รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 511

โพสต์

คอลัมน์: รุกลงทุน
Source - ข่าวสด (Th), Thursday, September 13, 2012

สรัญ รังคสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บมจ. ปตท. เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่าง ปตท. โดย อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การตลาดพาณิชย์และต่างประเทศ กับ U Chit KhineChairman and Managing Director, Denko Trading Co.,Ltd เพื่อร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนทำธุรกิจปิโตรเลียมในพม่า

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 512

โพสต์

PTTEP to triple Oman crude output
Source - Bangkok Post (Eng), Thursday, September 13, 2012

Thailand’s sole petroleum explorer will boost crude oil production in its Oman 44 project to 5,000 barrels per day next month, says president Tevin Vongvanich of PTT Exploration and Production Plc (PTTEP).

PTTEP Oman Co will pump from seven development wells at roughly 2,500 bpd from the Munhamir field starting this month.

Its crude oil discovery from the appraisal wells at Shams-E South is expected to bring production of about 1,000 bpd by next month.

Crude oil output will increase from 1,500 bpd, while natural gas production will reach about 50 million cubic feet per day.

Moreover, PTTEP plans a 3D seismic survey for oil in a new play type on the western part of Block 44.

The Oman 44 project covers 1,162 square kilometres.

It is located 300 km off of Muscat, the capital of Oman, with PTTEP Oman Co as an operator with a 100% interest.
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 513

โพสต์

ปตท.สผ.แชมป์แบรนด์ไทย มูลค่าสูงสุดกว่า4แสนล้านบ.
Source - เดลินิวส์ (Th), Thursday, September 13, 2012

นางกุณฑลี รื่นรมย์ อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยในงานจัดทำวิจัยเรื่องการประเมินค่าและจัดอันดับแบรนด์องค์กรในประเทศไทย ว่า ผลการวัดมูลค่าแบรนด์ขององค์กรของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำนวน 432 บริษัท ที่มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปีพบว่า บริษัทที่มีมูลค่าแบรนด์ขององค์กรสูงสุดอันดับหนึ่งคือ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. มีมูลค่า 401,875 ล้านบาท รองลงมา บริษัท ปตท. มีมูลค่าแบรนด์ 327,902 ล้านบาท อันดับสามคือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส มีมูลค่า 258,746 ล้านบาท อันดับ 4 คือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย มูลค่า 238,536 ล้านบาท และอันดับ 5 คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีมูลค่า 200,346 ล้านบาท

ขณะเดียวกันใน 8 หมวดอุตสาหกรรมที่ได้จัดทำการวัดมูลค่าแบรนด์นั้น แบ่งเป็น กลุ่มสินค้าอาหารและผลิตภัณฑ์การเกษตร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดมูลค่า 100,498 ล้านบาท , กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง คือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย, กลุ่มการเงิน คือ ธนาคารไทยพาณิชย์, กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค คือ บริษัท ซาบิน่า, กลุ่มทรัพยากร คือ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม, กลุ่มเทคโนโลยี คือ แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส, กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมคือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคัล มูลค่าแบรนด์ 44,432 ล้านบาท และกลุ่มบริการคือ บริษัท ซีพี ออลล์ มีมูลค่า 161,601 ล้านบาท.

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 514

โพสต์

ปตท.สผ.เตรียมพร้อมเพิ่มโครงการโอมาน44
Source - พิมพ์ไทย (Th), Friday, September 14, 2012


นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ. เปิดเผยว่า PTTEP Oman Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ปตท.สผ. เตรียมพร้อมที่จะผลิตน้ำมันดิบในโครงการโอมาน 44 เพิ่มเติมซึ่งจะทำให้โครงการโอมาน 44 มีอัตราการผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสทโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนตุลาคมนี้

อัตราการผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากความสำเร็จในการเจาะหลุมพัฒนาและหลุมประเมินผล จำนวน 7 หลุม ตามแผนงานปี 2554 - 2555 โดยจะมาจากการผลิตน้ำมันดิบจากหลุมพัฒนาในแหล่งมูร์ฮาเมียร์ ในอัตราประมาณ 2,500 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะเริ่มการผลิตในเดือนกันยายนนี้ และจะมาจากผลจากการเจาะหลุมประเมินซึ่งค้นพบน้ำมันดิบแหล่งใหม่ทางตอนใต้ของโครงสร้างชามส์-อี (Shams-E South) อีกประมาณ 1,000 บาร์เรลต่อวันโดยจะเริ่มการผลิตในเดือนตุลาคมนี้ การค้นพบน้ำมันดิบจากทั้ง 2 แหล่งนี้ จะทำให้อัตราการผลิตโดยรวมของโครงการโอมาน 44 เพิ่มสูงขึ้นจากประมาณ1,500 บาร์เรลต่อวันเป็นประมาณ 5,000 บาร์เรลต่อวัน และก๊าซธรรมชาติประมาณ 50 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

นายเทวินทร์กล่าวว่า "การเจาะหลุมพัฒนาและหลุมประเมินผลประสบความสำเร็จโดยค้นพบน้ำมันดิบเพิ่มเติม นับเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มที่สำคัญให้กับโครงการโอมาน 44 และสามารถทำให้อัตราการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 3 เท่า นอกจากนั้น ในด้านความปลอดภัย ก็สามารถปฏิบัติงานได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ไม่มีการสูญเสียเวลาทำงาน (Lost Time Incident) ตลอดระยะเวลาการทำงานกว่า 453,600 ชั่วโมง"

นอกจากการค้นพบดังกล่าวแล้ว ปตท.สผ. ยังมีแผนสำรวจน้ำมันดิบในแหล่งกักเก็บรูปแบบใหม่ในแปลงนี้ (New play type in the block) โดยจะทำการสำรวจคลื่นไหวสะเทือนแบบ 3 มิติในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแปลง เพื่อประเมินศักยภาพเพิ่มเติมต่อไป

โครงการโอมาน 44 มีพื้นที่ประมาณ 1,162 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ห่างจากกรุงมัสกัต เมืองหลวงของรัฐสุลต่านโอมานไปทางตะวันตกประมาณ 300 กิโลเมตร โดยมีบริษัท PTTEP Oman Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการและถือสัดส่วนการลงทุนทั้งหมด

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 515

โพสต์

พลังงานสั่งปั๊มรับมือน้องน้ำ บางจากมั่นใจ 2 โรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์"เอาอยู่"
Source - ไทยรัฐ (Th), Friday, September 14, 2012


บางจากมั่นใจ 2 โรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์"เอาอยู่"นายสมนึก บำรุงสาลี รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า หลังเหตุการณ์เกิดสถานการณ์น้ำท่วม 14 จังหวัด ทางกรมฯแจ้งเตือนไปยังผู้ค้าน้ำมันและพลังงานจังหวัดทุกแห่ง ให้เตรียมแผนป้องกันดูแลสถานีบริการน้ำมัน แอลพีจี และเอ็นจีวี ไม่ให้เกิดน้ำลงไปปนเปื้อนกับน้ำมัน ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีสถานีบริการใดเกิดปัญหาหรือต้องปิดบริการแต่อย่างใด แต่ถ้าเกิดปัญหาถูกน้ำท่วมจริงก่อนที่จะมีการกลับมาเปิดใช้บริการ ทางกรมฯจะมีรถโมบายเข้าไปตรวจสอบคุณภาพน้ำมันก่อนเปิดให้บริการอีกครั้ง

ขณะเดียวกันในส่วนของถนนเส้นทางต่างๆที่ถูกน้ำท่วมยังไม่ได้รับรายงานว่ามีผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันไปยังสถานีบริการต่างๆ จึงให้ความมั่นใจว่าน้ำมันไม่ขาดแคลน แต่หากเกิดเส้นทางน้ำท่วมจริงตามแผนการขนส่งน้ำมันต้องใช้เส้นทางอ้อมเพื่อไปส่งน้ำมัน โดยทุกอย่างอยู่ภายใต้แผนรองรับการป้องกันและแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำมัน ทั้งนี้ในภาพรวมยืนยันว่า ปัญหาน้ำมันไม่ขาดแคลนและส่งผลกระทบแก่ผู้ใช้บริการแต่อย่างใด

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.ได้สั่งการให้สถานีบริการน้ำมันในจังหวัดที่มีความเสี่ยงอาจจะถูกน้ำท่วม เช่น พระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ สุโขทัย ให้เตรียมการรองรับสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจจะเกิดขึ้นโดยใช้บทเรียนจากน้ำท่วมในปีที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถดูแลสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้ได้

ด้านนายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบางจากปิโตรเลียม กล่าวว่า บางจากมีความพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบกับโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากมีการลงทุนกว่า 400 ล้านบาท ก่อสร้างพนังกั้นน้ำและสำรองกระสอบทรายล้อมรอบโรงไฟฟ้ามีระดับสูงสุดถึง 9 เมตร

“สถานการณ์น้ำท่วมปีนี้ บางจากเตรียมพร้อมไว้แล้ว โดยเฉพาะแผนป้องกันน้ำท่วมโซลาร์เซลล์ที่อยุธยา เชื่อว่าเอารอด เพราะการออกแบบพนังกั้นน้ำแน่นหนาและสูงกว่าระดับน้ำท่วมเมื่อปีที่แล้วมาก”.
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 516

โพสต์

คอลัมน์: รู้ทันกระแสเศรษฐกิจและพลังงาน: ประเมินเศรษฐกิจไทย ภายใต้วิกฤติเศรษฐกิจยูโร (1)
Source - คมชัดลึก (Th), Friday, September 14, 2012


ดร.โชติชัย สุวรรณาภรณ์ [email protected]

ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่นโยบายและเศรษฐกิจพลังงาน

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)



ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย ได้รับอานิสงส์จากการรวมตัวเข้ากับเศรษฐกิจโลก ทั้งในด้านการค้าและการลงทุนกับนานาประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยในวันนี้ถือเป็นระบบเศรษฐกิจแบบเปิด (Open Economy) ที่มีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศคิดเป็นกว่า 1.5 เท่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) อย่างไรก็ตาม ภายใต้โอกาสก็มีความเสี่ยงเช่นกัน โดยระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาตลาดภายนอกมากนี้ ทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2551-2552 และต่อเนื่องมาเป็นจนวิกฤติเศรษฐกิจยูโรโซนในปัจจุบัน

ผมว่าในระยะต่อจากนี้ไป เราต้องติดตามผลกระทบเศรษฐกิจยูโรต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมที่มีผ่าน 2 ช่องทางหลัก คือ (1) ช่องทางการค้าระหว่างประเทศ สะท้อนได้จากมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2555 ชะลอลง โดยพบว่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่า 19.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 4.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ 2.3

ทั้งนี้ เนื่องจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยุโรป ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการผลิตและจำหน่ายสินค้าในหลายประเทศ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของไทย อาทิ สหภาพยุโรปที่หดตัวสูงกว่าร้อยละ 20.5 ในขณะที่การส่งออกไปยังตลาดสิงคโปร์ มาเลเซีย และจีนก็เริ่มชะลอตัวเช่นกัน โดยสินค้าส่งออกที่ปรับตัวลดลงมากเป็นสินค้าในหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หดตัวร้อยละ 15.4 เกษตรหดตัวร้อยละ 15.2 โดยเฉพาะข้าวหดตัวร้อยละ 28.5 และยางพาราหดตัวร้อยละ 33.8

(2) ช่องทางการเงินและลงทุนต่างประเทศ สะท้อนได้จากมูลค่าการลงทุนในตราสารทางการเงินในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2555 เท่ากับ 755.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลดลงมากจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่าร้อยละ 51.4 ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ที่เปิดเผยข้อมูลว่าธนาคารในกลุ่มประเทศยุโรปได้เริ่มต้นทยอยถอนการลงทุนจากภูมิภาคเอเชีย (Deleveraging) ในช่วงที่ผ่านมา

ในระยะต่อไป ผมยังมองว่า สถานการณ์ของยูโรยังคงน่าเป็นห่วง แม้จะมีข่าวดีว่า ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีอนุญาตให้รัฐบาลเข้าช่วยเหลือประเทศกลุ่มยูโรโซนที่กำลังประสบปัญหาได้ แต่สถานการณ์และทิศทางของเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มยูโรโซนก็ไม่ดูดีเท่าไรนัก โดยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 ยังหดตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 0.5 และทั้งปี 2555 ธนาคารกลางยุโรปประเมินเศรษฐกิจยูโรโซนจะหดตัวร้อยละ 0.4

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณารายละเอียดของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นรายประเทศจะเห็นได้ว่า เศรษฐกิจหลักของยูโรโซน (Core economies) ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมา เริ่มได้รับผลกระทบจากวิกฤติยูโร เช่น เศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัวชะลอลงอยู่ที่ร้อยละ 0.3 ในขณะที่เศรษฐกิจฝรั่งเศสไม่สามารถขยายตัวได้

พื้นที่หมดครับ สัปดาห์หน้ามาวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยภายใต้วิกฤติเศรษฐกิจยูโรกันต่อครับ

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 517

โพสต์

ต่างชาติสน 'ช.การช่าง' ดักปีทองกลุ่มรับเหมา ราชบุรีโฮลดิ้งสรุปโรงไฟฟ้าพลังลมภายในสิ้นปี คาด
รายได้ปีหน้าโต 15% ทุบสถิติแบ็คล็อก 2 ปีซ้อน รับอานิสงส์ประมูลงานรัฐ
[ 14 ก.ย. 55 ]

ช.การช่างเผยนักลงทุนต่างชาติรุมเข้าพบขอข้อมูลถี่ยิบ ลั่นปีหน้า เป็นปีทองของกลุ่มรับเหมา
ก่อสร้าง คาดรายได้รวมโต 10-15% ประเมิน "แบ็คล็อก" เตรียมทุบสถิติ 2 ปีติด รับอานิสงส์ประมูล
โครงการรัฐ แถมดอกเบี้ยและภาษีเงินได้นิติบุคคลปรับลดลงอีกหวังได้งาน 20-25% ของโครงการที่ร่วม
ประมูล เตรียมเซ็นสัญญาโครงการทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอก 2.25 หมื่นล้านสัปดาห์หน้า ด้าน
ราชบุรี โฮลดิ้งคาดได้ข้อสรุปโรงไฟฟ้าพลังลมเขาค้อมูลค่า 4.5 พันล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 518

โพสต์

ผอ.IEA เผยตลาดน้ำมันดิบโลกยังมีอุปทานเหมาะสม แม้ผลิตภัณฑ์น้ำมันกลั่นตึงตัว
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 5 กันยายน 2555 10:10:00 น.

นางมาเรีย แวน เดอร์ โฮเวน ผู้อำนวยการสำนักงานพลังงานสากล (IEA) กล่าวว่าตลาดน้ำมันดิบโลกมีอุปทานในระดับที่เหมาะสม เมื่อเทียบกับปริมาณผลิตภัณฑ์น้ำมันกลั่นที่อยู่ในภาวะตึงตัว

สำหรับประเด็นการระบายสต็อกน้ำมันนั้น ผู้อำนวยการ IEA ระบุว่า IEA กำลังจับตาดสถานการณ์ในตลาด

การแสดงความคิดเห็นของผู้อำนวยการ IEA มีขึ้นหลังจากที่เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา บรรดารัฐมนตรีคลังจากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำทั้ง 7 หรือจี-7 ได้เรียกร้องให้กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันทั่วโลกเพิ่มการผลิต โดยระบุว่าจี-7 พร้อมจะดำเนินการเพื่อสร้างความมั่นใจเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันในตลาด

แถลงการณ์จี-7 ระบุว่าการทะยานขึ้นในปัจจุบันของราคาน้ำมันสะท้อนความวิตกทางการเมืองทั่วโลกและปัญหาด้านอุปทานบางส่วน

ทั้งนี้ มีกระแสคาดการณ์ในตลาดน้ำมันว่า IEA อาจระบายสต็อกน้ำมันเพื่อรับมือกับปัญหาด้านอุปทาน อันเนื่องมาจากช่วงฤดูพายุเฮอร์ริเคนและความตึงเครียดที่อาจจะทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐและอิหร่าน

สำนักข่าวเพรสทีวีของอิหร่านรายงานวานนี้ว่า พลเรือตรีฮาบิบอลลาห์ เซย์ยารี ผู้บัญชาการกองทัพเรืออิหร่านกล่าวว่า กองทัพเรืออิหร่านจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของกองทัพเรือสหรัฐในอ่าวเปอร์เซีย ขณะที่สหรัฐและพันธมิตรอีก 25 ประเทศจะฝึกซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุดในระหว่างวันที่ 16-27 ก.ย.ในอ่าวเปอร์เซีย เพื่อแสดงถึงความเป็นเอกภาพและมาตรการป้องกันไม่ให้อิหร่านพยายามปิดกั้นการส่งออกน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 519

โพสต์

"สมเด็จพระเทพฯ" ทรงเปิดโครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ “Sunny Bangchak” ตำบลบางกระสั้น อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วันนี้ (4 ก.ย.55) สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ “Sunny Bangchak” ตำบลบางกระสั้น อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมกันนี้ทรงปลูกต้นจำปีสิรินธร จำนวน 1 ต้น

สำหรับโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ของบริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด ระยะแรกมีขนาด 38 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 500 ไร่ ในอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใช้เงินลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เมื่อเดือนตุลาคม 2554ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ และเพิ่มไฟฟ้าสำรองให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในภาคธุรกิจและครัวเรือนรวมถึงเป็นการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดช่วยลดมลภาวะและผลกระทบด้านสุขภาพ ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 35,000 ตันต่อปี หรือเทียบเท่ากับการปลูกป่าถึง 26,000 ไร่ นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังสามารถลดการนำเข้าถ่านหินที่เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า 40,000 ตันต่อปี
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 520

โพสต์

คอลัมน์: รายงาน: 'ปตท.-โตโยต้า' ปั้นพลังงานทางรอด เข็น 'บีเอชดี' สู้น้ำมันแพง
Source - ประชาชาติธุรกิจ (Th), Saturday, September 15, 2012

เมื่อพลังงานหลักของโลกอย่างน้ำมัน มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบ ต่อภาคพลังงานและธุรกิจทั่วโลก ที่ประเทศผู้นำเข้าน้ำมันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงเกิดแผนการลดการนำเข้าน้ำมันขึ้นในหลายประเทศ ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน

สำหรับประเทศไทยมีแผนพัฒนาพลังงานทางเลือก 10 ปี ที่วางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนให้เป็นร้อยละ 25 ของการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศไทยในปี 2564

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่คือ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จึงร่วมกันพัฒนาโครงการพลังงานทางเลือกมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ "ความร่วมมือวิจัยและพัฒนาน้ำมันดีเซลสังเคราะห์จากพืชน้ำมัน" ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2551-2555 ใน 3 ประเภทคือ น้ำมันปาล์ม การใช้สบู่ดำ และเทคโนโลยีล่าสุดคือ "บีเอชดี" หรือไบโอ ไฮโดรจิเนต ดีเซล (Bio Hydrogenated Diesel)

นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ รองประธานกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า บีเอชดี คือการนำน้ำมันพืชหรือน้ำมันสัตว์มาผ่านกระบวนการไฮโดรจิเนชั่น เพื่อให้ได้น้ำมันบีเอชดี ซึ่งมีโครงสร้างเช่นเดียวกับน้ำมันดีเซล เมื่อนำมาทดสอบกับรถยนต์ดีเซล สามารถใช้ผสมกับน้ำมันได้มากกว่า 5% และสามารถผสมในค่าที่เหมาะสมได้ถึง 20%

สำหรับการใช้บีเอชดีนั้นมีข้อดีหลายด้านคือ มีค่าซีเทนที่สูงกว่าน้ำมันดีเซลทั่วไป คือราว 61 ขณะที่น้ำมันดีเซลทั่วไปมีค่าซีเทนที่ 55-56 นอกจากนี้ยังทำให้รถยนต์สตาร์ตติดง่าย เครื่องยนต์มีการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ มีการปล่อยมลพิษทางไอเสียน้อยลง ปล่อยควันดำลดลง 20% และปล่อยไฮโดรคาร์บอนลดลง 30% รวมถึงไม่ส่งผลกระทบไม่มีการกัดกร่อนต่อชิ้นส่วนในเครื่องยนต์ด้วย

ส่วนข้อจำกัดของเทคโนโลยีดังกล่าวคือยังคงมีต้นทุนที่สูง ที่คาดว่าราคาจะสูงกว่าราคาน้ำมันดีเซลทั่วไป ที่ 8-9% หรือมากกว่า 2.74 บาทต่อลิตร (อ้างอิงจากราคาน้ำมันดีเซลที่ประมาณ 30 บาทต่อลิตร) การนำพลังงานดังกล่าวมาใช้จึงต้องพิจารณาจากราคาน้ำมันที่ต้องสูงพอ ที่จะทำให้การใช้บีเอชดีนั้นคุ้มทุน คาดว่าราคาน้ำมันดิบต้องอยู่ที่ราว 140 เหรียญต่อบาร์เรลขึ้นไป

ส่วนพลังงานทางเลือกอื่น ๆ ก่อนหน้านี้โตโยต้าก็ได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ศึกษาพัฒนาพลังงานทางเลือกมาตั้งแต่ปี 2543 ด้วยการเริ่มต้นพัฒนาผสมน้ำมันปาล์มลงในน้ำมันดีเซล ซึ่งสามารถผสมลงไปได้ 10% หลังจากนั้นจึงได้วิจัยการใช้ต้นสบู่ดำ ที่พัฒนาทั้งระบบตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์ การทดลอง การดูแล ไปจนถึงกระบวนการหีบ ออกมาผสมกับไบโอดีเซล ซึ่งมีผลผลิตต่อไร่ราว 250 ลิตรต่อไร่ ต่ำกว่าน้ำมันปาล์มที่มีผลผลิต 500 ลิตรต่อไร่ ซึ่งโครงการดังกล่าวใกล้จะสิ้นสุดเร็ว ๆ นี้

ทำให้เมื่อเปรียบเทียบความคุ้มค่าในการใช้งานกับต้นทุนทั้งหมดนั้น นายนินนาทมองว่า น้ำมันปาล์มยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสูงสุด เนื่องจากจำนวนน้ำมันปาล์มที่ผลิตได้อยู่จำนวนมากในปัจจุบัน อันดับสองคือสบู่ดำ เนื่องจากเป็นพืชที่ปลูกขึ้นมาเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนโดยเฉพาะ ส่วนบีเอชดีนั้นแม้จะเป็นน้ำมันที่มีคุณภาพดี แต่ก็ยังมีต้นทุนการผลิตที่สูงอยู่ เนื่องจากต้องใช้เทคโนโลยีไฮโดรจิเนตซึ่งมีต้นทุนสูงกว่า

"บีเอชดีถือเป็นพลังงานทางเลือกใหม่ที่ประเทศไทยเป็นผู้คิดค้นได้รายแรกในเอเชีย หากจะนำมาใช้จริง ราคาน้ำมันก็ต้องสูงพอสมควร เพราะยังมีต้นทุนการผลิตทั้งหมดที่สูงกว่าน้ำมันดีเซลทั่วไป แต่เราก็ไม่ได้มุ่งเน้นการพัฒนาเชื้อเพลิงใดเชื้อเพลิงหนึ่ง ทั้งน้ำมันปาล์ม สบู่ดำ และบีเอชดี ก็เป็นพลังงานทางเลือกที่เราเตรียมพร้อมไว้ใช้ในอนาคต หากราคาน้ำมันสูงกว่านี้ไปเรื่อย ๆ" นายนินนาทกล่าว

ด้านนางรัตนาวลี อินโอชานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สถาบันวิจัยและเทคโนโลยี บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้การพัฒนาพืชน้ำมัน บีเอชดีนั้นอยู่ในขั้นตอนใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว มีการทดสอบการใช้รถเครื่องยนต์ดีเซลที่เติมน้ำมันดังกล่าวในระยะทาง 100,000 กิโลเมตร ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามีผลการทดสอบที่น่าพอใจ บีเอชดีไม่ ส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์และชิ้นส่วนต่าง ๆ ในเครื่องยนต์

แต่การจะนำมาใช้งานจริงนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประเด็น คือ 1.การจัดหาวัตถุดิบ เพื่อให้ได้ราคาน้ำมันที่แข่งขันได้ 2.ความต้องการของตลาด และ 3.ต้นทุนการผลิตทั้งหมด ซึ่งในด้านเทคโนโลยีนั้นมีความพร้อมในการผลิตได้ทันที แต่หากจะผลิตเพื่อการพาณิชย์ก็จะต้องพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อีกครั้ง

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 521

โพสต์

ต่างชาติเพิ่มสัดส่วนกลุ่มปตท. 'ปตท.สผ.'รับรู้รายได้พิเศษ
Source -กรุงเทพธุรกิจ (Th), Saturday, September 15, 2012

นอมินีต่างชาติแห่ซื้อหุ้น"ปตท.-ปตท.สผ." เข้าพอร์ต ผู้บริหารปตท. ปฏิเสธแผนควบรวม ไออาร์พีซีกับพีทีทีโกลบอล ด้านโบรกเกอร์คาด ปตท.สผ. จะรับรู้รายได้พิเศษจากการกลับรายการสำรองค่าปรับฯ 72 ล้านดอลลาร์ ไตรมาส 3 ปีนี้พร้อมคงประมาณการกำไรปีนี้โต 19% หวั่นความไม่ชัดเจนเพิ่มทุนกดดันราคาหุ้น

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นล่าสุด ณ วันที่ 10 ก.ย. ที่ผ่านมา ของบริษัท ปตท. หรือ PTT พบว่า นอมินีต่างชาติเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้น ดังนี้ เชส นอมินี ลิมิเต็ด 42 ถือหุ้น 72.85 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.55% จากเดิมถือ 72.64 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.54% เอชเอส บีซี (สิงคโปร์) นอมินี ถือ 63.92 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.24% จากเดิมถือ 60.53 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.54% กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์ (GIC) 17.81 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.62% จากเดิมถือ 17.13 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.6%

เดอะ แบงก์ ออฟ นิว ยอร์ก มิลเลียน-ซีจีที เท็กเอเบิ้ล 15.81 ล้านหุ้นคิดเป็น 0.55% จากเดิม 15.63 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.55% และเดอะ แบงก์ ออฟ นิวยอร์ก (นอมินี) ลิมิเต็ด 14.98 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.52% จากเดิมไม่เคยถือ

ส่วนรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP ณ วันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา สถาบันต่างชาติที่เพิ่มสัดส่วนถือหุ้น ได้แก่ บีเอ็นพี พาริบาส์ ซิเคียวริตี้ เซอร์วิส ลักเซมเบิร์ก 78.49 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.36% จากเดิมถือ 74.66 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.25% สเตรท สตรีท แบงก์ แอนด์ ทรัสต์ คอมพานี 74.75 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.25% จากเดิมถือ 68.31 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.06%

เอชเอสบีซี (สิงคโปร์) นอมินี 69.92 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.11% จากเดิมถือ 62.45 ล้านหุ้นคิดเป็น 1.88% เดอะ แบงก์ ออฟ นิวยอร์ก (นอมินี) 53.44 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.61% จากเดิมถือ 52.49 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.58% สเตรท สตรีท แบงก์ ยุโรป ลิมิเต็ด 51.77 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.56% จากเดิมถือ 44.16 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.33% บีเอ็นพี พาริบาส์ ซิเคียวริตี้ เซอร์วิส ลอนดอน บรัช 39.15 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.18% จากเดิมถือ 38.95 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.17% เดอะแบงก์ ออฟ นิวยอร์ก มิลเลียน-ซีจีที เท็กเอเบิ้ล 25.40 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.77% จากเดิมถือ 22.18 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.67%

ด้าน นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. กล่าวว่า บริษัทในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทไออาร์พีซี (IRPC) และ บริษัท พีทีที โกลบอล (PTTGC) ขอยืนยันว่า ไม่มีแผนที่จะควบรวมทั้ง 2 บริษัท เพราะเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีความสามารถในการสร้างผลตอบแทน และรายได้ที่ดีด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องควบรวม

"การที่มีนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ประเมินว่า หากสองบริษัทควบรวมกัน ศักยภาพเราจะดีมาก แต่ตอนนี้เราไม่มีแผนตรงนั้น และคงไม่จำเป็น เพราะทั้งสองบริษัทยืนได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว"

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยได้แนะนำให้ซื้อหุ้น ปตท.สผ. เพราะรับรู้รายได้พิเศษจากการกลับรายการสำรองค่าปรับ มีนัยสำคัญต่อกำไรสุทธิไม่มาก ขณะที่เงินประกันส่วนที่เหลืออีก 72 ล้านดอลลาร์ รวมอยู่ในประมาณการปีนี้ ทำให้ยังคงกำไรสุทธิ 53,495 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.6% จากงวดเดียวกันปีก่อน กำไรสุทธิมีแนวโน้มฟื้นตัวไตรมาส 3 ปีนี้ แต่ความไม่ชัดเจนจากกรณีเพิ่มทุน จะเป็นปัจจัยลบกดดันราคาหุ้นต่อไป



หวั่นความไม่ชัดเจนเพิ่มทุนกดดันราคาหุ้น

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 522

โพสต์

ปตท.สผ.หารือเวียดนาม
Source - ข่าวหุ้น (Th), Monday, September 17, 2012

ขยายลงทุนสัมปทานแหล่งปิโตรเลียมเพิ่ม

PTTEP หารือเวียดนามขยายแหล่งสำรวจปิโตรเลียมเพิ่ม ส่วนแหล่งเตรียมพัฒนาอีก 2 แหล่งคาดจะผลิตก๊าซเพิ่ม 490 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน กังวลหลังเปิดเออีซีอาจจะเกิดปัญหาวิศวกรไหลออกไปประเทศเพื่อนบ้าน และหากไม่ลอยตัวแอลพีจีไทยต้องแบกรับภาระอุดหนุนให้สมาชิกอาเซียนด้วย

นายจิรพงษ์ ธราภพ ผู้จัดการอาวุโส โครงการร่วมทุนประเทศเวียดนาม สายงานโครงการต่างประเทศ บริษัท ปตทสำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า ปตทสผมีโอกาสในการขยายการลงทุนในเวียดนาม โดยผู้บริหารของปตทสผและผู้บริหารปิโตรเลียมของเวียดนามได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนเพิ่ม หลังจากลงทุน 4 แปลงผลิต และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

“ข้อดีในการลงทุนในเวียดนามคือใกล้บ้านเรา และมีความสัมพันธ์ที่ดี โดยเวียดนามยังมีศักยภาพมากพอสมควรในการขุดเจาะสำรวจแหล่งปิโตรเลียม จากการวิเคราะห์ขณะนี้มีพื้นที่ที่สามารถสำรวจได้อีก ส่วนใหญ่ที่มีการสำรวจมากคือตะวันออกเฉียงใต้ของโฮจิมินห์ โดยที่ผ่านมาเวียดนามผลิตน้ำมันได้ถึง 4 แสนบาร์เรลต่อวัน ปัจจุบันมีปริมาณการผลิตลดลง ซึ่งรัฐบาลเวียดนามได้สนับสนุนให้มีการเจาะสำรวจและผลิตมากขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มเทคโนโลยีเข้าไป” นายจิรพงษ์ กล่าว

สำหรับปัจจุบันปตทสผมีโครงการลงทุนในเวียดนาม 4 โครงการ โดยอยู่ในระยะการผลิต 2 โครงการ ได้แก่ โครงการเวียดนาม 16-1 ในขณะนี้ได้ติดตั้งแท่นหลุมผลิตที่ 2 คาดจะช่วยเพิ่มการผลิตได้ประมาณ 55,000 บาร์เรลต่อวัน ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ จากที่ปัจจุบันมีกำลังการผลิตน้ำมันดิบประมาณ 53,000 บาร์เรลวัน และก๊าซธรรมชาติประมาณ 33 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยปตทสผถือหุ้น 28.5% และโครงการเวียดนาม 92 ปตทสผถือหุ้น 25% ผลิตน้ำมันดิบ 6,600 บาร์เรลต่อวัน และก๊าซธรรมชาติ 15 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

ส่วนอีก 2 โครงการอยู่ในระยะเตรียมการพัฒนา ได้แก่ โครงการเวียดนาม ปตทสผถือหุ้น 7% และโครงการเวียดนาม ปตทสผถือหุ้น 8.5% ทั้ง 2 โครงการทางเชฟรอนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเป็นผู้ดำเนินการ ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาราคาก๊าซฯช่วงสุดท้ายกับรัฐบาลเวียดนาม หากเจรจาเสร็จสิ้น หลังจากนั้นใช้เวลาประมาณ เดือนเพื่อก่อสร้างดำเนินการวางท่อในทะเล คาดจะเริ่มผลิตก๊าซได้ในปี 2559 ในปริมาณผลิต ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

อย่างไรก็ตาม เวียดนามมีศักยภาพในการผลิตปิโตรเลียมโดยในขณะนี้ทางรัฐบาลเวียดนามกำลังอยู่ในระหว่างเชิญชวนให้เกิดการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปัจจุบันเวียดนามมีโรงกลั่น 1 แห่ง มีกำลังการผลิตประมาณ 1.4 แสนบาร์เรลต่อวัน แต่มีความต้องการมากกว่ากำลังผลิต ส่วนการผลิตไฟฟ้านั้นยังถือว่าขาดแคลน

นายจิรพงษ์กล่าวในระหว่างบรรยายด้านการลงทุนแก่สมาชิกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ซึ่งดูงานด้านการเตรียมพร้อมเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เออีซีในปี 2558 โดยระบุว่าเออีซีทำให้เกิดการค้าการลงทุนที่ดีขึ้น การใช้พลังงานก็สูงขึ้น แต่มีผลกระทบด้านพลังงานของไทยก็คือ จะเกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานได้อย่างเสรี โดยเฉพาะวิศวกร อาจทำให้แรงงานมีฝีมือของไทยย้ายไปทำงานในประเทศที่ให้ค่าตอบแทนสูงกว่า และหากไทยยังมีการตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มไว้ ก๊าซหุงต้มของไทยอาจจะไหลออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพราะราคาปัจจุบันเปรียบเทียบกับราคาตลาดโลกมีสัดส่วนแค่ ใน เท่านั้น หมายถึงประเทศไทยจะต้องจ่ายเงินให้ความช่วยเหลือด้านราคาแก่ประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านด้วย

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 523

โพสต์

'ไทยออล์'ลุยขยายลงทุนธุรกิจไฟฟ้า
Source -ฐานเศรษฐกิจ (Th), Monday, September 17, 2012


ไทยออยล์ ประกาศร่วมสู้ศึกชิงประมูลไอพีพีรอบใหม่ปีหน้า สนใจลงทุน 1-2 แห่ง ในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยส่งบริษัทลูกที่จัดตั้งขึ้นใหม่ หลังควบรวมไอพีทีและพีทีทียูทีลงแข่ง

"วีรศักดิ์" ระบุผลดีการควบรวมช่วยสร้างรายได้ไทยออยล์เพิ่ม จากที่มีรายได้ในธุรกิจไฟฟ้าเพียงปีละ 5-7%

นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (บมจ.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) จะออกประกาศเปิดประมูลการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนรายใหญ่หรือไอพีพีในปีหน้า ในปริมาณ 5,400 เมกะวัตต์ ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าหรือพีดีพี ฉบับใหม่ ทางบมจ.ไทยออยล์ สนใจและมีความพร้อมในการร่วมประมูลก่อสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ขนาด 800-900 เมกะวัตต์ จำนวน 1-2 โรง ซึ่งแต่ละโรงใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท แต่ทั้งนี้ ต้องรอให้การควบรวมระหว่างบริษัท ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) (ไอพีที) กับบริษัท พีทีที ยูทิลิตี้ (มหาชน) จำกัด (พีทีทียูที) ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ก่อน และหลังจากนั้นจะยื่นการประมูลไอพีพีภายใต้บริษัทใหม่ที่จัดตั้งขึ้นมา

สำหรับสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้านั้น ได้มีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว ในบริเวณสถานที่เดิมของโรงไฟฟ้าไอพีที ที่อยู่ติดกับโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ ซึ่งมีข้อได้เปรียบด้านสาธารณูปโภครองรับไว้อยู่แล้ว ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานต่ำเมื่อเทียบกับการก่อสร้างในสถานที่ใหม่ ประกอบกับ บมจ.ไทยออยล์เองก็มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านโรงไฟฟ้าไอพีพีอยู่แล้วดังนั้น จึงเชื่อว่าน่าจะแข่งขันด้านราคาค่าไฟฟ้าได้

อย่างไรก็ตาม การควบรวมทั้ง 2 บริษัทดังกล่าว จะไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าของไทยออยล์อย่างแน่นอน ในทางกลับกันเชื่อว่ากำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น จากเดิมของไอพีทีที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 700 เมกะวัตต์ แต่เมื่อควบรวมเป็นบริษัทใหม่ จะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 1,357 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าจำนวน 1,038 เมกะวัตต์ และเป็นกำลังการผลิตไอน้ำจำนวน 1,340 ตันต่อชั่วโมง (ซึ่งเทียบเท่ากับกำลังการผลิตไฟฟ้าจำนวนประมาณ 319 เมกะวัตต์) ดังนั้นศักยภาพด้านการแข่งขันก็เพิ่มขึ้นด้วย

ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาไทยออยล์รับรู้รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าเพียง 5-7% ของรายได้ทั้งหมดเท่านั้น จึงไม่น่าจะมีนัยสำคัญอะไร อย่างไรก็ตามภายหลังจากการควบรวมดังกล่าว ไทยออยล์จะถือหุ้นในบริษัทใหม่ทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นสัดส่วน 27.12%

นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำแผนธุรกิจระยะยาว(ปี 2555-2573) ซึ่งจะมีธุรกิจใหม่เพิ่มเข้ามา คือ ธุรกิจด้านพลังานทดแทน รวมทั้งมีแผนขยายกำลังการผลิตในธุรกิจโรงกลั่นและอะโรเมติกส์ด้วย ส่วนการลงทุนในช่วง 5 ปีนี้ ไทยออยล์ยังคงให้ความสำคัญกับการคุมต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการกลั่น เพื่อให้บริษัทมีความสามารถทางการแข่งขันสูงสุด

"หากภาครัฐเปิดประมูลไอพีพี เราก็พร้อมเดินหน้า แต่ต้องรอทางบริษัทใหม่ก่อน หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการควบรวมตามกฎหมายแล้ว ก็จะยื่นประมูลได้ทันที"นายวีรศักด์ กล่าว

ด้านนายพงษ์พันธุ์ อมรวิวัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายวางแผนพาณิชย์องค์กร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันทุกผลิตภัณฑ์ในประเทศปรับลดลง เนื่องจากเกิดปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ความต้องการใช้ลดลงโดยเฉพาะน้ำมันกลุ่มเบนซิน ส่วนน้ำมันดีเซลลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหากสถานการณ์น้ำท่วมผ่านไป ความต้องการใช้น้ำมันก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

สำหรับความต้องการใช้น้ำมันดิบในตลาดโลก คาดว่าจะทรงตัว เนื่องจากยังมีความกังวลการแก้ปัญหาหนี้ยุโรป รวมทั้งสถานการณ์ตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตามคาดว่าราคาน้ำมันในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ จะอ่อนตัวลง จากการเทขายของนักลงทุน จากสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบเบรนต์อยู่ในระดับ 110-118 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส 90-98 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล

ส่วนกรณีที่โรงกลั่นบางจากปิดซ่อมบำรุงตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้โรงกลั่นไทยออยล์มียอดขายน้ำมันเบนซิน ดีเซล และน้ำมันเครื่องบินเพิ่มขึ้น ปัจจุบันไทยออยล์ได้ลดปริมาณการส่งออกน้ำมันเหลือ 10% จากเดิมที่เคยส่งออกอยู่ที่ 20% ของกำลังการผลิตทั้งหมดที่ 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากต้องการป้อนความต้องการในประเทศให้เพียงพอก่อน ส่วนที่เหลือจะส่งออกไปยังประเทศสิงคโปร์

"ไทยออยล์จะช่วยในแง่ซัพพลายในประเทศมากกว่า ซึ่งลูกค้าที่เข้ามาซื้อ อาทิ ปตท. และบางจาก ส่วนการลดปริมาณส่งออกของไทยออยล์จะไม่ส่งผลกระทบต่อลูกค้าในต่างประเทศ เพราะเป็นน้ำมันส่วนเกินที่เหลือจากความต้องการใช้ในประเทศ ต้องมีการประมูล แต่เราก็มาเจรจากับลูกค้าในประเทศ เพื่อขายให้ลูกค้าในประเทศแทน"นายพงษ์พันธุ์ กล่าว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,775 16-19 กันยายน พ.ศ. 2555
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 524

โพสต์

IRPCมั่นใจปีนี้กำไร
Source - ข่าวหุ้น (Th), Monday, September 17, 2012


เร่งขายที่ดิน500ไร่

IRPC ลุยประมูลขายที่ดิน 500 ไร่ หวังบันทึกเข้ามาเป็นรายได้ แย้มมีผู้สนใจเพียบ! มั่นใจผลงานปีนี้มีกำไร รายได้แตะ 2.7 แสนล้านบาท โต 15% ปฏิเสธควบรวมกับ PTTGC แต่เปิดรับพันธมิตรหวังลดความผันผวนธุรกิจ

นายอธิคม เติบศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC กล่าวว่า บริษัทเปิดประมูลทยอยขายที่ดินในมือที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจหลัก ซึ่งมีอยู่ประมาณ 500 ไร่ เพื่อบันทึกเข้ามาเป็นรายได้ โดยที่ดินที่นำออกขายในปีนี้ จะเป็นที่ดินผืนใหญ่สุดมีจำนวน 100 ไร่ รวมสถานีบริการน้ำมัน ขณะนี้ได้ประกาศเปิดประมูลซื้อขายอยู่ 20 แห่ง จากทั้งหมดที่มีอยู่ 1.5 หมื่นไร่ ซึ่งมีผู้ที่สนใจจะเข้าซื้อจำนวนหลายราย

รวมทั้งชะลอแผนลงทุนสร้างอาคารสำนักงานใหญ่ใน จ.ระยอง ที่มีมูลค่าลงทุนหลายร้อยล้านบาทออกไปก่อน และมีนโยบายจะลดค่าใช้จ่ายในการบริหารไม่น้อยกว่า 10% เพื่อรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

ขณะที่บริษัทยังคาดว่าผลประกอบการปี 2555 จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ แม้ว่าครึ่งปีแรกจะมีผลขาดทุนถึง 3 พันล้านบาท เนื่องจากเชื่อว่าครึ่งปีหลังค่าการกลั่นรวม (GIM) รวมสต๊อกจะปรับตัวสูงขึ้นมาเป็น 7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากครึ่งปีแรกที่ติดลบ 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

โดยบริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ในปีนี้เติบโต 15% มาอยู่ที่ 2.76 แสนล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 2.4 แสนล้านบาท ภายใต้กำลังการกลั่นเฉลี่ย 1.75 แสนบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากในปีนี้บริษัทไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงเหมือนปีก่อน

นอกจากนี้ บริษัทพยายามลดสัดส่วนธุรกิจโรงกลั่น เพิ่มสัดส่วนธุรกิจเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษ ตามโครงการฟีนิกซ์ที่จะเพิ่มความสามารถในการทำกำไร โดยคาดว่าในปี 2558 จะมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจัดจำหน่าย (EBITDA) จะเติบโตมากกว่า 15% แม้ว่ารายได้เติบโต 5-10% เพราะบริษัทมีโอกาสต่อยอดธุรกิจได้อีกจากการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มแม้ว่าจะใช้เวลา ทั้งนี้ วางแผนในอีก 4 ปีข้างหน้า หรือในปี 2559 บริษัทจะเพิ่มสัดส่วนสินค้าเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษอีกเท่าตัวเป็น 60% จาก 30% เมื่อปีที่แล้ว โดยเพิ่มเป็น 35% ในปีนี้

ขณะที่กรณีที่สหรัฐฯออกมาตรการ QE3 เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยรอบนี้จะอัดฉีดเข้าผู้บริโภค และธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ยต่ำไปอีกนาน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับขึ้นไปสูงที่ 116-117 เหรียญต่อบาร์เรล แต่ก็ยังคาดว่าสิ้นปีนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ 104-105 เหรียญต่อบาร์เรล เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจยุโรปยังกดดันราคาน้ำมันอยู่ และเศรษฐกิจจีนและอินเดียมีอัตราเติบโตชะลอตัว

นายอธิคม กล่าวต่อว่า ปฏิเสธกระแสข่าวที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ระบุว่า บริษัทอาจเข้าควบรวมกิจการกับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมีคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC โดยยืนยันว่าไม่เคยมีการหารือเรื่องนี้ แต่ก็ยอมรับว่าบริษัทสนใจที่จะมีพันธมิตร เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนทางธุรกิจลง

"เราไม่เคยคุยเรื่องควบรวมกันเลย แต่เราอยากมีเพื่อนใหม่ไม่อย่างนั้นก็จะเหมือนไตรมาส 2 ที่ขาดทุน stock loss เพื่อนใหม่เราต้องเป็นความแข็งแกร่งธุรกิจที่ส่งเสริมกันได้ ที่มีมูลค่าผลตอบแทนเพียงพอที่ผู้ถือหุ้นจะอนุมัติให้เรามีได้ ตอนนี้ยังไม่มีเพื่อนใหม่ ยังไม่มีใครอยากถือหุ้นเรา" นายอธิคม กล่าว

ด้าน ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กล่าวว่า ยังไม่มีแผนที่จะให้ควบรวมระหว่าง IRPC กับ PTTGC เนื่องจาก IRPC สามารถดำเนินธุรกิจด้วยตัวเองได้ และสามารถทำให้ผลประกอบการเติบโตได้ในอนาคต

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 525

โพสต์

SUSCO ซื้อหุ้น"PETRONAS Retail"ในไทยขยายการขายน้ำมัน เสร็จสิ้นปี 55
นสพ.ทันหุ้น, 17 กันยายน 2555

บมจ.ซัสโก้ ผู้จัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น จะเข้า ซื้อหุ้นบริษัท PETRONAS Retail (Thailand) จำกัด และบริษัทย่อย เพื่อขยายการขาย น้ำมัน โดยคาดว่าจะสามารถซื้อและรับโอนหุ้นดังกล่าวได้ภายในปีนี้

SUSCO แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า เมื่อวัน 3 ก.ย.บริษัทได้เข้าประมูลซื้อหุ้น ทั้งหมดในบริษัท PETRONAS Retail (Thailand) จำกัด และบริษัทย่อย เพื่อขยาย การดำเนินธุรกิจการจัดจำหน่ายน้ามันเชื้อเพลิงของบริษัทให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ ในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง

ทั้งนี้ บริษัทได้รับแจ้งจากที่ปรึกษาทางการเงิน ของผู้จะขายหุ้นสามัญดังกล่าว ว่าบริษัทได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ซื้อหุ้นดังกล่าว (Preferred Bidder) และคาดหวัง ที่จะให้การซื้อและรับโอนหุ้นทั้งหมด ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2555

โดยคณะกรรมการบริษัท มีมติให้บริษัทเจรจากับผู้เสนอขาย เพื่อทำสัญญาซื้อขาย หุ้น (Shares Sale and Purchase Agreement) ที่กำหนดเงื่อนไขสาคัญเกี่ยวกับการ ซื้อขายหุ้นต่อไป

หุ้น SUSCO ปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ อยู่ที่ 2.28 บาท
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 526

โพสต์

ปิโตรนาสกลับมาเลย์ ขายปั๊มน้ำมันในไทยให้SUSCO
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Tuesday, September 18, 2012


ASTVผู้จัดการรายวัน - "ปิโตรนาส" ยักษ์ใหญ่ธุรกิจน้ำมันและก๊าซฯของมาเลเซีย ทิ้งธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในไทย หลังทำตลาดมา 8 ปี เตรียมเซ็นสัญญาขายหุ้นสามัญทั้งหมดให้ "ซัสโก้"ก่อนพฤศจิกายนนี้ ส่งผลให้ซัสโก้มีปั๊มเพิ่มขึ้นทันที100 ปั๊มในสิ้นปี "ชัยฤทธิ์" มั่นใจยอดขายปีหน้าทะลุ3 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่มียอดขาย 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท ยืนยันไม่ต้องเพิ่มทุนจดทะเบียน แต่จะใช้เงินสดในมือ และการกู้ยืมจากแบงก์

นายชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ซัสโก้ จำกัด(มหาชน) SUSCO เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯได้มีมติให้บริษัทฯทำสัญญาซื้อขายหุ้น (Shares Sale and Purchase Agreement)กับบริษัทปิโตรนาส รีเทล(ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทย่อย เพื่อขยายการดำเนินธุรกิจการจัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัทฯให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง

หลังจากบริษัทได้รับแจ้งจากที่ปรึกษาทางการเงินของผู้ขายหุ้นสามัญดังกล่าว โดยซัสโก้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ซื้อหุ้น และคาดหวังว่าจะดำเนินการซื้อหุ้นและรับโอนหุ้นทั้งหมดเสร็จสิ้นก่อนเดือนพฤศจิกายนนี้ ทำให้บริษัทฯมีปั๊มน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 100 ปั๊มในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งทำเลที่ตั้งสถานีบริการน้ำมันปิโตรนาสไม่ซ้ำซ้อนกับที่ตั้งปั๊มซัสโก้ในปัจจุบัน โดยพื้นที่ปั๊มปิโตรนาสนั้นมีทั้งเช่าและเป็นทรัพย์สินของบริษัทเองแตกต่างกับปั๊มน้ำมันเจ็ทที่เป็นพื้นที่เช่าทั้งหมด ปัจจุบันปั๊มซัสโก้มีทั้งหมด 144 ปั๊ม ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในภาคเหนือและใต้

จากขนาดธุรกิจปั๊มน้ำมันปิโตรนาสในไทยใกล้เคียงกับซัสโก้ ทำให้บริษัทฯมั่นใจว่าหลังจากเข้าซื้อกิจการดังกล่าวแล้ว จะทำให้ซัสโก้มีรายได้เติบโตขึ้นเท่าตัวจากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้รวม 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 3 หมื่นล้านบาทในปี 2556 ซึ่งเกินเป้าหมายเดิมที่บริษัทฯตั้งไว้ว่าจะมียอดขายแตะ 3 หมื่นล้านบาทใน 3 ปีข้างหน้า

สำหรับแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการซื้อกิจการในครั้งนี้ ส่วนหนึ่ง มาจากกระแสเงินสดในการดำเนินงานและการกู้ยืมสถาบันการเงินโดยบริษัทฯได้มีการเจรจากับธนาคารพาณิชย์ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทแต่อย่างใด และยังขอไม่เปิดเผยจำนวนเงินที่ใช้ซื้อกิจการในครั้งนี้

นายชัยฤทธิ์ กล่าวต่อไปว่า การตัดสินใจเข้าประมูลซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของปิโตรนาสรีเทล (ประเทศไทย)นั้น เนื่องจากเห็นว่าที่ตั้งปั๊มปิโตรนาสไม่ซ้ำซ้อนกับปั๊มซัสโก้แล้ว เมื่อรวมธุรกิจแล้วก่อให้เกิด Economy of Scale ทำให้ต้นทุนต่ำลง และขยายการเติบโตของธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าการซื้อธุรกิจในครั้งนี้จะทำให้อัตราหนี้สินของบริษัทฯขยับเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม แต่ก็เป็นระดับที่บริษัทฯรับได้

ภายหลังจากบริษัทฯเข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นปิโตรนาส รีเทล (ประเทศไทย)แล้วนั้นคงจะใช้แบรนด์ปิโตรนาสไประยะหนึ่งก่อนทยอยเปลี่ยนเป็นปั๊มซัสโก้ต่อไป ส่วนร้านสะดวกซื้อซูเรีย (Suria)ในปั๊มปิโตรนาสนั้นก็จะเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจทำธุรกิจมินิมาร์ทเข้ามายื่นข้อเสนอ โดยบริษัทฯไม่สนใจทำธุรกิจมินิมาร์ทแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามคงต้องมีการเจรจาเงื่อนไขรายละเอียดกับปิโตรนาสฯอีกทีที่ผ่านมา ซัสโก้ได้จับมือกับห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ทำมินิมาร์ทในปั๊มซัสโก้ 2 แห่ง

ทั้งนี้ ปิโตรนาส รีเทล (ประเทศไทย) ได้เข้ามารุกธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในประเทศไทยเมื่อปี 2548 หลังจากชนะประมูลซื้อกิจการปั๊มน้ำมันคิวเอท (Q8) ของ คูเวต ปิโตรเลียม(ประเทศไทย) ที่ได้ถอนการลงทุนออกไปเนื่องจากไม่สามารถแข่งขันทำตลาดค้าปลีกน้ำมันในช่วงนั้นได้ โดยได้เปลี่ยนชื่อสถานีบริการน้ำมันจาก Q8 เป็นปิโตรนาสแทน

การตัดสินใจถอนตัวของปิโตรนาสในไทยครั้งนี้ บ่งชี้ให้เห็นถึงสภาพการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในไทยที่รุนแรง และการแข่งขันไม่ได้ลอยตัวเสรีอย่างแท้จริง เนื่องจากราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปโดยเฉพาะดีเซลยังถูกดูแลโดยภาครัฐ เนื่องจากเกรงว่าหากปล่อยราคาตามตลาดโลกจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้ ทำให้ผู้ค้าน้ำมันต่างชาติไม่สามารถทนแบกรับราคาต่ำได้ ก็จะมีการขยับขึ้นราคาขายก่อนบริษัทน้ำมันของรัฐอย่างปตท.และบางจาก ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันต่างชาติลดน้อยถอยลงจนสุดท้ายต้องแบกรับภาระขาดทุน และถอนตัวไปในที่สุด

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 527

โพสต์

ดันไทยฮับ'พลาสติกชีวภาพ' ปตท.จับมือ'สหรัฐ-ญี่ปุ่น'ลงทุน 1.2 หมื่นล้าน
Source -กรุงเทพธุรกิจ (Th), Tuesday, September 18, 2012


"ไพรินทร์"วางยุทธศาสตร์เพิ่มยอดพลาสติกชีวภาพ 20% ของรายได้เม็ดพลาสติกรวมใน 5 ปี

ปตท. เดินหน้าโครงการผลิตพลาสติกชีวภาพ จับญี่ปุ่น-สหรัฐ ลงทุน 1.2 หมื่นล้านบาท ในปี 2558 หลังตลาดอียู-สหรัฐเข้มงวดสิ่งแวดล้อม คุณภาพพลาสติกต้องย่อยสลายได้ ขณะทิศทางอุตสาหกรรมโตปีละ 20-30% มั่นใจไทยฮับพลาสติกชีวภาพของโลก

ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ตามมาจากการสะสมของขยะพลาสติกที่ย่อยสลายยาก ทำให้เกิดการคิดค้นพลาสติกชีวภาพ (Bio Plastic) หรือพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้เองขึ้น โดยใช้วัตถุดิบทางการเกษตร เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง และ อ้อย

บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เล็งเห็นถึงทิศทางการเติบโตของตลาดพลาสติกชีวภาพ ที่ความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือเพิ่มขึ้นปีละ 20-30% ขณะที่พลาสติกทั่วไปมีความต้องการเพิ่มขึ้นเพียงละ 5-6% จึงมีแผนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการผลิตพลาสติกชีวภาพ โดยเดินหน้าลงทุนสร้างโรงงานเพื่อผลิตพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ 2 ชนิดทั้งพลาสติกประเภท Poly-butylene Succinate (PBS) และ Polylactic Acid (PLA) ให้แล้วเสร็จภายในปี 2558 ด้วยงบลงทุนถึง 12,000 ล้านบาท

นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจปิโตรเคมี และการกลั่น บริษัท ปตท. เปิดเผยว่า ปตท.มีแผนที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการผลิตพลาสติกชีวภาพ โดยได้ตั้งงบลงทุนโครงการอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2558 รวมวงเงิน 12,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โรงงานผลิตพลาสติกประเภท PBS ซึ่งใช้น้ำตาลเป็นวัตถุดิบ ต้นทางของบรรจุภัณฑ์ เส้นใยสำหรับการผลิตเครื่องนุ่งห่ม และพลาสติกวิศวกรรม กำลังการผลิต 20,000 ตันต่อปี ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย มาบตาพุด จังหวัดระยอง ใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท

"เนื่องจากประเทศไทยเป็นฐานในการส่งออกน้ำตาลรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก แต่ราคาในการส่งออกยังต่ำ หรืออยู่ที่ประมาณ 10 บาทต่อกิโลกรัม เท่านั้น ดังนั้นหากสามารถนำน้ำตาลส่วนหนึ่ง มาใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับประเทศ เพราะราคาอาจจะเพิ่มไปถึง 100 บาทต่อกิโลกรัม หรือสูงกว่าราคาส่งออกถึง 10 เท่า" นายสุกฤตย์ กล่าว

ร่วมทุนมิตซูบิชิเคมิคอลญี่ปุ่น

เขากล่าวต่อว่า โครงการผลิต PBS ดังกล่าว ปตท. ได้ร่วมมือกับ บริษัท มิตซูบิชิ เคมิคอล จำกัด (MCC) จัดตั้งบริษัทร่วมทุน พีทีที เอ็มซีซี ไบโอเคม (PTTMCC) ตั้งแต่ ปี 2554 ที่ผ่านมา และได้ศึกษาโอกาสในการตั้งโรงงานเพื่อผลิต PBS ในประเทศไทย ซึ่งพลาสติกชนิดนี้สามารถนำมาผลิตสินค้าได้หลากหลาย เช่น ถุงพลาสติกชีวภาพที่ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือพลาสติกชีวภาพเพื่อการเกษตร พลาสติกคลุมดินที่ย่อยสลายได้เอง

MCC ถือว่าเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ ในการผลิตพลาสติกชีวภาพชนิดนี้มาก่อน มีโรงงานขนาดกำลังการผลิต 3,000 ตันต่อปี ที่เมือง Yokaichi ประเทศญี่ปุ่น และเมื่อโรงงานในประเทศไทยสร้างเสร็จ MCC จะปิดโรงงานที่ญี่ปุ่นลง และนำเข้าพลาสติก PBS จากประเทศไทยแทน

สร้างโรงงานแห่งที่ 2 ผลิตพลาสติกพีแอลเอ

นอกจากนี้ยังมีโครงการลงทุนอีกประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 9,000 ล้านบาท เพื่อผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด PLA ขนาดกำลังการผลิต 1.4 แสนตันต่อปี ที่นิคมฯ เอเชีย มาบตาพุด จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตบรรจุภัณฑ์ ฟิล์มเคลือบถนอมอาหาร สิ่งทอ ซึ่งโครงการนี้เกิดขึ้นภายหลังจาก ปตท. เข้าไปถือหุ้นบริษัท เนเจอร์เวิร์ค จำกัด สหรัฐอเมริกา ผ่านบริษัท พีทีทีโกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งโรงงานของเนเจอร์เวิร์ค ที่สหรัฐอเมริกา มีกำลังการผลิต PLA ปริมาณ 1.4 แสนตันต่อปี ปัจจุบันเดินเครื่องผลิตอยู่ที่ 90,000 ตันต่อปี

อย่างไรก็ตาม ความต้องการพลาสติก PLA ที่เพิ่มขึ้นปีละ 20% ทำให้กำลังการผลิตของโรงงานที่สหรัฐ ไม่เพียงพอ ปตท.จึงมีโครงการสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ในประเทศไทย

PBS มีคุณสมบัติยืดหยุ่น ขณะที่ PLA มีความแข็งแรง ดังนั้นหากสามารถผลิตพลาสติกทั้งสองชนิดได้ จะทำให้มีวัตถุดิบพลาสติก ที่ทดแทนพลาสติกที่ผลิตจากสารตั้งต้นปิโตรเลียมเกือบทุกชนิด ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในโลกที่สามารถผลิตพลาสติกชีวภาพได้ทั้งสองชนิด ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งผลิตไบโอพลาสติกขนาดใหญ่ที่สุดของโลก นายสุกฤตย์ กล่าว

นายสุกฤตย์ กล่าวต่อว่า การสนับสนุนจากภาครัฐเป็นสิ่งที่สำคัญ สำหรับช่วงเริ่มต้นอุตสาหกรรมนี้ เนื่องจากต้นทุนในการจำหน่ายยังสูงกว่าพลาสติกทั่วไป โดยภาครัฐต้องมีมาตรการสนับสนุนที่ชัดเจน เนื่องจากในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย กำลังเชิญชวนนักลงทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งไบโอพลาสติกให้ตั้งโรงงานในประเทศ และพร้อมจะให้การรับรองราคาวัตถุดิบที่ถูกกว่าการราคาส่งออก รวมทั้งการสนับสนุนเชื้อเพลิงในโรงงานที่มีราคาถูก ปตท.อยู่ระหว่างหารือกับภาครัฐว่าจะให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้อย่างไร เพราะการสนับสนุนจากภาครัฐที่ชัดเจนจะช่วยรับประกันโครงการผลิตพลาสติกชีวภาพในประเทศไทยให้มีความแน่นอนมากยิ่งขึ้น

สัดส่วนพลาสติกชีวภาพ 20% ใน 5 ปี

ด้าน นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. กล่าวว่า พลาสติกชีวภาพจะเป็นหนึ่งในรายได้ที่สำคัญของ ปตท.ในอนาคต โดยพลาสติกชนิดนี้ถือว่าจัดอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกเกรดพิเศษ (Specialties Plastic) ที่มีมูลค่าสูง คาดว่าภายใน 4-5 ปี ยอดขายพลาสติกชีวภาพจะอยู่ที่ระดับ 10-20% ของรายได้จากการจำหน่ายเม็ดพลาสติกทั้งหมดของ ปตท.

แม้ว่าอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ จะเป็นเรื่องใหม่ของอุตสาหกรรมทั่วโลก แต่เติบโตสูงมากในอนาคต เนื่องจากขณะนี้ในยุโรปและอเมริกา มีข้อกำหนดออกมาแล้วว่า หากมีการใช้พลาสติกเป็นบรรจุภัณฑ์สินค้าบางประเภท ต้องสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ รวมทั้งมีการรณรงค์ให้ใช้พลาสติกที่ย่อยสลายได้มากขึ้นด้วย นายไพรินทร์ กล่าว

ชี้ความต้องการพุ่ง 1.7 ล้านตัน ปี 2558

เขากล่าวต่อว่า กระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทำให้ความต้องการใช้พลาสติกชีวภาพเติบโตขึ้นทุกปี โดยคาดว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากประมาณ 700,000 ตันต่อปี ในปัจจุบัน เป็น 1.7 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2558 หรือเฉลี่ยแล้วมีความต้องการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละกว่า 27% นอกจากนี้การผลิตพลาสติกเกรดพิเศษ ยังช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้าพลาสติก

อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพทั่วโลกมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น เนื่องจากอยู่ในช่วงเริ่มต้นของตลาด นอกจากนี้พลาสติกชีวภาพยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจเม็ดพลาสติก เพราะมีมูลค่าสูงถึง 2-3 พันดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่พลาสติกธรรมดามีมูลค่าประมาณ 1-1.5 พันดอลลาร์ต่อตัน ทำให้ ปตท.เล็งเห็นความสำคัญของธุรกิจพลาสติกชีวภาพนี้ และตัดสินใจเดินหน้าการลงทุนอย่างต่อเนื่อง นายไพรินทร์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกการทำตลาดพลาสติกกลุ่มนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เนื่องจากต้นทุนของพลาสติกชีวภาพยังสูงกว่าพลาสติกทั่วไป แต่ประโยชน์ของผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพสามารถนำไปใช้งานได้อย่างหลากหลาย จึงเชื่อว่าพลาสติกชนิดนี้ จะเป็นที่ต้องการมากขึ้นในอนาคต เช่น อุตสาหกรรมการแพทย์ กระดาษ ที่นำพลาสติกชีวภาพไปเคลือบกระดาษเพื่อให้ย่อยสลายได้ หรือนำไปเคลือบแก้วกระดาษ โดย ปตท. ได้นำไปใช้กับแก้วกาแฟของ Amazon นำร่องการใช้ในประเทศไทย

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 528

โพสต์

อนาคตพลังงานไทยที่น่าเป็นห่วง?
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th), Tuesday, September 18, 2012
โชติชัย สุวรรณาภรณ์
[email protected]
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.



ในวันนี้หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ทิศทางราคาน้ำมันในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ไป ผมจะขอวิเคราะห์ทิศทางสถานการณ์น้ำมันจากข้อมูลล่าสุดที่เรามีอยู่นะครับ ก่อนอื่นทรัพยากรปิโตรเลียมในโลกนั้นมีอยู่อย่างจำกัดจากปริมาณน้ำมันสำรองทั่วโลกที่มีอยู่ คาดว่าเราจะสามารถมีน้ำมันใช้ได้อีก 46 ปี ก๊าซธรรมชาติจะมีใช้ได้อีก 59 ปี ส่วนปริมาณถ่านหินจะมีสำรองใช้ได้อีก 118 ปี แน่นอนว่าภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นพื้นที่ที่มีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสำรองมากที่สุดในโลกกว่า 50% ในขณะที่ถ่านหินสำรองจะกระจายตัวอยู่ในหลายภูมิภาค ทั้งยุโรป สหรัฐและเอเชียสำหรับประเทศไทยเรายังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

ในปี 2554 ประเทศไทยต้องนำเข้าพลังงานขั้นต้นเป็นปริมาณ 1.15 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยกว่า 80% เป็นการนำเข้าเป็นน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ คิดเป็นมูลค่าการน้ำเข้าพลังงานสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาทในปี 2554 ซึ่งปริมาณการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติคิดเป็น 80% และ 22% ของการใช้ตามลำดับ

ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซฯ สูงเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค รองจากประเทศสิงคโปร์ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเช่น มาเลเซียอินโดนีเซีย บรูไน และพม่า เป็นประเทศผู้ส่งออกพลังงานเป็นหลัก นอกจากนี้การใช้พลังงานของประเทศไทยยังไม่มีประสิทธิภาพ โดยการบริโภคพลังงานของประเทศไทยสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของประเทศอื่นเมื่อเทียบกับรายได้และแนวโน้มประสิทธิภาพการใช้พลังงานยังไม่ดีขึ้น ราคาพลังงานที่ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การใช้พลังงานไม่มีประสิทธิภาพ

หลายท่านอาจเข้าใจว่า ประเทศไทยสามารถผลิตพลังงานได้ แต่แท้จริงแล้วจะเห็นว่า ในปีที่ผ่านมา (2554)เรามีศักยภาพในการผลิตน้ำมันดิบได้ประมาณ 1.54 แสนบาร์เรลต่อวัน แต่นำเข้าสู่กระบวนการผลิตน้ำมันในโรงกลั่นได้เพียง 1.15 แสนบาร์เรลต่อวันเท่านั้น ในขณะที่มีปริมาณการใช้ภายในประเทศสูงถึงกว่า 8 แสนบาร์เรลต่อวัน

นอกจากนี้ น้ำมันที่เราหาได้เองในประเทศนั้น ไม่สามารถนำมาใช้กับโรงกลั่นในบ้านเราได้ทั้งหมด เพราะน้ำมันบางแหล่งก็มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมกับกระบวนการผลิตและเทคโนโลยีของโรงกลั่นในเมืองไทย

ทุกวันนี้ประเทศไทยจึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางเฉลี่ยวันละ 6.16 แสนบาร์เรล มาเป็นวัตถุดิบในการกลั่น

สรุปก็คือ บ้านเราไม่ได้มีน้ำมันมากเพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ เราจึงต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศส่วนใหญ่ต่อไปเราควรต้องประหยัดการใช้น้ำมันเพื่อลดภาระการนำเข้าและสูญเสียเงินออกนอกประเทศ

ขณะนี้ไทยเป็นประเทศที่มีอัตราใช้พลังงานต่อประชากรในเกณฑ์สูง แม้ว่าข้อมูลจาก Energy Information Administration ของสหรัฐ จะระบุว่า ไทยสามารถผลิตก๊าซฯได้อันดับที่ 24 ของโลก (http://www.eia.gov/countries)

แต่ทราบหรือไม่ว่าเราสามารถผลิตก๊าซฯ ได้เพียง 1.1%ของการผลิตก๊าซฯ ทั่วโลกเท่านั้น ในขณะที่สหรัฐ รัสเซียผลิตได้ถึง 19.3% และ 18.4% เพียงแค่ 2 ประเทศ รวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของโลก

นอกจากนั้น จาก Website EIA เช่นกันที่บอกว่า ในขณะที่เราผลิตก๊าซฯ ได้เป็นอันดับที่ 24 ของโลก แต่เรามีปริมาณการใช้ก๊าซฯ ของไทยสูงเป็นอันดับ 20 ของโลก และเป็นผู้นำเข้าอันดับที่ 21 ของโลกเลยทีเดียว

พูดง่ายๆ ก็คือ เราใช้มากกว่าเราผลิตได้ เพราะอย่างนี้เราจึงต้องนำเข้าก๊าซฯ จากต่างประเทศถึงจะเพียงพอกับความต้องการใช้ของเรา

และข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่ง ก็คือเราต้องนำเข้าก๊าซฯจากพม่าตั้งแต่ปี 2541 และเพราะความต้องการใช้พลังงานของเราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงตอนนี้ก๊าซฯ จากประเทศเพื่อนบ้านก็ยังไม่พอ

ดังนั้น ในปี 2554 เราจึงต้องนำเข้าก๊าซฯ ในรูปของของเหลว หรือ LNG (Liquefied Natural Gas) ที่ต้องผ่านการควบแน่นให้เป็นของเหลวและขนส่งมาไกลจากตะวันออกกลาง ทำให้ก๊าซฯ มีราคาแพงนั่นเอง

หากเราไม่ทำอะไรเพื่อแก้ไขปัญหาเช่น การประหยัดการใช้พลังงาน การอนุรักษ์พลังงาน และการหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม อนาคตพลังงานไทยก็น่าเป็นห่วงจริงๆครับ.

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 529

โพสต์

ปตท.ลุ้นสหรัฐเสียบแทนมาเลย์ กระทุ้งรบ.ออกมาตรการหนุน
Source - มติชน (Th), Wednesday, September 19, 2012


นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจปิโตรเคมีและการ กลั่น บริษัท ปตท. จากัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าแผนการลงทุนพลาสติกชีวภาพครบวงจรแห่งแรกของโลกว่า ขณะนี้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล กาลังเจรจากับบริษัท เนเจอร์เวิร์ค จากัด ของสหรัฐ เพื่อสร้างโรงงานพลาสติกชีวภาพพีแอลเอแห่งที่ 2 โดย ปตท.เตรียมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย จ.ระยอง ไว้แล้ว วงเงินลงทุนประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้ เพราะคู่แข่งคือ ประเทศมาเลเซียเสนอให้บริษัท เนเจอร์เวิร์ค ร่วมลงทุนภายในประเทศด้วย แต่ต้องขึ้นอยู่กับสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนจากรัฐบาลไทยด้วย

ด้านนางหิรัญญา สุจินัย ที่ปรึกษาด้านการลงทุน สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ขณะนี้บีโอไอให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนของอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพสูงสุดแล้ว โดยเป็นไปตามกฎหมายส่งเสริมการลงทุน ดังนั้นต้องขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง ว่าจะออกมาตรการใด เพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมนี้หรือไม่

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 530

โพสต์

Coveเพิกถอนหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์AIM
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Thursday, September 20, 2012


ASTVผู้จัดการรายวัน - ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม เผยให้ Cove ยื่นขอต่อตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน เพื่อเพิกถอนหุ้น Cove ออกจากAlternative Investment Market (AIM) หลังซื้อขายหุ้น Cove และเก็บเข้าพอร์ตได้แล้วถึง98.88% ขณะครบกำหนดวันสุดท้ายการบังคับซื้อหุ้น 5 ต.ค. นี้

บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. แจ้งว่าตามที่บริษัท PTTEP Africa Investment Limited หรือ PTTEP AI (บริษัทย่อยของ ปตท.สผ.)ได้บรรลุเงื่อนไขตามคำเสนอซื้อหุ้นของบริษัท Cove Energy (Cove) ที่ครบถ้วนแล้วและเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2555 ปตท.สผ.ได้ให้บริษัท Cove ยื่นคำขอต่อตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (London Stock Exchange) เพื่อขอเพิกถอนหุ้นของบริษัท Cove ออกจากตลาดหลักทรัพย์Alternative Investment Market (AIM)

โดย ปตท.สผ. แจ้ง ว่า PTTEP AI ได้เริ่มกระบวนการบังคับซื้อหุ้นที่เหลืออยู่จากผู้ถือหุ้นของ Cove ที่ยังไม่ได้ตอบรับคำเสนอซื้อไปตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2555 และ ณ เวลาปิดทำการของวันที่ 17 กันยายน 2555 (ตามเวลาของประเทศอังกฤษ) PTTEP AI มีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 98.88 ของหุ้นในบริษัท Cove ซึ่งเว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น PTTEP AI จะมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 100 ในวันที่ 5 ตุลาคม2555 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการบังคับซื้อหุ้น

ทั้งนี้ ในวันที่ 18 กันยายน 2555 ตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ได้ประกาศยกเลิกการซื้อขายหุ้นของบริษัท Cove ในตลาดหลักทรัพย์AIM

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 531

โพสต์

ปตท.สผ.จ่อปรับใหม่แผนขายหุ้นเพิ่มทุน
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Thursday, September 20, 2012


ปตท.สผ.เล็งปรับแผนเพิ่มทุนใหม่ หลังโรดโชว์นักลงทุนทั่วโลกส่วนใหญ่ไม่เข้าใจรูปแบบการเพิ่มทุน จนเกิดความเข้าใจผิด มองการจัดสรรหุ้นไม่เป็นธรรม หวั่นกระทบภาพลักษณ์องค์กร พร้อมเรียกประชุมผู้ถือหุ้นทำความเข้าใจอีกรอบ ตลาดหุ้นลอนดอน หยุดซื้อขายหุ้นโคฟแล้ว

นายสุรพงษ์ เอี่ยมจุฬา รองกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานโครงการในประเทศ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ( PTTEP) เปิดเผยว่า การที่บริษัท พีทีทีอีพี แอฟริกา อินเวสเม้นท์ จำกัด ( PTTEP AI) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยได้บรรลุเงื่อนไขตาม คำเสนอซื้อหุ้นของบริษัทโคฟ เอ็นเนอร์ยี่ (Cove) ครบถ้วน พร้อมยื่นคำขอเพิกถอนหุ้นโคฟ ออกจากตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนแล้วนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนได้ประกาศยกเลิกการซื้อขายหุ้นโคฟในตลาดหลักทรัพย์แล้ว

ทั้งนี้ ทาง PTTEP AI ได้เริ่มกระบวนการบังคับซื้อหุ้นที่เหลืออยู่จากผู้ถือหุ้นโคฟ ที่ยัง ไม่ได้ตอบรับคำเสนอซื้อไปตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค.-17 ก.ย. 2555 ตามเวลาของประเทศอังกฤษ โดย PTTEP AI มีสัดส่วนการถือหุ้น 98.88% ของหุ้นในบริษัทโคฟ เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น และPTTEP AI จะมีสัดส่วนการถือหุ้น 100% ในวันที่ 5 ต.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการบังคับซื้อหุ้น

ด้านน.ส.เพ็ญจันทร์ จริเกษม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงินและบัญชีองค์กร บริษัท ปตท.สผ. กล่าวว่า หลังจากที่เพิกถอนหุ้นโคฟ ออกจากตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนแล้ว ปตท.สผ.จะมีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของโคฟในบริษัทย่อยต่างๆ และเข้าไปดูแลการบริหารและดำเนินงานของโคฟ ดูว่าแบบใดจะได้ประโยชน์สูงสุดมากกว่ากัน

เธอกล่าวต่อว่าเรื่องการเพิ่มทุนนั้น ขณะนี้ทีมผู้บริหารบริษัทปตท.สผ.อยู่ระหว่าง การเดินสายโรดโชว์ เพื่อชี้แจงข้อมูลเรื่องการเพิ่มทุนกับนักลงทุนต่างชาติ ทั้งเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ทั้งเรื่องรูปแบบ โครงสร้างการเพิ่มทุน และเป้าหมายที่องค์กรจะมุ่งไป เป็นเรื่องการทำความเข้าใจ เพราะไม่อยากให้นักลงทุนเกิดความเข้าใจผิดมองว่า การจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนไม่เป็นธรรม ซึ่งมีบางส่วนมองว่าบริษัท ปตท. (PTT) ได้สิทธิมากกว่าผู้ถือหุ้นรายอื่น

"หลังจากชี้แจงข้อมูลแล้ว นักลงทุนมีความเข้าใจดีขึ้น โดยหลังจากการโรดโชว์แล้ว บริษัทก็จะมีการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) เพื่อปรับ โครงสร้างการเพิ่มทุนให้มีความเข้าใจง่ายขึ้น เพราะไม่อยากให้เกิดความเข้าใจผิด และไม่อยากให้เสีย

ภาพลักษณ์ของบริษัท หลังจากนั้นก็จะเรียกประชุมผู้ถือหุ้น และเดินสายโรดโชว์ชี้แจงนักลงทุนอีกครั้ง ก่อนจะดำเนินการเพิ่มทุน โดยจะพยายามให้การเพิ่มทุนแล้วเสร็จในปีนี้" น.ส.เพ็ญจันทร์ กล่าว

นักวิเคราะห์ จากบล.เอเซียพลัส วิเคราะห์ว่า ในช่วง 1 เดือนข้างหน้านี้ ตลาดและนักลงทุนยังมีความกังวลในประเด็นการเพิ่มทุนของบริษัท ปตท.สผ.หลังจากคณะกรรมการบริษัทมีมติเลื่อนการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาประเด็นนี้ออกไป ทำให้ยังมีความคลุมเครือในเรื่องการเพิ่มทุนว่า หลังจาก ผู้บริหารมีการทบทวนแผนแล้ว ข้อสรุปจะออกมาในรูปแบบใด คือจะเหมือนเดิม หรือแตกต่างจากเดิม

ทั้งนี้แผนการเพิ่มทุนล่าช้ากว่าแผนเดิม
ในระยะสั้นจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (DE) ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 0.7 เท่า ซึ่งทาง ปตท.สผ. ได้มีการชี้แจงกับบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้คาดว่าจะยังไม่มีการทบทวนอันดับเครดิตในระยะนี้ เพราะหากพิจารณาหลังเพิ่มทุนแล้วอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 0.3-0.4 เท่า สำหรับประเด็นการกำหนดจำนวนหุ้นสุดท้ายที่เสนอขายนั้น บริษัทจะพิจารณาจากราคาเสนอขายสุดท้าย เพื่อให้ได้รับเงินจำนวน 9.8 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจำนวนหุ้นเพิ่มทุนอาจไม่ถึง 650 ล้านหุ้น โดยรวมฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำเพียงถือ โดยประเมินมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2555 (DCF) ที่ 167.51 บาทต่อหุ้น

หลังโรดโชว์นักลงทุนทั่วโลก ไม่เข้าใจรูปแบบเพิ่มทุนจนเกิดความเข้าใจผิด

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 532

โพสต์

วันที่/เวลา 20 ก.ย. 2555 20:06:12
หัวข้อข่าว การออกและเสนอขายหุ้นกู้ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
หลักทรัพย์ PTTGC
แหล่งข่าว PTTGC
รายละเอียดแบบเต็ม

ที่ 01- 608 /2555
19 กันยายน 2555
เรื่อง การออกและเสนอขายหุ้นกู้ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
เรียน กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ") ขอแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2555
บริษัทฯ ได้ดำเนินการออกและเสนอขายหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ
ให้กับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ จำนวน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ในอัตราดอกเบี้ยคงที่
ที่ร้อยละ 4.25 ต่อปี ซึ่งหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Standard and Poor's และ
Moody's ที่ระดับ BBB และ Baa2 ตามลำดับ
สำหรับเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปใช้เพื่อใช้ในการลงทุน และ/หรือ เพื่อ
Refinance เงินกู้เดิมของบริษัทฯ และบริษัทในกลุ่ม
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ


(นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ)
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร


หน่วยงานการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์
โทร. 02 265 8421, 02 265 8574, 02 140 8712-14
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 533

โพสต์

(เพิ่มเติม) VNT ทุ่มกว่า 1.1 หมื่นลบ.ขยายฐานผลิตไทย-จีนสร้างโอกาสทางธุรกิจเพิ่ม
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 20 กันยายน 2555 15:52:16 น.


นายโรเจอร์ เลสเตอร์ ประธานกรรมการ บมจ. วีนิไทย (VNT) เปิดเผยว่า ในปี 55 บริษัทได้ขยายฐานการผลิตเปิดบริษัทย่อยในประเทศไทยและจีน รวมมูลค่ากว่า 1.1 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับอุตสาหกรรมในเอเซีย โดยปีนี้ได้เปิดบริษัทย่อย ชื่อ บริษัท แอดวานซ์ ไบโอเคมิคอล (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อผลิตและจำหน่ายสาร Epichlorohydrin (ECH)

การขยายฐานการผลิตในประเทศจีน ใช้เงินลงทุน 7.2 พันล้านบาท กำลังผลิต 1 แสนตัน/ปี การก่อสร้างโรงงานจะแล้วเสร็จในครึ่งหลังปี 57 ส่วนการลงทุนในไทยภายใต้บริษัทย่อยดังกล่าว ใช้เงินลงทุน 4.5 พันล้านบาท มีกำลังผลิต 1 แสนตัน/ปี โดยปัจจุบันโรงงานในไทยมีการเดินเครื่องการผลิตแล้ว 50-60% และคาดว่าในปี 56 จะเดินเครื่องการผลิตได้ 100%

ด้านนาย บรูโน ฟาน เดอ วีเลน กรรมการผู้จัดการ VNT กล่าวว่า รายได้รวมของบริษัทในปีนี้จะเติบโต 10% จากปีก่อนที่บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 14,191 ล้านบาท เนื่องจากมีการขยายการลงทุนช่วยหนุนรายได้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทประเมินความต้องการพีวีซีในครึ่งหลังปี 55 ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ธุรกิจปิโตรเคมียังมีความต้องการอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม ส่วนปัญหาเศรษฐกิจยุโรปไม่ได้สร้างความกังวลต่อธุรกิจ เนื่องจากอุปสงค์และอุปทานยังดี และเมื่อเปิดตลาด AEC จะยิ่งเปิดโอกาสทางธุรกิจให้กับบริษัทมากขึ้น หลังการขยายการลงทุนด้วยการเปิดโรงงานใหม่ทั้งในจีนและไทย

--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/จารุวรรณ/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 534

โพสต์

ศาลสั่งจ่าย3หมื่นล้าน! บ้านปูแพ้คดีโครงการถ่านหินในลาวต่อกลุ่ม"ศิวะ งานทวี"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กันยายน 2555 20:11 น.
I12682179-0.jpg
ASTVผู้จัดการรายวัน - "บ้านปู"อ่วม! ศาลสั่งจ่ายชดเชยความเสียหาย ให้ " กลุ่มศิวะ งานทวี และพวก " กรณีข้อพิพาทโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินลิกไนต์ที่เมืองหงสา ลาว ด้วยเงิน 31,000 ล้านบาท ด้านทนายความเชื่อเรื่องไม่ยุติง่ายๆ เหตุเม็ดเงินต่ำกว่าประเมิน ด้านบ้านปูเตรียมยื่นอุธรณ์ กดราคาหุ้นร่วง 6 บาท

วันนี้(20ก.ย.) ศาลพิพากษากรณีคดีความระหว่าง บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU และนายศิวะ งานทวีและกลุ่มบริษัทของนายศิวะ ซึ่งได้ยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อ BANPU และบริษัทย่อยประกอบด้วย บริษัท บ้านปูอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัท บ้านปูเพาเวอร์ จำกัด นายชนินท์, นายชาญชัย ชีวะเกตุ และนายองอาจ เอื้ออภิญญกุล โดยเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 63,500 ล้านบาทและผู้บริหารของบริษัทฯ ซึ่งเป็นคดีความตั้งแต่ ปี 50 นั้น

โดยกล่าวอ้างว่า BANPU บริษัทย่อยและผู้บริหารทำการหลอกลวงโดยเข้าร่วมทำสัญญาร่วมทุนกับนายศิวะกับพวก ประกอบด้วย บริษัท ไทยลาวลิกไนท์ จำกัด บริษัท หงสาลิกไนท์ จำกัด บริษัท ไทยลาวเพาเวอร์ จำกัด และบริษัท เซ้าอีสท์ เอเซียเพาเวอร์ จำกัด เพื่อประสงค์จะได้ข้อมูลสัมปทานเหมืองถ่านหินรวมทั้งรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินลิกไนต์ที่เมืองหงสา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (โครงการหงสา ) หลังจากนั้นใช้สิทธิไม่สุจริตในการรายงานเท็จ ทำให้รัฐบาลลาวยกเลิกสัมปทานเหมืองถ่านหินและสัญญาก่อสร้าง และดำเนินกิจการโรงงานผลิตไฟฟ้าของนายศิวะกับพวกเพื่อที่ BANPU จะได้เข้าทำสัญญากับรัฐบาลลาวเอง

อย่างไรก็ดี วันนี้ ศาลได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 คือ BANPU ส่งคืนเอกสารข้อมูลจำเพาะต้นฉบับ 13 รายการ ให้แก่โจทย์ทั้ง 5 คือกลุ่มนายศิวะและพวก กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระค่าเสียหายอีก 4 พันล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวตั้งแต่วันฟ้อง(ฟ้องเมื่้อ 3 ก.ค.50 ) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทย์ทั้ง 5 และให้จำเลยที่ 1 และ 3 ร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์ในอนาคตอีกนับแต่ปี 58-ปี 70 ในอัตราปีละ 860 ล้านบาท และในอัตราปีละ 1,380 ล้านบาท นับแต่ปี 71 จนถึงปี 82 ซึ่งรวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้นจำนวน 31,000 ล้านบาท

โดยให้ชำระภายในวันสิ้นปีของแต่ละปี หากจำเลยที่ 1 และที่ 3 ผิดนัดไม่ชำระในแต่ละปี ให้เสียดอกเบี้ยในะหว่างระยะเวบลาที่ผิดนัดอีกร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นที่ผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้ง 5 โดยกำหนดค่าทนายความ 5 ล้านบาท ยกฟ้องของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนของโจทก์ที่ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่5 และที่ 6 และในส่วนของฟ้องแย้งเป็นพับ

นายธีระพันธ์ เพ็ชร์สุวรรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สำนักงาน ฟาร์อีสท์ (ประเทศไทย ) จำกัด ในฐานะทนายความ ของกลุ่มนายศิวะ เปิดเผยว่าผลการตัดสินดังกล่าวคงไม่ยุติเพียงเท่านี้ เพราะ BANPU เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นจึงเป็นสิ่งที่บริษัทจะต้องทำต่อไป ดังนั้น เป็นไปได้ที่ BANPU จะยื่นอุธรณ์ต่อศาลแน่นอน

" ส่วนเราก็จะยื่นอุธรณ์เช่นกัน เพราะมูลค่าความเสียหายที่ศาลพิพากษาออกมาคำนวณออกมาแล้วโจทก์จะได้เงินเพียง 31,000 ล้านบาท แต่เขายื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายไป 63,000 ล้านบาท ตัวเลขได้ไม่ถึงครึ่ง หากนำตัวเลขการจ่ายตามคำสั่งศาล มาคำนวณแล้วมันจะต่ำลง เพราะต้องมองถึงหลักการในอนาคตด้วย ซึ่งจะต้องใช้การคำนวณตามที่ต้องนำ NPV ( net present value ) ซึ่งเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ ซึ่งหากนำมาคำนวณในวันข้างหน้ามูลค่าก็อาจถูกลดทอนลงไปอีก คือคงไม่ได้ตามตัวเลขที่ศาลสั่ง ทั้งที่โจทก์ก็เสียหายจากการกู้ยืมเงินเพื่อมาลงทุน ณ ขณะนั้นเกือบ 8 พันล้านบาท ค่าเสียโอกาสและอื่น ๆ ผมว่ามันคงไม่จบง่าย ๆ หรอกครับ "

ขณะที่ BANPU แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเรื่องดังกล่าว บริษัทไม่เห็นด้วยต่อคำพิพากษาของศาลแพ่ง และจะใช้สิทธิในการอุธรณ์ต่อไป

สำหรับความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ.(บ้านปู) วันนี้(20ก.ย.) ปิดที่ระดับ 442.00 บาท ลดลง 6.00 บาท หรือ 1.34% มูลค่าการซื้อขาย 1,236.50 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า(19ก.ย.) ที่อยู่ในระดับ 448.00 บาท

ข้อมูลจากเว็บไซต์กรีนพีช เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระบุว่า โครงการเหมืองแร่หงสา มีทำการสำรวจมาตั้งแต่ปี พ.ศ 2539 และเริ่มเข้าก่อตั้งบริษัทในพื้นที่ปี พ.ศ. 2545 โครงการประกอบด้วยสองส่วน ส่วนแรก การทำเหมืองแร่เพื่อป้อนลิกไนต์ให้โรงไฟฟ้า ส่วนที่สอง โรงไฟฟ้าถ่านหิน รัฐบาลลาวได้เซ็นสัญญาสัมปทานสำหรับการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานกับบริษัทหงสาเพาเวอร์เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา เป็นมูลค่า 847 พันล้านกีบ

เหมืองแร่และโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสาตั้งอยู่ที่เมืองหงสา ของจังหวัดไชยบุรี ในประเทศลาว ห่างจากใจกลางเมืองหงสาประมาณ 10 กิโลเมตร และห่างจากชายแดนไทย ที่จังหวัดน่านเพียง 30 กิโลเมตรเท่านั้น และห่างจากเวียงจันทน์กว่า 300 กิโลเมตร ลักษณะของเหมืองเป็นเหมืองเปิดคล้ายกับเหมืองแม่เมาะ จ.ลำปาง มีพื้นที่เหมืองประมาณ 76.2 ตารางกิโลเมตร พื้นที่เหมืองมีลักษณะเป็นป่า มีชุมชนที่จะต้องโยกย้าย จำนวน 6 หมู่บ้าน จำนวน 400 หลังคาเรือน ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ

การทำเหมืองถ่านลิกไนต์ มีผู้ถือหุ้นคือ ลาวโฮลดิ้งสเตสเอนเตอร์ไพส (LHSE) ถือหุ้น 25% ในกิจการเหมืองลิกไนต์ และบริษัท บ้านปูเพาเวอร์ จำกัด (BPP) ถือหุ้น 37.5% ส่วนที่เหลือเป็นของบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) คือ ถือหุ้น 37.5% ส่วนที่สอง โรงไฟฟ้าลิตกระแสไฟฟ้า ลาวโฮลดิ้งสเตสเอนเตอร์ไพส (LHSE) ถือหุ้น 20% และบริษัทบ้านปูเพาเวอร์ จำกัด (BPP) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) ถือหุ้น 40% มีการลงนามข้อตกลงกับบริษัท การก่อสร้างโรงไฟฟ้า 302 พันล้านกีบ (3.7 พันล้านดอลลาร์) มีกำหนดที่จะเริ่มต้นภายในสิ้นปีพ.ศ. 2553

โรงไฟฟ้าหงสาจะเป็นโรงไฟฟ้าลิกไนต์แห่งแรกที่ใหญ่ที่สุดในลาว มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,878 เมกะวัตต์ ครอบคลุมพื้นที่ 60 ตารางกิโลเมตร ตามข้อตกลงในเดือนธันวาคมพ.ศ. 2550 ระหว่างรัฐบาลลาวและไทย ลาวจะเริ่มส่งจ่ายกระแสไฟฟ้า 7,000 เมกะวัตต์ ให้ประเทศไทยภายในปีพ.ศ. 2553 สำหรับโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสานั้นมีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าให้ประเทศไทย โดยบริษัทหงสาเพาเวอร์ จำกัด (HPC) ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยในเดือนเมษายนพ.ศ. 2553 จำนวน 1,473 เมกะวัตต์ต่อปี เป็นเวลา 25 ปี ทันทีที่โรงไฟฟ้าสามารถเดินเครื่องในปีพ.ศ. 2558 กำลังการผลิตที่เหลือระหว่าง 100-170 เมกะวัตต์ จะถูกจ่ายให้กับการไฟฟ้าลาว Electricite du Laos (EDL) เพื่อใช้ภายในประเทศ กับส่วนที่เหลือจะถูกใช้ในโครงการการทำเหมืองถ่านหิน และการดำเนินงานผลิตไฟฟ้า

โรงไฟฟ้าหงสาถูกบรรจุไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2553-2573 จะเริ่มจ่ายไฟจากโรงไฟฟ้าเครื่องที่ 1-2 จำนวน 982 เมกะวัตต์ ภายในเดือนพฤษภาคม 2558 และโรงไฟฟ้าเครื่องที่ 3 จะจ่ายไฟฟ้า 491 เมกะวัตต์ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2559
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 535

โพสต์

นายกฯจีบเยอรมันลงทุนแปรรูปยางพาราโปรยยาหอมจัดหา 800 ขบวนรถไฟฟ้า [ ไทยรัฐ, 21 ก.ย. 55 ]

นายฟิลิปป์ เริสเลอร์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงเศรษฐกิจและเทคโนโลยี สหพันธ์
สาธารณรัฐเยอรมนี เข้าเยี่ยมคารวะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยยืนยันที่จะเสริมสร้าง
ความสัมพันธ์กับไทยและอาเซียนให้แข็งแกร่ง ขณะที่ไทยพร้อมที่จะเป็นหุ้นส่วนและศูนย์กลางโลจิสติกส์ใน
ภูมิภาคนี้ ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ
ร่วมด้านเศรษฐกิจไทย-เยอรมนี ได้หารือถึงความร่วมมือด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนและลงนามบันทึก
ความเข้าใจร่วม ว่าด้วยยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างประเทศในสาขาจัดการภัยพิบัติระหว่างกัน ขณะที่
นายกฯ พร้อมสนับสนุนให้เยอรมันเข้ามาพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางพาราของไทยให้มีคุณภาพมากขึ้นเพราะเยอรมัน
เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแปรรูป เช่น สายพานลำเลียงที่ผลิตจากยางพารา
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 536

โพสต์

TH จะเข้าลงทุนใน"อีสเทอร์น รีนิวเอเบิ้ล เอ็นเนอยี่"มูลค่า 28.60 ลบ. [ ทันหุ้น, 21 กันยายน 2555 ]


บมจ.ตงฮั้ว คอมมูนิเคชั่นส์(TH) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2555 มีมติอนุมัติให้บริษัท เข้าลงทุนในบริษัท อีสเทอร์น รีนิวเอเบิ้ล เอ็นเนอยี่ จำกัด ภายในเดือนตุลาคม 2555 ภายหลังจากการตรวจสอบทางกฎหมายและบัญชีของบริษัท (Legal and Accounting Due Diligence) เสร็จสิ้น

ทั้งนี้ TH เข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท อีสเทอร์น รีนิวเอเบิ้ล เอ็นเนอยี่ จำกัด จำนวนรวม 2,860,000 หุ้น หรือเท่ากับร้อยละ 57.20 ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดในราคาหุ้นละ 10.00 บาท คิดเป็นมูลค่าของรายการรวมไม่เกิน 28.60 ล้านบาท โดยจะซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5 ราย คือ และบริษัทฯ จะได้ว่าจ้างบริษัท อินเตอร์ไทยลอว์ จำกัด เข้าตรวจสอบเอกสารทางกฎหมายและบัญชีของ ERE ในงบการเงินของ ERE เป็นกรณีพิเศษ ก่อนการเข้าทำรายการ

สำหรับ บริษัท อีสเทอร์น รีนิวเอเบิ้ล เอ็นเนอยี่ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 50,000,000 บาท แบ่งเป็น 5,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 100 บาท โดยจะเข้าซื้อหุ้น 57.20%ลักษณะการดำเนินธุรกิจ ประกอบธุรกิจรับกำจัดขยะให้กับเทศบาลและอบต.ในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อการกระจายการลงทุนไปยังอุตสาหกรรมอื่นที่มีอนาคตที่ดี มีผลตอบแทนที่เหมาะสม และมีโอกาสในการขยายงานหรือพัฒนาการทางธุรกิจต่อไปได้

พร้อมกันนั้น ที่ประชุมฯ ยังอนุมัติให้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อย เพื่อรับโอนทรัพย์สินและดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ คือ บริษัท หนังสือพิมพ์ตงฮั้ว จำกัด โครงสร้างทุน ทุนจดทะเบียน 50,000,000บาท เป็นหุ้นสามัญ 5,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 10 บาท และเรียกชำระ 25,000,000 บาท

ที่ประชุมฯ ยังมีมติอนุมัติมอบอำนาจให้กรรมการผู้อำนวยการ ดำเนินการจัดสรรและกำหนดตัวบุคคลที่เหมาะสม ในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 250,000,000 หุ้น กำหนดราคาเสนอขายหุ้นละ 1.00 บาทให้แก่บุคคลในวงจำกัด และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนที่มีลักษณะเฉพาะ (Private Placement)โดยให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนด
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
ภาพประจำตัวสมาชิก
CHiNU_Vi
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 631
ผู้ติดตาม: 1

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 537

โพสต์

Tax Credit in Doubt, Wind Power Industry Is Withering

http://www.nytimes.com/2012/09/21/busin ... f=business

Excerpts
..........
Similar cuts are happening throughout the American wind sector, which includes hundreds of manufacturers, from multinationals that make giant windmills to smaller local manufacturers that supply specialty steel or bolts. In recent months, companies have announced almost 1,700 layoffs.
At its peak in 2008 and 2009, the industry employed about 85,000 people, according to the American Wind Energy Association, the industry’s principal trade group. About 10,000 of those jobs have disappeared since, according to the association, as wind companies have been buffeted by weak demand for electricity, stiff competition from cheap natural gas and cheaper options from Asian competitors.........

On Tuesday, Siemens, the German-based turbine-maker, announced it would lay off 945 workers in Kansas, Iowa and Florida, including part-timers. Last week Katana Summit, a tower manufacturer, said it would shut down operations in Nebraska and Washington if it could not find a buyer. Vestas, the world’s largest turbine manufacturer, with operations in Colorado and Texas, recently laid off 1,400 workers globally on top of 2,300 layoffs announced earlier this year. Clipper Windpower, with manufacturing in Iowa, is reducing its staff by a third, to 376 from 550. DMI Industries, another tower producer, is planning to lay off 167 workers in Tulsa by November.
Always Smiling :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
CHiNU_Vi
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 631
ผู้ติดตาม: 1

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 538

โพสต์

http://online.wsj.com/article/SB1000087 ... _US_News_6

The U.S. has long been seen as an energy hog. Thanks to hydraulic fracturing and deep water technology, it is now pumping more oil than it has in more than a decade, and its growing status as a crude producer is taking the world by storm.
We expect to see tight-oil production [oil extracted from dense rock formations] grow dramatically over the rest of this decade. If you take what’s happening in the U.S. and what’s happening in Brazil and Canada, we’re going to see a rebalancing of global oil flows. By the end of this decade, the Western Hemisphere may be importing very little oil from the Eastern Hemisphere.

The main thing here is the new ability to use in oil fields technologies that were developed for shale gas. It’s technology and entrepreneurship, initiative, people having different ideas and acting on them.

The proof is in the numbers. Shale gas (2% of U.S. gas production at the start of the century) is now almost 40% of U.S. gas production. And using this technology in new areas and established oil fields has really revitalized U.S. oil production.
Always Smiling :)
nongnoykung
Verified User
โพสต์: 400
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 539

โพสต์

ปตท.ลั่นปลายปีนี้เลือกบ.ในเครือฯผลิตวัตถุดิบ-ร่วมทุนตั้งโรง.คาโปรฯ2

ปตท.เตรียมสรุปเลือกบริษัทในเครือฯ”IRPC-PTTGC” ผลิตวัตถุดิบป้อน โรงงานผลิตคาโปรแลคตัมแห่งที่ 2 ในปลายปีนี้ โดยสนใจให้บริษัทลูกเข้าร่วมทุนกับกลุ่มอูเบะตั้งโรงผลิตคาโปรแลคตัม 2 ขนาดกำลังผลิต 1.5 แสนตันต่อปี แย้มต้นปีหน้า ปตท.ตัดขายหุ้นพีทีที ฟีนอลที่ถืออยู่ 40%ให้PTTGC

แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้ปตท.อยู่ระหว่างการพิจารณาเลือกบริษัทในเครือฯเพื่อผลิตวัตถุดิบป้อนโรงงานผลิตคาโปรแลคตัมแห่งที่ 2 ของกลุ่มอูเบะ ประเทศญี่ปุ่น โดยปตท.คาดหวังว่าจะให้บริษัทในเครือเข้าร่วมทุนในโรงงานผลิตคาโปรแลคตัมแห่งที่ 2 นี้ด้วย โดยการเลือกบริษัทในเครือฯเข้าร่วมทุนจะเน้นให้เกิด Synergyประโยชน์สูงสุด ยอมรับว่าทั้งบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC)และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTGC)ต่างก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ซึ่งทั้ง 2 บริษัทสามารถผลิตวัตถุดิบป้อนโรงงานคาโปรแลคตัมได้ โดยปตท.คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้

โดยบริษัท ไออาร์พีซีอยู่ระหว่างการตั้งโรงงานผลิตโพรพิลีนขนาด 3 แสนตันต่อปี เงินลงทุน 2.7 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2558 โดยมีโพรพิลีนเหลือเพียงพอที่จะใช้ผสมกับสารเบนซีนและฟีนอลในการผลิตวัตถุดิบป้อนคาโปแลคตัมโรง 2 ได้ ขณะเดียวกัน พีทีที โกลบอล เคมิคอล ก็ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท พีทีที ฟีนอล ซึ่งผลิตวัตถุดิบให้กับคาโปรแลคตัมได้เช่นกัน แต่หากพิจารณาทำเลที่ตั้งแล้วไออาร์พีซีมีความได้เปรียบ เนื่องจากโรงคาโปแลคตัม 2 จะอยู่ในนิคมฯไออาร์พีซี จ.ระยอง ที่มีความพร้อมทั้งโรงไฟฟ้า ไอน้ำ ท่าเทียบเรือและถังเก็บสารเคมี ทำให้ประหยัดด้านลอจิสติกส์

แหล่งข่าว กล่าวต่อไปว่า รูปแบบการร่วมทุนกับกลุ่มอูเบะนั้น อาจจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ที่กลุ่มอูเบะถือหุ้นร่วมกับบริษัทในเครือปตท.เพื่อทำโรงงานผลิตคาโปแลคตัมแห่งที่ 2 โดยปตท.อาจจะเลือกเพียงบริษัทเดียวหรือให้บริษัทในเครือฯทั้ง 2 บริษัทร่วมทุนก็ได้ อย่างไรก็ตาม คงต้องเจรจากับกลุ่มอูเบะก่อน

นอกจากนี้ ปตท.ยังมีแผนที่จะให้พีทีที โกลบอลฯซื้อกิจการพีทีที ฟีนอลในสัดส่วนที่ปตท.ถือหุ้นอยู่ 40 % เนื่องจากพีทีที โกลบอลฯถือหุ้นในพีทีที ฟีนอลอยู่แล้ว 60% ซึ่งเป็นนโยบายของปตท.มาตั้งแต่ต้นในการควบรวมกิจการระหว่าง บมจ.ปตท.เคมิคอล กับบมจ. ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น ซึ่งเดิมทั้ง 2 บริษัทนี้ได้ถือหุ้นในพีทีที ฟีนอล ฝ่ายละ 30% ซึ่งภายหลังควบรวมกิจการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่เป็นบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล จึงถือหุ้นในพีทีที ฟีนอลถึง 60%

อย่างไรก็ตาม คาดว่าปตท.จะดำเนินการขายหุ้นพีทีที ฟีนอลให้กับบมจ.พีทีที โกลบอลฯได้ภายในต้นปี 2556 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณามูลค่าหุ้นที่จะขาย

นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การซื้อหุ้นพีทีที ฟีนอลจากปตท.อยู่ระหว่างการศึกษาพิจารณา ยังไม่เร่งรีบ โดยวงเงินที่ใช้ในการซื้อหุ้นนั้นยังไม่ได้สรุป และไม่ถูกรวมอยู่ในงบการลงทุน 3ปีของบริษัทฯ วงเงิน 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐแต่อย่างใด ภายหลังจากซื้อหุ้นพีทีที ฟีนอลจะทำให้บริษัทฯมีผลประกอบการสูงขึ้นอีก

นายอธิคม เติบศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาต้นทุนการผลิตวัตถุดิบป้อนโรงคาโปรแลคตัมแห่งที่ 2 ว่ามีความเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทางปตท.จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าบริษัทลูกรายใดมีศักยภาพในเรื่องนี้บ้าง

โดยโรงคาโปรแลคตั้ม 2 จะมีกำลังการผลิตประมาณ 150,000 ตันต่อปี และมีผลิตภัณฑ์พลอยได้เป็นแอมโมเนียมซัลเฟต กำลังการผลิตประมาณ 6 แสนตันต่อปี ใช้เงินลงทุน ประมาณ 600-700 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2559 จากโรงคาโปแลคตัมแห่งแรก มีกำลังการผลิต 130,000 ตันต่อปี แอมโมเนียมซัลเฟต 540,000 ตันต่อปี ไนล่อน-6 กำลังการผลิต 75,000 ตันต่อปี และไนล่อนคอมพาวด์ 11,000 ตันต่อปี
//////////////////////
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... um=twitter
VI ค่อยๆไป โปรดท่องให้ขึ้นใจ
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 5

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 540

โพสต์

PTT opens second charging station
Source - Bangkok Post (Eng), Friday, September 21, 2012


Thailand’s second pilot electric vehicle charging station opened yesterday in Ayutthaya’s Wang Noi district as part of PTT’s project on development of EVs as an eco-friendly alternative in order to reduce global warming and air pollution.

The facilities located at the PTT Research and Technology Institute were installed in March with initial commissioning for a certain period.

Mitsubishi Motors (Thailand) and PTT signed a memorandum of understanding to evaluate the efficiency of the Mitsubishi Innovative Electric vehicle (MiEV) model from 2011-12.

General Motors Thailand also provided PTT with a Chevrolet Volt extended-range EV model.

Five more EV charging stations will open by next year _ two in Bangkok, at the PTT headquarters service station and the PTT service station near the First Infantry Regiment on Vibhavadi Rangsit Road; one on Chaiyaphruk Road in Nonthaburi province; and the last two between Bangkok and Rayong.

A station can serve three EVs at a time with three kinds of chargers _ a DC quick charger in 30 minutes, an AC normal charger in three hours and a normal charger in eight hours.

Thailand’s first EV station debuted early last month at the Metropolitan Electricity Authority (MEA) headquarters on Phloenchit Road, a move aimed mainly at raising awareness public awareness.

Mitsubishi signed an agreement with the MEA last September to start joint field tests of the MiEV.

The Japanese carmaker launched the MiEV in Japan in March 2009 after two decades of research and development.

About 5,000 prototype units are running in Japan, while 10,000 have been shipped to the US and Europe.

Under that agreement, Mitsubishi will start researching acceptability, marketability and availability of charging infrastructure.

The MEA itself said it plans to develop quick-charge stations that will offer 360-volt charges allowing an EV to travel 100-140 kilometres fully charged.

It wants to develop another 20 EV charging stations over the next two years for its internal use and public showcasing and nine charging stations next year at its service areas in Bangkok, Nonthaburi and Samut Prakan.

The charging services are available for free public use until next July even though no one outside of the MEA is allowed to own an EV.
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."