PE ของตลาด

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
Stock Broker
Verified User
โพสต์: 2509
ผู้ติดตาม: 1

PE ของตลาด

โพสต์ที่ 31

โพสต์

:bow:  :bow:  :bow:

พี่ Mon อย่าเอาไปลง BizWeek นะครับ เดี๋ยวคนอ่านหัวแตกตาย

ข้าน้อยขอคารวะจิงๆ
Boring Stock Lover
Verified User
โพสต์: 1301
ผู้ติดตาม: 0

PE ของตลาด

โพสต์ที่ 32

โพสต์

Quote:
การที่ไม่เอา cost of debt มาก็เป็นอย่างที่ท่านแม่ทัพว่า เราไม่ได้หาว่า กิจการมีมูลค่าเท่าไร แต่เรากำลังหาว่า นักลงทุนคาดหวังว่าจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ (expected return)  

นักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนจาก มูลค่าของกิจการนะครับ
แนวคิดนี้เป็นการประเมิณตลาดโดยรวม เรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ขึ้นหรือลงก็จะอยู่ใน Risk Free Rate บางคนอาจถามแต่ดอกกู้สูงกว่าดอกฝาก ส่วนนั้นก็อยู่ใน Market Risk ดูคำอธิบายเรื่องความเสี่ยงในกระทู้ก่อนหน้าของท่านแม่ทัพ

ถ้าเป็นการหามูลค่ากิจการสำหรับหุ้นตัวเดียว ก็ต้ดงเพิ่ม Company Risk เข้าไปด้วย และเมื่อเพิ่มไปแล้ว Expected return ก็จะไม่เท่าเดิม

จริงๆแล้วผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับที่ท่านแม่ทัพใช้ Expected return ของตลาดมาใช้กับกิจการเป็นตัวๆ เพราะจำไม่ได้ในหลักการที่ทำให้ไม่เห็นด้วย แต่ยังไงก็ตาม หัวข้อนี้เป็นเรื่องการหา PE ของตลาด ซึ่งท่านแม่ทัพนำเสนอได้ดีมาก ต้องขอขอบคุณ ทำให้รื้อฟื้นความรู้กลับมา

หลักการนี้สำคัญเพราะทำให้นักลงทุนที่กลัวความเสี่ยงสามารถเพิ่มExpected Return ได้โดยเสี่ยงอาจไม่เพิ่ม และนักลงทุนที่ชอบเสี่ยงก็อาจรักษาระดับ expected return โดยที่เสี่ยงน้อยลงสักนิด

และเมื่อตลาดมีเครื่องมือเพิ่มขึ้น Short sale, Future, Option เรื่องนี้ก็จะสำคัญมากขึ้น ในการบริหารความเสี่ยง

เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กันนะครับ ผิดถูกช่วยชี้แจงด้วย
adi
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

PE ของตลาด

โพสต์ที่ 33

โพสต์

คุณสุมาอี้อธิบายได้ดีมากครับ
jaychou
ผู้ติดตาม: 0

PE ของตลาด

โพสต์ที่ 34

โพสต์

ขอแตกประเด็นเรื่องความเสี่ยงไปกระทู้นี้ครับ

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?p=134579
ภาพประจำตัวสมาชิก
ROGER
Verified User
โพสต์: 609
ผู้ติดตาม: 1

PE ของตลาด

โพสต์ที่ 35

โพสต์

[quote]

ไม่ต้องคิด cost of debt ครับ เพราะเรากำลังซื้อ "หุ้น" หรือซื้อ "กำไรสุทธิ" ในอนาคตของบริษัท มิใช่ซื้อ "EBIT"

ถ้าจะคิด cost of debt ด้วย หรือก็คือใช้ WACC เป็น discount rate ก็ได้ แต่สิ่งที่ได้จะเป็น EV/EBITDA ครับ มิใช่ P/E เราต้องมาหักผลของ debt อีกที ปวดหัวน่าดู



อย่างงี้หุ้นแบงค์ก็แพงทั้งนั้นเลยสิครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
doji
Verified User
โพสต์: 78
ผู้ติดตาม: 0

PE ของตลาด

โพสต์ที่ 36

โพสต์

ขอมานั่งฟังท่านกุนซือทั้งหลายถกปัญหา  ด้วยคนครับ..
ผมได้ความรู้จากท่านสุมาอี้หลายเรื่องเลยครับ..ขอบพระคุณคับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
สุมาอี้
Verified User
โพสต์: 4576
ผู้ติดตาม: 73

PE ของตลาด

โพสต์ที่ 37

โพสต์

[quote="ROGER"]
อย่างงี้หุ้นแบงค์ก็แพงทั้งนั้นเลยสิครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mon money
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 3134
ผู้ติดตาม: 28

PE ของตลาด

โพสต์ที่ 38

โพสต์

นี่ผมทำให้ท่านแม่ทัพปวดหัวหรือเปล่าเนี่ย แต่ที่เห็นนะท่านแม่ทัพมีความตั้งใจจริง และรับผิดชอบต่อข้อความและเนื้อหาที่นำเสนอจริง ฉนั้นขอนับถือ ด้วยกาแฟหนึ่งถ้วย ถ้ามีโอกาสอยากจะชวนมานั่งดวด(กาแฟนะ)กัน ไม่ทราบว่าจะขัดข้องไหม?

ท่านแม่ทัพกำลังอธิบายว่า ที่เอาเอาเฉพาะต้นทุนของทุน(ที่จริงก็คือต้นทุนของผู้ที่ซื้อหุ้น)มาคิดเพราะ net income หักดอกเบี้ยจ่ายไปแล้วครับ คือว่าได้หักต้นทุนของหนี้ไปแล้วเรียบร้อย ฉนั้นearning จึงเป็นส่วนที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับ และจะสะท้อนออกไปเป็นราคาในอนาคต หรือในทำนองที่ว่าเป็นสิ่งที่ผู้ลงทุนคาดหวังจะได้ เมื่อต้องเอาเงินซื้อหุ้น หรือต้นทุนของเงินลงทุนของเรานั่นคือราคาที่เราซื้อหุ้นมา มิใช่ ส่วนของผู้ถือหุ้นนะครับ(ผมอธิบายถูกหรือเปล่า ท่านแม่ทัพ) ฉนั้น PE ที่คิดนั้นคือ ผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวังจะได้จากราคาที่จ่ายไป เป็นคนละส่วนกับส่วนผู้ถือหุ้น ซึ่งอันนี้สะท้อนภาพความเป็นจริงของนักลงทุนในตลาด

ผิดถูกประการใดวานบอกขอรับท่าน เพราะเรากำลังจะได้ทฤษฎีใหม่กันอีกแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
สุมาอี้
Verified User
โพสต์: 4576
ผู้ติดตาม: 73

PE ของตลาด

โพสต์ที่ 39

โพสต์

Mon money เขียน: ท่านแม่ทัพกำลังอธิบายว่า ที่เอาเอาเฉพาะต้นทุนของทุน(ที่จริงก็คือต้นทุนของผู้ที่ซื้อหุ้น)มาคิดเพราะ net income หักดอกเบี้ยจ่ายไปแล้วครับ คือว่าได้หักต้นทุนของหนี้ไปแล้วเรียบร้อย ฉนั้นearning จึงเป็นส่วนที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับ
ใช่แล้วครับ


ส่วนเรื่องส่วนของผู้ถือหุ้น  vs. ราคาหุ้น อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการวิเคราะห์อะไรครับ ถ้าต้องการรู้ว่าวันนี้บริษัทสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับต้นทุนทางการเงินของบริษัทหรือยังต้องใช้ ส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งจะได้ ROE ครับ

ผมไม่ทานกาแฟครับ ทานแล้วเวียนหัว เรื่องที่ผมพล่ามมานี่ไม่ได้เป็นหลักการใหม่อะไรครับ มีอยู่แล้วทั้งนั้นในตำรา
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ROGER
Verified User
โพสต์: 609
ผู้ติดตาม: 1

PE ของตลาด

โพสต์ที่ 40

โพสต์

การไม่เอา cost of debt เข้ามาอยู่ในสมการเลยไม่ได้แปลว่า debt ไม่มีผลอะไรเลยกับ PE เพราะ Net income เกิดจาก Operating Income - Interest expense - Tax expense บริษัทที่มีหนี้มากจะทำให้ Net Income น้อยกว่าบริษัทที่มีหนี้น้อย ดังนั้นหนี้จึงส่งผลอย่างยิ่งต่อ


ลองคิดดูในดีกว่า P/E คืออะไร คือ Price/Net Income ใช่ไหมครับ แล้ว Price คืออะไร Price คือ Price of stock ส่วน Net Income คืออะไร คือ Return of stock ใช่ไหมครับ อย่างนี้แล้วเราจะเอา WACC มา discount ได้อย่างไร ในเมื่อ WACC ของ cost of capital เฉลี่ยของ debt กับ stock
อืม ๆๆๆๆ  อย่างงี้ เราควรจะต้อง rate risk premium ให้ต่ำลงหน่อยนะครับ ไม่ควรเกิน 2% ถ้าเราคิดแบบระยะยาว ในฐานะ going cocern firm
ภาพประจำตัวสมาชิก
สุมาอี้
Verified User
โพสต์: 4576
ผู้ติดตาม: 73

PE ของตลาด

โพสต์ที่ 41

โพสต์

เอ่อใช่ครับ risk premium ผมสูงเกินไปหน่อย ผมไปตรวจดูแล้วที่จริง 2-5% เขาหมายถึง 2-5% จาก risk free rate ไม่ใช่ 2-5% จาก BBB corporate bond yield แต่ผมดันไปบวกขึ้นไปจาก BBB corporate bond yield เลย ทำให้ discount rate สูงมาก

สมมติว่าถ้าเป็น 2% จาก BBB corporate bond yield ก็จะได้ 10.2% หรือเท่ากับ PE 9.8 เท่า ถ้าแบบนี้ ตลาดหุ้นไทยก็ถูกไปหน่อยครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ