จุดเดือดสงครามการค้า / อาร์ม ตั้งนิรันดร

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
always24
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 854
ผู้ติดตาม: 10

จุดเดือดสงครามการค้า / อาร์ม ตั้งนิรันดร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

จุดเดือดสงครามการค้า

สงครามการค้ากำลังเดินมาถึงจุดเดือดแล้วครับ

ตั้งแต่ที่ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีจีนครั้งล่าสุดเมื่อ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา จีนเองได้หยุดการสั่งซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐ พร้อมออกแถลงการณ์ว่าจะเตรียมออกมาตรการตอบโต้ แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายไป เพราะจีนรอจังหวะเวลาอยู่

จนเมื่อวันศุกร์ที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา จีนจึงออกประกาศสะเทือนโลกว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ มูลค่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ มีผลทันทีในวันที่ 1 ก.ย.นี้

การประกาศหมัดสวนกลับของจีนในครั้งนี้ เรียกว่าจีนเลือกจังหวะเวลามาเป็นอย่างดี นั่นคือเป็นวันเดียวกับที่เจอโรม พาวเวลล์ มีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งพาวเวลล์ไม่ได้ส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ย ผิดจากที่ทรัมป์คาดหวังและต้องการให้ธนาคารกลางลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ทั้งยังเป็นวันก่อนที่ทรัมป์จะเดินทางไปประชุมกลุ่ม G7 ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อทรัมป์ และกดดันให้ผู้นำที่เข้าร่วมประชุมต้องแสดงท่าทีในเรื่องสงครามการค้าที่บานปลาย ซึ่งผู้นำส่วนใหญ่ต่างแสดงความกังวล อย่างนายกฯ บอริส จอห์นสัน ของอังกฤษได้กล่าวต่อหน้าทรัมป์ว่า อังกฤษเองก็อยากให้บรรยากาศทางการค้าสงบราบรื่นกว่านี้

ที่สำคัญที่สุด จีนเลือกออกหมัดตรงกับช่วงที่มีกระแสแพร่หลายในสหรัฐว่ามีสัญญาณชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีกไม่นาน ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง

สัญญาณที่ชัดที่สุดก็คือ ปรากฏการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น (Inverted yield curve) ซึ่งทุกครั้งที่เกิดปรากฏการณ์นี้ มักจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจตามมาภายใน 6-12 เดือน!!

ตอนแรกสุดที่สหรัฐตัดสินใจเริ่มทำสงครามการค้ากับจีน เป็นเพราะเศรษฐกิจสหรัฐกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ดังนั้นสหรัฐจึงคิดว่าสามารถทนเจ็บได้ ขณะที่เศรษฐกิจจีนอยู่ในช่วงชะลอตัวจากปัจจัยภายใน (เช่น ปัญหาการผลิตเกินตัว ปัญหาหนี้ ฯลฯ) ดังนั้นฝั่งจีนจึงเจ็บหนักกว่า เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด โดนกระหน่ำทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกพร้อมกัน

แต่ฝ่ายจีนเองที่ผ่านมาก็มีความเชื่อว่าถึงจีนเจ็บหนักก็จริง แต่ไม่ถึงฆาต จีนยังทนไหว และสงครามการค้าจะเหมือนขว้างบูมเมอแรง สุดท้ายผลกระทบก็จะย้อนกลับไปที่สหรัฐจนเริ่มทนไม่ได้เอง โดยเฉพาะในวันที่เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มไม่ใช่ขาขึ้นอีกต่อไป

มาคราวนี้สหรัฐจึงกำลังถูกจีนเล่นกลับ เพราะจีนมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังมีปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน คราวนี้จึงต้องฉวยจังหวะซ้ำเติมกลับไปอีกสักหมัด จะได้ยิ่งดันโอกาสที่สหรัฐจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยให้สูงขึ้นไปอีก

จีนมองว่าเรื่องเศรษฐกิจถดถอยน่าจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะปีหน้ากำลังจะเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งแล้วขืนวิกฤติเศรษฐกิจมาระเบิดเอาในปีเลือกตั้ง ทรัมป์ที่เคยคุยโม้มาตลอดว่าเป็นคนพลิกฟื้นเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐจะยังเหลืออะไรไปหาเสียง

แต่พี่ทรัมป์เองก็ไม่เบา พอเห็นจีนออกมาประกาศขึ้นภาษี วันนั้นทรัมป์ก็ทวีตทันควัน ด่าทั้งเฟดที่ไม่ยอมลดดอกเบี้ย ถึงกับบอกว่าไม่แน่ใจว่าพาวเวลล์หรือสี จิ้นผิง ใครกันแน่เป็นศัตรูที่ฉุดเศรษฐกิจมากกว่ากัน ขณะเดียวกันก็ทวีตถล่มจีนยับเยิน โดยตอบโต้ทันทีด้วยการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีนให้สูงขึ้นไปอีก ทั้งยังออกมาเรียกร้องให้บริษัทเอกชนของสหรัฐถอนการลงทุนออกจากจีน

หลายคนถามว่า พี่ทรัมป์คุมอารมณ์ไม่อยู่อย่างนี้ แกไม่กลัวว่าตัวแกเองจะยิ่งฉุดเศรษฐกิจสหรัฐ (และเศรษฐกิจโลก) ลงหุบเหวหรือ? เพราะใครๆ ก็มองว่าสงครามการค้าจีน-สหรัฐที่เดือดถึงขีดสุดนี่แหละจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะพาเศรษฐกิจทั่วโลกพังกันหมด พี่ทรัมป์ลืมไปหรือเปล่าว่าปีหน้าจะต้องลงเลือกตั้ง?

ความเป็นไปได้ต่อไปนี้มีได้ 2 อย่างครับ

แบบแรกคือ ทรัมป์กำลังเล่นเกมนักธุรกิจ คือดึงกระแสให้สถานการณ์ดูเลวร้ายสุดๆ ก่อน จากนั้นการถอยแม้เพียงเล็กน้อยก็จะเป็นตัวดีดเศรษฐกิจขึ้นทันที ดังเช่นที่ก่อนหน้านี้ทรัมป์ประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีจีนเป็น 15 ธ.ค.เพื่อให้คนอเมริกันชอปปิงช่วงคริสต์มาสอย่างสบายใจ ก็ส่งผลดีดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นอยู่หลายวัน ดังนั้น เมื่อสงครามการค้าถึงจุดเดือดเช่นนี้แล้ว ต้นปีหน้าก็จะค่อยๆ ผ่อนคลายลง และถ้าสามารถบรรลุข้อตกลงบางอย่างกับจีนและระงับสงครามการค้าชั่วคราวได้ เศรษฐกิจสหรัฐก็จะปรับดีขึ้นทันทีในปีเลือกตั้ง ทรัมป์ก็เอาไปคุยหาเสียงได้ว่าตนเป็นคนกู้สหรัฐออกจากหุบเหว (ที่จริงๆ ตัวเองนั่นแหละขุดขึ้นมาเอง)

แบบที่ 2 ทรัมป์บ้าจริง และอาจเดินหน้าสงครามการค้าต่อไปแม้ในปีเลือกตั้ง ส่วนถ้าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยและดูไม่ดี ก็โยนความผิดให้จีนเป็นแพะไปเสีย พร้อมทั้งอาศัยการทำสงครามการค้ากับจีนเป็นตัวปลุกฐานเสียงของทรัมป์ที่เป็นกลุ่มอเมริกันชนที่ชาตินิยม เท่ากับว่าทรัมป์กำลังเล่นเกมเดียวกับที่สี จิ้นผิง ทำในช่วงที่ผ่านมา คือยอมรับว่าตัวเองเจ็บ แต่สื่อสารกับคนภายในว่าที่เจ็บเป็นเพราะศัตรูภายนอก เราจำเป็นต้องเจ็บต้องทน เพื่อสู้กับศัตรูภายนอกนี้ และถึงเจ็บรอบนี้ก็ไม่ถึงฆาตหรอก

ไม่ว่าจะแบบ 1 หรือแบบ 2 ยังไงช่วงตั้งแต่บัดนี้ถึงสิ้นปีเรียกได้ว่าสงครามการค้าเข้าสู่จุดเดือดแน่นอน โดยที่ทั้งจีนและสหรัฐต่างตั้งหน้ากัดฟันทนไม่ถอยทั้งคู่ ก็ได้แต่ภาวนาว่าพี่ๆ นักธุรกิจนักลงทุนทั้งหลายจะไม่ถูกน้ำเดือดตายกันไปเสียก่อน
โพสต์โพสต์