"ตลาดหุ้นคือสนามรบ : กว่าจะเป็น เสี่ยยักษ์ (วิชัย วชิรพงศ์)"

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Introverted investor
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 107
ผู้ติดตาม: 264

"ตลาดหุ้นคือสนามรบ : กว่าจะเป็น เสี่ยยักษ์ (วิชัย วชิรพงศ์)"

โพสต์ที่ 1

โพสต์

“เงินนี่มันก็แปลก มีเงิน 1 ล้านบาท ถ้าคุณอยากจะเพิ่มให้เป็น 2 ล้านบาท ช่วงนี้จะยากมากๆ จะมีสักกี่คนที่สามารถทำได้ แต่จาก 2 ล้านเพิ่มไปเป็น 4 ล้าน จาก 4 ล้านเพิ่มไปเป็น 8 ล้าน มันจะง่ายขึ้น “ง่าย” ผมพูดเรื่องจริง”


นี่คือคำกล่าวของคุณวิชัย วชิรพงศ์ หรือ “เสี่ยยักษ์” เศรษฐีหุ้นไทยที่นักลงทุนไม่ว่าจะเป็นรุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ต่างรู้จักกันดี

วิชัย วชิรพงศ์ (เสี่ยยักษ์) ชื่อที่ผู้คนในวงการตลาดหุ้นไทยต่างต้องรู้จักและยำเกรง เสี่ยยักษ์เชื่อว่าในสนามรบตลาดหุ้นนั้น คุณต้องใช้ฝีมือ 70% ส่วนที่เหลือคือเรื่องของโชคชะตา ใครเล่าจะล่วงรู้ถึงอนาคตว่ามันจะจบลงเช่นใด
วิชัย copy.jpg
“จะเล่นหุ้นให้รวย ต้องหาหุ้นในดวงใจให้เจอ” และอดทนอยู่กับมันให้นานพอ

การตัดสินใจซื้อๆขายๆ ยิ่งบ่อยครั้ง ย่อมพลาดท่าให้กับความเสี่ยงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่าไปคิดว่าคุณเสียเปรียบรายใหญ่ เส้นทางรวยในรูปแบบเฉพาะตัวของคุณยังมีเสมอ ขอแค่ต้องพยายามหาให้เจอ ต้นทางของถนนแห่งความสำเร็จคือ “แนวคิด” ถ้าคุณคิดเป็นและเลือกเส้นทางเดินให้ถูก ชีวิตก็จะประสบความสำเร็จได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ประเด็นคือ “อย่าเป็นคนที่คิดไม่เป็น” คุณต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดเสมอ จนกว่าที่วันหนึ่งจะเดินไปถึงจุดที่เรียกได้ว่า “คิดเป็น” ความผิดพลาดนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย และอย่าไปกลัวที่จะต้องจ่าย ถ้าคุณไม่เคยล้ม คุณก็เดินไม่เป็น “คิดเป็นก่อนคนอื่น ก็มีโอกาสรวยก่อนคนอื่น”

“การเลือกเส้นทางเดินชีวิตก็เหมือนหลักการเล่นหุ้น” จงวิ่งไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มสำคัญ

จุดเปลี่ยนชีวิตของคนเราคือ การได้ลิ้มลองรสชาติของความสำเร็จให้ได้สักครั้งหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ถ้าคุณได้มีโอกาสสัมผัสความสำเร็จสักครั้ง อะไรก็ตามที่เป็นอุปสรรคหลังจากนั้นมันจะดูง่ายไปเสียหมด “นี่คือเรื่องจริงจากประสบการณ์ของผม” ในตลาดหุ้นนั้นไม่แตกต่างกัน ถ้าคุณสามารถชนะครั้งใหญ่ให้ได้สักครั้ง แน่นอนว่าชัยชนะครั้งต่อๆไปจะยืนอยู่เคียงข้างคุณ
....................................

การลงทุนหุ้น เราต้องคิดให้เป็นวิทยาศาสตร์ การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขาย (Volume) ต้องสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น นักลงทุนที่คิดอยากจะก้าวขึ้นมาเป็นรายใหญ่ต้องทำความเข้าใจกฎข้อนี้ให้ดี “หุ้นจะเป็นขาขึ้นก็ต่อเมื่อราคาและปริมาณ เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน”
“ชีวิตคนเรานั้นขอให้ได้ชนะอะไรบ้างสักครั้งหนึ่ง แล้วเราจะไม่กลัว จากนั้นชีวิตจะชนะอยู่เรื่อยๆ”
“ผมเคยทำธุรกิจมาก่อน จากนั้นก็ต้องล้มเลิกไป ได้ข้อคิดมาข้อหนึ่งว่า ถ้าเจ้าของธุรกิจทำเองไม่เป็นแล้วต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ สุดท้ายเราก็ไปไม่รอดหรอก” เสี่ยยักษ์กล่าว

เวลาคุณเลือกหุ้นที่พื้นฐานดีและราคาถูก แต่เมื่อเข้าซื้อเสร็จเรียบร้อยไปแล้วราคาก็ไม่ขึ้น มีแต่ไหลลงไปทุกวัน แสดงว่าคุณคิดผิด คุณต้องทิ้ง ต้องตัด ต้องเปลี่ยน อย่าดันทุรัง โดยพื้นฐานแล้วความสำเร็จไม่ได้ยากไปกว่าความล้มเหลว แต่ทำไมนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นจึงมักขาดทุนมากกว่ากำไร “มีเหตุผลเดียวคือเพราะพวกเขารู้ไม่จริง” นักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องทุ่มเทความพยายามเพื่อค้นหาแนวทางของตนเอง
.......................................

มีต้นแบบได้ มีนักลงทุนที่ชอบได้ แต่อย่าไปลอกเลียนแบบคนอื่น อย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ ลองถามตัวเองดูว่าคุณเป็นคนแบบไหน รีบหาตัวเองให้เจอ

การอ่านหนังสือทำให้เรารู้หลักการลงทุนเชิงทฤษฎี ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและสมควรให้เวลากับมัน ส่วนในทางปฏิบัติจริงต้องอาศัยการประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์เฉพาะหน้า “การเล่นหุ้นแล้วขาดทุนแสดงว่าคุณยังรู้ไม่จริง”
................................

ถ้ามนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งทำงานเฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมง คุณต้องทำงานวันละ 10 ชั่วโมง คุณถึงจะชนะ ถึงจะยืนอยู่เหนือค่าเฉลี่ย การเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นอย่าคิดว่าคุณเก่งกว่าคนอื่น ยังมีคนที่เก่งกว่า รู้มากกว่าคุณอีกนับไม่ถ้วน ก่อนที่จะคิดซื้อหุ้นแม้แต่บาทเดียวก็ตาม คุณต้องตอบคำถามให้ได้ว่าซื้อเพราะอะไร แล้วถ้าหุ้นจะขึ้น มันจะขึ้นด้วยเหตุผลอะไร ถ้าคุณตอบได้โอกาสชนะก็มีเกินครึ่ง คนที่จะชนะในตลาดหุ้นต้องเกิดจากการไขว่คว้าหาโอกาส ไม่ใช่การวัดดวง โชคชะตาคือส่วนน้อย
....................

ความรู้และประสบการณ์มันเรียนรู้กันได้ ตามทันกันได้ แต่ทัศนคติมันเปลี่ยนกันยาก คุณต้องเริ่มต้นจากการยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของตนเอง อย่าไปโทษคนอื่น จากนั้นนำมาแก้ไข แล้วคุณจะเก่งขึ้น “สมัยที่ผมเริ่มต้นลงทุน ผมจะใช้วิธีลอกข้อสอบคนเก่งๆ แต่อย่าลืมว่าเวลาที่เราลอกข้อสอบคนอื่นนั้น เราก็ต้องพัฒนาตัวเองให้ทันเขาด้วย”

นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่มักเพ้อฝันว่าจะร่ำรวยได้ในระยะเวลาสั้นๆ คิดเข้าข้างตัวเองว่าเราจะต้องได้กำไรทุกครั้ง ต่างจากนักลงทุนมืออาชีพที่จะยึดโยงอยู่กับพื้นฐานของตลาด เวลามีใครมาบอกว่าหุ้นตัวนั้นดี ตัวนี้ดีก็อย่าเชื่อเขาไปเสียหมด ควรรีบกลับไปศึกษาเพิ่มเติม ทำการบ้านต่อว่ามันดีจริงอย่างที่ใครเขาพูดหรือเปล่า

การเล่นหุ้นต้องพายเรือตามน้ำ อย่าทวนน้ำ อย่าพยายามฝืนภาวะตลาด ต้องอ่านจิตวิทยาตลาดหุ้นให้ออกว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไร อย่าเป็นคนประเภทคิดเองเออเอง การเล่นหุ้นฝืนตลาดมันเหนื่อย ขอย้ำว่าคุณต้องเกาะตามแนวโน้ม “Follow the Trend” และต้องกำหนดจุดตัดขาดทุน (Cut Loss) ต้องกล้าตัดสินใจ เมื่อรู้ว่าคิดผิดทางเมื่อไรต้องกล้าทิ้งทันที หุ้นที่เป็นขาลงอย่าซื้อถัวเฉลี่ยและอย่าถือ ต้องตัดทิ้งอย่างเดียว
2.jpg
อยู่ในตลาดหุ้น ถ้าคุณไม่ใช่คนวงใน คุณต้องยึดปัจจัยพื้นฐานเอาไว้ก่อนเสมอ ถึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ ขอให้คุณเชี่ยวชาญหุ้นทีละตัว ทีละบริษัท อย่างมากก็ 3 - 4 ตัวพอ รู้ให้ลึก รู้ให้จริง แล้วอดทนรออยู่กับมันให้ได้ คุณจะรวยมหาศาล “อย่าใจเร็วด่วนได้ เพราะสุดท้ายคุณจะไม่ได้อะไรเลย” นี่ก็คือเรื่องจริง หาหุ้นในดวงใจให้เจอ แล้วคุณจะกล้าถือมันระยะยาว ถ้าคุณไม่มีหุ้นในดวงใจ รับรองว่าชาตินี้ไม่มีทางรวย พอหุ้นขึ้นไปนิดๆหน่อยๆแล้วมีคนขายออกมาเยอะๆคุณก็ใจเสีย รีบขายตามน้ำไปเสียแล้ว พอหุ้นเด้งกลับขึ้นมาใหม่ก็ไม่กล้าซื้อ หรือถึงซื้อก็ซื้อน้อยลง นี่คือจุดผิดพลาดสำคัญที่ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ
...............................

คุณต้องตั้งเป้าหมายให้สูงเข้าไว้ และในระหว่างที่ต้นไม้กำลังเติบโตก็อย่ารีบไปเด็ดยอดทิ้ง อย่าด่วนเอาเงินไปซื้อความสุข ใจเย็นๆไว้ก่อน “คนฟุ่มเฟือยถึงรวยก็มักขัดสน ส่วนคนประหยัดแม้จนก็ยังมีเหลือเก็บ” คุณยังไปไม่ถึงเป้าหมายเลย ยังไม่ประสบความสำเร็จเลย หมั่นฝึกฝนพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆก่อน นำกำไรที่ได้กลับไปลงทุนต่อก่อน (Re-invest) อัตราผลตอบแทนทบต้นมันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก (Compound Interest) ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นเพียงชั่วขณะหนึ่งอย่าไปหลงระเริงกับมัน เพราะนั่นยังไม่ใช่ความสำเร็จที่แท้จริง คุณต้องพิสูจน์เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ของตนเองให้ได้เสียก่อน ต้องทำมันให้สำเร็จเสียก่อน “เงินจะเติบโตเฉพาะกับคนที่รู้จักใช้มันในเวลาที่เหมาะสม”

พลังแห่งผลตอบแทนทบต้น (Compound Interest)

เสี่ยยักษ์เชื่อเสมอว่า นักลงทุนหุ้นที่จะประสบความสำเร็จได้ในระดับสูงนั้น ระหว่างทางจำเป็นที่จะต้องเจอแจ๊คพอต (Jackpot) หรือหุ้นในดวงใจที่ทำกำไรได้มหาศาลผ่านเข้ามาในชีวิตเป็นระยะๆ พอร์ตการลงทุนถึงจะเติบโตได้
“การเล่นหุ้นเพื่อหวังค่าน้ำ ค่าขนม หรือกำไรครั้งละ 3 -5% นั้นเป็นแนวคิดการลงทุนที่ไม่มีวันรวย”
เพราะเมื่อคุณต้องตัดสินใจซื้อขายหุ้นบ่อยๆนั้น โอกาสผิดพลาดก็มีสูงขึ้น คุณต้องหาหุ้นที่จะตี Jackpot แตกให้เจอ เมื่อเจอแล้วก็ต้องกล้าที่จะทุ่มให้สุดตัวไปกับมัน เท่านั้นยังไม่พอ คุณต้องกล้าอดทนรอไปกับมันให้ได้ ในระหว่างทางที่มีแต่ความผันผวน หากคุณวิเคราะห์มาดีแล้วคุณต้องเชื่อมั่น มันจะทำให้คุณถือหุ้นได้อย่างสบายใจ หุ้นตัวไหนที่ถือแล้วนอนไม่หลับ แสดงว่าคุณรู้ไม่จริง ให้ขายทิ้งไปเสีย นั่นเป็นทางออกที่ดีที่สุด
..........................

ส่วนถ้าราคาหุ้นขึ้นมาเยอะมากแล้ว และไม่รู้ว่าจะขึ้นต่อไปอีกแค่ไหน เราต้องกล้าปล่อยให้กำไรเติบโตแบบทบต้นไปเรื่อยๆ (Let the Profit Run) ปล่อยกำไรวิ่งให้สุด ให้เต็มที่ เมื่อถึงจังหวะที่ราคาปรับฐานลงมาพร้อมแรงขายมหาศาล เราต้องขายทิ้ง ล้างพอร์ตออกไปให้หมด
มีคนเคยพูดไว้ว่า ถ้าเราตีกอล์ฟระยะไกลๆแล้วลงหลุมรวดเดียวแบบ Hole in one นั่นคือเรื่องของโชคชะตา แต่การตีกอล์ฟให้ตกลงห่างธงเพียง 1-2 ฟุตนั่นคือฝีมือล้วนๆ (Sam Snead)
ถ้าคุณซื้อหุ้นได้ถูกตัวนั่นคือฝีมือ ส่วนผลสำเร็จจะมากน้อยแค่ไหนนั้น โชคชะตาก็มีส่วนในการกำหนด เราจะค้นหาหุ้นเพื่อตีให้แตกเจอได้อย่างไร มีเพียงหนทางเดียวคือคุณต้องทุ่มเท ฝึกซ้อมและฝึกซ้อม นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
................................

กฎเหล็กที่เสี่ยยักษ์ยึดมั่นเสมอมาคือ “วอลลุ่มพีค = ราคาพีค” และถ้าราคาหุ้นปรับฐานลงมา จากนั้นเด้งกลับขึ้นไปแต่ไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) หุ้นมันจะต้องร่วงลงมา ตามธรรมชาติหุ้นเมื่อถึงจุดหนึ่งมันจะต้องมีการปรับตัวลงมาเพราะถูกคนในตลาดขายทำกำไร จากนั้นถ้าราคาเด้งกลับขึ้นไปที่จุดเดิมและทะลุทำจุดสูงสุดใหม่ได้ มันจะวิ่งไปได้อีกไกล เป็นขาขึ้นรอบใหญ่ นี่คือพฤติกรรมของหุ้นขาขึ้นแทบทุกตัว ถ้าหุ้นเด้งกลับขึ้นมาแต่ไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ค่อยขายทิ้งออกไป เราต้องดูปริมาณการซื้อขายประกอบด้วย ถ้าการขึ้นของหุ้นครั้งแรก วอลลุ่มพีคไปแล้วแสดงว่าราคาก็พีคไปแล้ว ขณะที่การเด้งกลับรอบที่สองวอลลุ่มนั้นไม่สูงเท่ารอบแรกก็รับประกันได้เลยว่านี่คือการจบรอบของหุ้นตัวนี้ กฎเหล็กข้อนี้คุณต้องท่องให้ขึ้นใจและนำไปใช้ได้เลย ถ้าวอลลุ่มทำจุดสูงสุด สูงมากจนผิดปกติ ราคาหุ้นวันนั้นก็จะเป็นจุดสูงสุดของรอบนั้นๆด้วย หรือถึงราคามันจะขึ้นต่อไปอีก ก็ไปได้ไม่ไกล ถึงจะไม่ทุกกรณีแต่ส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้
........................................

วิธีการขายหุ้นของเสี่ยยักษ์คือ รอให้ราคาปรับฐานลงมาแล้วเด้งกลับขึ้นไปใหม่ ถ้าทำจุดสูงสุดใหม่ได้ก็จะถือต่อ “Let profit Run” เพราะคุณไม่มีทางรู้จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของราคาหุ้น ถ้าขายเร็วเกินไปก็เสียโอกาส เพราะฉะนั้นจุดขายก็คือจุดกลับตัว นั่นก็คือจุดที่ราคาปรับฐานลงมา แล้วมีการเด้งกลับ (Rebound) แต่ไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) ไม่มีหุ้นตัวใดที่จะขึ้นม้วนเดียวจบไปตลอดทาง (ยกเว้นหุ้นปั่น) ระหว่างทางมันต้องมีการปรับตัวลงเพื่อลดความร้อนแรง สะสมพละกำลังใหม่ถึงจะไปต่อได้ คุณต้องคิดทุกอย่างให้เป็นวิทยาศาสตร์แล้วจะเข้าใจ
............................

เสี่ยยักษ์จะกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ตลอดเวลา หุ้นตัวใดถ้าซื้อเก็บเข้าพอร์ตแล้วราคามันลง เขาจะให้ลงได้มากที่สุดไม่เกิน 15% ถ้าเกินกว่านี้เขาขายทิ้งทันที การซื้อหุ้นในแต่ละครั้ง คุณต้องเตรียมตัวขาดทุนไว้เลยสัก 10% ของพอร์ตเสมอ
“ผมกล้าพูดเลยว่าต่อให้เป็นโคตรเซียนมาจากไหน บางครั้งคุณต้องยอมที่จะขาดทุน ไม่เช่นนั้นคุณไม่สามารถทนรอเพื่อไปขายที่จุดพีคได้หรอก ไม่มีใครสามารถซื้อหุ้นในราคาต่ำสุดแล้วไปขายที่ราคาสุดยอดได้หรอก ใครจะไปรู้อนาคตล่ะ นี่คือหลักการ”
ระหว่างที่ราคาหุ้นกำลังวิ่งขึ้นอยู่ดีๆแล้วเกิดมีแรงขายทุบฮวบกดราคาหุ้นหล่นลงมา พร้อมกับปริมาณขายที่หนาแน่นกว่าปกติ จะเป็นการยืนยันว่าหุ้นตัวนั้นหมดรอบแล้ว เคล็ดลับในการดูปริมาณ (Volume) คือ ถ้าหุ้นราคาพุ่งขึ้นแล้ววอลลุ่มหาย ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่ามันกำลังจะขึ้น แต่หากหุ้นราคาลงแล้ววอลลุ่มหายนี่สถานการณ์ปกติ เป็นธรรมชาติ แต่การที่หุ้นราคาขึ้นแล้ววอลลุ่มหายมันผิดกฎธรรมชาติ แสดงว่ามีนักลงทุนรายใหญ่กำลังทยอยซื้อเก็บหุ้นตัวนี้อยู่ เพราะว่าจำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาดมันหายไป นี่คือสัญญาณที่ดี คุณต้องตามไปเจาะลึกเลยว่าหุ้นตัวนี้มันมีดีอะไร เตรียมตัวให้พร้อมเพื่อคว้าโอกาสดีๆที่กำลังจะเข้ามา
.....................

เสี่ยยักษ์กล่าวต่อไปว่า คุณต้องลองคิดให้เป็นหลักวิทยาศาสตร์ หากนักลงทุนรายใหญ่กำลังเก็บของ (ทยอยซื้อหุ้นเก็บเข้าพอร์ต) และไม่ปล่อยหุ้นออกมาหมุนเวียนในตลาด สภาพคล่องของหุ้นตัวนั้นจะค่อยๆลดลง นักลงทุนดูดเก็บหุ้นเข้ากระเป๋ากันหมด นักเก็งกำไรก็ไม่เข้ามาเล่นรอบเพราะสภาพคล่องไม่มี ทุกคนดูดเก็บอย่างเดียว ปริมาณหุ้นในตลาดหายไป ถ้าคุณไปเจอหุ้นลักษณะแบบนี้ที่เป็นหุ้นขาขึ้นแต่วอลลุ่มหาย บอกได้เลยว่ารวยแน่ คุณต้องเข้าใจความสัมพันธ์เช่นนี้ นี่คือหลักวิทยาศาสตร์ มันจะทำให้เรารู้เท่าทัน รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคิดอะไรอยู่ การเล่นหุ้นให้ได้กำไรรอบใหญ่ กำไรมหาศาล ใน 1 ปีคุณมานั่งเฝ้าจอแค่ 2 เดือนก็พอแล้ว รวยมหาศาล ไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งซื้อๆขายๆหุ้นทั้งปี แต่ถ้าคุณชอบเล่นหุ้นรายวัน หาค่ากับข้าวอันนี้ก็แล้วแต่คุณเลย แต่บอกได้เลยว่าถ้าอยากรวยจริงๆต้องเล่นรอบใหญ่เท่านั้น
..............................

ช่วงเวลาที่สภาวะในตลาดหุ้นไม่ดี หรือเป็นตลาดหมี (ตลาดขาลง) เสี่ยยักษ์จะเหลือหุ้นเก็บไว้ในพอร์ตการลงทุนน้อยมาก เวลาที่เหลือจึงทุ่มเทศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหาหุ้นในดวงใจให้เจอจะมีประโยชน์มากกว่า “อยู่ในวงการนี้ถ้าอยากจะชนะ เราต้องทุ่มเทศึกษา ต้องรอบรู้ และต้องมีเพื่อน” คุณต้องคอยติดตามอ่านความคิดของคนอื่นๆในตลาดว่าเขามีมุมมองต่อเรื่องนั้นๆอย่างไร ส่วนจะเชื่อตามนั้นหรือไม่ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง คุณต้องนิ่งให้เป็น รอราคาหุ้นลงต่ำค่อยเข้าไปเล่น อย่ากลัวว่าจะตกรถ (ราคาหุ้นขึ้นแล้วซื้อไม่ทัน) ถ้าคุณมีเงินเย็นอยู่ในกระเป๋าตลอดเวลา หุ้นดีๆจะวิ่งเข้ามาชนคุณเอง คนที่ติดดอยหุ้น (ขาดทุน) ส่วนใหญ่มักถูกอารมณ์ของตลาดนำพาไป ชอบเข้าซื้อหุ้นตอนตลาดใกล้จะวาย คุณลองกลับไปทบทวนตัวเองดูว่าจริงไหม?
...........................

การลงทุนแบบทุ่มสุดตัวด้วยเงินก้อนใหญ่เพียงครั้งเดียว วัดใจกันไปเลย ในสถานการณ์ที่มีความเชื่อมั่นมากๆนั้น เป็นวิธีการลงทุนที่มีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย “อย่าเข้าสู่สนามรบถ้าเรามีโอกาสพ่ายแพ้” เมื่อใดก็ตามที่รู้ตัวว่าผิดพลาดต้องรีบถอย เพราะนั่นชี้ให้เห็นอยู่แล้วว่าปัญญาเราสู้คนอื่นไม่ได้ หรือไม่ก็มั่วไปเอง ถึงแม้ว่าคุณจะมั่นใจในหุ้นตัวใดมากๆก็ตาม ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเสมอไป เมื่อเริ่มเกิดความมั่นใจในสถานการณ์ใดๆนั้น เสี่ยยักษ์จะใช้วิธีการแหย่ขาเข้าไปซื้อหุ้นสักครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ต้องการก่อน จากนั้นก็เฝ้ารอจังหวะที่เริ่มมีปริมาณการซื้อขายเข้ามามากๆ จึงจะซื้อเพิ่มอีกครึ่งที่เหลือทันที วิธีการโยนหินถามทางเช่นนี้จะทำให้เรามีทางเลือกและไม่เจ็บตัวหนัก ถ้าชนะจึงจะสู้ต่อ ถ้าแพ้ก็ถอย เรายังเหลือกองหลังไว้แก้ตัว

การเข้าซื้อหุ้นที่คุณหมายตานั้น คุณอาจเลือกใช้วิธีการเข้าซื้อไม้แรก (แบ่งเงินมาซื้อครั้งแรก) สัก 20–30% ของจำนวนเงินทั้งหมดที่ตั้งใจจะซื้อหุ้นตัวนี้ก่อน ถ้าเจ็บตัวก็ถอยออกมาตั้งหลัก อย่าไปซื้อถัวเฉลี่ยหุ้นขาลง อนาคตจะมืดมน สุดท้ายแล้วคนที่จะเล่นหุ้นแล้วรวยได้จริงๆมันต้องถือยาว ในระยะเดือนหรือปีขึ้นไป การเล่นหุ้นรายวันโดยที่หวังเศษกำไรเพียงเล็กๆน้อยๆนั้นคุณจะพ่ายแพ้ไปตลอดชีวิต
...................................

ในสภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวน คาดการณ์อะไรไม่ได้เลย เสี่ยยักษ์จะดูสภาพคล่องของเงินในกระเป๋าตนเองเป็นอันดับแรก ถ้าสภาพคล่องเราเริ่มตึงตัวจนถึงจุดที่รับได้แล้วนั้น เสี่ยยักษ์จะล้างพอร์ตออกไปให้หมด ไม่สนใจว่าหุ้นตัวไหนจะกำไรเท่าไร หรือตัวไหนจะขาดทุน ภาวะวิกฤติสภาพคล่องของชีวิตนั้นเขาจะถือเงินสดอย่างเดียว เมื่อใดก็ตามที่เรามองไปยังเส้นทางข้างหน้าแล้วประเมินไม่ออก คาดการณ์ไม่ได้ เราต้องถอยออกมาตั้งหลัก การเล่นหุ้นมันไม่ใช่การสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง ถ้ามีแนวโน้มจะแพ้คุณต้องถอย ถ้ามีแนวโน้มจะชนะคุณต้องมีเงินมาซื้อหุ้น
ในโลกแห่งการลงทุนนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนก็มาช่วยคุณไม่ได้หรอก โชคชะตาจะเข้ามาช่วยเหลือคนที่มีความพยายามมากกว่าเท่านั้น ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคุณให้ดีที่สุด ทำสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีที่สุด
จะเล่นหุ้นให้มีกำไรคุณต้องคิดให้เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่งมงาย ไม่มีอะไรมาดลบันดาลให้คุณประสบความสำเร็จได้ คุณต้องค้นหามันด้วยตัวเอง ข่าวลือ ข่าววงใน ฟังได้แต่อย่าเชื่อ ข่าววงในมันต้องอยู่ในที่ลับซึ่งถ้าคุณรู้แล้วคุณไม่ใช่คนของเขาแสดงว่ามันจบรอบการเล่นไปแล้ว ขายทิ้งได้เลย ถ้าข่าวเริ่มออกมาให้มหาชนทั่วไปรับรู้กันหมดแล้วคุณต้องขาย “Sell on Fact” หรือ “Sell on good news” กฎข้อนี้ยังคงใช้ได้ดีในตลาดหุ้นมาจนถึงปัจจุบัน เวลาคุณจะลงทุนหุ้นตัวไหนหนักๆ คุณต้องศึกษาเจาะลึกอย่างละเอียด โดยเฉพาะข้อมูลสำคัญต่างๆ ต้องรู้ให้ลึก รู้ให้จริง
.................................

ในช่วงของการเข้าซื้อหุ้น ลองสังเกตดูว่าถ้าเป็นหุ้นดี ฝั่งรอซื้อจะน้อย (Bid) ฝั่งรอขายจะเยอะ (Offer) คนยังเล่นหุ้นไม่เต็มตัว นักลงทุนเขาจะรอตั้งรับ ไม่ซื้อไล่ราคา การเล่นหุ้นก็เหมือนการค้าขาย คุณต้องรู้จักเลือกซื้อสินค้าเข้ามาขายในร้านของตัวเอง วิเคราะห์ดูว่าอะไรจะเป็นที่นิยมในอนาคต คนอยากซื้อ ซื้อช่วงไหนจะได้ต้นทุนไม่แพง แล้วลักษณะสินค้าเป็นอย่างไร จะอยู่ในวงการนี้ให้รอดต้องเป็นคนรู้ให้มาก

โดยปกติถ้าเราเห็นการตั้งขายไม้ใหญ่ๆ (Offer) คนทั่วไปที่เห็นมักจะใจคอไม่ค่อยดี ซึ่งปกติการตั้งขายก็มักจะขายจริง ไม่ได้หลอกลวงเล่นแง่อะไร แต่ฝั่งรอซื้อ (Bid) มันหลอกกันได้ การเห็นคนตั้งซื้อไว้หนักๆไม้ใหญ่ๆนั่นคือรายใหญ่เค้ากลัวหุ้นจะลง เป็นการตั้งซื้อหนุนเพื่อให้คนอื่นๆซื้อตาม แต่ถ้าเป็นหุ้นดี ให้สังเกตเลยว่ามักจะมีปริมาณการตั้งซื้อน้อย แต่มีปริมาณตั้งรอขายเยอะ ซึ่งจะเป็นช่วงการเก็บสะสมหุ้นของนักลงทุนรายใหญ่ ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้เพราะถ้ามีคนขายออกมา รายใหญ่เค้าก็รอซื้อ รอเก็บเข้ากระเป๋า ไม่ไล่ราคา
2022-02-14 (30) copyd.jpg
การเล่นหุ้นให้ประสบความสำเร็จนั้นนิสัยและพฤติกรรมเป็นตัวแปรมากทีเดียว พฤติกรรมนักลงทุนเสี่ยยักษ์ได้แบ่งไว้เป็น 6 กลุ่ม

1. เป็นนักลงทุนอยู่ในตลาดมานาน แต่ไม่ยอมปรับตัว ได้บ้างเสียบ้าง สุดท้ายก็เสียมากกว่าได้ หมดตัว เสียเวลา ไม่เหลืออะไรติดตัว

2. มีระเบียบวินัย ศึกษาหาข้อมูลตลอดเวลา มีความมั่นคงทางจิตใจ ส่วนใหญ่ก็ประสบความสำเร็จในตลาดได้

3. ไม่เก่งอะไรเลย แต่นิสัยดี น่าคบหา อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทุกคนจึงรักใคร่เอ็นดู คนแบบนี้ก็ประสบความสำเร็จได้ เพราะมีกัลยาณมิตรอยู่ในตลาดมากมายคอยเกื้อหนุน

4. ขวานผ่าซาก เป็นคนไม่คิดวิเคราะห์อะไรให้ดี ใครเสนอแนะอะไรเป็นต้องเถียง ต้องแย้ง เข้าข้างตัวเอง ไม่เคยโทษตัวเอง คำพูดติดปากของคนประเภทนี้คือ “รู้อย่างงี้” คนเช่นนี้เมื่อแรกเข้าตลาดมีเงินเยอะ พออยู่ไปสักพักก็เหลือไม่เยอะ จนลงเรื่อยๆ ไม่ประสบความสำเร็จ

5. ทำการบ้านตลอดเวลา ชอบเช็คพอร์ตของคนอื่น ตีสนิทมาร์เก็ตติ้ง (Marketing) ของนักลงทุนรายใหญ่เพื่อหาข้อมูลวงใน ไม่ค่อยมีเพื่อน คนแบบนี้ก็ยังพอเอาตัวรอดไปจนถึงประสบความสำเร็จได้

6. ย้ำคิดย้ำทำ เสียดายตลอดเวลา คิดแล้วคิดอีก เป็นคนละเอียดรอบคอบ ไม่เอาเปรียบเพื่อนฝูง นี่ก็ประสบความสำเร็จได้
..........................................
เหตุที่เล่ามาทั้งหมดก็เพียงเพื่อจะบอกว่าคนเรามีพฤติกรรมรวมถึงนิสัยแตกต่างกัน และมีลู่ทางเดินไปสู่ความสำเร็จที่แตกต่างกัน แล้วแต่ว่าเราจะเลือกเดินในเส้นทางใดเพื่อไปสู่จุดหมายที่ตั้งใจไว้ เสี่ยยักษ์เชื่อมั่นเสมอว่าไม่เกินความสามารถของทุกคน พฤติกรรมการเล่นหุ้นของคนมันเปลี่ยนกันไม่ง่าย แต่จำเอาไว้ว่า “คนที่จะอยู่รอดได้ในทุกวงการ คือคนที่พร้อมจะปรับตัว”


จากประสบการณ์ตรงของเสี่ยยักษ์นั้นการเล่นหุ้นให้ได้กำไรคุณต้องกล้าเข้าซื้อก่อนคนอื่น แล้วคุณจะได้เปรียบเรื่องต้นทุน ซึ่งวิธีการเช่นนี้ต้องใช้เครื่องมือทางเทคนิคเข้าช่วย (Technical Analysis) เช่น “RSI” และ “MACD” เพื่อยืนยันสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม การเกิดสัญญาณขัดแย้ง (Divergence) ถ้าเราเห็นสัญญาณนี้เมื่อไรเราต้องรีบเตรียมตัวเข้าซื้อหุ้น “การเลือกหุ้นเพื่อลงทุน คุณต้องใช้ปัจจัยพื้นฐาน ส่วนการหาจังหวะเข้าซื้อและจังหวะขายออกคุณต้องใช้ปัจจัยทางเทคนิค” ทุกสิ่งทุกอย่างในตลาดหุ้นต้องมาจากพื้นฐานก่อน และเทคนิคอลก็ไม่เคยหลอกใคร จดจำไว้เสมอว่าทุกคนมีสิทธิ์รวยได้ในวงการนี้ แต่คุณต้องขยัน ต้องทุ่มเท ต้องเป็นมืออาชีพจริงๆ “แล้วพวกหุ้นปั่นก็อย่าไปเล่น เคยได้กำไรมาเท่าไรสุดท้ายก็ต้องคืนกลับไป เป็นธรรมชาติของมัน”

หากเมื่อสัญญาณทางเทคนิค MACD ระยะเดือนมันตัดขึ้นเมื่อไหร่ ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นเร็วมาก เสี่ยยักษ์ใช้ได้ผลดีมาตลอด ถ้าเส้น MACD ทะลุผ่าน 0 ลงไปเลยนี่ไม่ดี คุณต้องเฝ้ารอจังหวะที่เส้น MACD อยู่ต่ำกว่า 0 แล้วจากนั้นถ้ามันขึ้น จะขึ้นมาที่ 0 ก่อน แล้วจะปรับตัวลงอีกรอบ นี่คือการพักตัวรอบใหญ่ ซึ่งถ้ามันขึ้นกลับมาที่ 0 อีกครั้ง บีบตัวแล้วตัดขึ้น คราวนี้มั่นใจได้เลยว่าต่อจากนี้จะเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ รอให้ MACD บีบตัวพร้อมที่จะตัดขึ้นก่อน รอสัญญาณยืนยันการตัดขึ้นก่อน นี่คือจุดมั่นใจที่จะเข้าซื้อ ความเสี่ยงจะลดลงเยอะและใช้เวลารอหุ้นวิ่งขึ้นไม่นาน ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมั่นใจว่าหุ้นที่จะเข้าซื้อเราเลือกมาดีแล้วด้วยการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน เชิงคุณภาพ ธรรมชาติของหุ้นต้องมีการพักตัว บางครั้งอาจกินเวลาหลายเดือนไปจนถึง 2-3 ปี ต้องอดทนรอให้เป็น

การที่ MACD บีบตัวแล้วรอตัดขึ้นเหนือ 0 ราคาหุ้นจะอยู่ในเขตที่มีแรงขายมากเกินไป (Over Sold) จนข่าวสารแง่ลบต่างๆที่มีไม่สามารถส่งผลต่อราคาหุ้นได้อีกต่อไป คนทั่วไปชินชา ไม่มีทางร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว คนที่ติดดอยอยู่ก็ไม่อยากขายตอนนี้เพราะจะขาดทุนหนัก จะให้ซื้อก็ไม่กล้าซื้อ ยังเข็ดหลาบอยู่ นิ่งๆ เฉื่อยๆ ชาๆ นี่คือจุดอันตรายซึ่งปลอดภัยที่สุด คุณสามารถเข้าซื้อหุ้นได้แบบไม่ต้องไปแย่งกับใคร ถ้าอยากรวยคุณต้องค้นหาและรอให้ถึงจังหวะเช่นนี้ให้ได้

นักลงทุนที่เน้นสายปัจจัยทางเทคนิคส่วนใหญ่พวกเขาจะใช้กราฟ (Stock Chart) ระดับ 15-20 นาที หรือระดับวัน (Day) แต่ตัวเสี่ยยักษ์เองจะใช้กราฟ MACD ระดับเดือน (Month) “ผมเล่นเพื่อหวังรวย ไม่ได้เอาสนุกไปวันๆ รอให้กราฟ MACD มันตัดลงมา แล้วรอต่อไปให้มันบีบตัวพร้อมที่จะตัดขึ้น ถึงวันนั้นเราค่อยมานั่งเฝ้าจอดูหุ้น นี่คือหลักการเล่นหุ้นรอบใหญ่”

(อธิบายเพิ่มเติม) * RSI หรือ Relative Strength Index คือ เครื่องมือที่บ่งบอกสัญญาณแนวโน้มขาขึ้น (bullish) และขาลง (bearish) ของราคาหุ้น
**MACD หรือ Moving Average Convergence Divergence คือ ตัวชี้วัดที่บอกทิศทางแนวโน้มของราคาหุ้น (Trend)

อย่าเล่นหุ้นทุกวัน มันจะไม่มีจุดพักสมองให้ทบทวนตัวเอง การตัดสินใจบ่อยๆจะทำให้ผิดพลาดได้ง่ายขึ้น คุณต้องรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม ให้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาพัฒนาตนเองเพื่อเลือกหุ้นในดวงใจที่พื้นฐานดี แล้วเฝ้ารอให้เครื่องมือทางเทคนิคยืนยันอนาคต เมื่อนักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มหวาดกลัวกันหมด ตรงนั้นคือจุดที่ปลอดภัยที่สุด คุณเข้าซื้อแล้วไปทำอย่างอื่นได้เลย พื้นฐานแห่งความสำเร็จคือการเอาชนะจิตใจตนเองให้ได้เสียก่อน นี่คือจิตวิทยาการลงทุน “อยู่ในตลาดหุ้นจะรู้เขาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรู้เราให้กระจ่างด้วย มิเช่นนั้นเงินที่มีหล่นเกลื่อนกลาดอยู่ในตลาด คุณก็ไม่สามารถหยิบขึ้นมาเชยชมได้แม้แต่บาทเดียว” เล่นหุ้นต้องรู้จักการรอคอย

นักลงทุนทุกคนต้องเคยมีประสบการณ์ “เฉียด” รวยเสมอ และสาเหตที่คุณไม่ชนะเพราะคุณไม่มีกลยุทธ์ กล้าๆกลัวๆ อ่านตลาดไม่ขาด จะซื้อก็ไม่กล้า อยากรอให้มันปรับฐาน สุดท้ายก็ไปซื้อราคาแพง จากนั้นพอหุ้นขึ้นนิดหน่อยก็ขาย พฤติกรรมเช่นนี้ส่วนใหญ่มักเกิดกับคนที่นั่งเล่นหุ้นทุกวันแล้วตัดสินใจผิดพลาดบ่อย ใจยังไม่นิ่ง

การเล่นหุ้นคุณต้องมีเป้าหมายอยู่ในใจตลอดเวลา ราคาหุ้นลงมาถึงเท่าไรคุณจะตัดสินใจขาย และเมื่อถึงเวลาจริงๆก็ต้องขาย ถึงคราวจะแพ้ต้องยอมแพ้ คุณไม่มีวันที่จะตัดสินใจถูกต้องได้ทุกครั้งก็จริง แต่ถ้ายิ่งตัดสินใจบ่อยก็มีความเสี่ยงที่จะผิดพลาดมากขึ้น “อาชีพนักลงทุนต้องมองเรื่องโอกาสและความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา” ต้องมีความเด็ดขาด คนที่ผิดพลาดมักเป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจอะไรให้เด็ดขาด อย่าอ้างเหตุผลเรื่อยเปื่อยเพื่อมากลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง
Q1.jpg
"การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing)"


สำหรับเสี่ยยักษ์ แนวทางการลงทุนหุ้นแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) ส่วนตัวเขาคิดว่ามันค่อนข้างเสี่ยง เมื่อหุ้นเป็นขาลงก็ต้องทนถือ เนื่องจากความคิดที่ว่าพื้นฐานของบริษัทมันจะไม่เปลี่ยน เดี๋ยวราคามันจะต้องกลับคืนมาที่จุดเดิม “แต่ว่าเมื่อไหร่ล่ะ” ซึ่งถ้ามองพลาดมันเสียหายได้เยอะ ถ้าคุณไม่ตัดขาดทุนตอนหุ้นลง มันมีค่าเสียโอกาส การมีหุ้นอยู่ในพอร์ตตลอดเวลามันเสี่ยงเกินไป เสี่ยยักษ์เชื่อว่าตลาดหุ้นมีฤดูกาลของตัวมันเอง (Circle)

“ถึงหุ้นราคาจะร่วงผมก็ยังยิ้มได้ เพราะถอยออกมาถือเงินสด มีโอกาสแก้ตัว ตลาดหุ้นไม่เคยขาดโอกาสให้ซื้อหรอก เพียงแต่คุณต้องดูจังหวะให้ดี รอให้เป็น”

เสี่ยยักษ์เพียงต้องการเผยให้เห็นถึงอีกมุมมองหนึ่งของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า “ผมขอถามว่าเวลาหุ้นร่วงหนักๆใครที่มีเงินซื้อ คุณหรือผม” คนที่มักถือหุ้นเต็มพอร์ต 100% ตลอดเวลา เมื่อเกิดวิกฤติหนักที่คาดเดาไม่ได้และตลาดหุ้นร่วงหนัก เขาจะเสียเปรียบอย่างมาก เพราะว่าไม่มีเงินจะซื้อหุ้นเพิ่ม ได้แต่นั่งดูคนอื่น สุดท้ายก็คือเขานั่นแหล่ะที่จะเป็นฝ่ายขายหนีตาย นั่นคือขายทีหลังผมและขาดทุนมากกว่าผม เมื่อใดก็ตามที่ตลาดหุ้นไม่ดี ถือหุ้นแล้วอึดอัด ไม่สบายใจ ก็ลดพอร์ตเสีย แล้วถือเงินสดให้มากที่สุด นี่คือหลักการของเสี่ยยักษ์

เมื่อมีใครมาถามเสี่ยยักษ์ว่าจะซื้อหุ้นตัวไหนดี หรือซื้อหุ้นตัวนี้ดีไหม เขาจะตั้งคำถามกลับว่า คุณรู้ไหมว่าหุ้นตัวนี้ทำมาหากินอะไร มีกำไรเท่าไร พื้นฐานเป็นอย่างไร ผู้บริหารเป็นอย่างไร คุณมีจุดตัดขาดทุนตรงไหนเมื่อคิดผิด คุณรู้หมดแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่รู้เลยก็กลับไปศึกษามาก่อนแล้วค่อยมาถาม เสี่ยยักษ์อยากให้ทุกคนเป็นมืออาชีพ การจะเล่นหุ้นให้ประสบความสำเร็จได้นั้นต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเรียนรู้ ซึ่งคุณสามารถประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นได้หลากหลายรูปแบบ วิเคราะห์ตนเองให้ดีว่าคุณชอบเส้นทางแบบไหน ทฤษฎีกับการปฏิบัติมันคนละเรื่องกันเลย การเล่นหุ้นก็เหมือนแฟชั่น มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จับทิศทางไม่ถูกก็แพ้ เดินกางตำราหุ้นมาเล่นยังแพ้เลย อยู่ที่ว่าคุณได้สู้เต็มที่แล้วหรือยัง
“ช่วงเริ่มต้นลงทุนใหม่ๆถ้าคนอื่นทำงานกันวันละ 8 ชั่วโมง ผมจะทำให้ได้วันละ 10 ชั่วโมง ถ้ายังแพ้อีกจะสู้ให้ถึง 12 ชั่วโมง ความพยายามเท่านั้นที่จะพาคุณไปให้ถึงเป้าหมาย”
บางคนเล่นหุ้นหวังกำไรแค่ครั้งละ 5-10% ไม่ขออะไรมาก ส่วนใหญ่คิดกันแบบนี้ ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วตลาดหุ้นมันไม่ได้ปฏิบัติกับเราแบบหมาหยอกไก่ มันไม่สนว่าคุณจะเป็นใคร มีเงินเท่าไหร่ เก่งมาจากไหน ต้องการอะไร มันไม่สนว่าคุณจะเข้ามาเพื่อเพียงแค่หากำไรเล็กๆน้อยๆมาใช้จ่าย ไม่ได้หวังร่ำรวยอะไร “ตลาดหุ้นเวลามันกินทีมันกินรวบทั้งหมด มันไม่ใช่สนามเด็กเล่น มันเอาคุณถึงตาย”

การจะเข้ามาลงทุนหุ้นอย่างจริงจังอย่างน้อยคุณควรมองตลาดภาพใหญ่ให้ออก มองภาวะเศรษฐกิจโดยรวมให้เป็น แยกแยะได้ว่าอะไรดี ไม่ดี อย่างไร การเล่นหุ้นสำหรับเสี่ยยักษ์ เขาเชื่อว่าต้องใช้ฝีมือ 70% ส่วนที่เหลือคือโชคชะตา ซึ่งถ้าคุณทุ่มเทศึกษาอย่างจริงจังก็มีโอกาสชนะแน่นอน ตลาดหุ้นมีโอกาสเสมอ แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้วิธีการไขว่คว้าเอาโอกาสตรงนั้นมา

เสี่ยยักษ์กล่าวว่า เวลาลงทุนเค้าจะค่อนข้างเครียด จริงจัง ใช้สมาธิอย่างมากและเก็บตัวเงียบ ในแต่ละวันต้องมีการจดบันทึกพฤติกรรมการลงทุนของตนเองว่าวันนี้ชนะหรือแพ้เพราะอะไร เก็บเป็นตำราขึ้นหิ้งเลย ทุกวันนี้มีอิสรภาพทางการเงิน อยากซื้ออยากใช้อะไรก็ได้ซื้อ ได้ใช้ ไม่ต้องคิดมากเหมือนในอดีต

ผมไม่ได้หมายถึงว่าเมื่อคุณเริ่มประสบความสำเร็จแล้วจะให้คุณไปใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย แต่จะสื่อว่าเมื่อเริ่มต้นเวลาคุณมีกำไรก็อย่าเพิ่งรีบร้อนเอาไปใช้จ่ายซื้อหาความสุข เก็บไว้ก่อน นำไปลงทุนต่อก่อน เหมือนเลี้ยงหมูให้อ้วน ปลูกต้นไม้ใหญ่ให้เติบโต เมื่อเดินทางถึงจุดหนึ่งและคุณได้มายืนบนยอดเขา รับรองเลยว่าเงินจะงอกเงยเพิ่มพูนออกมาจนคุณใช้แทบไม่ทัน ชีวิตคนเรามีหลากหลายรูปแบบ ในตลาดหุ้นก็มีทั้งคนที่ยังสู้อยู่ และคนที่พอแล้ว ไม่สู้แล้ว คุณเป็นคนแบบไหน?
“ถามตนเองเสมอว่า สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ มีคุณค่าเพียงพอต่อเป้าหมายและความฝันแล้วหรือยัง?”
.....................................................................
ขอขอบคุณ

บทสัมภาษณ์เสี่ยยักษ์ วิชัย วชิรพงศ์ (ตุลาคม พ.ศ.2550)
บทความโดย กรุงเทพธุรกิจ
เรียบเรียงโดย พีร์ บุญชนะวิวัฒน์ (Wizard Kid Trader)

cover.jpg
Try to be : Full Time Investor, Reader, Writer, Learner & Cultural observer.
......................................
I have a passion for keeping things simple.
......................................
https://www.facebook.com/Introverted.investor
ภาพประจำตัวสมาชิก
Introverted investor
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 107
ผู้ติดตาม: 264

Re: "ตลาดหุ้นคือสนามรบ : กว่าจะเป็น เสี่ยยักษ์ (วิชัย วชิรพงศ์)"

โพสต์ที่ 2

โพสต์

เนื้อหาบางส่วนอาจหลุดกรอบออกจากหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่าไปบ้าง หากแต่เห็นว่าคงเป็นประโยชน์ในการศึกษาแนวคิดผ่านประสบการณ์ของผู้ที่ประสบความสำเร็จจากเส้นทางสายเดียวกัน เสี่ยยักษ์ไม่ใช่นักลงทุนวีไอ แต่ก็คงเชื่อมั่นในเรื่องปัจจัยพื้นฐานไม่แตกต่างหรือมากน้อยไปกว่ากันครับ หวังว่าจะมีประโยชน์อยู่บ้างนะครับ :)
Try to be : Full Time Investor, Reader, Writer, Learner & Cultural observer.
......................................
I have a passion for keeping things simple.
......................................
https://www.facebook.com/Introverted.investor
ภาพประจำตัวสมาชิก
Bird.Songwut
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 221
ผู้ติดตาม: 136

Re: "ตลาดหุ้นคือสนามรบ : กว่าจะเป็น เสี่ยยักษ์ (วิชัย วชิรพงศ์)"

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ดีมากครับกระทู้นี้
"มีกระแสน้ำสายหนึ่งในกิจกรรมของคน ซึ่งเมื่อมันไหลบ่าท่วมท้นจะนำไปสู่ความมั่งคั่งมหาศาล"
Investor hub : ห้องลับนักลงทุน https://www.youtube.com/@Investor_hub
โพสต์โพสต์