกัน

- สิ่งที่ผมศึกษามา คือ เวลาที่สภาพจิตของเราอยู่ในสภาวะที่หดหู่เศร้าหมอง เป็นทุกข์มากๆ เหมือนหาทางออกอะไรไม่ได้ ผลของมันที่นักวิจัยพบ คือ ระดับ IQ ของเราจะลดลงประมาณ 13-14 จุด กล่าวคือ ถ้าคนฉลาด คุณจะกลายเป็นคนธรรมดา ถ้าคุณเป็นคนธรรมดา คุณจะกลายเป็นคนโง่ ความสามารถในการควบคุมตัวเองจะต่ำลง การตัดสินใจจะแย่ถึงแย่ที่สุด คุณจะหมกหมุ่นอยู่กับปัญหา จนสูญเสียขีดความสามารถต่างๆ ที่จะทำอะไรให้ได้เป็นปกติ

- ถ้าปัญหาที่หุ้นตกทำให้เราเกิดสภาพจิตที่ไม่ปกติ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ คิดไม่ออก อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดเรื่องแรกที่เราต้องแก้ให้ได้ เพราะ ถ้าจิตใจเราไม่พร้อม ไม่สงบ ไม่ว่างพอจริงๆ ปัญหาง่ายๆ อย่างบวก ลบ คูณ หาร เลขยังไม่ได้ค่อยได้เลย จะให้ไปแก้พอร์ตนี้ บอกได้เลยว่ายาก ดังนั้นขั้นแรกที่สุด เราต้องแก้สภาพจิตของเราให้สงบลงให้ได้ก่อน

- มันมีวิธีแก้หลายอย่าง ซึ่งแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ด้วยความที่ผมศรัทธาในพระพุทธศาสนา และการฝึกจิต ผมก็ใช้การปฎิบัติธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิ และพักผ่อนออกจากปัญหา ในการ Tune สภาพจิตใจให้พร้อมก่อนกลับมาวิเคราะห์ปัญหา เพื่อหาทางแก้ ซึ่งแต่ละคนพื้นฐาน ประสบการณ์ นิสัย ปม เครื่องมือ วิธีการที่เหมาะสมก็แตกต่างกันไป วิธีของผมมันใช้ของผมได้ เพื่อนๆ ที่มีปัญหาเดียวกันกับผมนี้อาจจะใช้วิธีการแบบผมไม่เวิร์ก ก็คงต้องหาวิธีการที่เหมาะสมกับตัวเอง

- แต่วิธีการของผมมันมี Concept แบบนี้ครับ คือ การปฏิบัติธรรมของผมจะฝึกสติ ให้อยู่กับการเดินกลับไปกลับมา และอยู่กับการนั่งดูลมหายใจเข้าออก พอมีอะไรมารบกวน ดึงดูดสติให้หลุดจากการเดิน หรือลมหายใจ ก็รู้ตัวว่าหลุดออกไป แล้วก็ดึงความสนใจกลับมาที่การเดิน หรือ ลมหายใจ ฝึกทำไปบ่อยๆ เรื่อยๆ จนเป็นกิจวัตรจนเป็นนิสัย วิธีการนี้จะช่วยให้เรามีขีดความสามารถในการดึง หันเห ความสนใจและปักอารมณ์กลับเข้าไปในสิ่งที่เรากำหนดให้เป็นเป้าหมายได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นทักษะสำคัญในการจัดการอารมณ์ เพราะ การเดิน หรือ การหายใจ เป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่สุดแสนนะน่าเบื่อในชีวิตมนุษย์ ถ้าหากเราสามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งที่น่าเบื่อได้ ทิ้งความคิด อารมณ์ ความทรงจำ การคิด การจินตนาการ ที่ดูแล้วสนุก หรือ ดึงดูดใจมากกว่าได้ มันก็จะทำให้เรามีขีดความสามารถในการจัดการอารมณ์มากขึ้น โดยเฉพาะ ในยามที่หุ้นตกหนัก โลกดูหดหู่ขนาดนี้

- คุณอาจจะไม่ใช้วิธีการเดียวกับผม แต่ทำอะไรสักอย่างเถอะ ให้ใจของเราที่เป็นทุกข์ ที่หดหู่ กลับขึ้นมาสงบ มีสมาธิ ร่าเริง พร้อมที่จะทำงาน แก้ปัญหา ตลอดจนหาโอกาสให้เจอ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 3

โพสต์

เมื่อสภาพจิตความปกติ เป็นกลางระดับหนึ่ง คำถามที่ตามมา คือ ทำไมเราถึงรู้สึกแบบนี้

ตอบแบบกำปั้นทุบดิบ ก็คงจะตอบว่า แน่ล่ะ ก็หุ้นมันตกหนักนิ จะให้ร่าเริง มีความสุข สบายใจได้อย่างไร

แต่คำถามที่ลึกลงไปกว่านั้น คือ อะไรเป็นตัวกำหนดให้พฤติกรรมของเราเป็นแบบนั้น ทุกคนในโลกเห็นหุ้นตกแล้วเครียด หดหู่รึเปล่า มีคนที่ร่าเริง โลภ เห็นโอกาส ในยามที่คนอื่นกลัวไหม ซึ่งมันก็จะนำไปสู่การศึกษาต่างๆ ตามมาถ้าเราตั้งคำถาม

ในช่วงที่ผ่านมาผมพยายามศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการ พันธุกรรม พฤติกรรม ความเสี่ยง ฯลฯ เท่าที่เข้าใจ ผมคิดว่า มนุษย์เราถูกพัฒนามาในช่วงยังล่าสัตว์หาของป่า พฤติกรรมของเราหลายๆ อย่าง ที่เกิดขึ้นในช่วงที่โลกยังมีภัยคุกคามอยู่มาก เลยทำให้เรา Sensitive กับข่าวร้าย เพื่อรักษาชีวิตให้รอดไปให้ได้นานที่สุด ขีดจำกัดของระบบสมองที่มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้เราเชื่อการตัดสินใจของฝูง มากกว่าข้อมูลที่เราวิเคราะห์ไม่เป็น และไม่ไหว ฯลฯ

ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว โลกนี้กำลังดีขึ้นอยู่ทุกวัน ชีวิตของเราทุกวันนี้ดีกว่าเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ดีกว่าเมื่อ 1000 ปีที่แล้ว และดีกว่าเมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว ซึ่งลองไปหาหนังสืออย่าง Rational Opitmist, Abandunce The Futures is better than you think, More from Less หรือหนังสือประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของเทคโนโลยี ลองอ่านดูหลายๆ เล่ม แล้วคิดตามก็จะเห็นได้ว่า โลกเรากำลังดีขึ้นอยู่ทุกวัน

แต่ทั้งๆ ที่โลกนี้กำลังดีขึ้นอยู่ทุกวัน จะไม่ว่าช่วงเวลาไหนของโลก ก็จะมีคนกลัวว่าทุกอย่างกำลังจะสิ้นสูญ พังทลาย โลกกำลังจะแตก เราจะไม่มีอาหารกิน น้ำมันจะหมดโลก มลพิษจะคร่าชีวิตของเรา อยู่ตลอดเวลา

แต่ข้อเท็จจริง คือ โลกใบนี้กำลังดีขึ้นอยู่ทุกวัน จากการที่เรามีพัฒนาการของเทคโนโลยี เรามีตลาดเสรี โลกใบนี้ยังมีรัฐบาลดีๆ ที่สนับสนุนให้เทคโนโลยี และตลาดเสรียังเดินหน้าไปได้อยู่ และแก้ไขปัญหาที่ตลาดแก้ไม่ได้ และเรายังมี Feedback Loop ที่ดีจาก Social Network ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

โลกในอีก 10 ปีข้างหน้าจะยังดีกว่าวันนี้ เราจะมี AI ที่เก่งขึ้น ที่ทำให้เราไม่ต้องทนเสียเวลาคุยกับ Call Center ที่ไม่ค่อยจะช่วยแก้ปัญหาอะไรให้กับเราได้เท่าไร เวลาเราอยากจะสร้างบ้านใหม่ เรากับ Designer จะมี AI มาคอยช่วยให้ออกแบบได้ดีขึ้น เร็วขึ้น ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น การเข้าใจในเรื่องของร่างกาย ยา และอาหาร จะทำให้มนุษย์เจ็บป่วยน้อยลง และชีวิตยืนยาวขึ้น เราจะมีเทคโนโลยีที่เข้าถึงแหล่งพลังงานที่ใช้ไม่มีวันหมด ฯลฯ

จริงๆ แล้วโลกใบนี้กำลังดีขึ้นอยู่ทุกวัน แต่รหัสพันธุกรรมที่เราได้รับจากมาจากบรรพบุรุษ ทำให้เรากลัวภัยที่อยู่ต่อหน้า ทำให้เราขยายภัยที่ระดับความรุนแรงสูง แต่มีความเสี่ยงต่ำๆ ให้ใหญ่ น่ากลัว และมีความน่าจะเป็นสูงเกินจริง ในขณะที่เรื่องดีๆ ที่มีความน่าจะเป็นสูง ธรรมชาติของเราจะด้อยค่า ลดความน่าจะเป็นลง

พฤติกรรมตามธรรมชาติของเรา ที่ได้รับมาจากวิวัฒนาการ ไม่ได้มองโลกตามความเป็นจริง
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 4

โพสต์

สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ถ้าเราไม่ได้ฝึกจิต ตามปกติแล้ว เราจะไม่ได้มองโลกตามความเป็นจริง การมองโลกตามความเป็นจริง คือ เราต้องฝึกไม่ให้กลไกตามธรรมชาติของเราทำงานตามปกติ

เราจำเป็นต้องใช้สติ ใช้ความเข้าใจของแรงขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจที่ไม่สอดคล้องกับความน่าจะเป็น ความเสี่ยง และโอกาส ในการที่จะมองความเสี่ยงและโอกาสได้ตามความเป็นจริงมากขึ้น

เราจำเป็นต้องบันทึก ตรวจสอบ วิเคราะห์ พัฒนาแนวทาง สร้างนิสัย ทำ Checklist และจัดการความรู้สึกเพื่อที่จะ Execute และนำผลลัพธ์กลับมา Feedback ในกระบวนการ เพื่อที่จะทำให้เรามองโลกได้ตามความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ถ้าเรามองโลกตามความเป็นจริงได้มากขึ้นแล้ว ความเป็นจริงหนึ่งในการลงทุน คือ ในเมื่อโลกใบนี้ดีขึ้นอยู่ทุกวัน การลงทุนในกิจการ จึงไม่ใช่ Zero Sum Game

เงิน 20,000 บาท ในอดีต เราอาจจะซื้อทีวีขาวดำได้สักเครื่อง แต่เงิน 20,000 บาทในวันนี้เราซื้อโทรศัพท์ Smartphone ที่ทำให้อะไรได้มากกว่าเงิน 20,000 บาทในอดีตอยู่มาก ถ้าเราเอาเงิน 20,000 บาทไปลงทุนโดยที่ไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย เวลาผ่านไป เงิน 20,000 บาทของเรากลับมีมูลค่าเพิ่มขึ้น จากเทคโนโลยีที่ดีขึ้น

ความหมายก็คือ ถึงแม้เราจะลงทุนขาดทุนไปบ้าง แต่ถ้าการขาดทุนของเราไม่ได้มากไปกว่าพัฒนาการของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น โดยรวมแล้วเราก็ยังกำไร

เพราะ เรากำลังอดใจกับการไม่ใช้เงิน 20,000 บาท ซื้อทีวีขาวดำ เก็บเงินเอาไว้รอซื้อ Smartphone แทน จริงๆ แล้ว มูลค่าของทีวีขาวดำในยุคนี้มูลค่าต่ำกว่าเงิน 20,000 บาทอย่างมหาศาล ดังนั้น ขอให้คุณใช้ให้น้อยกว่าที่คุณหาได้ และมีเงินเก็บที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ฝากเงินเอาไว้เฉยๆ เดี๋ยวเทคโนโลยีจะทำให้เงินของคุณมีค่ามากขึ้นไปเอง
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 6

โพสต์

นอกจากนี้แนวโน้วนึงที่กำลังเกิดขึ้นในโลกก็คือ Universal Basic Income ซึ่งการที่รัฐบาลสหรัฐฯ แจกเงินประชาชนในช่วง COVID เปรียบเสมือนการทดลองในเรื่อง Universal Basic Income ครั้งใหญ่

ในมุมมองของนักเทคโนโลยี Futurist เค้าคิดกันว่า ถ้าเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ เราจะเข้าถึงพลังงาน ทรัพยากรต่างๆ มากขึ้น แล้วจะทำให้คนเราจำเป็นต้องทำงานน้อยลง อย่างตอนนี้บางประเทศก็ทำงานกัน 6 ชั่วโมง และจะลดลงเหลือ 4 ชั่วโมง การทำงาน Remote Work ทำให้คนมีเวลามากขึ้น สัปดาห์หน้าอาจจะทำงานไม่กี่วัน ซึ่งถ้าเทคโนโลยีเจริญถึงจุดหนึ่งการจะที่ให้ที่อยู่อาศัยฟรี อาหารฟรี ยารักษาโลกฟรี ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้

ลองไปดูประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดีๆ ดูสิครับ ว่าเป็นอย่างไร จากแนวโน้มทางเทคโนโลยี จะทำให้ในอนาคตคนทำงานน้อยลง อาจจะไม่ได้เงินมากขึ้น แต่ข้าวของค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ (ไม่ใช่สนองกิเลส) ลดลง หรือได้ฟรี

และมันจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ จนจะไปถึงจุดที่เกิด Universal Basic Income ซึ่งในพระไตรปิฎกเวลาพระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับความเจริญและความเสื่อมของโลก ก็มีพูดถึงในยุคสมัยที่โลกเจริญมากๆ เรามี AI ที่ฉลาดมาๆ และมีระบบ Universal Basic Income อยู่

ซึ่งนี่ก็จะเป็น Base Line หรือ Worst Case Scenario คือ ขอแค่ให้คุณรักษาใจในการอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุขไปเรื่อยๆ เถอะ โลกใบนี้จะดีขึ้นเอง คุณจะไม่จำเป็นต้องลงทุนเลยก็ได้ แค่คุณมีงานทำ คุณมีความสุขกับงานที่คุณทำ และได้รับค่าจ้างที่เหมาะสม โลกใบนี้จะดีขึ้นเอง ขอแค่คุณรักษาชีวิตคุณผ่านช่วงเวลาต่างๆ ที่เลวร้ายที่จรมาชั่วคราวไปให้ได้ อนาคตที่ดี มีคนดีๆ เก่งๆ กำลังสร้างและจะนำมาแบ่งปันให้กับคุณเอง
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 7

โพสต์

<< ขอขั้นเวลารายการเล็กน้อย หลังจากเขียนไปเสร็จครั้งที่ 1 นี่คือ การเขียนครั้งที่ 2 >>

เนื่องจากการเขียนแต่ละรอบ ผมเขียนในช่วงเวลาต่างกัน เขียนเสร็จในชีวิตจริงผมอาจจะเจอเรื่องราว เหตุการณ์อะไรหลายๆ อย่าง ความไหลรื่น ต่อเนื่องของเนื้อหาอาจจะไม่ต่อเนื่อง หรือเกี่ยวข้องอะไรกันเลย หรือบางนี้เนื้อหา เรื่องราวก็อาจจะออกทะเลไปทางไหนไม่รู้หาทางกลับไม่เจอ ไม่เหมือนเนื้อหาดีๆ ที่มีการวางแผน มีการเตรียมการ ผมก็เลยตั้งชื่อกระทู้ว่า องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมคิดออกว่าเกิดขึ้นในชีวิตการลงทุนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ดังนั้นในการกลับมาเขียนแต่ละครั้ง ผมจะขึ้นจั่วหัวว่าการเขียนครั้งที่เท่าไรเอาไว้ด้วย เผื่อคนอ่านจะตกใจถึงความไม่สอดคล้อง ไม่ไหลรื่น จะได้เตรียมใจเอาไว้ได้ถูกว่าสิ่งที่อ่านกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงจาก เวลาและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันในการเขียน
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ผมคิดว่าทักษะที่สำคัญมากในการลงทุน กับ การใช้ชีวิต คือ การรักษาสภาพความเป็นกลางของใจของเรา ให้มองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง

เราจำเป็นต้องมีความสามารถในการยกจิตในยามที่สมควรยก ข่มจิตในยามที่สมควรข่ม

ในช่วงก่อนหน้าที่มีสัญญาณฟองสบู่มากมาย ผมจำได้ว่าเมื่อปีที่แล้วตอนผมไปอยู่สหรัฐฯ ไปเจอเด็กเสิร์ฟคนไทยคนนึง พอรู้ว่าเป็นคนไทย ทักกัน เค้าก็บอกว่าเค้าลงทุน เล่นคริปโต เค้าว่าเค้าได้อีกสักช๊อตจะเกษียณ อีกหลายๆ วาระเราได้ยินคนหลายๆ ที่ยังมีประสบการณ์ไม่มากได้กำไรจากอะไรเยอะๆ และคนทุกคนกำลังจะรวยแล้ว กำลังจะเกษียนแล้ว เหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนอะไรหลายๆ อย่าง ภรรยาผมถามว่า ถ้าทุกคนเกษียนกันหมดแล้วใครจะทำงาน ผมก็ได้แต่ตอบขำๆ ไปว่า ให้เครื่องจักร หุ่นยนต์ทำงานแทนมั้ง

ซึ่งในช่วงเวลาเมื่อปีที่แล้ว มันคือช่วงเวลาที่เราควรข่มจิตในยามที่ควรข่ม ซึ่งมันไม่ง่ายเลยครับในสถานการณ์จริง ช่วงปี 2019 ถึงต้นปี 2020 ผมศึกษาเกี่ยวกับเรื่องฟองสบู่ เรื่องการจะเอาตัวรอดยังไงจากฟองสบู่เยอะมาก พอสถานการณ์จริงมันเกิดขึ้น มันยากกว่าที่คิดมาก ผมว่าเราจะระวังระดับหนึ่งแล้ว เราข่มจิตของเราไม่ให้ตื่นเต้น ร่าเริงมากเกินไป พยายามเอาตัวออกจากสังคม พยายามฟังคนอื่นให้น้อยๆ พยายามไม่ไปยุ่งอะไรกับที่เราคิดว่าเป็นฟองสบู่แล้ว แต่เราก็จะยังมี Bias หรือมีเหตุปัจจัยอะไรบางอย่าง ทำให้เราคิดผิด เห็นผิด กระทำผิด ได้อยู่

Bias ที่ชื่อว่า Status Quo ที่เราพยายามรักษาสภาพ รักษาพลังงาน อยากที่จะจมอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร จากการที่เราเหนื่อยจากการทำอะไรลงไปแล้วก่อนหน้า จนเกิด Sunk Cost Bias ทำให้การข่มจิตในยามที่สมควรข่มทำได้ยาก คุณจะศึกษามาเท่าไร คุณจะได้รับคำเตือนมายังไง คุณจะพยายามหนี ไม่รวมตัวไปวิ่งกับฝูงยังไง แต่ธรรมชาติของ Bias ของเราจะยังคงทำงานอยู่เสมอ ดังนั้นในการลงทุน คุณควรที่จะลงทุนในสิ่งที่คุณมีความเชื่อและศรัทธาจริงๆ ว่าถ้าเกิด Accident อะไรบางอย่างขึ้น สิ่งที่คุณลงทุนมีราคาลดลงไป 50% คุณจะยังทนกับมันได้ คุณจะยังมีศรัทธากับมันได้

ผมพยายามข่มจิตในยามที่ควรข่มแล้ว พยายามลงทุนในกิจการที่ผมชอบ ที่ผมเชื่อ ที่ผมศรัทธาจริงๆ ในระดับที่ผมเชื่อว่าถ้ามันลงหนักๆ การจัดสรรสัดส่วนของพอร์ต จะทำให้ผมยังมีชีวิตรอดต่อไป เตรียมตัวว่าถ้าหุ้นจะตกจะแย่ไป 5-7 ปี ผมก็จะยังโอเคอยู่ เวลาสถานการณ์มันเกิดขึ้นจริง มันยากมากกว่าที่คิดมากๆ เลยครับ

Checklist สิ่งที่คิด สิ่งที่วางแผนเอาไว้ เวลาเกิดสถานการณ์จริง มันไม่เคยง่ายแบบในแผน ในสถานการณ์ Black Swan แค่ทำตามแผนได้บ้างก็ถือว่าเก่งแล้ว เพราะ แผนของเราเป็นสิ่งที่ฝืนอารมณ์ ความรู้สึก และธรรมชาติทางพันธุกรรมของเราสุดๆ แต่ผลของการข่มจิตของเราในยามที่ควรข่มจะช่วยลดความเสียหายลงไปได้ ไม่มากก็น้อย ยิ่งมีประสบการณ์ในการข่มจิตในยามที่ควรข่ม วางแผนรองรับ Black Swan ที่อาจเกิดขึ้น อย่างนั้นมันจะทำให้เรากล้าที่จะมองหน้าเข้าไปที่พายุที่กำลังพัดมา เพื่อจะได้ตัดสินใจว่าทิศทางของพายุกำลังจะไปทางไหน เราจะจัดการอย่างไร ถึงแม้ว่าในครั้งนี้เราจะกลัวขาสั่นไม่ได้ทำอะไรตามแผนเลย อย่างน้อยเราก็กล้าที่จะเริ่มมองตรงเข้าไปที่ปัญหาที่กำลังจะพุ่งเข้าใส่เรา

ถ้าเชื่อในการลงทุนระยะยาว ถ้าเชื่อว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่งพายุจะผ่านไป ท้องฟ้าจะสดใส เราจะยังคงลงทุนต่อไปในระยะยาว เชื่อว่าโลกของเราดีขึ้นอยู่ทุกๆ วัน ถ้าหากเราผ่านไปได้ ผมเชื่อว่าเราจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าวันนี้ ในอนาคตถ้าหากพายุลูกถัดๆ ไปเข้ามา เราจะมีความสามารถในการข่มจิตที่ดีขึ้น เราจะวางแผน และ Execute แผนของเราได้ดีกว่าครั้งนี้อย่างแน่นอน
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 9

โพสต์

อย่างไรก็ตาม ในยามนี้ทักษะของนักลงทุนหุ้นเทคฯ ที่ต้องใช้มากที่สุด คือ การยกจิตในยามที่ควรยก เสียมากกว่า ถ้าพูดเป็นภาษาของ VI คือ จงโลภในยามที่คนอื่นกลัว

ผมคิดว่าระดับความกลัวของนักลงทุนตอนนี้น่าจะไปกันถึงขีดสุด เหมือนกับอ่าน Year-End Message จากป้า Cathie Wood ว่าจากการ Survey ของ BofA ระดับของการถือเงินสดของกองทุนตอนนี้สูงที่สุดนับตั้งแต่ 9/11 นักลงทุน Overweight Bond มากที่สุดนับตั้งแต่ 2009 Put/Call Ratio สูงที่สุดนับตั้งแต่ Dot Com และ Subprime หรือถ้าไปดู Implied Equity Risk Premium ของอ. Damodaran ก็พุ่งขึ้นไปแถวๆ ช่วง Subprime ในขณะที่ Expected Return จากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ของอาจารย์ ก็ขึ้นไปสูงถึง 9-10%

นักลงทุนในหุ้นเทคฯ ตอนนี้คงจะรู้สึกกลัวกันหัวหดสุดๆ ซึ่งทักษะในขณะนี้ คือ การยกจิตในยามที่ควรยก ปรับระดับสภาพจิตให้เป็นกลางให้ได้ ก่อนที่จะทำอะไรต่อไป

ความกลัวนี่น่ากลัวนะครับ ผมเขียนถึงตรงนี้ ผมยังรู้สึกได้เลยว่าระดับของความเร็วในการเขียนมันลดลง สมองแล่นได้ช้าลง หัวใจเต้นเร็วขึ้น การจะพิมพ์อะไรแต่ละอย่างออกมาเป็นตัวอักษรนี่ มันทำได้ยากเหลือเกิน ในยามที่เรากลัว เราอยากจะหดหัวอยู่ในกระดอง เราอยากจะจมอยู่บนเตียงไม่อยากนอนตื่นขึ้นมารับรู้โลกแห่งความเป็นจริง เราไม่อยากจะได้เจอใคร ไม่อยากจะคุยกับใคร ไม่อยากจะได้ยินเรื่องหุ้นจากใคร อยากจะหนีมันไปให้ไกล ไม่อยากจะรับรู้โลกแห่งความเป็นจริงใบว่า ว่าอัตตาตัวตนของเราที่ก่อนหน้านี้คิดว่ายิ่งใหญ่คับฟ้า ในขณะนี้มันเล็กจิ๋วเหมือนมด และถ้าเป็นไปได้อยากจะมลายหายไปเป็นอากาศธาตุ

ถ้าปล่อยให้จิตมันดำเนินไปตามธรรมชาติ ไม่ยกจิต ไม่มีเครื่องมือ ไม่มีคนที่รักและเข้าใจเรา และเกิดเหตุประจวบเหมาะกับมีปมบางอย่างในวัยเด็กหรือชีวิต ความเสี่ยงที่จะหดหู่ ซึมเศร้า และอยากฆ่าตัวตายจะสูงมาก

ผมจำได้ว่าช่วง Subprime ทั้งๆ ที่เหตุเกิดที่สหรัฐฯ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับประเทศไทยเราโดยตรงสักเท่าไร แต่ผลกระทบของมันที่ทำให้หุ้นไทยตก ทำให้บรรยากาศการพูดคุย หาหุ้นในช่วงนั้นในเว็บ Thai VI นี่คือ เงียบสนิท คนไม่มีกระจิตกระใจ ถอดใจกันไปหมด

ในครั้ง Subprime ผมอยู่วงนอกมองมาที่สหรัฐฯ แต่ครั้งนี้ผมอยู่ใจกลางของพายุ เพราะ ลงทุนอยู่ในหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ แบบเต็มๆ บอกได้คำเดียวเลยครับ ว่าประสบการณ์ครั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาบีบคั้น และน่ากลัวมาก แต่ก็สนุกมาก ได้เรียนรู้อะไรเยอะสุดๆ ได้รู้จักตัวเองเพิ่มขึ้นเยอะมาก ได้เห็นสภาพจิตใจตัวเอง และการจัดการของตัวเองในสถานการณ์ต่างๆ หัวใจของสิ่งที่ได้เรียนรู้ในปีที่ผ่านมาที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ว่ายังไงก็ต้องรักษาใจและชีวิตตัวเองในวันนี้ไปให้ได้

เมื่อเราผ่านวันนี้ไปได้ พรุ่งนี้เราก็จะตื่นพร้อมขึ้นมากับใจดวงใหม่ ที่ไม่เคยเหมือนเดิม ความบีบคั้นอย่างรุนแรงเมื่อวาน ก็อาจจะหายไป หรืออาจจะเปลี่ยนรูปแบบไป ไม่คงทนถาวร สถานการณ์บีบคั้นในวันนี้ อนาคตวันหนึ่งก็จะคลี่คลาย ลองจินตนาการคนเจอ Great Depression ที่เจอวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรงจนคนไม่มีกิน ไม่มีงานทำ จะอดตายเอา หรือคนที่เจอ สงครามโลก ที่บ้านพังทลาย ทุกอย่างสูญสิ้น ญาติพี่น้องเสียชีวิต ว่าสุดท้ายกลไกของโลกเราก็ทำให้โลกเราสามารถผ่านมันไปได้ และมีโลกที่ดียิ่งขึ้น จากวิกฤตต่างๆ ขอแค่เราผ่านวิกฤต หรือ ปัญหาต่างๆ โดยยังรักษาชีวิต รักษาใจของเราไปให้ได้ อนาคตที่ดีมันจะรอเราอยู่อย่างแน่นอน
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 10

โพสต์

โลกใบนี้ยังดีขึ้นอยู่ทุกวัน เพราะ คนในโลกใบนี้ยังคง "พยายาม" ที่จะทำอะไรให้ดีขึ้นอยู่ทุกวัน

ตอนที่เกิด COVID ขึ้นใหม่ๆ ทุกอย่างหดหู่ถึงขีดสุด ผมได้ร่วมฟังสัมมนาอันหนึ่งเกี่ยวกับ Emotional Intelligence วิทยากรเค้าเล่าให้ผมฟังว่า ในช่วง Great Depression ที่หลายๆ คนหมดหวังสิ้นหวัง ได้เกิด Technology Innovation ขึ้นเยอะมาก จากความพยายามในการหาทางแก้ปัญหาในช่วงนั้น คล้ายๆ กับช่วงสงครามโลก ที่ก็จะเกิด Technology Innovation ขึ้นเยอะมาก วิทยากรบอกว่า ใน COVID ก็น่าจะเป็นแบบในอดีต เราจำเป็นต้องมีความหวัง เราจำเป็นต้องมีมองโลกในแง่บวกให้ได้ เราจำเป็นต้องมีความฉลาดในทางอารมณ์ที่จะผ่าน COVID ไป

ผ่านมา 2 ปีเกือบ 3 ปี สิ่งวิทยากรพูดเป็นจริงยิ่งกว่าจริง ผมได้เห็นพัฒนการ ความช่วยเหลือ ความพยายาม อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตของผม สถาการณ์ ความบีบคั้น ความจำเป็นหลายๆ อย่างทำให้คนพยายามทำสิ่งดีๆ และมีขีดความสามารถในการปรับตัวอย่างเหลือเชื่อ Vaccine COVID ที่ตอนแรกเชื่อกันว่าน่าจะใช้เวลาหลายปีกว่าจะสำเร็จ เสร็จเร็วอย่างเหลือเชื่อ มนุษย์และกลไลของโลกทุกวันนี้มีขีดความสามารถในการปรับตัวที่สูงอย่างเหลือเชื่อ

ความพยายามในการหนีตาย เอาตัวรอด ที่บีบคั้นให้คนทั้งโลกต้องพยายามพร้อมๆ กัน เร่ง Speed ของพัฒนาการในโลกใบนี้หลายๆ อย่าง อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อย่างไรก็ตาม ตามธรรมชาติของการเกิด Technology ใหม่ๆ มนุษย์เราจะตื่นเต้น คาดหวัง กับ Technology ใหม่ๆ นั้นมากเกินไปในระยะสั้น แต่จะคาดหวังผลของ Techonology นั้นต่ำเกินไปในระยะยาว ในช่วงที่เกิดฟองสบู่ในช่วงที่ผ่านมา เราก็แค่คาดหวังสูงเกินไปในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้ว โลกไปนี้ ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับก่อน COVID เฉกเช่นเดียวกับการเกิดขึ้นของฟองสบู่ Internet

ทุกวันนี้ Internet และ Smartphone ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปอย่างสิ้นเชิง ในระยะสั้นในช่วงปี 2000 เราก็แค่ตื่นเต้นมากเกินไป แต่จริงๆ แล้วผลกระทบมันใหญ่หลวงมากๆ ในครั้งนี้ผลของการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างจาก COVID ก็จะนำไปสู่พัฒนาของนวัตกรรมอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน มันแค่อาจจะใช้เวลานานกว่าที่คิด แต่ในทางพื้นฐานแล้วมันมาแน่ๆ ในอนาคต โลกของเราในอีก 5 ปี ข้างหน้าจะดีกว่าในวันนี้อย่างแน่นอน
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ในหนังสือเรื่อง More from Less เพราะ โลกใบนี้ดีขึ้นอยู่ทุกวัน มาจากปัจจัยสำคัญ 4 อย่าง คือ 1) Technological Innovation 2) Capitalist Competition 3) Public Awareness และ 4) Resposive Government

เราเลยเห็นเศรษฐกิจโลกโตขึ้นอยู่ทุกวัน และเห็นเห็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นมาตลอด จากในอดีตที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯที่สะท้อนแค่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เฉยๆ พอก้าวข้ามไปสู่ยุคการทำธุรกิจข้ามชาติ ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ก็สะท้อนโลกทั้งใบ จากการทำธุรกิจข้ามชาติ กับการที่ธุรกิจในชาติต่างๆ เข้ามา List ในตลาดสหรัฐฯ

ปัจจัยทั้ง 4 อย่างนี้ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์โดยรวมดีขึ้น อย่างไรก็ตามมันก็มีช่วงเวลาที่ รัฐบาลในอดีตหลายๆ รัฐบาล ดำเนินนโยบายผิดพลาด ที่เข้าไปบิดเบือนกลไลตลาด เข้าไปขัดขวางพัฒนาการทางเทคโนโลยี และประชาชนไม่มีสิทธิไม่มีเสีย ทำให้ประเทศ อาณาจักร หรือ Empire หลายๆ แห่งในอดีตหลังจากที่พัฒนาขึ้นจนยิ่งใหญ่ถึงจุดหนึ่ง ก็เสื่อมถอย และเข้าสู่ยุคตกต่ำ บางครั้งก็พังทลาย หายไปเลยทีเดียว แม้ว่าจะชะลอตัว ถดถอย แต่สุดท้ายแล้วมนุษย์โดยรวมก็กลับขึ้นพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น

คำถามก็คือ ปัจจัยทั้ง 4 อย่างตอนนี้ยังคงพัฒนาไปในทิศทางที่ดีอยู่หรือไม่

จากที่สังเกต โลกในยุคนี้ให้ความสำคับกับ Technological Innovation สุดๆ กลยุทธ์ของประเทศหลายๆ ประเทศในโลกมุ่งเน้นไปที่เรื่องนี้เลยทีเดียว และการเกิดขึ้นของ COVID ทำให้เหมือนกับเป็นการเปิด Pandora Box ที่ทำให้ Speed ของการไหลเวียนของข้อมูลในโลกนี้ จากที่ข้อมูลบางส่วนเก็บ ปิด เอาไว้ภายใน ถูกเปิดออกมาแชร์ มาช่วยกันด้วยความจำเป็นของ Social Distancing และความพยายามในการเอาชีวิตให้รอดในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

ทุกวันนี้เราสามารถเรียนรู้อะไรจาก Internet ได้มากขึ้น มีคนเก่งๆ มาสอน มาแปล มาสรุปให้เต็มไปหมด อาจจะมีคนบอกว่าเห็นคนยุคนี้ก็เอาแต่เต้น TikTok หรืออวดสวย อวดรวย ลง Social Media แต่มันก็อาจจะเป็นแค่ในมุม ในสิ่งบ้านๆ ที่เราเห็น แต่มุมของคนที่สนใจเรื่องการศึกษา วิจัย พัฒนา ก็มีมากขึ้นเป็นทวีคูณ คนที่บำรุงกิเลสก็มี Multiplier ของตัวเอง ในขณะที่คนที่ใส่ใจ ใฝ่ความพยายาม ก็มี Multiplier ของตัวเองเช่นกัน ซึ่งเหล่านี้ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ Technology Innovation ยังคงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

ในส่วนของตลาดเสรี ลักษณะธุรกิจจำพวก Platform ที่เป็นตลาด เป็นตัวกลาง ที่ลด Friction ในการทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำของมาขาย การเป็นศิลปิน การให้บริการ ก็เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ ที่ทำให้ กลไกของตลาดทำงานได้ดียิ่งขึ้น คนตัวเล็กๆ ที่มีไอเดียในการทำธุรกิจ มีต้นทุนในการทำธุรกิจต่ำลง ตลาดที่เป็นตัวกลาง พอเคลื่อนไปอยู่บน Digital ก็ทำให้กลไลตลาดทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น และจะกระตุ้นให้เกิดทางเลือกของสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่ดีขึ้นในราคาที่ต่ำลง ตามทิศทางที่เป็นมา และดูเหมือนว่าจะทำงานได้ดียิ่งขึ้นด้วยซ้ำ

่ในส่วนของ Public Awareness ของโลกใบนี้ เราเห็นการแชร์ข้อมูล แชร์แหล่งข่าวกันใน Social Media ที่มากขึ้น อย่างในไทยเราเลยได้เห็นข่าวการแฉ การถ่ายคลิป การมีปากเสียงของประชาชน และอำนาจของสื่อที่มากขึ้น แม้ว่าเรื่องบางเรื่องที่ Sensitive ต่อความรู้สึก หรือความเชื่อแปลกๆ อะไรหลายๆ อย่างจะทำให้สังคม ความคิดของเราแตกแยกเป็นประวัติการณ์ แต่พอเวลาเป็นทิศทางของเรื่องใหญ่ๆ ในสังคมที่โดยรวมเห็นด้วยตรงกันเราสามารถเข้าถึง Consensus ได้ง่ายขึ้น และสามารถ Feed Back กลับที่ที่รัฐบาลได้ดีขึ้น รัฐบาลรู้ว่าสังคมต้องการอะไรได้ง่ายขึ้น

ในส่วนของรัฐบาลฯ ซึ่งอันนี้ก็แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ถ้ามีโอกาสได้อ่าน Why Nation Fail ก็คงจะทำให้เราได้รู้ว่า ความผิดพลาดของรัฐบาลฯ อาจทำไปสู่ความล่มสลายทางเศรษฐกิจและสังคม อย่างเวเนซูเอล่าก็ได้รัฐบาลฯ ที่เข้ามาบิดเบือนกลไลตลาด จนทำให้เศรษฐกิจและสังคมพังทลายลง คนไม่มีกิน ไม่มีงานทำ ขนาดผู้หญิงที่การศึกษาดีๆ ในเวเนซูเอล่าต้องไปขายตัวแถวชายแดน หรืออย่างรัสเซียก็มีความคิดความเชื่อแบบแปลกๆ ที่ไปเปิดสงครามกับยูเครน

ในระดับประเทศแล้ว มันจะมีประเทศที่รัฐบาลฯ บริหารผิดพลาด เสื่อมถอย และล่มสลายลง แต่ก็จะมีประเทศที่บริหารได้อย่างถูกต้อง มีระบบ กระบวนการที่ดี ที่จะทำให้เกิดสินค้าและบริการที่ดีขึ้นในระดับโลก ไม่จำเป็นต้องเป็นสหรัฐฯ แต่อย่าง สิงคโปร์ เราก็ได้เห็น Grab หรือ Shopee ที่เข้ามาทำให้ชีวิตคนไทยดีขึ้น หรืออย่าง ASML ในเนเธอแลนด์ที่ทำให้อุตสาหกรรม Chip พัฒนาไปได้ไกลอย่างเหลือเชื่อ

เมื่อมีคนหนึ่งเสื่อมถอย ก็จะมีคนเข้ามาแทนที่ เพราะ กลไกของตลาด ความเจริญของญี่ปุ่นในอดีต Spill Over ไปที่ไต้หวัน และเข้ามาที่ไทย ความเสื่อมถอยของญี่ปุ่นก็มีเกาหลีเข้ามาแย่งชิงตลาด การเจริญและเสื่อมถอยลงของจีน ก็จะมีเวียดนามและประเทศต่างๆ ขึ้นมาแทนที่ โลกโดยรวมแล้วกำลังดีขึ้นอยู่ทุกวัน ถ้าเรามองกลไกในระดับโลกแล้ว เราจะเหลือ Factor ลงแค่ 3 อย่าง เพราะ เมื่อประเทศหนึ่งเสื่อมถอยลง ก็จะมีประเทศอื่นๆ ขึ้นมาแทนที่

การลงทุนในโลกโดยรวม จึงปลอดภัยที่สุด
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 12

โพสต์

อย่างช่วงนี้นักลงทุนก็จะกลัวๆ กันว่าเงินเฟ้อสูงๆ แบบนี้ มันจะกลับไปเป็นแบบช่วง 1970-1980 หรือเปล่า ที่เกิด Stagflation จากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด ของรัฐบาลฯ หลายๆ อย่าง เท่าที่ผมจำได้ อย่างในช่วงเวลาเดียวกันที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ไปไหน ตลาดหุ้นญี่ปุ่นก็ขึ้นเยอะมาก หลังจากฟองสบู่ญี่ปุ่นแตกหุ้นไทยและ Emerging Market ก็ขึ้นเยอะมาก หลังจากที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง หุ้น Internet สหรัฐฯ ก็วิ่งขึ้นเยอะมาก หลังจากที่ฟองสบู่ Internet แตก หุ้นจีนก็วิ่งขึ้นเยอะมาก หลังจากหุ้นจีนตกจาก Peak ของ Olympic หุ้นสหรัฐฯ พังจากวิกฤต Subprime หุ้น Emerging อย่างไทยก็วิ่งขึ้นเยอะมาก หลังจากที่หุ้น Emergin ขึ้นไป Peak หุ้นเทคสหรัฐฯ ก็วิ่งขึ้นเยอะมาก รอบนี้หุ้นเทคสหรัฐฯ เจ็บ สุดท้ายแล้วมันก็จะมีกิจการอะไรบางอย่างที่ได้ประโยชน์ โลกโดยรวมจะยังขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะ เทคโนโลยี ตลาดเสรี และ Public Awareness

ถ้าผมจำไม่ผิดที่เคยอ่าน A Rondom Walk Down Wall Street ในนั้นเหมือนจะบอกว่าการลงทุน Index โดยรวมดีที่สุด เพราะว่า เมื่อบริษัทเวลาทำธุรกิจประสบความสำเร็จ กำไรที่ได้จากบริษัทฯ นั้นๆ มันจะไปชดเชยขาดทุนจากกิจการที่ไม่ประสบความสำเร็จ โลกใบนี้ คือ Winner Take Most พอคนที่หา Business Model วิธีบริหาร นำเสนอสินค้าและบริการที่ โดนใจลูกค้า ช่วยลูกค้าลดต้นทุนได้ หรือนำเสนอสิ่งที่ดีขึ้น Economies of Scale ของคนที่ชนะจะทำให้กำไรที่ได้มากเกิดความคนที่แพ้ออกไป

กลยุทธ์ในการลงทุนผู้ชนะในวันนี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด เพราะ ผู้ชนะในวันนี้มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโดยรวม เมื่อกิจการมีขนาดใหญ่เทอะทะแล้วการจะโตมากกว่าค่าเฉลี่ยของเศรษฐกิจได้มากๆ จะเป็นเรื่องยาก ฐานที่ใหญ่ ไขมัน ความเฉื่อยชา ระบบการบริหาร ความพยายามในการแทรกแซงของรัฐฯ ตลอดจนการแข่งขันจากศัตรูรายรอบที่พร้อมที่จะกระโดดเข้ามาเฉือนส่วนแบ่ง ทำให้การที่ขนาดธุรกิจที่ใหญ่จะ Outperform ตลาดโดยรวมเป็นเรื่องยาก อย่างเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ขนาดของกิจการ Big Tech ทุกวันนี้ยังเล็กกว่านี้อยู่มาก การเติบโตเป็นเรื่องง่ายกว่าทุกวันนี้ขนาดกิจการใหญ่กว่าประเทศหลายๆ ประเทศ

เราเลยได้เห็นรายชื่อของบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 10 บริษัท เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในแต่ละช่วงเวลา
phpBB [video]


กองทุนที่จะเป็นลงทุนในหุ้นดังๆ กิจการใหญ่ๆ เป็นกองทุนที่ขายได้ง่าย ทำการตลาดได้ง่าย แต่ผมมั่นใจมากๆ เลยว่า มันจะเป็นการลงทุนที่ Underperform ตลาด

การลงทุนในธุรกิจขนาดเล็กที่จะเป็นอนาคตก็มีตัวเลือกเต็มไปหมด ถ้าลงทุนถูกตัวก็จะ Outperform ได้มากๆ แต่ถ้าผิดก็อาจจะหายนะมาก การจะเลือกสักตัวมาได้อย่างถูกต้องจึงเป็นเรื่องยาก

การลงทุนใน Index ของตลาดโลกโดยรวม จึงเป็นการรับประกันได้ว่า เราได้จะผลตอบแทนที่โอเค
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ถ้าผมจำไม่ผิด การลงทุนในหุ้นโลกโดยรวม จะให้ผลตอบแทนระยะยาวประมาณ 7-10% ถ้าเราเข้าซื้อในช่วงตลาดหุ้นแพงก็อาจจะได้ผลตอบแทนต่ำไปบ้าง แต่ถ้าเข้าซื้อในช่วงถูกก็จะได้สูงกว่าบ้าง แต่โดยรวมแล้ว ถ้าเราลงทุนอย่างต่อเนื่อง จัดสรรเงินมาลงทุนทุกๆ เดือนอย่างต่อเนื่อง เราจะได้ผลตอบแทน 7-10% ในระยะยาว

ซึ่งผลตอบแทน 7-10% ในระยะยาวมันจะมาจากอัตราดอกเบี้ยแท้จริงในระยะยาวสักประมาณ 3-4% และมาจาก ERP (Equity Risk Premium) ประมาณ 4-6%

ERP นี่เป็นสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติของมนุษย์ ที่ถ้าจะให้ลงทุนในสิ่งที่มีความไม่แน่นอนว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ต้องทนทุกข์บีบคั้นกับความเจ็บปวดระยะสั้น เราจะต้องได้รับผลตอบแทนที่มากกว่าการลงทุนในสิ่งที่ได้ชัวร์ ปลอดภัย

คนที่เจอตลาดหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ ในช่วงนี้คงจะรู้ซึ้งดีเลยครับ ว่าความเจ็บปวดมันเป็นอย่างไร และนี่แหละ ก็คือ ส่วนลดที่ตลาดต้องให้กับเรา เพื่อให้เราอาจจะต้องทนกับความเจ็บปวดในอนาคต เป็นส่วนลดที่ต้องมีมากเพียงพอที่จะทำกำไรให้มากเพียงพอกับทักษะที่ต้องทนกับความทุกข์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ในตอนที่ตลาดดีๆ เด็กน้อยที่ไม่เคยวิ่งหกล้ม ก็กระโดดวิ่งกันเข้ามาอย่างสุดแรง ไม่รู้ว่าเวลาล้มเจ็บมันเป็นยังไง เห็นตลาดให้ส่วนลดนิดหน่อย ก็อยากกระโดดเข้ามาร่วมวงแล้ว ซื้อแพงขึ้นอีกหน่อย ERP ต่ำลงอีกหน่อย ก็ไม่ว่ากัน เพราะ ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจว่า เวลาหุ้นตกหนักๆ มันเป็นยังไง มันเจ็บขนาดไหน แรงขับจากฝูงที่ไม่อยากตกรถมีอิทธิพลมากกว่า อารมณ์สนุกสนานที่อยู่ต่อหน้ามีอิทธิพลมากกว่า สื่อนำเสนอแต่ข่าวดีๆ จากความคิดบวก เราเลือกที่จะฟังข่าวดีมากกว่าข่าวร้าย

พอตลาดหุ้นตกหนักๆ ให้ส่วนลดมากมายมหาศาลจากปัจจัยพื้นฐาน เด็กน้อยผู้ไม่มีประสบการณ์ในการตลาดขาลง ก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่าเรากำลังโดยสื่อเล่นงานจากการเอาความคิดเห็นของคนที่คิดลบ เอาประวัติศาสตร์ในด้านลบขึ้นมาเล่นงานกับเรา ให้เรารู้สึกว่าโลกนี้ช่างหดหู่ ไม่มีอะไรดี และจะไม่มีอะไรดีขึ้น

ความเจ็บปวด ณ ขณะนี้ เป็นแค่เผาหลอก เดี๋ยวอีกสักพักจะเผาจริง มีแต่ข่าวร้ายประโคมเข้ามาให้หดหู่ เหมือนอนาคตจะดับมืดลง ครั้งนี้จะเลวร้ายแบบ Great Depression ครั้งนี้ดูแล้วเหมือน Stagflation จากปัญหา Supply-Demand Imbalance กลายเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้าง ตลาดหุ้นจริงๆ แล้วเป็นแค่ Great Fool Theory เป็นแค่ Zero-Sum Game ERP ที่พุ่งสูงเกินกว่าค่าเฉลี่ยไปไกล ก็ไม่สามารถชดเชยได้กับ Cash Flow ที่จะลดลงจาก Reccession หรอก ตัวเลข Base Year ของปีนี้ หรือปีที่แล้ว เป็นการดีชั่วคราวจาก COVID มันจะไม่มีดีแบบนี้อีกแล้ว ฯลฯ

ผลของความกลัวทั้งหมด ทำให้เกิดโอกาสในการลงทุนโลกที่กำลังดีขึ้นอยู่ทุกวันในระดับราคาที่มี Discount จากค่าเฉลี่ยในระยะยาว

ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วโลกนี้ดีขึ้นอยู่ทุกวัน ถ้าเราลงทุนใน Index ของโลกไปเรื่อยๆ มันก็อาจจะแค่ได้ผลตอบแทนน้อยหน่อย หรือผลตอบแทนมากหน่อย สุดท้ายแล้วเทคโนโลยีในอนาคตจะทำให้เงินเก็บของเรามีค่ามากขึ้นเอง
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 14

โพสต์

สำหรับผมเอง จากประสบการณ์การลงทุนมา สิ่งสำคัญสิ่งแรกในการลงทุน คือ เราต้องเชื่อ และศรัทธาว่า ถ้าเราลงทุนในหุ้นผ่าน Index แล้วถือไปเฉยๆ ในระยะยาวโดยไม่สนใจมัน ไม่ทำอะไรกับมัน ไม่ใช้ความพยายามอะไรกับมัน สุดท้ายแล้วมันจะดีเอง เพราะ โลกนี้กำลังดีขึ้นอยู่ทุกวัน สำหรับส่วนที่ไม่ใช่สภาพคล่องที่เอาไว้ใช้จ่าย ถ้าผมไม่รู้จะลงทุนหุ้นอะไร หรือไม่อยากใช้ความพยายามในการลงทุน การลงทุนถือ Index ไปเฉยๆ ดีที่สุด สุดท้ายแล้วระบบ กลไลของโลกใบนี้ จะแก้ไขปัญหาของตัวมันเอง ยังมีคนดีๆ เก่งๆ พยายามทำให้โลกนี้ดีขึ้นอยู่ทุกวัน

ดังนั้นในวันที่ผมยอมแพ้หรือขี้เกียจหา Alpha แล้ว ผมยังคงเชื่อในตลาดหุ้นโดยรวมอยู่ อันนี้เป็น Base Line ที่จะไม่ทำให้ผมเลิกลงทุนในหุ้นอย่างเด็ดขาด เพราะ ทักษะขั้นต่ำที่สุดที่ผมมี คือ ผมทนเห็นหุ้นตก แล้วสามารถรักษาสภาพจิตใจ และรักษาศรัทธาในการลงทุนระยะยาวเอาไว้ได้

อย่างไรก็ตาม ผมมีความสนุกในการเข้าไปศึกษากิจการ เรียนรู้สิ่งต่างๆ ในการติดตาม ศึกษากิจการหนึ่งๆ ในมิติแง่มุมต่างๆ อย่างมีความสุข เหล่านี้ ทำให้ผมมีข้อได้เปรียบบางอย่างที่ทำให้ผมเชื่อว่า ผมสามารถถือหุ้นรายตัวได้ และมีความเป็นไปได้ที่จะ Outperform ตลาด หรือ ถ้าแม้จะไม่ Outperform แต่ผมก็ได้รับผลตอบแทนในระยะยาวที่ผมพอใจส่วนหนึ่ง และได้ความสุขจากการได้ติดตามและศึกษากิจการส่วนหนึ่ง
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 15

โพสต์

<< เขียนครั้งที่ 3 >>

นอนรู้สึกตัวตื่นแล้วก็มีความคิดลอยขึ้นมาซ้ำๆ เกี่ยวกับเรื่อง ศรัทธา Black Swan กับการลงทุนหุ้นต่างประเทศ

ในการลงทุนหุ้นต่างประเทศ เวลาเกิด Black Swan ขึ้น ระดับความรุนแรงของความบีบคั้นและความกลัว จะรุนแรงมากกว่าการลงทุนในประเทศ เพราะ เราสูญเสียความรู้สึกของ Control ความรู้สึกคุ้นเคย จากการที่เราต้องไปต่อสู้ในสนามที่ผู้เล่นเป็นคนที่เราไม่รู้จักมักคุ้นและดูเหมือนจะเก่งกว่าเราไปหมด

ถ้าเราอยู่ในไทย นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นคนไทยด้วยกัน เราจะคิดว่าเราพอจะรู้ทางและเข้าใจคนไทย คิดว่าคนไทยมีความขยันระดับไหน เรามีความขยันระดับไหน คนไทยมีความฉลาดขนาดไหน เรามีความฉลาดระดับไหน ประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา เทียบกันแล้ว เราพอที่จะสู้กับเค้าได้หรือไม่

ในขณะที่เวลาเราไปลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ เราจะคิดว่า เค้าเก่งกว่าเรา องค์ความรู้มากกว่าเรา ด้วยขีดความสามารถขั้นต้นเราก็สู้เค้าไม่ได้แล้ว ไม่เหมือนเวลาไปลงทุนหุ้นเวียดนาม ที่เราอาจจะพอคิดเข้าข้างตัวเองว่า ประเทศของเราพัฒนาเจริญมาก่อน เราอยู่ในตลาดมานานกว่า เรารู้ว่าเราจะไปสู้อะไรกับเค้าได้

การลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ พอเกิด Black Swan ขึ้นระดับของความกลัว ความบีบคั้น มันจะทวีความรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ เวลามีคนที่เก่งกว่าเรามากๆ มาอธิบายปรากฎการณ์ และทำนายอนาคต ด้วยภาษาและองค์ความรู้ ที่เรารู้สึกได้ว่าเราเทียบกับเค้า สู้กับเค้าไม่ได้เลย ในขณะที่ถ้าเกิด Black Swan ในไทย มันจะไม่มีคำอธิบายอะไรมาก ทุกคนจะแอบหลบไปอยู่เงียบๆ ในห้อง หรือถ้าอธิบายอะไรสักอย่างออกมา มันก็ไม่ได้เป็นคำอธิบายเทพๆ ในภาษาสวยๆ ต่างถิ่น

การที่พยุงตัวขึ้นมาต่อสู้กับเผชิญหน้ากับปัญหาและความกลัวเวลาลงทุนในสหรัฐฯ จึงจะได้ต้องพลังใจที่มากเป็นทวีคูณ ซึ่งพลังใจนี้แหละ ที่เรียกว่าศรัทธา

เท่าที่ฟังซีรีส์ Black Swan ของทางสมาคมฯ ผมจำได้คร่าวๆ ว่า พี่พี ได้ศรัทธาและใช้ศรัทธาในพระเจ้า ในพระคริสต์ ในการยกใจให้ผ่านวิกฤต พี่โจ ใช้ศรัทธาในหลักการ VI และความขยัน ฮงใช้ศรัทธาในขีดความสามารถและศักยภาพของตัวเองในการเอาชนะปัญหา พี่มี่ใช้ศรัทธาความเชื่อในกิจการที่ศึกษามาอย่างดี ว่าวิกฤต ราคาหุ้นที่ตกเป็นเรื่องชั่วคราว น้องฟืนใช้ศรัทธาในตัว Idol ทางการลงทุน ในการจุดไฟความขยัน และความมุ่งมั่น ที่จะทำให้สำเร็จ ฯลฯ

ศรัทธาเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการเอาชนะความกลัว อย่างผู้ก่อการร้ายที่ใช้ระเบิดพลีชีพ ก็ใช้ศรัทธาในพระเจ้าในการเอาชนะความกลัวตาย ทหารออกรบก็ใช้ศรัทธาในการทำเพื่อประเทศชาติ และปกป้องคนในชาติตัวเอง ในการเอาชนะความกลัว

อ. Damodaran ก็มีศรัทธาใน Valuation ในการที่จะผ่านวิกฤต เหตุการณ์ตลาดเลวร้ายมาครั้งแล้วครั้งเล่า และได้พูดถึงมันในหลายวาระโอกาส อันนี้เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง
phpBB [video]
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ในคลิป อาจารย์ บอกว่า Faith เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นมาจากภายใน ไม่สามารถที่จะยกให้กันได้ โดยส่วนตัวแล้ว ถ้าจะให้ผมแบ่งประเภท ระดับของความเข้มข้นของ ศรัทธา ที่เราต้องสร้างขึ้น ผมคิดว่าอย่างนี้ครับ

1. ศรัทธาในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้า ศรัทธาในความจริงของธรรมชาติ หรือหลักวิทยาศาสตร์ ศรัทธาในหลักการลงทุน ศรัทธาในธรรม ฯลฯ

2. ศรัทธาว่าสิ่งที่ทำ ทำไปเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ทำไปเพื่อประเทศชาติ เพื่อปกป้องคนที่เรารัก เพื่อปกป้องโลก

3. ศรัทธาในตัวอาจารย์ ว่าอาจารย์เป็นผู้ที่เดินทางเส้นนี้มาก่อน เคยผ่านทุกข์อันนี้มาก่อน ถ้าเราเชื่อและทำตามอาจารย์ เราจะผ่านมันไปได้

4. ศรัทธาในตัวเอง ว่าเรามีศักยภาพมากเพียงพอที่จะทำมันได้ จะผ่านมันไปได้

ผมคิดว่าถ้าเราเข้าใจในศรัทธาทั้ง 4 แล้วเราปลูกฝัง สร้างมันขึ้นได้ อันนี้แหละ จะเป็นเชื้อเพลิงที่จะทำให้เราผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้

อย่างหนังสือเรื่อง Rational Optimist ก็เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นในช่วงหลังวิกฤต Subprime ที่โลกในช่วงนั้นหดหู่ คนในสังคมไม่สามารถมองให้เห็นอะไรดีๆ ได้ ผู้เขียนได้ยกเหตุผลต่างๆ อย่างมีหลักฐานประกอบ เพื่อให้ผู้อ่านเชื่อว่า ความเป็นจริงแล้ว โลกนี้กำลังดีขึ้น และความคิดเห็นในแง่ร้ายว่าโลกกำลังสิ้นสลายมันเกิดขึ้นมาตลอด ซึ่งเราต้องเอาชนะความกลัวและความคิดลบไปให้ได้ จริงๆ แล้วโลกใบนี้กำลังดีขึ้นอยู่

การศึกษาเรื่องหลักการลงทุนอย่างถูกต้อง เรื่องหลักการ Valuation ต่างๆ ก็จะช่วยเสริมศรัทธาได้

คนบางคน อย่างพี่พีหรือบัพเฟต ลงทุนโดยตั้งใจว่าเงินโดยส่วนใหญ่หรือทั้งหมด จะเอาไปให้คนอื่น เพื่อประโยชน์ของคนอื่น คนที่ทำเพื่อคนอื่นเป็นคนที่รวยแล้ว อิ่มแล้ว ไม่ได้ต้องการอะไรให้กับตัวเองแล้ว แต่ที่ทำไปทั้งหมดทำเป็นเพื่อคนอื่น ความสุข สว่าง จะทำให้ความกลัวไม่สามารถยึดครองจิตได้นาน เพราะ ความสุข ความอิ่มเอิบจากการให้ มันสว่างจนทำลายความมืดจากความกลัวไปหมด

โดยส่วนตัวผมจะศรัทธาในพระพุทธเจ้าและสาวกบางองค์เป็นพิเศษ การมีพระพุทธ และพระสงฆ์ ที่ถือเป็นสรณะ นำความสว่างมาให้ผมอยู่ทุกวัน

ผมมีศรัทธาในอาจารย์ Damodaran ทำให้ผมมีแนวคิด หลักการ วิธี Valuation และแนวคิดการลงทุนที่ถูกต้อง ไม่หลงทาง และมีกำลังใจเวลาสูญเสียความมั่นใจ

ผมเคารพอาจารย์ Paul Krugman ที่นับถือตั้งแต่สมัยเรียนป.โท เศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ เวลากังวลเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ

ผมคิดว่าถ้าคุณมีอาจารย์ที่ดี เข้าถึงได้ สอบถามได้ มันจะช่วยให้คุณผ่านวิกฤตต่างๆ ไปได้ เรื่องนี้ลองฟังเทปของน้องฟืนดู

สำหรับศรัทธาในตัวเองเป็นสิ่งที่เราต้องสร้าง และทำขึ้นมา หลังจากที่เราศึกษาอะไรสักอย่าง เราเชื่อว่าน่าจะ Work แล้วเราก็ต้องทดลองทำดู และเห็นผลลัพธ์จากการทำ จนกลายเป็นศรัทธา ศรัทธาในตัวเอง ณ ขณะนี้เป็นของสั่งสมจากการกระทำก่อนหน้า และจะเพิ่มพูนไปในอนาคตจากการกระทำในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ให้กันไม่ได้ ต้องทำด้วยตัวเอง อย่าง ฮง ก็เป็นตัวอย่างของคนที่สั่งสม มีของเก่ามาดี ถึงได้มีศรัทธาในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม แต่อยู่ๆ จะให้มีศรัทธาในตัวเองอย่าง ฮง มันไม่เหมาะสมตามเหตุปัจจัย มันเป็นเรื่องที่เราต้องค่อยๆ สร้าง และมีประสบการณ์จริงในการสร้างมันขึ้นมา

ก็ขอให้เพื่อนๆ นักลงทุน ที่โดนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ เล่นงานอยู่ สามารถหาศรัทธาได้เจอนะครับ เพราะ ถ้าหมดศรัทธา โลกทั้งใบก็จะดับลง แม้ว่าโลกใบนี้จะดีขึ้นอยู่ทุกวัน แต่โลกของเราก็ได้ดับลงไปแล้ว

ขอแค่ผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้ มีชีวิตรอดไปให้ได้ รักษาจิตวิญญาณของการเป็นนักลงทุนระยะยาวไปให้ได้ หลังวิกฤตจะดีเอง
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 17

โพสต์

<<ครั้งที่ 4>>

ในคลิปก่อนหน้าของ อ. Damodaran บอกว่า โชค เป็นสิ่งที่มีผลมากๆ ในการลงทุน

ผมโชคดีที่สนใจเกี่ยวกับการเงินการลงทุนในปี 2002 ได้มาเจอ Yoyo ในการแข่งขัน Money Award ของตลาดหลักทรัพย์ และได้รับคำแนะนำจาก อ.โย ให้ลองอ่านหนังสืออ. นิเวศน์ ให้ลองศึกษาบัฟเฟต การลงทุนแบบ Value Investing และที่สำคัญที่สุด คือ ได้แนะนำให้มารู้จักกับเว็บไซต์ Thai VI นี้ซึ่งพึ่งย้ายบ้านมาจากเว็บกระทิงเขียว

การเริ่มต้นลงทุนในปี 2003 เป็นโชคที่ดีมาก เพราะ หุ้นยังคงราคาถูกจากนักลงทุนที่ยังบอบช้ำมาจากวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 1997 หุ้น P/E 5 หาได้เกลื่อนตลาด คนที่สนใจลงทุนยังมีน้อย และสังคม Thai VI ที่มีพี่ๆ เพื่อนๆ ดีๆ ที่เข้ามาช่วยแชร์ ช่วยสั่งสอน มีหนังสือดีๆ ที่พี่ WEB แปลมาให้อ่าน มีห้องสมุดตลาดหลักทรัพย์ที่ทำให้ผมได้อ่านหนังสืออะไรดีๆ เยอะมาก มีตลาดหลักทรัพย์ที่พึ่งเริ่มทำ Opp Day ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลเกิดจากผลของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดสังคมใน Internet เกิดเว็บบอร์ดขึ้นทำให้เราได้ความรู้มาก ในขณะที่คนสนใจหุ้นน้อย ทำให้เราเข้ามาอยู่ถูกที่ ที่ๆ ระหว่างปี 2003-2013 นักลงทุน VI ในไทย ได้ผลตอบแทนในการลงทุนสูงที่สุดที่นึงในโลกเลยทีเดียว

ผมโชคดีอีกครั้งเมื่อปี 2012 ผมเริ่มเบื่อสังคม อยากปฏิบัติธรรม อยากได้ความสงบ แถมตลาดหุ้นไทยราคาแพง Equity Risk Premium ต่ำเป็นประวัติการณ์ จากการที่หลังวิกฤต Subprime นักลงทุนในตลาด Develop Market ย้ายเงินมาอยู่ Emerging Market จนทำให้หุ้นไทยแพงกว่าหุ้นเทคสหรัฐฯ ไปไกล ทำให้ผมได้มีโอกาสเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่นักลงทุนกำลังจะหายจากการบอบช้ำจากวิกฤต Subprime และกำลังจะมองเห็นสิ่งเกิดขึ้นจาก Smartphone Revolution

ผมโชคดีที่เพราะว่าผมอยากได้ความสงบ ต้องการใช้ชีวิตแบบเน้นปฏิบัติธรรม ทำให้ผมเลือกกลยุทธ ในการลงทุนซื้อครั้งเดียว แล้วถือยาวๆ ต้องการที่จะวิเวกทีได้เป็นหลายๆ เดือน โดยไม่ต้องดูหุ้น เลยเลือกลงทุนใน Google และ Facebook หลังจากนั้นการถือลืม ใช้เวลาไปกับการศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นโชคดีที่แปลกประหลาดมาก ที่หุ้น FANGMAN ในช่วง 2012-2021 ผลตอบแทนกระฉูดโลกมาก

ผมเคยเดินพารากอนครั้งหนึ่ง แล้วก็เจอพี่นักลงทุนคนหนึ่งโดยบังเอิญ คุยๆ กันเค้าก็บอกว่าผมโชคดี บังเอิญถูก ซึ่งผมยอมรับโดยดุษฎีเลยครับ ว่าผมแค่โชคดี นักลงทุนไทยคนอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จ เท่าที่ผมเห็น มีความขยัน ทุ่มเทมากกว่าผมมากมายมหาศาล ผมเป็นนักลงทุนที่ใช้เวลากับการลงทุนน้อยมาก ช่วงก่อนหน้าผมใช้เวลากับการลงทุนประมาณ 5% ของชีวิต แล้วพยายามลดลงมาให้ถึง 2% จากนั้นหลังจากเกิด COVID ผมก็ขยันอีกครั้ง เพื่อจะปรับหาแนวทางการลงทุนแบบ Impact Investing
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 18

โพสต์

การ Shift ตัวเองจากการเป็น Value Investor มาเป็น Impact Investor ในช่วงปี 2020 เป็นการกระทำในจังหวะที่ผิดที่สุด ไพ่ดีๆ ที่ผมเคยจั่วได้มา ในคราวนี้ออกเป็นไพ่ที่แย่มากๆ

จากการที่ผมลงทุนในหุ้น Value และ หุ้น Special Situation ตอนอยู่ไทยในช่วงปี 2003-2013 มาเป็นหุ้น Mature Growth อย่าง Google, Facebook หรือ High Growth แบบ Nvidia การที่ผมสนใจและกระโดดลงไปลงทุนแบบ Impact Investing ทำให้ผมรับความเสี่ยงมากขึ้น เพราะ กิจการที่มี Impact ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก สร้างอะไรบางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มักจะอยู่ในช่วง Young Growth โดยธรรมชาติ ซึ่งนั่น คือ พื้นที่ๆ ยากที่สุดที่ผมพยายามไม่เข้าไปแตะ ไม่เข้าไปยุ่งมานาน พื้นที่นี้ อ. Damodaran ถึงกับเขียนหนังสือที่เรียกว่า Dark Side of Valuation กับ Narrative and Number ขึ้นมาช่วยนักลงทุนที่หลงทาง พอจะมีแสงสว่างและแนวทางอยู่บ้าง

ผมชอบแนวคิดของอาจารย์เกี่ยวกับ Coperate Life Cycle มากๆ ซึ่งในปี 2023 นี้ อ. กำลังจะออกหนังสือเรื่องนี้เลย ซึ่งผมคิดว่านักลงทุนไทยที่จะออกสู่โลกกว้างไปที่ต่างประเทศ นี่คือ ทักษะจำเป็นที่จะต้องเข้าใจสุดๆ ว่าในช่วง Life Cycle แต่ละจุด หลักการลงทุน วิธีการลงทุนแบบไหนที่ใช้ได้ นิสัยปัจจัยของเราเหมาะที่จะไปลงทุนตรงไหนกันแน่
corp life cycle.png
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ในไทย ส่วนใหญ่กิจการมักจะอยู่ใน State ไม่ Mature Growth ก็ Mature Stable ถึงแม้ว่าจะมีธุรกิจที่เป็น High Growth โผล่เข้ามาบ้าง แต่ขนาดตลาด กำลังซื้อของผู้บริโภคของเราก็เล็กเหลือเกิน รันเวย์ สั้นสุดๆ ขนาดตลาดและโอกาสที่เล็ก ทำให้ความหลากหลายของธุรกิจมีน้อย

แต่พอเราเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ สิ่งแรกที่เราต้องถามก่อนเลยว่า ธุรกิจที่เราลงทุนมันอยู่ใน State ไหนกันแน่ Key Metric และทักษะความสามารถที่ต้องใช้ในการลงทุนกิจการนี้มันคืออะไร เพราะ การลงทุนในแต่ละอุตสาหกรรม แต่ละ State ใช้ทักษะไม่เหมือนกันเลย

Uncertainty and life cycle.png

ชีวิตในการลงทุนของผม ผมค่อยๆ ศึกษา พัฒนา ค่อยๆ ไต่ขึ้นไปจากพื้นที่ๆ ง่าย Uncertainty ต่ำๆ Valuation ง่ายๆ ขึ้นไปในพื้นที่ๆ ยากขึ้นๆ และผมก็ผมโชคร้ายสุดๆ ที่เข้าไปในพื้นที่ยาก ในเวลาที่ผิด ถึงแม้ว่าจะกลัวเรื่อง ฟองสบู่ มาก่อนหน้า แต่ก็ดันตั้งใจว่าจะเอาเงินที่เราตั้งใจจะบริจาคให้กับการกุศลมาลงทุนใน Impact Investing พร้อมที่จะเจ๊ง เพราะ รู้ว่ามีโอกาสหมดตัว แล้วก็หลวมตัว ไหลไปกับพื้นที่ๆ มีความเสี่ยงมากขึ้นๆ

ธรรมชาติของจิต เวลาเราสนใจ ศึกษาอะไร มันจะมีความ Bias และ Tunnel Vision โดยอัตโนมัติ ยิ่งเป้าหมายในการลงทุนของผมไม่ใช่ทำไปเพื่อกำไร หรือเพื่อรักษาเงินต้นแล้ว มันยิ่งทำให้ผมรับความเสี่ยงมากเกินไปในการเข้าสู่ Black Swan ครั้งนี้

และ ไพ่ที่ออกในปี 2022 เป็นไพ่ที่ต่ำมาก เหมาะสมกับที่ปีขาล ซึ่งเป็นปีชงของผมสุดๆ ไปเลย

ผมเข้าปี 2022 โดยรู้ว่านี่เป็นปีชง ผมรู้ว่าปีชงรอบที่แล้วเมื่อปี 2010 ก็เป็นปีที่ผมทุกข์ใจมากจนต้องออกบวช และไปปฏิบัติธรรม กว่าจะจัดการตัวเองได้ ผมรู้ว่าฟองสบู่อาจจะแตก ผมมีการเตรียมการ เตรียมใจไว้ระดับหนึ่ง ผมเรียนจบเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ทำให้มีความองค์รู้ลึกซึ้งมากเพียงพอที่จะเข้าใจว่า Macro Economic ตอนนี้เป็นอย่างไร ผมเข้าปี 2022 แบบว่าเตรียมตัวเจ็บแล้ว อย่างไรก็ตาม Bias และ Tunnel Vision ก็ยังเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเตรียมเอาไว้ เผื่อใจเอาไว้

ดังนั้นเพื่อนๆ ที่ลงทุนในหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ ที่กำลังเจ็บอยู่ ไม่ต้องเสียใจไปนะครับ ว่า อ.ตี่ จะเอาตัวรอด ไม่เจ็บไปด้วยกัน ธรรมดา ธรรมชาติของการลงทุนก็เป็นแบบนี้แหละครับ ถ้าเลือกหลักการ และแนวทางการลงทุนแบบหนึ่งแล้ว มันจะมีปีที่เจ็บเป็นธรรมดา ปีนี้ผมเจ็บมากเป็นพิเศษด้วยจากการมาลงทุนแบบ Impact Investing แต่มันก็จะผ่านไป มันเป็น Process ของการลงทุนที่เราต้องทนช่วงเวลาที่เลวร้าย เป็นช่วงเวลาที่ต้องถึงศรัทธา ปลูกศรัทธา และสร้างศรัทธาให้ผ่านมันไปให้ได้ พอผ่านไปได้ เราก็จะฉลาดขึ้นเอง เหมือนอย่างที่ อ.นิเวศน์ อ.ไพบูลย์ ที่ผ่านวิกฤตต้มยำกุ้งมา จัดพอร์ตให้ทนทานต่อ Black Swan เราล้ม เราก็แค่พยายามลุกขึ้นมาให้ได้ ลุกขึ้นมาได้รักษาแผลกายได้ ก็รักษาแผลใจ พยายามที่จะฝึกเดินใหม่ ฝึกวิ่งใหม่ก็แค่นั้นเอง
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 20

โพสต์

จังหวะชีวิตของคนเราในการเข้ามาทำอะไรตอนไหน เกิดตอนไหน พื้นที่ไหน จะเป็นตัวกำหนดเส้นทางเดินส่วนใหญ่ การเข้ามาลงทุนในจังหวะไหนก็จะเป็นตัวกำหนดเส้นทางเดินของนักลงทุน

คนที่ได้เริ่มต้นเข้ามาลงทุนในช่วงหลังวิกฤต อย่างช่วง 2003 ในไทย หรือในช่วงหลัง Subprime ในสหรัฐฯ ถือว่าโชคดีมาก แต่คนที่เข้ามาลงทุนในปี 1997 หรือ 2000 ถือว่าโชคร้ายมาก ความโชคดีในตอนต้นของการได้เริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้รู้อะไรมาก จะเป็นกำลังใจทำให้เราสู้ต่อได้ง่าย แต่ถ้าเริ่มต้นก็โชคร้าย ถึงแม้จะฉลาดจะเก่งขนาดไหน บางทีก็อาจจะไม่มีกำลังใจจะไปต่อ

ผมคิดว่าการที่เราได้เห็นหุ้นเทคฯ ในกลุ่ม Young Growth และ High Growth ลงหนักขนาดนี้ในไปที่ผ่านมา สำหรับคนที่จะเริ่มต้นเข้ามาศึกษาการลงทุนหุ้นเทคฯ ในช่วงที่ตลาดสงบๆ หน่อยในช่วงต่อไป น่าจะเป็นคนที่โชคดีนะครับ ในขณะนี้ฝุ่นยังตลบอยู่ ยังไม่ใช่พื้นที่สงบที่เด็กน้อยยังวิ่งเล่นอย่างอิสระ เห็นของป่า ข้าวของอะไรก็ไม่รู้ที่คนทิ้งเอาไว้เต็มพื้นไปหมด อย่างช่วงปี 2002-2003 ในไทย หรืออย่างปี 2012 ที่สหรัฐฯ อย่างที่ผมเคยโชคดีเจอมา

แต่มันจะมีในอนาคตครับ ที่นักลงทุนรุ่นใหม่ที่เดินเข้ามาในตลาด เข้ามาก็งงๆ ว่า เฮ้ย ทำไมกิจการ หุ้นตัวนี้มันดีขนาดนี้ แต่ทำไมขายราคาถูกจัง เหมือนกับที่ผมไปเจอ Google ที่ P/E 10 เท่าตอนปี 2012 หรือ Facebook ที่ Forward P/E ที่ 10 เท่า ผมเชื่อว่าจะมีนักลงทุนรุ่นใหม่ที่เดินเข้ามาเก็บของป่าแบบงงๆ ไม่ต้องใช้สมอง ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมาก ในการสร้างผลตอบแทนที่เหนือธรรมดา ที่จะเป็นผู้รับโชคในอนาคตข้างหน้า

ถ้าน้องๆ นักลงทุน ที่ไม่ได้มีข้อได้เปรียบอะไร พึ่งจะมาเริ่มๆ เลย ยังคงมีเงินเดือนเติมเข้ามาทุกๆ เดือนที่จะเอาไปลงทุน ผมบอกได้เลยครับว่า ไปต่างประเทศเถอะ ทยอยซื้อ Index Fund ไปก่อน แล้วค่อยๆ ศึกษากิจการรายตัวที่เราคิดว่าเราเข้าใจและมีอะไรบางอย่างที่เราอินไปกับมัน การเริ่มต้นลงทุนในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปี ผมเชื่อว่าน้องๆ ที่เข้ามาในเวลานี้ ไม่ต้องรอให้อนาคตมันดีขึ้น แต่พอร์ตของน้องๆ ที่เข้ามาเริ่มในช่วงนี้ จะเติบโตได้แบบหล่อๆ ไปได้สบายๆ เลยครับ

ความโชคร้ายของผม จะเป็นโชคดีของน้องๆ ครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
sssjjjj
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 551
ผู้ติดตาม: 59

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ขอบคุณคุณ picatos ครับ ที่รับฟัง ผมลบข้อความออกแล้วเช่นกันครับ โพสของพี่ มีประโยชน์มากครับผมก็ชอบอ่านครับ ขอบคุณที่เขียนให้อ่านกันครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 22

โพสต์

A34328 เขียน:
จันทร์ ม.ค. 02, 2023 8:43 pm
ขออนุญาตินะครับ ผมเห็นตั้งแต่กระทู้ก่อนละ ที่คุณ Picatos พาดพิง พี่หมอ ท่านนึงเรื่องข้อได้เปรียบของเค้า คือผมไม่เข้าใจทำต้องตัดสินว่าท่านนั้นขนาดนั้นด้วยหรือครับ แล้วในกระทู้นี้ก็ยังไม่หยุดพาดพิงอีก ผมว่าไม่แฟร์เลย และดูเหยียดมากด้วยครับ ขอให้ Mod ช่วยลบการโพสพาดพิง บุคคลที่สาม แบบนี้เถอะครับ สังคมไทยวิ ถ้าปล่อยผ่านเรื่องแบบนี้อีกครั้งจากกระทู้ต้นปีนี่ ผมผิดหวังมากครับ
ขอโทษด้วยนะครับ

ผมจะระมัดระวังที่จะเขียนอะไรพาดพิงถึงคนอื่นมากกว่านี้ โดยส่วนตัวผมกับหมอเคสนิทกันมากก่อนที่ผมจะปลีกวิเวกจากสังคมนักลงทุนไทย

เราสนิทกันขนาดผมขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีงานแต่งงานหมอเค และหมอเคมานอนที่บ้านผมที่เชียงใหม่ ผมเลยเขียนออกไปถึงหมอเคด้วยความสนิท ด้วยความคุ้นเคย ขาดสติ ความยั้งคิด เลยไม่ได้คิดไปว่า ในพื้นที่สาธารณะ คนข้างนอกไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของผมกับหมอเคเป็นอย่างไร และไม่รู้ว่าหมอเคยังรู้สึกดีๆ กับผมอย่างในอดีตหรือไม่

อย่างไรก็ตามผมขอน้อมรับคำตำหนิ และจะนำไปปรับปรุงแก้ไขในการเขียนต่อไป ให้ไม่ไปเผลอพาดพิงคนอื่น

และผมก็พร้อมรับโทษจากทางสมาคมฯ ว่าหากผมทำผิดกฎ กติกา มารยาท ข้อที่ 4 ของทางสมาคมฯ ในเรื่องการพาดพิง ก็ฝากรบกวนช่วยตัดสินลงโทษตามสมควร ที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดกับโดยรวมได้เลยนะครับ จะลบกระทู้ และ ban ผม ออกจากเว็บ ก็ได้ครับ ผมก็พร้อมยอมรับกับโทษ และความผิดที่ผมได้สร้างขึ้น

ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็อย่าโพสต์ข้อความอะไรเพิ่มเลยนะครับ เดี๋ยวมันจะขาดอรรถรส สำหรับคนที่ต้องการอ่านแบบโฟลว์ๆ เดี๋ยวผมพิจารณาความเหมาะสม อะไรหลายๆ อย่างเสร็จ สะดวก และมีความพร้อมเมื่อไร จะมาเขียนต่อเองครับ ไม่ได้จะหนีไปไหน
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
crazyrisk
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4562
ผู้ติดตาม: 40

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 23

โพสต์

ผมขออนุญาตชี้แจง ดังนี้นะครับ เอาจริงๆ ผมอ่านเรื่องที่ ตี่ เขียนถึงผมแล้ว อยากมาตอบหลายครั้ง แต่ก็ไม่ตอบดีกว่า เพราะ มันค่อนข้าง sensitive ในการสื่อสารทางตัวอักษร ก่อนมีคนจะอ่านต่อ ผมขอเขียนกฎ 3 ข้อ นี้ก่อน เวลาอ่านแล้วจะได้ ย้อนมาอ่านกฎ 3 ข้อ ที่ผมเขียนไว้ เตือนตัวเองก่อนนะครับ

1. การสื่อสารหรือ โต้แย้งหรือ ใน โลก online ผ่านตัวอักษร มัก ทำให้คนทะเลาะกัน
2. การถกเถียง ที่ไม่เกิดความรู้ ไม่ได้ตังค์ นอกจากเป็นการบริหารเวลา ที่ไม่เกิดประโยชน์ เป็นสิ่งที่นอกจากเสียเวลาและเสียสุขภาพจิตอีกด้วย

ผมขออนุญาติ ย้อนกลับไปตอบทีละข้อ ที่เข้าใจนะครับ

1. ปีก่อน ผมเขียนกระทู้เรื่อง ความคุ้มค่า ในการศึกษาหุ้น ตปท กับ ไทย วัตถุประสงค์ของผม คือ คนเรามีเวลาและทรัพยากรจำกัด การ ที่ เราทุ่มเวลา อ่านข่าว ข้อมูล หรือ ติตตามบริษัท อันไหน ที่ทำให้ เราได้ผลตอบแทนจาการลงทุนดีกว่ากัน แต่ ก็มี การเขียนพาดพิงถึงผม และ เหล่าวีไอ รายอื่นๆ โดยผมเข้าใจเอง ได้ว่า คนลงทุนหุ้นตปท เป็นคนฉลาดมุ่งมั่น ขณะที่คนเล่นหุ้นไทย ได้ดี คือ อาศัย connection และ รู้วงในก่อนคนอื่น ซึ่ง จากนั้นก็มีการเอาไปแตกกระทู้ ตามที่ต่างๆ

ตอนนั้น ยอมรับว่า ผมโกรธมาก และผมส่งให้คนที่ผมสนิทอ่าน ก็เห็นไปในทางเดียวกัน

แต่ผมเลือกที่จะไม่ตอบโต้ เพราะ ผมรู้ดีว่า ตัวเองทำอะไร ต่อให้ผมไปโต้แย้งในเวปบอร์ด ก็ไม่น่าจะเกิดประโยชน์อะไร เพราะ คนที่เชื่ออย่างไร ก็ จะเชื่ออย่างนั้นอยู่ดี

ผมเลือกที่จะนิ่งเฉย อาจจะเป็นเพราะ ผมรู้สึกตัวเองว่าแก่แล้ว และยอมรับกับตัวเอง ว่า ในเมื่อ ไม่มีคำตอบที่เราต้องการ ก็เลือกที่จะเงียบดีกว่า


2. ผมลงทุนในหุ้นมาสัก 10 กว่าปี อาจจะน้อยกว่า คนอื่นๆ แต่ตามความเข้าใจผม กลยุทธ ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทุกคนต่างหา แต้มต่อของการลงทุน ซึ่งก็มีตั้งแต่ สีดำ ไปยังสีเทา หรือ สีขาว ตราบเท่าที่ กลไกตลาดทุน เอื้อให้เกิดประโยชน์ ผมรู้ว่า สีดำคืออะไร และ คนในเวปบอร์ด ก็คงรู้พอสมควร ว่า ใครเลือกเส้นทางไหน หน้าที่ของเรา คือ ไม่ไปเส้นทางนั้นๆ ส่วนการคุยกับ IR หรือ การถามนักวิเคราะห์ที่ติดตามบริษัท ผมไม่คิดว่า นี่คือ แต้มต่อ ที่เป็นสีดำ แน่นอน เพราะเป็นช่องทางที่เปิดให้ตามปกติอยู่แล้ว

และ ผมเชื่อว่า หุ้นตปท ก็น่าจะคล้ายๆกัน เผลอๆ อาจจะมี insider มากกว่าด้วยซ้ำ นั่นคือ เหตุผลที่ หุ้นตปท หลายบริษัท พีค ก่อนที่ ไตรมาสถัดๆไป ผลประกอบการจะค่อยๆ เติบโตลดลง ดังนั้น ผมจึงคิดว่า ผมชื่นชม คนเล่นหุ้น ต่างประเทศ มาก เพราะ เป็นคนที่ขยัน และทุ่มเท แต่ขณะเดียวกัน ผมคิดว่า การดูแคลน นักลงทุนในหุ้นไทย ที่ตั้งใจทำการศึกษาข้อมูล ฟัง oppday ทุกบริษัท โทรถาม IR เวลาไม่เข้าใจ ผมว่ามันดู อคติ เกินไปนิด สำหรับการ พาดพิงถึงคนที่มุ่งมั่นและตั้งใจศึกษาอะครับ

3. ความไม่เท่ากันของข้อมูล ผมใช้เวลา ปีที่ผ่านมา ค่อยๆ ไล่ศึกษา การขึ้นของหุ้น ตปท เทพๆหลายตัว มี บางบริษัท ที่ให้ข้อมูลอย่างละเอียด และ guidance จนนำไปสู่งการตัดสินใจลงทุน ได้ ไม่ยากนัก เช่น บริษัท NVIDIA ในปี 2016 ที่ ย้ายการผลิต commodity chip อย่างชิปมือถือ ไปทำ ชิปพวก GPU ซึ่ง กำลังได้รับความนิยมจาก เกมส์ และ graphic จนไปถึง datacenter จนนำไปสู่การพัฒนา autonomous car และ VR ในภายหลัง แบบนี้ผมถือว่า บริษัทให้ข้อมูลละเอียด มาก ซึ่งถ้า เราฟัง oppday บริษัทไทย อาจจะมีไม่มากนัก ที่ ให้ข้อมูลลงรายละเอียดเช่นนี้

อาจจะเป็นเพราะ สภาวะการแข่งขันที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ บ.ไทย เลือกที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลลึกเกินไป กลัวว่าคู่แข่งที่แกร่งกว่าจะเข้ามา รุกราน

หรือ หุ้น อย่าง DE ที่แม้จะเป็นธุรกิจที่โดดเด่นมาก แต่ก็ให้ข้อมูลใน Earning transcript ได้ไม่ละเอียดมากนัก

TRUP ที่ทำ ประกันสัตว์ ก็เติบโตเป็น 10 เด้ง เพราะ อยู่ๆ สมาคมสัตว์แพทย์ก็ออกกฎให้ คนทำประกันสัตว์ บริษัทเลือกที่จะเข้ามารุกตลาก แย่งแชร์ต่อเนื่อง และ ใน Earning call บริษัทที่ น่าสนใจ เขาก็จะให้ข้อมูลเลยว่า ผลประกอบการโตดีที่สุด ตั้งแต่ หลายปีก่อนหน้า และก็บอกเทรนด์ชัดเจน

ซึ่ง ยอมรับว่า ภาษาอังกฤษ ผมไม่ดีมากนัก หลายครั้ง ต้องเปิด google ไล่แกะไปทีละ คำ เพื่อให้เข้าใจ มากขึ้น

เหตุผลที่ผมเขียนมาตรงนี้ เพื่อจะบอกว่า ข้อจำกัดของนักลงทุนไทย แม้ว่าจะมี oppday ที่เยอะมากกๆๆๆๆ แต่ก็คือการให้ข้อมูล เพราะ ปัจจุบัน ยิ่งเป็น online แบบนี้ ผบห ยิ่งเลือกตอบคำถามที่เป็นประโยชน์มากกว่าป็นโทษกับ บริษัทได้ เช่นกัน บทวิเคราะห์ หลายๆ แห่ง ในไทย ก็จะมีแค่ buy or hold น้อยมากที่จะเป็น sell เพราะ ตลาดหุ้นไทย ไม่ได้ เปิดช่องว่างให้ short ได้มากนัก ขณะที่ บ. ตปท บางบริษัท ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลละเอียด เช่นกัน ซึ่ง เอาจริงๆ ความน่ากลัวของหุ้นเทค คือ การที่บริษัทเติบโตลดลง หลายครั้ง ถ้าสังเกตดีๆ แม้ว่า รายได้จะโตอยู่ แต่ อยู่ๆ margin ก็จะหดไปอย่างรุนแรง ซึ่ง ความยากของหุ้นตปท อีก คือ เวลารายงานงบ จะรายการ GAAP ส่วน บริษัท ก็บอกว่าให้เชื่อแบบ Non GAAP มากกว่า เพราะเข้าใจง่ายกว่า


4. ชื่นชมคนเล่นหุ้นตปท ผมเองยังเชื่อว่า คนเล่นหุ้นตปท ที่หาข้อมูล ยังเป็นนักลงทุนที่น่าชื่นชมอยู่ดี และผลตอบแทนพอร์ตตปท ผมก็แย่เช่นกัน แม้จะศึกษาพอสมควรแล้ว

5. ขอบคุณ อ.ตี่ ที่ยังเอ่ยถึงเรื่องเพื่อนกับผม แต่ผมขออนุญาตฝาก นิดว่า หากเราเป็นเพื่อนกับใคร ยิ่งจะระมัดระวัง ในการพาดพิงถึงเพื่อนที่คบกับจริงๆ มากกว่า เพื่อนในเวปบอร์ด ที่เราไม่รู้จัก ไม่สนิทเลยด้วยซ้ำ ผมเองเคยมีช่วงเวลาที่ดี เคยรู้สึกตัวเองไปว่า มีชื่อเสียง มี connection ที่ดีตอนเข้ามา ช่วยกู้เวป ไทยวีไอ ตอนปี 2008 ตอนนั้น อ.ตี่ก็มาช่วยกู้เวปด้วยกัน 55 แต่พอสิ่งที่เป็น ego มันพองตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกตัวอีกที ก็ใหญ่จนเกินความรู้ไปมาก เลยตัดสินใจรีบลบตัวตนออกไป ออกจากเวปบอร์ด และสมาคม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตอนนี้ก็เป็นแค่ นลทธรรมดา ที่ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งรู้ว่า รู้น้อยจริงๆ

การที่ผม ออกมาตั้งกระทู้เรื่อง หุ้นตปท อาจจะไปขัดความรู้สึกของคนอื่น แต่ใจจริง ผมมีความตั้งใจจะไปอยู่ ตปท เลยอยากรู้ว่า ถ้าเราลงทุนเป็นหลัก จะรอดไหม แค่นั้น -- ซึ่งก็ค้นพบว่า ไม่น่ารอดแฮะ

6. สุดท้ายนี้ พูดตรงๆ ตอนแรก ผมอ่านกระทู้ นี้ หลายรอบ ก็ยังรู้สึกว่า เรื่องที่ผมโดนพาดพิง ผ่านไปแล้ว ก็ยังโดนกลับมาอยู่ดี แปลว่า อ.ตี่ น่าจะรักผมมากๆ แต่สุดท้ายผมก็เลือกไม่ตอบเพราะ มันก็เป็นเรื่องเดิม จนมีคนออกมาช่วยทวงถามให้ผม

ขอบคุณกัลยาณมิตร ที่ผมไม่รู้จัก ด้วยครับ :)
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 24

โพสต์

ผมขอโทษหมอเคด้วยนะครับที่ทำให้หมอเคโกรธ และรู้สึกแย่ขนาดนี้ ผมไม่คิดเลยว่าสิ่งที่ผมโพสต์ลงไปเมื่อต้นปี มันจะถูกตีความแบบนี้

ผมมีปัญหาในการสื่อสารจริงๆ แหละ ซึ่งผมก็ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมนักลงทุนไทย

ผมแค่คิดว่าในเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตต่ำ และมีปัญหาในเชิงโครงสร้างเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ลักษณะตลาดมันจะเป็น zero sum game ซึ่งนักลงทุนที่มีประสบการณ์ มีข้อมูลในเชิงลึก มีเพื่อนๆ ที่ช่วยวิเคราะห์ เรียกว่ามีแต้มต่อในการลงทุน (competitive edge) ในสภาพตลาดแบบนี้ น่าจะดีกว่าไปลงทุนต่างประเทศที่ปัจจัยรายล้อมมันดูไม่ค่อยดี

ผมไม่ได้บอกว่านักลงทุนไทยไม่ขยันนะครับ แต่นักลงทุนต่างประเทศนี่ level เค้าสูงกันมาก ระดับความขยันของเรามันเป็นแค่ขี้มดของเค้า แค่ผมไปเรียน valuation กับ อ. Damodaran กับพวกเด็ก ป.ตรี ของเค้า ผมยังรู้สึกว่าผมง่อยมาก คนที่อยู่มหาลัยท็อปๆ จริงๆ เค้าเก่งกันมาก ดังนั้นในการไปแข่งกับนักลงทุนในตลาดโลกนี้เหนื่อยครับ

แต่จะเขียนอธิบายอะไรไป ก็คงจะไม่มีความหมาย ความเสียหายได้เกิดขึ้นไปแล้ว และผมคงจะไม่อาจจะแก้ไขอะไรได้

ผมเข้าใจผิดคิดว่าสิ่งที่ผมแชร์จะเป็นประโยชน์ แต่ผมเข้าใจผิด

ผมยอมรับในการกระทำของตัวเอง กราบขอโทษหมอเค นักลงทุนทุกท่านที่ผมได้เคยล่วงเกินเอาไป และรู้สึกไม่พออะไรกับผม แต่ไม่มีโอกาสได้ระบาย

ผมขอขอบคุณหมอเคมากๆ นะครับ ที่ออกมาให้ feedback กับผมแบบนี้ ผมจะได้รู้ตัว ว่าตัวเองมีปัญหาอะไร และจะพัฒนาตัวเองอะไรต่อไป

ในเวลานี้ ผมคิดว่าผมไม่มีความสามารถ และไม่เหมาะจะโพสต์อะไรในที่นี้เพิ่มเติม

ผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และหวังว่าตัวเองในอนาคตจะไม่ทำผิดอะไรแบบนี้อีก

ผมขออนุญาตหยุดการโพสต์กระทู้นี้ เอาไว้ที่ตรงนี้นะครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ให้โอกาสกับผมในวาระผ่านๆ มา ถึงแม้ว่าผมจะได้ล่วงเกินท่านทั้งหลายเอาไว้ทั้งที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว

กราบขอโทษ ขออภัย อีกครั้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
crazyrisk
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 4562
ผู้ติดตาม: 40

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 25

โพสต์

picatos เขียน:
อังคาร ม.ค. 03, 2023 1:01 pm
ผมขอโทษหมอเคด้วยนะครับที่ทำให้หมอเคโกรธ และรู้สึกแย่ขนาดนี้ ผมไม่คิดเลยว่าสิ่งที่ผมโพสต์ลงไปเมื่อต้นปี มันจะถูกตีความแบบนี้

ผมมีปัญหาในการสื่อสารจริงๆ แหละ ซึ่งผมก็ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมนักลงทุนไทย

ผมแค่คิดว่าในเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตต่ำ และมีปัญหาในเชิงโครงสร้างเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ลักษณะตลาดมันจะเป็น zero sum game ซึ่งนักลงทุนที่มีประสบการณ์ มีข้อมูลในเชิงลึก มีเพื่อนๆ ที่ช่วยวิเคราะห์ เรียกว่ามีแต้มต่อในการลงทุน (competitive edge) ในสภาพตลาดแบบนี้ น่าจะดีกว่าไปลงทุนต่างประเทศที่ปัจจัยรายล้อมมันดูไม่ค่อยดี

ผมไม่ได้บอกว่านักลงทุนไทยไม่ขยันนะครับ แต่นักลงทุนต่างประเทศนี่ level เค้าสูงกันมาก ระดับความขยันของเรามันเป็นแค่ขี้มดของเค้า แค่ผมไปเรียน valuation กับ อ. Damodaran กับพวกเด็ก ป.ตรี ของเค้า ผมยังรู้สึกว่าผมง่อยมาก คนที่อยู่มหาลัยท็อปๆ จริงๆ เค้าเก่งกันมาก ดังนั้นในการไปแข่งกับนักลงทุนในตลาดโลกนี้เหนื่อยครับ

แต่จะเขียนอธิบายอะไรไป ก็คงจะไม่มีความหมาย ความเสียหายได้เกิดขึ้นไปแล้ว และผมคงจะไม่อาจจะแก้ไขอะไรได้

ผมเข้าใจผิดคิดว่าสิ่งที่ผมแชร์จะเป็นประโยชน์ แต่ผมเข้าใจผิด

ผมยอมรับในการกระทำของตัวเอง กราบขอโทษหมอเค นักลงทุนทุกท่านที่ผมได้เคยล่วงเกินเอาไป และรู้สึกไม่พออะไรกับผม แต่ไม่มีโอกาสได้ระบาย

ผมขอขอบคุณหมอเคมากๆ นะครับ ที่ออกมาให้ feedback กับผมแบบนี้ ผมจะได้รู้ตัว ว่าตัวเองมีปัญหาอะไร และจะพัฒนาตัวเองอะไรต่อไป

ในเวลานี้ ผมคิดว่าผมไม่มีความสามารถ และไม่เหมาะจะโพสต์อะไรในที่นี้เพิ่มเติม

ผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และหวังว่าตัวเองในอนาคตจะไม่ทำผิดอะไรแบบนี้อีก

ผมขออนุญาตหยุดการโพสต์กระทู้นี้ เอาไว้ที่ตรงนี้นะครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ให้โอกาสกับผมในวาระผ่านๆ มา ถึงแม้ว่าผมจะได้ล่วงเกินท่านทั้งหลายเอาไว้ทั้งที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว

กราบขอโทษ ขออภัย อีกครั้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น


ผมว่าในเวปบอร์ดนี้ แฟนคลับจาร ตี่ รออ่าน สาระที่อาจารย์ตี่ เขียน มากกว่า เรื่องที่ผม เขียนอธิบาย ความคิดเห็นของผมอยู่แล้วครับ
ในสังคม social ทุกอย่างอ้างอิงด้วย ผลประโยชน์ ผมเองอ่านบทความตั้งแต่ปีก่อน ตอนนั้นผมพยายามทักถาม mod เรื่อง ที่ อ.ตี่เขียนถึงผม แต่ก็ไม่มีใครช่วยแก้อะไร
ผมก็เลย คิดว่า เมื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก มีมากกว่า ประโยชน์ในการที่ผมชี้แจง ผมเลย เลือกที่จะเงียบครับ


ครั้งนี้ อาจารย์ตี่ เลือก ที่จะสรุปองค์ความรู้ 10 ปี ถ้าตีเป็นมูลค่า มันคงมีค่ามหาศาล
แต่ กลายเป็น ผมเองที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ อ.ตี่ เลิกเขียนบทความต่อ คราวนี้ ผมน่าจะงานเข้าผมเป็นแน่แท้
เอาเป็นว่า ผมขออภัย ทุกคนที่รออ่าน ความรู้ มูลค่า มหาศาลจากอาจารย์ตี่แทน


ยังไง ขอความกรุณาอ.ตี่ ดำเนินตามวัตถุประสงค์เดิม คือ ถ่ายทอดเคล็ดวิชา ที่ตั้งใจไว้แต่แรก น่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกๆคนครับ
เม่าตัวน้อยๆ อย่างผมเองก็อยากอ่านเหมือนกันครับ
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Bird.Songwut
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 237
ผู้ติดตาม: 163

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 26

โพสต์

ก็มาเขียนต่อแล้วกันนะครับ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม
"มีกระแสน้ำสายหนึ่งในกิจกรรมของคน ซึ่งเมื่อมันไหลบ่าท่วมท้นจะนำไปสู่ความมั่งคั่งมหาศาล"
Investor hub : ห้องลับนักลงทุน https://www.youtube.com/@Investor_hub
ภาพประจำตัวสมาชิก
Peter1011
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 325
ผู้ติดตาม: 109

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 27

โพสต์

ของอ.ตี่นี่ Timeless article จริงๆครับ อ่านแล้วเดี๋ยวผมก็กลับมาอ่านอีก มีประโยชน์แฝงอยู่มาก และ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ ต้นปีก่อนผมยังไปทะเลาะกับคนหนึ่งในห้องหุ้นเปลี่ยนโลกเลยครับ
Was der Onkel Charlie sagt, das soll man immer tun!
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 28

โพสต์

<<ครั้งสุดท้าย>>
ข้อได้เปรียบในการลงทุน

คำๆ นี้ผมพึ่งรู้ว่า คนเข้าใจคำนี้ผิดไปจากทฤษฎีมาก หรือ ความเข้าใจของโลกในการลงทุนกระแสหลักมากๆ

ในโลกการลงทุนในตลาดประเทศที่พัฒนาแล้ว นักลงทุนจะได้รับการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องทฤษฎีการเงินอย่างพวก Modern Portfolio Theory, CAPM หรือ ตลาดมีประสิทธิภาพ แล้วก็กลายเป็นที่ถกเถียงกันว่า ตลาดมีประสิทธิภาพไหม? ตลาดมีประสิทธิภาพขนาดไหน?

คำว่าตลาดมีประสิทธิภาพ ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นของกิจการทุกกิจการจะสมเหตุสมผล แต่มันอาจจะหมายความว่า ราคาหุ้นแต่ละตัวอาจจะสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง แต่โดยรวมแล้ว ไม่มีใครรู้มันจริงๆ อย่างมั่นใจได้ว่า ไอ้ที่สูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ดังนั้นแนวความคิดของคนที่เชื่อว่าตลาดมีประสิทธิภาพ การลงทุนใน Index หรือ Diversify Portfolio แล้วได้ Market Return น่าจะดีกว่า

ในขณะที่คนที่ไม่เชื่อในตลาดที่มีประสิทธิภาพ หรือเชื่อว่าตลาดไม่ได้มีประสิทธิภาพอย่างสมบูรณ์ ก็เชื่อว่า ถ้าเราสามารถพัฒนาขีดความสามารถของตัวเอง จะสามารถหากำไรได้จากความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้น ซึ่งเว็บ Seeking Alpha คำว่า Alpha น่าจะมาจาก Jensen's Alpha

นักลงทุน VI พยายามหา Alpha โดยพัฒนา ข้อได้เปรียบ (Competitive Edge หรือ Edge ที่คนเค้าเรียกกัน) โดยการเข้าไปซื้อกิจการที่ตัวเองคิดว่า Under Value ที่มี Margin Of Safety มากเพียงพอ แล้วถือแบบ Passive รอให้วันหนึ่งตลาดเป็นความจริงที่เกิดขึ้น

ในขณะที่ Activist Investor อย่าง Carl Icahn เข้าไปลงทุนหุ้นที่เค้าคิดว่า Under Value ไม่พอ ก็เข้าไปการเรียกร้อง ทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อผลักดันให้ราคาเข้าสู่มูลค่า

Growth Investor พยายามหาลงทุนในหุ้นเติบโต โดยพัฒนาขีดความสามารถที่จะทำความเข้าใจ พฤติกรรมของการเติบโต จังหวะของการเติบโต และจับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของการเติบโตที่จะมีผลต่อราคาให้ได้ก่อนคนอื่น

นักลงทุนสาย Tech จะพัฒนา ข้อได้เปรียบ โดยศึกษาและเข้าใจ Tech ต่างๆ ในเชิงลึก เพื่อเปลี่ยนอนาคตที่มองได้ยาก และเห็นก่อนคนอื่น ให้กลายเป็น Alpha ของตัวเอง

นักลงทุนทุกคนพยายามที่จะหาข้อได้เปรียบของตัวเองในการทำผลตอบแทนให้เหนือกว่าตลาด ด้วยวิธีการต่างๆ คนทุกคน กองทุน สถาบันการเงินต่างๆ พยายามทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่และยิ่งยวด มีทีมงานที่เก่งกาจ เครื่องมือ และเงินทุน แล้วมาปะทะกันที่การซื้อขายในตลาด สุดท้ายจึงเกิดตลาดที่มีประสิทธิภาพขึ้น

ด้วยความที่ผมลงทุนหุ้นสหรัฐฯ มานานระดับหนึ่ง ที่สหรัฐฯ เค้าไม่นับกันนะครับว่า Insider Trading เป็นข้อได้เปรียบในการลงทุน เพราะ ที่สหรัฐฯ Insider Trading นี่หมายถึง คุก ดูอย่างเคสของคุณ Martha Stewart ได้ครับ ที่สหรัฐฯ การฉ้อโกง ไม่ได้เป็นคดีแพ่งที่ไม่ติดคุก แต่เป็นคดีอาญา ดังนั้น Insider ของบริษัทฯ ในตลาดนี่ระวังตัวกันค่อนข้างมาก เพราะ มีคนติดคุกกันให้เห็นอยู่บ่อยๆ ในข่าว

ดังนั้น ข้อได้เปรียบในการลงทุน นี่ถ้าเวลาผมเขียน ผมไม่ได้หมายถึง Insider Trading แน่ๆ แนวคิดนี้ไม่ได้อยู่ในหัวผมมานานแล้ว

ผมห่างจากสังคมนักลงทุนไทยไปนาน ผมไม่รู้ว่าที่ไทยสร้างข้อได้เปรียบในการลงทุนกันอย่างไร แต่ที่สหรัฐฯ ผมเห็นคนทุกคนพยายามที่จะสร้างข้อได้เปรียบในการลงทุนด้วยวิธีการต่างๆ และ Competitive Edge ของแต่ละคนก็จะเหมาะกับกิจการบางประเภท Life Cycle บางอย่าง อุตสาหกรรมบางอุตสาหกรรม พยายามที่จะเอาชนะตลาด

เพราะ ที่สหรัฐฯ แค่คุณสามารถหาวิธีการที่เอาชนะตลาดได้อย่างต่อเนื่อง และ Scale ได้ระดับหนึ่ง เงินก็จะไหลมาเทมาให้คุณลงทุนเต็มไปหมดแล้ว แต่ตามธรรมชาติ เมื่อวิธีการหนึ่งได้ผล เงินที่มากขึ้นก็จะทำให้คุณชนะตลาดได้ยากขึ้น วิธีการที่ได้ผลก็จะทำให้คนทำตามมากขึ้น Alpha ที่ได้ลดลง สุดท้ายก็อาจจะทำให้มันไม่ได้ผล หรือ อาจจะแพ้ตลาดตามมา สุดท้ายแล้วในระยะยาวก็จะได้ผลตอบแทนแค่ค่าเฉลี่ย

คนที่ชนะตลาดได้อย่างต่อเนื่อง อย่าง Warren Buffet จึงเป็นอะไรที่เทพมากๆ ในโลกแห่งการลงทุน แต่ก็จะเห็นว่า พอ Buffet ชนะมานานๆ หลังๆ Buffet ก็จะแพ้ตลาดมานานหลายปี
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 29

โพสต์

ในการลงทุนของผมเอง ผมโชคดีเริ่มต้นลงทุนตอนที่ตลาดเล่นง่าย เพราะ คนยังไม่สนใจลงทุนในหุ้นในช่วงนั้น คนที่ลงทุนในหุ้น จะเป็นพวกนอกคอก ที่ผู้ใหญ่รู้เข้า ก็จะกลัวว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายกับเรา เป็นอาชีพที่คนไม่ให้ค่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงนั้นจึงมีประสิทธิภาพต่ำมาก

เกมของพวกเราในช่วงนั้น ก็คือ ศึกษา เจาะลึก แล้วก็มานำเสนอหุ้นที่เราคิดว่ามัน Under Value ให้กับเพื่อนๆ ในเว็บบอร์ด ใน Meeting Group พยายามทำตัวเป็น Catalyst ที่จะทำให้ราคาที่มัน Under Value ขึ้นเร็วที่สุดแล้วหมุนเงินไปหาหุ้นตัวใหม่มาเชียร์

ในตลาดที่หุ้นถูกเกลื่อนเมือง ยิ่งหมุนรอบได้เร็วเท่าไหร่ ยิ่งดี ดังนั้นเราจะพยายามอัดหนักๆ แล้วก็เชียร์หนักๆ ทำรอบ ทำ Turn Over ให้สูงๆ เพื่อสร้าง Alpha ให้สูงเสียดฟ้า

ช่วงเวลาแบบนั้นจะมีอยู่จำกัด เพราะ เรารู้ว่าในอนาคต จะมีคนเข้ามาทำแบบนี้มากขึ้น และราคาหุ้นก็จะสูงขึ้น ถึงวันหนึ่งวิธีการแบบนี้จะใช้ไม่ได้ ตลาดที่มีประสิทธิภาพต่ำ ก็จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น จากข้อมูลที่มีมากขึ้น วิธีการที่ประสบความสำเร็จในวันนี้จะใช้ไม่ได้ในอนาคต นักลงทุน VI ในช่วงต้น จึงทำตัวคล้ายๆ Activist Investor กลายๆ

พอวันหนึ่งหุ้นไทยแพงถึงจุดหนึ่ง พอร์ตผมมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ผมเลยย้ายบ้านไปสหรัฐฯ ที่ๆ ผมคิดว่าผมพอจะมี ข้อได้เปรียบในการลงทุนบางอย่าง

ข้อได้เปรียบของผม คือ ผมมีความรักและหลงใหลในคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีมาก ผมเริ่มจับคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ ป.2 แล้วก็ศึกษามาตลอดจนจบปริญญาตรี ทำให้ผมเชื่อว่าผมพอที่จะเห็นแนวโน้มในอนาคตบางอย่างที่คนอื่นน่าจะมองไม่เห็น แถมหุ้นเทคฯ ที่ผมสนใจในช่วงนั้นถูกมากอย่างเหลือเชื่อ เมื่อเทียบกับหุ้นที่ผมถืออยู่

หุ้น Growth ปกติควรที่จะมีราคาแพง แต่ในจังหวะนั้นก็คล้ายๆ ตอนนี้แหละ มันกำลังเกิด Smartphone Revolution ซึ่งในช่วง Transition มีการ Allocate Resource ต่างๆ ใหม่ ทำให้เกิดความงงงวย ไม่เข้าใจ และกังวลขึ้น เลยเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เราซื้อหุ้น Growth ในราคา Value ได้ มันเลยเป็นการตัดสินใจที่ไม่ยากเลยที่ผมจะไปตลาดสหรัฐฯ

ตอนผมนำเสนอหุ้น Google หรือ Facebook กับเพื่อนๆ ในช่วงปี 2012-2013 ก็ไม่มีใครสนใจ เพราะ เค้าไม่ได้มี ข้อได้เปรียบ อย่างที่ผมมี เป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้ผมเชื่อว่าอนาคตของกิจการทั้ง 2 นี้มันมีมากกว่าราคาที่ซื้อขายกัน
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
ภาพประจำตัวสมาชิก
picatos
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3352
ผู้ติดตาม: 327

Re: องค์ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้จากการลงทุนหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ มา 10 ปี

โพสต์ที่ 30

โพสต์

สำหรับเพื่อนๆ ที่ไปลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ เพื่อนๆ อาจจะรู้สึกว่า เราจะไปเทียบอะไรกับเค้า เราก็สู้เค้าไม่ได้สักอย่าง ภาษาเราก็ไม่ได้ องค์ความรู้เราก็ไม่ได้ ความขยันเราก็ไม่ได้ ทีมงานเราก็สู้ไม่ได้ ข้อมูลเราก็ไม่ได้ เม็ดเงินเราก็ไม่ได้ แหล่งข้อมูลหรือสังคมนักลงทุนเราก็ไม่มี อาจารย์หรือคนที่จะขอคำปรึกษาเราก็ไม่มี

"เราจะเอาอะไรไปสู้เขา" "เราคงจะไม่มี Edge (ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน) แหละ"

ผมบอกได้เลยครับว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีข้อดี มีข้อเสีย คุณเป็นคนตัวเล็ก คุณก็ต้องสู้แบบคนตัวเล็ก คนเป็นคนเชื่องช้า คุณก็ต้องสู้แบบคนเชื่องช้า ทุกอย่างอยู่ที่ใจจริงๆ เลยครับ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ ถ้าใจคุณสู้ คุณบอกว่าตัวเองสู้ได้ แล้วก็พยายามศึกษาหาข้อดีของตัวเองมาพัฒนา ระมัดระวังจุดอ่อนข้อเสียของคุณ มีหลักการ และศรัทธาที่ถูกต้อง มีความขยัน หมั่นเพียร ที่จะทำไปเรื่อยๆ สุดท้ายคุณก็จะชนะตลาดได้เอง

ข้อได้เปรียบของนักลงทุนไทย ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ

1. นักลงทุนของสหรัฐฯ เป็นคนที่เกิดในประเทศที่มี 4 ฤดู ต้องต่อสู้กับอากาศหนาว เพื่อเอาตัวรอดในหน้าหนาว จึงต้องมีการวางแผนเตรียมเสบียง และปรับตัวตามฤดูกาล เกมการแข่งขันในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จึงเป็นเกมส์ที่เร็ว และใช้ข้อมูลเยอะ สภาพแวดล้อมเป็นแบบนี้ ข้อมูลเป็นแบบนี้ก็จะ Take Action แบบหนึ่ง แล้วก็จะวางแผนข้ามช๊อต ไป 2-3 ขั้น มี Playbook ละเอียด ที่จะหาทางเอาชนะคนอื่น ชอบวัดผลงานกันเป็นรายปี รายไตรมาส

Warren Buffet ถึงต้องปลีกตัวออกจาก Wall Street กลับบ้านไปอยู่ที่ Omaha เพื่อไม่ปล่อยให้กระแสของเกมส์ บีบให้เค้าเล่นเกมที่เค้าเล่นไม่ถัด การนั่งอ่านรายงานประจำปีอย่างสงบในบ้าน โดยไม่ไปเล่นเกมที่เค้าไม่ถนัด ทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ผลตอบแทนที่ทำได้เหนือกว่าตลาดอย่างยาวนาน

ดังนั้นสำหรับนักลงทุนไทย ผมคิดว่าเราอย่าไปใช้ Playbook เดียวกับคนเก่งๆ ที่ต่างประเทศ เพราะ ถ้าตลาดมีแต่คนเก่ง เราต้องใช้วิธีการที่แตกต่าง ข้อได้เปรียบของนักลงทุนไทยอย่างแรกที่ผมเห็น คือ เราอยู่ในประเทศที่มี 1 ฤดู คือ ร้อนอย่างเดียว ไม่มีเย็นเลย มันทำให้เรานิ่งเฉย อดทน ไม่ทำอะไรได้มากกว่านักลงทุนสหรัฐฯ ซึ่งเหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะลงทุนในระยะยาว

ข่าวหุ้นต่างประเทศ เราก็ฟังก็อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะ ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา การที่เราหาหุ้นดีๆ ที่จะถือในระยะยาว แล้วอุดหู ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเปล่าเปลือง เป็นขีดความสามารถขั้นเทพ ที่ฝรั่งไม่สามารถเลียนแบบเราได้แน่ๆ ถ้าเรายังทนใช้รถเมล์คันหนึ่งมาได้ 30 ปีได้ การจะลงทุนถือหุ้นสัก 10 ปี คงจะไม่ได้ยากอะไรมาก

ดังนั้นอย่ามองว่าความไม่รู้ ไม่ทันเกมคนอื่นเป็นข้อเสีย มันอาจจะเป็นข้อได้เปรียบของเราก็ได้

------------------------------------------------

2. ในการลงทุน รู้เยอะ รู้เร็ว ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้ถูก ยิ่งถ้าคุณศึกษาหุ้นที่กิจการไซส์ใหญ่ๆ Product Line เยอะๆ Operate ในหลายๆ ประเทศ ข้อมูลมันเยอะแยะมาก อย่าง Amazon มีพนักงานอยู่ 1.6 ล้านคน มากพอๆ กับประเทศบาเรนที่อันดับที่ 152 จาก 235 ประเทศ ระดับของ Complexity ของกิจการ คือ คุณศึกษาเท่าไหร่ก็ไม่หมดหรอก

สถาบันฝรั่งใช้การ Specialize แบ่งงานทำกันเป็นทีม แล้วก็พัฒนา Process ในระดับ Decision Making แบบเทพๆ อย่างที่ Ray Dalio หรือ Micheal Mauboussin ทำ เพื่อหาทางเอาชนะตลาด

เราไม่มีอะไรพรรค์นั้น ดังนั้นมันบีบให้เราต้องมองภาพใหญ่ และสิ่งที่เป็นสาระสำคัญในระยะยาว ในพื้นที่ๆ เราคิดว่ามีข้อได้เปรียบจริงๆ

โดยส่วนตัวผมจึงไม่ลงทุนกิจการแบบ Amazon, Apple หรือ Netflix เพราะ กิจการพวกนี้ถ้าแม้ว่าจะเป็นหุ้นเทคฯ แต่มันก็เป็นธุรกิจที่เน้นการแข่งขันแบบดั้งเดิม ซึ่งในการวิเคราะห์ขีดความสามารถในการแข่งขันก็จะใช้โมเดลอย่าง Five Force ของ Micheal Porter โดยจะไปเน้นที่ Economies of Scale โดยใช้ข้อได้เปรียบจากการที่ Marginal Cost ของ Digital ที่ถูกกว่าธุรกิจดั้งเดิมในการ Disrupt ธุรกิจดั้งเดิม นำเสนอ User Experience ที่ดีกว่า ถูกกว่า ในการยึดครองตลาด

พวก VC ชอบพูดกันว่า Idea is cheap, Execution is everything. ผมไม่เถียงว่าบริษัทพวกนี้ Execution คือ ดีมาก เพราะ Execute ได้ดี มี Culture ที่ดี ทำให้เค้าแข่งชนะคนอื่น แต่ตราบใดที่แข่ง มันยังมีผู้แพ้และผู้ชนะ เราต้องคอยติดตามอย่างใกล้ชิดว่า ในการแข่งขันตอนนี้ใครกำลังแพ้ ใครกำลังชนะ ปัจจัยที่กิจการพวกนี้จะชนะต่อไปยังมีไหม

ผมคิดว่าผมแพ้แน่ๆ ในเกมส์นี้ เกมส์ที่จะต้องคอยมานั่งดูว่าใครกำลังจะแพ้ กำลังจะชนะ แล้วก็หาโอกาสลงเงินแทงข้างคนที่ชนะ หรือ กำลังชนะ แล้วก็ต้องรีบเอาเงินออกก่อนที่เกมกำลังจะเปลี่ยน สถานะกำลังถดถอย โดยส่วนตัว ผมคิดว่านักลงทุนไทยไม่น่าทันฝรั่งในเกมนี้

ผมเป็นคนไม่ชอบการแข่งขันมาตั้งแต่เด็ก ผมไม่ชอบเป็นจุดเด่น คือ อยากเก่งนะ แต่ไม่อยากเด่น ถ้าเรียนก็ขอเรียนได้ดีๆ หน่อย แต่อย่าเด่นมาก ผมไม่ได้สนุกกับการที่เห็นใครสักคนนึงชนะ แล้วก็ดีใจ สะใจ ไปกับผู้ชนะด้วย เพราะ ท่ามกลางชัยชนะนั้น สายตาของผมจะจับไปที่คนแพ้ที่กำลังร้องไห้เสียมากกว่า อาจจะเป็นเพราะ ในวัยเด็กผมถูกเปรียบเทียบกับคนอื่น และรู้สึกว่าเป็นผู้แพ้อยู่ตลอดเวลา เลยทำให้ผมรู้สึกว่าแค่อยากจะมีความสุขกับชีวิตที่สงบๆ ของตัวเอง ไม่ได้อยากจะไปแข่งอะไรกับใคร จะได้ไม่ต้องแพ้

Concept เรื่อง Platform Business Model จึงเป็นอะไรที่ถูกจริต ผมสุดๆ ซึ่งเรื่อง Platform นี้ให้ อ.แดม อธิบาย คงจะอธิบายได้ดีกว่าผม เพราะ ผมก็ได้รับคำแนะนำจาก อ.แดม ให้ไปเรียนและศึกษาเรื่องนี้มาอีกที

แต่โดยสรุปจากที่ผมไปเรียนทางออนไลน์ของ Emeritus ที่ อ.แดม แนะนำมา คือ อ. Geoffrey Parker บอกว่า Platform Business Model จะก้าวข้ามผ่าน การแข่งขันแบบดั้งเดิมไป ทฤษฏี Five Force (ซึ่งผมไม่เคยชอบและไม่เคยใช้) จะใช้ไม่ได้ เพราะ หน้าที่ของ Platform เหมือนเป็นคนที่ทำงานทำหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกให้คนอื่นทำงานได้สะดวก เป็นตัวกลาง เป็นพื้นที่ที่ให้คนได้เข้ามาสร้างสรรค์ ซื้อขาย แลกเปลี่ยน เป็นตลาด ฯลฯ ช่วยลดต้นทุน หรือ Friction ในการทำธุรกิจ และถ้าออกแบบ Platform ดีๆ Platform นั้นจะมีสิ่งที่เรียกว่า Network Effect ซึ่งถ้า Network Effect เป็น Strong Network Effect และ Scale ไปได้ในพื้นที่ๆ เป็นประโยชน์กับคนเยอะๆ มันเป็นโอกาสสูงที่ Platform นั้น จะได้ Market Share ทั้งหมด หรือ เกือบทั้งหมดไป (Winner Take Most/All)

และในบรรดา Platform ทั้งหมด ผมชอบ Platform ที่เป็น User Generated Content (UGC) ที่สุด เพราะ ผมชอบที่จะ Empower ให้กับคนตัวเล็กๆ ที่ไม่มีโอกาสในชีวิต ได้มีโอกาส หรือข้อมูลที่ดีขึ้น มากกว่าลักษณะของ Platform ทางธุรกิจ นอกจากจะเป็นประเด็นในเรื่องของจริตและเจตจำนงค์ของตัวผมเองแล้ว UGC Platform มีข้อดี คือ เราสามารถติดตามกิจการได้ง่ายกว่า Business Platform เพราะ เราสามารถทดลองใช้งานเองได้จริง Network Effect ก็แข็งแรงกว่า เพราะ Node เยอะ Interaction เยอะ พวก Platform ทางธุรกิจ

อย่าง Google สิ่งที่เป็นธุรกิจ UGC Platform จริงๆ คือ YouTube และ Google Map อย่าง Facebook, Instagram อันนี้ก็คงจะรู้ๆ กันอยู่ ว่า Social Media มันมีผลขนาดไหนกับชีวิตและสังคมในยุคนี้

ปีที่ผ่านมาประชากรโลกพึ่งจะไปแตะ 8 พันล้านคน แต่คนใช้บริการ Platform ของ Alphabet และ Meta ยังอยู่แค่ 1-2 พันล้านคน ผมเชื่อว่าโลกใบนี้ดีขึ้นอยู่ทุกวัน การปฏิวัติทางพลังงานและองค์ความรู้จะทำให้ ต้นทุนพลังงานและความรู้ถูกลงเรื่อยๆ จนเข้าใกล้ศูนย์ ซึ่งผลของมันจะช่วยเปิดโอกาสให้คนจนทั่วโลกที่มีรายได้ต่อวันต่ำกว่า 2 ดอลล่าร์ ได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก กิจการอย่าง Alphabet และ Meta ยังสามารถนำเสนอบริการฟรีๆ ที่ดีต่อชีวิตคนไปได้อีกมาก

หรือ อย่างแนวโน้มของเทคโนโลยีที่ช่วยลดต้นทุนในการผลิตและการให้บริการลงทุนที่กำลังเดินหน้าไปเรื่อยๆ จะทำให้ค่าใช้จ่ายของคนเป็นสัดส่วนของการใช้จ่ายในแง่ของ Life Style หรือ ตอบสนองต่อ Self Esteem ที่มีมากขึ้น จะทำให้สัดส่วนของ Marketing Expense ต่อรายได้ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะยังทำให้ตลาดโฆษณายังโตไปได้เรื่อยๆ

ผมคิดว่าความเชื่อของผมที่ฟูมฟักว่าโลกใบนี้จะดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นข้อได้เปรียบของผม ที่ทำให้ผมสามารถลงทุนในกิจการที่ผมเชื่อว่าจะได้ประโยชน์ในระยะยาว โดยที่ผมมีข้อมูลน้อย เชื่องช้า ให้สามารถถือยาวในระดับสิบปีได้อย่างปลอดภัย

-------------------------------------------------

3. ฉันทะ คือ ข้อได้เปรียบ

ฉันทะ คือ ความรักในการศึกษากิจการที่เราชอบ มันจะสร้างความสุขให้กับเราทุกครั้ง เวลาเราได้ศึกษา ได้รู้เรื่องราวอะไรใหม่ๆ ดีๆ เพิ่ม การที่เราทำมันลงไป เพราะ อยากได้เงินแต่ต้องเป็นทุกข์ในปัจจุบัน เพื่อหวังว่าถ้าได้กำไร เราจะมีความสุขในอนาคต ผมเห็นตัวอย่างมาเยอะแล้วว่า จริงอยู่ว่าเวลาได้กำไรจริงๆ มันก็มีความสุข แต่มันเป็นความสุขที่เกิดขึ้นแว่บหนึ่ง จากนั้นเราก็จะไปสอดส่าย เปรียบเทียบกับคนอื่น แล้วพอรู้ความจริงว่าคนอื่นได้เยอะกว่าเรา เราก็กลับมาเป็นทุกข์อีก ทุกข์ด้วยความอิจฉาริษยา หรือไม่ก็ได้กำไรมาแล้ว ก็พยายามที่จะทำให้ได้มากๆ อีกแบบเดิม เป็นวงจรที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นความสุขจริงๆ หรือเปล่า

แต่ถ้าเราสามารถที่จะมีความสุขกับสิ่งที่เราทำจริงๆ ความสุขมันเกิดขึ้นทันทีที่เราได้ศึกษาอะไรใหม่ เรียนรู้อะไรใหม่ จากความมืดที่ดับไป ความสว่างที่เกิดขึ้น เราสามารถมีความสุขกับสิ่งๆ นี้ได้ทันที ไม่ต้องรอให้ได้เงิน ได้กำไร แถมถ้าเรามีความสุข มีฉันทะที่เกิดจากการศึกษาการลงทุนนี้ มันก็จะมีแรงที่จะทำมันต่อไปได้ในระยะยาว ทำได้บ่อยๆ จนกลายเป็น ข้อได้เปรียบ อะไรบางอย่างขึ้น จากความรักและสนใจในเนื้อแท้ของสิ่งต่างๆ

มีคนบางคนบอกว่าอย่ารักหุ้น ให้รักเงินของตัวเอง ผมได้อ่าน ได้ฟังทีไร ก็รู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างแปลกๆ ที่ผมไม่เห็นด้วย เพราะ เราจะรักเงินไปทำไม ในเมื่อวันหนึ่งเราก็ต้องทิ้งมันไป เอามันไปไม่ได้สักบาทตอนเราตาย

ผมรักหุ้นครับ ถ้าผมศึกษามันดีแล้ว ว่ามันจะเป็นคู่ชีวิตของผม จะเป็นพาร์ทเนอร์ ที่จะอยู่ร่วมทางกันไปในระยะยาว ผมไม่เชื่อเรื่องการแข่งขัน แต่เชื่อในเรื่องความร่วมมือ อย่างตอนที่ผมลงทุน Google ใหม่ๆ Larry Page ผู้ก่อตั้ง Google ให้สัมภาษณ์ว่า เราจะแข่งกันไปทำไม ในเมื่อสิ่งที่เราทำมันเป็นแค่ 1% ของสิ่งที่ทำได้ ผมฟังแล้วก็ Click เลยว่า เนี่ยแหละ ทัศนคติของคนที่เราอยากจะร่วมทางกับเค้าไปในระยะยาว

ในขณะที่คำพูดอย่าง Jeff Bezos ที่บอกว่า Margin ของคุณ คือ โอกาสของผม คนที่มีทัศนคติแบบนี้ คงจะไม่สอดคล้องกับความสุขในการลงทุน เลยทำให้ผมไม่เคยเสียเวลาแม้แต่นิดเดียวที่จะศึกษากิจการอย่างนี้

อย่าง Satya Nadella ของ Microsoft ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ผมประทับใจและปลาบปลื้มมากๆ กับแนวความคิด ในมุมของ Empathy และ Empower แต่ทว่า ในสมัยนั้น ผมยังคงมี Question อยู่ว่า คุณงามความดีแบบนี้ จะเปลี่ยนองค์กรที่คิดแต่เรื่องการแข่งขันในสมัย Steve Balmer ได้จริงหรือ และทำให้ผมเสียดายมากๆ ที่ผมไม่ได้ลงทุนใน MSFT จากการที่ผมยังไม่เชื่อว่าคุณงามความดี สุดท้ายแล้วจะสามารถอยู่รอดและเอาชนะได้ในโลกที่โหดร้ายใบนี้

ฉันทะ ความรัก และปรารถนาดี ที่ผมเชื่อ ทำให้เวลาที่หุ้นตก ผมก้าวข้ามผ่านความขาดทุน และความสูญเสียทุกครั้งไปได้ เพราะ ถ้าผมเลือกแล้ว ผมอยากที่จะรัก อดทน กับช่วงเวลาที่เลวร้ายไปกับคนที่ผมเลือก ผมอยากที่จะรักษาศรัทธาในตัวกิจการที่ผมคิดว่าดีแล้วไปอย่างถึงที่สุด ผมถือหุ้นเป็นสิบปี หุ้นที่เรามีศรัทธาจริงๆ เราจะไม่หวั่นไหว เวลามันตก เพราะ ยังไงเราก็ถือระยะยาวอยู่แล้ว การลดลงเป็นกระบวนที่เกิดขึ้นตามธรรมดาของการถือระยะยาว

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะรักแบบไม่ลืมหูลืมตา โดยไม่ได้สนใจมูลค่านะครับ ผมถือยาว แต่ผมก็มีการปรับ Position Sizing ตามโอกาสและความเสี่ยง ราคาในบางช่วงที่แพงเกินไป ผมจะพยายามลดสัดส่วน Underweight ราคาในบางช่วงต่ำเกินไป ผมก็จะพยายาม Overweight
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
โพสต์โพสต์