งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1953
- ผู้ติดตาม: 400
งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 1 ธันวาคม 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง
เวลาที่ไปงานเลี้ยงหรือปาร์ตี้เพื่อความบันเทิงนั้น ช่วงหัวค่ำที่คนเริ่มทยอยมาบรรยากาศก็มักจะยังไม่รื่นเริงนัก ดนตรีก็มักจะเล่นเพลงเบาๆ สบายๆ เมื่อคนเริ่มมากขึ้น บรรยากาศก็จะคึกคักขึ้น คนเริ่มจิบเหล้าเบียร์และคุยกันสนุกสนาน ดนตรีเริ่มดังขึ้น เพลงเริ่มเร็วขึ้น หลายคนเริ่ม “เปิดฟลอร์” ออกไปเต้นรำ ซักระยะหนึ่งแอลกอฮอก็เริ่มออกฤทธิ์ คนออกไป “ดิ้น” กันเต็มพื้นที่ ดนตรีเล่นเพลงที่เร้าใจและดังจนคุยกันไม่รู้เรื่อง งานเลี้ยงกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่ “สนุกและร้อนแรงที่สุด” มันอาจจะเป็นเวลา สี่ทุ่มครึ่ง ห้าทุ่ม หรืออาจจะใกล้เที่ยงคืนที่เป็นกำหนดเวลา “งานเลิก” ไม่มีใครรู้หรือสนใจที่จะรู้เพราะในเวลาที่ทุกคนกำลังสนุกสนานนั้น พวกเขามักจะ “ลืมดูเวลา” ไม่มีใครอยากจะออกจากงานก่อนที่มันจะเลิก—แม้จะมีกฎว่า คนที่ออกหลังสุดต้อง “จ่ายสตางค์”
นั่นเป็นคำบรรยายแบบเปรียบเปรยกับบรรยากาศของตลาดหุ้นในขณะนี้ที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับพุ่งขึ้นเรื่อยๆ นับจากต้นปีที่ 1025 จุดเป็น 1324 จุดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 หรือเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 29% ไม่นับรวมปันผลอีก 3-4% ซึ่งทำให้นักลงทุนที่มีหุ้นในตลาดมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ จริงอยู่ การที่หุ้นปรับขึ้นมามากๆ ในเวลาอันรวดเร็วนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ หลายปีที่ผ่านมาหุ้นก็ปรับตัวสูงแบบนี้มาหลายครั้ง แต่การปรับตัวในรอบก่อนๆ นั้นก็มักจะเป็นการปรับตัวขึ้นหลังจากที่ตลาดหุ้นตกลงมาอย่างหนัก ดังนั้น คนที่ถือหุ้นอยู่ตลอดเวลาก็อาจจะไม่ได้กำไรนัก อาจจะเพียงแต่ได้ทุนคืนมา แต่การปรับขึ้นของหุ้นในรอบนี้เป็นการขึ้นหลังจากที่หุ้นได้ขึ้นมาสูงแล้ว ดัชนีที่ 1324 นี้ถือเป็นดัชนีที่สูงที่สุดในรอบ 16 ปี ดังนั้น สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นที่เข้ามาลงทุนในตลาดเพียงไม่กี่ปีหรือไม่เกิน 10 ปี นี่คือเวลาแห่งความ “รื่นเริง” อย่างแน่นอน ประเด็นก็คือ ความ “สนุกสนาน” จากการลงทุนในช่วงนี้กำลังใกล้จบหรือไม่ ดัชนีหุ้นในขณะนี้สูงเกินไปหรือไม่ และโอกาสที่หุ้นจะปรับตัวลงแรงและทำให้คนที่เข้ามาซื้อหุ้นในช่วงนี้ขาดทุนหรือไม่ มาลองคุยกัน
เริ่มจากการดูว่าหุ้นในขณะนี้ร้อนแรงเกินไปหรือไม่ในทาง “จิตวิทยา” หรือการดูบรรยากาศและความรู้สึกของผู้คนที่อยู่ในตลาด คำตอบของผมก็คือ ค่อนข้างร้อนแรงหรืออาจจะพูดว่าร้อนแรงมากก็ได้ เพียงแต่ “คนทั่วไป” เช่น ช่างตัดผมหรือแท็กซี่ยังไม่ได้พูดถึงตลาดหุ้น แต่นี่ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นว่าจะต้องเกิด เนื่องจากประเทศไทยนั้นยังไม่รวยพอที่คนทั่วไปจะสนใจตลาดหุ้นในทุกสถานการณ์ การที่ผมพูดว่าตลาดหุ้นร้อนแรงมากนั้น ผมสังเกตจากจำนวนคนที่เข้าฟังการสัมมนาการลงทุนที่จัดกันอย่างแพร่หลายนั้น ในช่วงหลังๆ นี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากจนเก้าอี้มักจะไม่พอและคนยินดีที่จะยืนฟังกันเป็นชั่วโมงๆ ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราสามารถจัด “ทอล์คโชว์” เกี่ยวกับการลงทุนที่เก็บเงินคนเข้าฟังได้แล้วจากที่ต้องหาคนฟังแม้จะไม่ต้องเสียเงินอย่างในช่วงหุ้นซบเซาสมัยก่อน
ประเด็นที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ในช่วงหลังนี้มีนักลงทุนที่ยังมีอายุน้อย อายุตั้งแต่ 20 ถึง 30 ปีต้นๆ ที่เป็นคน Gen Y หรือเป็นคนรุ่นใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คนกลุ่มนี้สนใจลงทุนในตลาดหุ้นเพราะเห็นว่าเป็นวิธีที่จะ “รวยเร็ว” โดยไม่ต้องทำงานหนักซึ่งก็เป็น “เทรนด์” ของคนในรุ่นใหม่นี้ที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีไอทีที่พัฒนาแล้วและความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นมากของพ่อแม่ พวกเขาเห็นว่าตลาดหุ้นเป็นทางเลือกที่ดีที่เขาจะบรรลุความฝันนั้นได้ ว่าที่จริง หลายคนที่พ่อแม่มีฐานะดีนั้น ได้เลือกเส้นทางที่ไม่ทำงานประจำที่ได้เงินเดือนน้อยและไม่น่าสนใจเลย แต่ลงทุนในตลาดหุ้นเป็นอาชีพ ผมเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเดินตามรอย “วอเร็น บัฟเฟตต์” หรือเปล่าที่ไม่ทำงานประจำตั้งแต่เรียนจบ อย่างไรก็ตาม การที่ไม่ทำงานหรือออกจากงานมาลงทุนอย่างเดียวนั้น ก็เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งว่าตลาดหุ้นนั้นร้อนแรงมาก เพราะพวกเขาเชื่อว่าผลตอบแทนการลงทุนในตลาดนั้นสูงมากจนทำให้รายได้จากการทำงานกินเงินเดือนไม่มีความหมาย
นอกจากนักลงทุน Gen Y แล้ว ผมพบว่ายังมี “คนมีเงิน” โดยเฉพาะที่เป็นนักธุรกิจต่างก็สนใจที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น บางทีพวกเขาอาจจะเห็นว่าการเล่นหุ้นนั้น ทำเงินได้เร็วกว่าการทำธุรกิจเอง แต่ที่น่าจะเป็นมากกว่าก็คือ การลงทุนในหุ้นนั้น น่าจะได้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินที่ได้ดอกเบี้ยต่ำมากของพวกเขา
สิ่งที่ “ยืนยัน” ว่าตลาดหุ้นในขณะนี้น่าจะร้อนแรงเกินไปอย่างหนึ่งก็คือ หุ้น IPO หรือหุ้นที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก ที่มีราคา “ร้อนแรง” เกือบทุกตัว บางตัวเข้ามาซื้อขายวันแรกก็ปรับขึ้นไปแล้วกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์จากราคาจองซึ่งเป็นราคาที่ที่ปรึกษาการเงินมองดูว่าเหมาะสมกับพื้นฐาน การที่มีหุ้นใหม่เข้าตลาดมากและราคาหุ้นปรับตัวแรงในวันซื้อขายวันแรกเป็น “สัญญาณ” ที่พิสูจน์มาแล้วทุกยุคทุกสมัยและในทุกตลาดว่าตลาดหุ้นนั้น กำลัง “ร้อนแรง” และหลายครั้งหลังจากนั้น “ฟองสบู่” ก็แตก ในตลาดหุ้นไทยเองผมก็ยังจำได้ถึงช่วงเวลาที่ “ใบจอง” หุ้นเข้าใหม่บางตัวนั้นมีค่ายิ่งกว่าราคาหุ้นที่จอง นั่นคือในช่วงที่หุ้นไทยเป็นฟองสบู่ในราวปี 2535-36 ที่ดัชนีหุ้นไทยสูงขึ้นไปถึงพันเจ็ดร้อยกว่าจุด
สุดท้ายก็คือเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับประเทศไทยที่คนมองว่ากำลัง “ฟื้น” จากภาวะ “ป่วยไข้” จากเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะทางการเมืองและน้ำท่วมใหญ่ที่กระทบอย่างรุนแรงต่อการบริหารประเทศและการดำเนินธุรกิจต่างๆ ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ในทางตรงกันข้าม ประเทศใหญ่ๆ ในโลกต่างก็ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจที่ทำให้บริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการที่แย่ลงหรือไม่โต ดังนั้น ประเทศในแถบเอเซียโดยเฉพาะประเทศไทยจึงเป็นเสมือน “โอเอซิส” ที่ยังน่าจะทำกำไรได้อยู่
ทั้งหมดนั้นทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสูงกว่าปกติและทำให้หุ้นมีราคาไม่ถูกเลย คือ PE ประมาณ 15 เท่าจากสถิติระยะยาวของไทยที่ประมาณ 10 เท่าเศษๆ และหุ้นไทยในขณะนี้น่าจะแพงกว่าหุ้นในหลายๆ ประเทศ รวมถึงจีนที่เศรษฐกิจยังเติบโตในอัตราเกือบ 2 เท่าของไทย ว่าที่จริง หุ้นเด่นๆ ของไทยนั้นมีค่า PE สูงกว่าหุ้น “ระดับโลก” ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแล้ว และนี่ก็ทำให้ผมเองเกิดความกังวลอยู่เหมือนกันว่าหุ้นไทยเวลานี้แพงเกินไปหรือเปล่า?
คำตอบของผมก็คือ มันแพง แต่ก็ยังไม่ถึงกับรับไม่ได้ แต่ถ้าถามว่า หุ้นในเวลานี้ยังเป็น Value หรือเปล่า? คำตอบของผมก็คือ Value นั้นน่าจะหมดไปแล้ว โดยเฉพาะสำหรับ Value Investor ที่เป็นชาวต่างชาติที่สามารถลงทุนในประเทศอื่นเช่นจีนได้อย่างสะดวก สำหรับผมเองซึ่งไม่ใคร่มีทางเลือกมากนักนั้น ถึงผมจะดูว่า Value นั้น “หายหมด” แล้ว แต่ผมก็ยังไม่อยากออกจากตลาด ผมคิดว่าความจำเป็นที่จะต้องออกจากตลาดในเวลานี้ยังไม่มาก ที่เหนือกว่านั้นก็คือ ผมคิดว่าความเสี่ยงที่หุ้นจะปรับตัวลงแรงยังไม่สูง ในขณะเดียวกัน โอกาสที่หุ้นจะปรับตัวขึ้นไปอีกมากก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่เพราะว่าหุ้นถูก แต่เป็นเพราะว่าความสนใจลงทุนในหุ้นไทยโดยคนไทยเองและอาจจะต่างชาติบางกลุ่มก็อาจจะยังสูงอยู่ ดังนั้น หุ้นต่อจากนี้ไปอีกระยะหนึ่งอาจจะยังวิ่งขึ้นไปสูงลิ่วได้ เหมือนกับงานเลี้ยงที่เข้าสู่ชั่วโมงสุดท้ายที่จะ “สนุกและมันที่สุด” และถ้ามันเป็นอย่างนั้น ผมก็คงเตรียมตัว “กลับบ้าน” ก่อนที่งานจะเลิก นั่นคือ ถอนตัวจากตลาดหุ้นก่อนที่มันจะปรับตัวลงแรง เนื่องจากราคามันสูงเกินพื้นฐาน
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง
เวลาที่ไปงานเลี้ยงหรือปาร์ตี้เพื่อความบันเทิงนั้น ช่วงหัวค่ำที่คนเริ่มทยอยมาบรรยากาศก็มักจะยังไม่รื่นเริงนัก ดนตรีก็มักจะเล่นเพลงเบาๆ สบายๆ เมื่อคนเริ่มมากขึ้น บรรยากาศก็จะคึกคักขึ้น คนเริ่มจิบเหล้าเบียร์และคุยกันสนุกสนาน ดนตรีเริ่มดังขึ้น เพลงเริ่มเร็วขึ้น หลายคนเริ่ม “เปิดฟลอร์” ออกไปเต้นรำ ซักระยะหนึ่งแอลกอฮอก็เริ่มออกฤทธิ์ คนออกไป “ดิ้น” กันเต็มพื้นที่ ดนตรีเล่นเพลงที่เร้าใจและดังจนคุยกันไม่รู้เรื่อง งานเลี้ยงกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่ “สนุกและร้อนแรงที่สุด” มันอาจจะเป็นเวลา สี่ทุ่มครึ่ง ห้าทุ่ม หรืออาจจะใกล้เที่ยงคืนที่เป็นกำหนดเวลา “งานเลิก” ไม่มีใครรู้หรือสนใจที่จะรู้เพราะในเวลาที่ทุกคนกำลังสนุกสนานนั้น พวกเขามักจะ “ลืมดูเวลา” ไม่มีใครอยากจะออกจากงานก่อนที่มันจะเลิก—แม้จะมีกฎว่า คนที่ออกหลังสุดต้อง “จ่ายสตางค์”
นั่นเป็นคำบรรยายแบบเปรียบเปรยกับบรรยากาศของตลาดหุ้นในขณะนี้ที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับพุ่งขึ้นเรื่อยๆ นับจากต้นปีที่ 1025 จุดเป็น 1324 จุดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 หรือเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 29% ไม่นับรวมปันผลอีก 3-4% ซึ่งทำให้นักลงทุนที่มีหุ้นในตลาดมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ จริงอยู่ การที่หุ้นปรับขึ้นมามากๆ ในเวลาอันรวดเร็วนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ หลายปีที่ผ่านมาหุ้นก็ปรับตัวสูงแบบนี้มาหลายครั้ง แต่การปรับตัวในรอบก่อนๆ นั้นก็มักจะเป็นการปรับตัวขึ้นหลังจากที่ตลาดหุ้นตกลงมาอย่างหนัก ดังนั้น คนที่ถือหุ้นอยู่ตลอดเวลาก็อาจจะไม่ได้กำไรนัก อาจจะเพียงแต่ได้ทุนคืนมา แต่การปรับขึ้นของหุ้นในรอบนี้เป็นการขึ้นหลังจากที่หุ้นได้ขึ้นมาสูงแล้ว ดัชนีที่ 1324 นี้ถือเป็นดัชนีที่สูงที่สุดในรอบ 16 ปี ดังนั้น สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นที่เข้ามาลงทุนในตลาดเพียงไม่กี่ปีหรือไม่เกิน 10 ปี นี่คือเวลาแห่งความ “รื่นเริง” อย่างแน่นอน ประเด็นก็คือ ความ “สนุกสนาน” จากการลงทุนในช่วงนี้กำลังใกล้จบหรือไม่ ดัชนีหุ้นในขณะนี้สูงเกินไปหรือไม่ และโอกาสที่หุ้นจะปรับตัวลงแรงและทำให้คนที่เข้ามาซื้อหุ้นในช่วงนี้ขาดทุนหรือไม่ มาลองคุยกัน
เริ่มจากการดูว่าหุ้นในขณะนี้ร้อนแรงเกินไปหรือไม่ในทาง “จิตวิทยา” หรือการดูบรรยากาศและความรู้สึกของผู้คนที่อยู่ในตลาด คำตอบของผมก็คือ ค่อนข้างร้อนแรงหรืออาจจะพูดว่าร้อนแรงมากก็ได้ เพียงแต่ “คนทั่วไป” เช่น ช่างตัดผมหรือแท็กซี่ยังไม่ได้พูดถึงตลาดหุ้น แต่นี่ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นว่าจะต้องเกิด เนื่องจากประเทศไทยนั้นยังไม่รวยพอที่คนทั่วไปจะสนใจตลาดหุ้นในทุกสถานการณ์ การที่ผมพูดว่าตลาดหุ้นร้อนแรงมากนั้น ผมสังเกตจากจำนวนคนที่เข้าฟังการสัมมนาการลงทุนที่จัดกันอย่างแพร่หลายนั้น ในช่วงหลังๆ นี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากจนเก้าอี้มักจะไม่พอและคนยินดีที่จะยืนฟังกันเป็นชั่วโมงๆ ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราสามารถจัด “ทอล์คโชว์” เกี่ยวกับการลงทุนที่เก็บเงินคนเข้าฟังได้แล้วจากที่ต้องหาคนฟังแม้จะไม่ต้องเสียเงินอย่างในช่วงหุ้นซบเซาสมัยก่อน
ประเด็นที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ในช่วงหลังนี้มีนักลงทุนที่ยังมีอายุน้อย อายุตั้งแต่ 20 ถึง 30 ปีต้นๆ ที่เป็นคน Gen Y หรือเป็นคนรุ่นใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คนกลุ่มนี้สนใจลงทุนในตลาดหุ้นเพราะเห็นว่าเป็นวิธีที่จะ “รวยเร็ว” โดยไม่ต้องทำงานหนักซึ่งก็เป็น “เทรนด์” ของคนในรุ่นใหม่นี้ที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีไอทีที่พัฒนาแล้วและความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นมากของพ่อแม่ พวกเขาเห็นว่าตลาดหุ้นเป็นทางเลือกที่ดีที่เขาจะบรรลุความฝันนั้นได้ ว่าที่จริง หลายคนที่พ่อแม่มีฐานะดีนั้น ได้เลือกเส้นทางที่ไม่ทำงานประจำที่ได้เงินเดือนน้อยและไม่น่าสนใจเลย แต่ลงทุนในตลาดหุ้นเป็นอาชีพ ผมเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเดินตามรอย “วอเร็น บัฟเฟตต์” หรือเปล่าที่ไม่ทำงานประจำตั้งแต่เรียนจบ อย่างไรก็ตาม การที่ไม่ทำงานหรือออกจากงานมาลงทุนอย่างเดียวนั้น ก็เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งว่าตลาดหุ้นนั้นร้อนแรงมาก เพราะพวกเขาเชื่อว่าผลตอบแทนการลงทุนในตลาดนั้นสูงมากจนทำให้รายได้จากการทำงานกินเงินเดือนไม่มีความหมาย
นอกจากนักลงทุน Gen Y แล้ว ผมพบว่ายังมี “คนมีเงิน” โดยเฉพาะที่เป็นนักธุรกิจต่างก็สนใจที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น บางทีพวกเขาอาจจะเห็นว่าการเล่นหุ้นนั้น ทำเงินได้เร็วกว่าการทำธุรกิจเอง แต่ที่น่าจะเป็นมากกว่าก็คือ การลงทุนในหุ้นนั้น น่าจะได้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินที่ได้ดอกเบี้ยต่ำมากของพวกเขา
สิ่งที่ “ยืนยัน” ว่าตลาดหุ้นในขณะนี้น่าจะร้อนแรงเกินไปอย่างหนึ่งก็คือ หุ้น IPO หรือหุ้นที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก ที่มีราคา “ร้อนแรง” เกือบทุกตัว บางตัวเข้ามาซื้อขายวันแรกก็ปรับขึ้นไปแล้วกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์จากราคาจองซึ่งเป็นราคาที่ที่ปรึกษาการเงินมองดูว่าเหมาะสมกับพื้นฐาน การที่มีหุ้นใหม่เข้าตลาดมากและราคาหุ้นปรับตัวแรงในวันซื้อขายวันแรกเป็น “สัญญาณ” ที่พิสูจน์มาแล้วทุกยุคทุกสมัยและในทุกตลาดว่าตลาดหุ้นนั้น กำลัง “ร้อนแรง” และหลายครั้งหลังจากนั้น “ฟองสบู่” ก็แตก ในตลาดหุ้นไทยเองผมก็ยังจำได้ถึงช่วงเวลาที่ “ใบจอง” หุ้นเข้าใหม่บางตัวนั้นมีค่ายิ่งกว่าราคาหุ้นที่จอง นั่นคือในช่วงที่หุ้นไทยเป็นฟองสบู่ในราวปี 2535-36 ที่ดัชนีหุ้นไทยสูงขึ้นไปถึงพันเจ็ดร้อยกว่าจุด
สุดท้ายก็คือเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับประเทศไทยที่คนมองว่ากำลัง “ฟื้น” จากภาวะ “ป่วยไข้” จากเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะทางการเมืองและน้ำท่วมใหญ่ที่กระทบอย่างรุนแรงต่อการบริหารประเทศและการดำเนินธุรกิจต่างๆ ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ในทางตรงกันข้าม ประเทศใหญ่ๆ ในโลกต่างก็ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจที่ทำให้บริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการที่แย่ลงหรือไม่โต ดังนั้น ประเทศในแถบเอเซียโดยเฉพาะประเทศไทยจึงเป็นเสมือน “โอเอซิส” ที่ยังน่าจะทำกำไรได้อยู่
ทั้งหมดนั้นทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสูงกว่าปกติและทำให้หุ้นมีราคาไม่ถูกเลย คือ PE ประมาณ 15 เท่าจากสถิติระยะยาวของไทยที่ประมาณ 10 เท่าเศษๆ และหุ้นไทยในขณะนี้น่าจะแพงกว่าหุ้นในหลายๆ ประเทศ รวมถึงจีนที่เศรษฐกิจยังเติบโตในอัตราเกือบ 2 เท่าของไทย ว่าที่จริง หุ้นเด่นๆ ของไทยนั้นมีค่า PE สูงกว่าหุ้น “ระดับโลก” ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแล้ว และนี่ก็ทำให้ผมเองเกิดความกังวลอยู่เหมือนกันว่าหุ้นไทยเวลานี้แพงเกินไปหรือเปล่า?
คำตอบของผมก็คือ มันแพง แต่ก็ยังไม่ถึงกับรับไม่ได้ แต่ถ้าถามว่า หุ้นในเวลานี้ยังเป็น Value หรือเปล่า? คำตอบของผมก็คือ Value นั้นน่าจะหมดไปแล้ว โดยเฉพาะสำหรับ Value Investor ที่เป็นชาวต่างชาติที่สามารถลงทุนในประเทศอื่นเช่นจีนได้อย่างสะดวก สำหรับผมเองซึ่งไม่ใคร่มีทางเลือกมากนักนั้น ถึงผมจะดูว่า Value นั้น “หายหมด” แล้ว แต่ผมก็ยังไม่อยากออกจากตลาด ผมคิดว่าความจำเป็นที่จะต้องออกจากตลาดในเวลานี้ยังไม่มาก ที่เหนือกว่านั้นก็คือ ผมคิดว่าความเสี่ยงที่หุ้นจะปรับตัวลงแรงยังไม่สูง ในขณะเดียวกัน โอกาสที่หุ้นจะปรับตัวขึ้นไปอีกมากก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่เพราะว่าหุ้นถูก แต่เป็นเพราะว่าความสนใจลงทุนในหุ้นไทยโดยคนไทยเองและอาจจะต่างชาติบางกลุ่มก็อาจจะยังสูงอยู่ ดังนั้น หุ้นต่อจากนี้ไปอีกระยะหนึ่งอาจจะยังวิ่งขึ้นไปสูงลิ่วได้ เหมือนกับงานเลี้ยงที่เข้าสู่ชั่วโมงสุดท้ายที่จะ “สนุกและมันที่สุด” และถ้ามันเป็นอย่างนั้น ผมก็คงเตรียมตัว “กลับบ้าน” ก่อนที่งานจะเลิก นั่นคือ ถอนตัวจากตลาดหุ้นก่อนที่มันจะปรับตัวลงแรง เนื่องจากราคามันสูงเกินพื้นฐาน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 957
- ผู้ติดตาม: 1
Re: งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 7
" งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง "
ย่อมทำให้ผู้คนที่อยู่ในงานเลี้ยง สนุกสนาน และเมามัน
ผู้คนที่ผ่านมาเห็นหรือได้ยินเสียง ก็อยากมาร่วมในงานเลี้ยงนี้ด้วย
ว่าแต่...แล้วอะไรหรือใครหละ? จะแจ้งกำหนดได้ว่า งานเลี้ยงจะเลิกลา เวลาใด?
ขอบคุณมากๆ ครับ
ย่อมทำให้ผู้คนที่อยู่ในงานเลี้ยง สนุกสนาน และเมามัน
ผู้คนที่ผ่านมาเห็นหรือได้ยินเสียง ก็อยากมาร่วมในงานเลี้ยงนี้ด้วย
ว่าแต่...แล้วอะไรหรือใครหละ? จะแจ้งกำหนดได้ว่า งานเลี้ยงจะเลิกลา เวลาใด?
ขอบคุณมากๆ ครับ
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 4
Re: งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 9
ขอบคุณท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์มองเห็นถึงแก่นแท้ของ เศรษฐกิจดีจริงๆ กับ เศรษฐิกิจดีแบบใช้ยาฉีด
เพื่อนๆคิดว่า ถ้าไม่มีบ้านหลังแรก รถคันแรกแล้ว
ปีหน้า
จะเป็นเช่นไรครับ
แต่ท้ายสุด เหรียญก้มี 2ด้าน มีคนได้ประโยชน์ก้มีคนเสียประโยชน์
หน้าที่ของ VI คือ ซื้อของดีในราคาถูก ในราคา แบกะดิน
ท่านอาจารย์มองเห็นถึงแก่นแท้ของ เศรษฐกิจดีจริงๆ กับ เศรษฐิกิจดีแบบใช้ยาฉีด
เพื่อนๆคิดว่า ถ้าไม่มีบ้านหลังแรก รถคันแรกแล้ว
ปีหน้า
จะเป็นเช่นไรครับ
แต่ท้ายสุด เหรียญก้มี 2ด้าน มีคนได้ประโยชน์ก้มีคนเสียประโยชน์
หน้าที่ของ VI คือ ซื้อของดีในราคาถูก ในราคา แบกะดิน
-
- Verified User
- โพสต์: 144
- ผู้ติดตาม: 0
Re: งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 11
การที่มีคนทีเรียนจบออกมาแล้วไม่ทำงานประจำหรือไม่ไปเป็นผู้ประกอบการ. แต่เลือกที่จะมาเป็นนักลงทุนหุ้นอย่างเดียวถ้ามีมากๆ จะมีผลเสียอะไรบ้างตอนนี้ยังนึกไม่ออก แต่มีผลดีอย่างหนึ่งแน่นอนคือช่วยให้หุ้นในตลาดมีโอกาสขึ้นไปได้เรื่อยๆเพราะมีเม็ดเงินใหม่จากนักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มเข้ามา
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
Re: งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 12
จุดสำคัญตอนนี้คือ อย่าไปซื้อหุ้นที่แพง
ไม่งั้นอาจจะเป็นคนลุกคนสุดท้าย ต้องจ่ายรอบวง
ไม่งั้นอาจจะเป็นคนลุกคนสุดท้าย ต้องจ่ายรอบวง
-
- Verified User
- โพสต์: 11
- ผู้ติดตาม: 0
Re: งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณสำหรับข้อความดีๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 6
- ผู้ติดตาม: 0
Re: งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 17
ไปเมื่อไรบอกด้วยนะครับอาจารย์
ถือว่าช่วยลูกศิษย์ตาดำๆ
ถือว่าช่วยลูกศิษย์ตาดำๆ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 252
- ผู้ติดตาม: 1
Re: งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 18
ไม่ประมาทเป็นการดีที่สุด
ออกจากตลาด คงเป็นความคิดที่อาจจะไม่ถูกต้องซะทีเดียว
แต่ถ้าขายแล้วถือเงินสด รอโอกาสน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า
ออกจากตลาด คงเป็นความคิดที่อาจจะไม่ถูกต้องซะทีเดียว
แต่ถ้าขายแล้วถือเงินสด รอโอกาสน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 34
- ผู้ติดตาม: 4
Re: งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 19
ขอบคุณครับอาจารย์ เตือนสติได้ดีครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 110
- ผู้ติดตาม: 35
Re: งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 21
ขอบคุณมากๆครับอาจารย์