โพสต์ยอดนิยม
รับจองมีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 3/2568
-
A613738
Re: AU
โพสต์ที่ 2
เหมือนที่เซเว่นหลายสาขาชาสูตร Original จะหายไปแล้วครับ ไม่รู้ว่าของขาดหรือขายไม่ค่อยดีRed_Duck เขียน: ↑พฤหัสฯ. พ.ย. 06, 2025 12:05 pmแค่ shelf position ก็แพ้เจ้าอื่นแล้วครับ ตะกี้ผมกวาดตามองสักพักเลยกว่าจะเจอว่าอยู่ตรงไหน มันเนียนพอสมควร แต่อาจจะเพราะยอดขายยังไม่เยอะเลยทำให้ยังไม่ได้ตำแหน่งวางในระดับสายตาก็ได้ครับ
-
Thai VI Article
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2050
- ผู้ติดตาม: 465
ตลาดหุ้นโลกถูกครอบงำโดยหุ้นยักษ์ 10 ตัว/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ตลาดหุ้นอเมริกาโดยเฉพาะ NASDAQ มีการปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่โดดเด่นและเห็นได้ชัดกว่าก็คือ หุ้นเทคโนโลยีโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI ที่เป็นผู้นำและมีขนาดใหญ่จำนวนประมาณ 7-10 ตัวที่นักลงทุนเรียกว่า “หุ้น 7 นางฟ้า” มีการปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าดัชนีและหุ้นอื่น ๆ มาก
การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยาวนานโดยที่มีช่วงปรับตัวลงน้อยกว่ามากนั้น ทำให้หุ้นดังกล่าวมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับหุ้นอื่น จนถึงนาทีนี้เราคงต้องเรียกว่าเป็น “หุ้นยักษ์” ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นสูงมาก หุ้นตัวใหญ่ที่สุดคือ NVIDIA นั้นมีมูลค่าถึงกว่า 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับ 162.5 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 10 เท่าของ Market Cap. ของมูลค่าหุ้นทั้งหมด 7-800 ตัวของตลาดหุ้นไทย
และถ้าเปรียบบริษัทเหมือนกับประเทศ ๆ หนึ่งในโลกที่ผลิตสินค้าและบริการให้กับโลก หุ้น NVIDIA ก็ใหญ่ขนาดที่เรียกว่าใหญ่กว่าทุกประเทศในโลกยกเว้นสหรัฐและจีนในแง่ของ GDP พูดง่าย ๆ Market Cap. ของเอนวิเดียใหญ่กว่า GDP ของประเทศเยอรมันที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลกที่ประมาณ 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเช่นเดียวกัน
“หุ้นยักษ์” ที่เป็นหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวในดัชนี S&P 500 ที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคทางด้าน AI กลุ่ม 7 นางฟ้าซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นเอนวิเดีย หุ้นแอปเปิล ไมโครซอฟท์ กูเกิล อะมาซอน บรอดคอม เมตา เทสลา เบิร์กไชร์ และเจพีมอร์แกน มี Market Cap. รวมกันประมาณ 25.7 ล้านล้านเหรียญนับที่วันสิ้นเดือนตุลาคม 2025 เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของหุ้นในดัชนี S&P ที่61 ล้านล้านเหรียญ ก็เท่ากับว่าหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวรวมกันมีมูลค่าเท่ากับ 42.2% ของหุ้นทั้งตลาด และหุ้น เอนวิเดียที่เป็นหุ้นตัวใหญ่ที่สุดเพียงตัวเดียวก็มีมูลค่าประมาณ 8.2% ในดัชนี S&P 500 แล้ว
พูดอย่างหยาบ ๆ ก็คือ หุ้นตัวใหญ่ที่สุดในตลาด 10 ตัวนั้น ได้ “Dominate” หรือ “ครอบงำ” ตลาด S&P500 ซึ่งเป็นตัวแทนประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว คือหุ้นอเมริกาจะขึ้นหรือลงก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มหุ้น 10 ตัวนี้ เป็นหลัก ตลาดหุ้นจะบูมหนักหรือเกิดวิกฤติในอนาคต ก็ขึ้นอยู่กับ “หุ้นนางฟ้า” เหล่านี้ และประเทศสหรัฐจะแพ้หรือชนะจีนในการต่อสู้แข่งขัน ก็ขึ้นอยู่กับผลงานของหุ้นกลุ่มนี้
นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญต่างก็เชื่อกันว่า อนาคตของสหรัฐก็คือ การเติบโตของสินค้าบริการที่นำโดย AI ที่แทบจะ “กินรวบ” กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด เพราะถ้ามองจากสัดส่วนของ Market Cap. ที่สูงถึง 42.2% นั้นก็อาจจะแปลว่า ในอนาคต คนก็จะใช้หรือทำอะไรเกี่ยวกับ AI มากมายในชีวิตประจำวัน รายจ่ายต่าง ๆ ที่จ่ายไปก็อาจจะจ่ายให้กับ AI เกือบครึ่งหนึ่งของรายจ่ายทั้งหมด โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
แต่หลายคนก็อาจจะคิดว่า จริงหรือ? จำนวนไม่น้อยก็อาจจะคิดว่า “คิดเวอร์กันไปเอง” โลกยังไปไม่ถึงจุดนั้น จริงอยู่ AI นั้นมีความสำคัญสุดยอด การปฎิวัติ AI กำลังเกิดขึ้นก็จริง แต่มันคงต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าที่มันจะมาทำงานแทนคนมากเสียจนคนเริ่มไร้ความหมายและตกงานกันไปหมด สิ่งที่เกิดขึ้นจริงตอนนี้กับหุ้นก็คือ การเก็งกำไรอย่างบ้าคลั่งที่ดันให้ราคาหุ้นขึ้นไปแบบหลุดโลกและไม่ช้าหุ้นก็อาจจะปรับตัวลงอย่างแรงจนอาจจะเกิดหายนะได้
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ดูเหมือนคนจะคิดกันว่า ตลาดหุ้นอเมริกากำลัง “กระจุกตัว” มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ อานิสงค์จากการที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี AI ขนาดใหญ่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบจะ “กลืนกิน” ธุรกิจรุ่นเก่าที่แทบจะไม่โตอีกต่อไปแล้ว
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ตลาดหุ้นอื่น ๆ ในโลกก็คงไม่เหมือนอเมริกา เพราะประเทศอื่นส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้มีหุ้นเทค AI ที่ยิ่งใหญ่เท่า ไม่ต้องพูดถึงตลาดหุ้นไทยที่เราเป็น “เศรษฐกิจเก่า” ดังนั้น หุ้นไทยก็คง “ไม่กระจุกตัว” และหุ้นตัวใหญ่ที่สุดก็คงไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับตลาด จริงไหม? ลองมาดูกัน
ตลาดหุ้นไทย ณ.ประมาณสิ้นเดือนตุลาคม 2568 มี Market Cap. ประมาณ 16.8 ล้านล้านบาท หุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวมีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 7.8 ล้านล้านบาท คิดแล้วเท่ากับ 46.3% ซึ่งสูงกว่าตลาด S&P 500 ที่อยู่ที่ 42.2% น่าตกใจใช่ไหมครับ และหุ้นใหญ่ที่สุดตัวเดียวคือหุ้นเดลต้ามี Market Cap. 2.73 ล้านล้านบาทหรือเท่ากับ 16.2% เทียบกับหุ้นเอนวิเดียที่ 8.2% งงไหมครับ? ที่ตลาดหุ้นไทยนั้น หุ้นยักษ์ 10 ตัวก็ครอบงำตลาดหุ้นไทย และครอบงำมากกว่าตลาดหุ้นอเมริกาด้วยซ้ำ
ลองมาดูตลาดหุ้นเวียตนามที่คนไทยไปลงทุนกันมาก “อัตราการครอบงำ” ของหุ้นยักษ์ Top 10 ของเวียตนามก็คือ หุ้นยักษ์ 10 ตัว มีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 4 ล้านล้านบาท ในขณะที่ตลาดมี Market Cap. รวมประมาณ 9.33 ล้านล้านบาท คิดแล้วเท่ากับ 42.6% หุ้นที่ใหญ่ที่สุดคือหุ้น VIC หรือวินกรุ๊ปมีมูลค่าประมาณ 9.5 แสนล้านบาท คิดเป็น 10.2% ของตลาดทั้งหมด นี่ก็กระจุกตัวสูงกว่า S&P 500 เช่นเดียวกันแม้จะน้อยกว่าตลาดหุ้นไทย
มาดูตลาดหุ้นเกาหลีที่ก็มีหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่จำนวนมากแม้ว่าจะไม่ใช่ AI มากนักยกเว้นหุ้นซัมซุง หุ้น Top 10 จำนวน 10 ตัว มี Market Cap. รวมกันเท่ากับ 1.05 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่มูลค่าหุ้นทั้งตลาดเท่ากับ 2.45 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น อัตราการกระจุกตัวของหุ้นยักษ์ก็คือ 43% สูงกว่า S&P 500 ที่ 42.2% และหุ้นซัมซุงที่ใหญ่ที่สุดมี Market Cap. 4.54 แสนล้านดอลลาร์เท่ากับ 18.53% ของตลาดหุ้นเกาหลีทั้งหมด
ตลาดหุ้นไต้หวันนั้น ถ้าจะพูดไปก็คล้าย ๆ ตลาดเกาหลีในแง่ที่มีหุ้นยักษ์ AI ระดับโลกจริง ๆ ก็คือหุ้น TSMC ที่มี Market Cap. ใหญ่มโหฬารที่ 1.52 ล้านล้านเหรียญหรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 49 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณเกือบ 3 เท่าของมูลค่าหุ้นทั้งตลาดของไทย และคิดเป็น 58.8% ของตลาดหุ้นไต้หวันที่มีมูลค่า 2.59 ล้านล้านเหรียญ
หุ้นยักษ์ 10 ตัวของไต้หวันมี Market Cap. รวมกันเท่ากับ 2 ล้านล้านเหรียญ ทำให้มีสัดส่วนเท่ากับ 76.8% ของตลาดหุ้นทั้งหมด และจึงน่าจะเป็นตลาดหุ้นที่มีอัตราการกระจุกตัวสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ถ้าจะพูดไปก็คือ ตลาดหุ้นไต้หวันนั้นถูกครอบงำสมบูรณ์แบบด้วยหุ้น 10 ตัว หรือบางทีอาจจะบอกได้ด้วยว่าถูกครอบงำด้วยหุ้นตัวเดียวคือ TSMC
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นตลาดที่น่าสนใจในแง่ที่ว่าเป็นประเทศที่มีบริษัทไฮเทคจำนวนมากแต่มักอยู่ในเทคโนโลยียุคก่อนอย่างเช่น รถยนต์สันดาป เครื่องจักรกล หรืออิเลคโทรนิกส์รุ่นก่อน ๆ
หุ้นยักษ์ 10 ตัวซึ่งนำโดยโตโยต้าและหุ้นซอฟแบ้งค์ที่เป็นผู้นำทางด้านการลงทุนในธุรกิจดิจิทัลรวมถึง AI มี Market Cap. รวมกัน 1.52 ล้านล้านเหรียญ จากตลาดหุ้นทั้งหมดที่มีมูลค่าตลาดของหุ้น 5.54 ล้านล้านเหรียญ ดังนั้น อัตรากระจุกตัวจึงอยู่ที่ 27.4% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั้งหมดที่กล่าวมา หุ้นโตโยต้าที่ใหญ่ที่สุดในตลาดก็มี Market Cap. เพียง2.68 แสนล้านเหรียญหรือเท่ากับ 8.71 ล้านล้านบาท คิดเป็นแค่ 4.84% ของมูลค่ารวมของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นในขณะนี้ ไม่ได้มีอาการของการเก็งกำไรและการกระจุกตัวของหุ้นใหญ่แต่อย่างใด
สุดท้ายก็คือตลาดหุ้นจีนที่นักลงทุนไทยจำนวนไม่น้อยเข้าไปลงทุน ตลาดจีนนั้นมีความซับซ้อนในแง่ที่ว่ามีตลาดหุ้นหลายแห่งรวมถึงตลาดฮ่องกงซึ่งมักจะแยกออกจากจีน และหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงที่เป็นหุ้นเทคและหุ้นขนาดใหญ่ก็มักจะไปจดทะเบียนในตลาด Nasdaq ด้วย การเปรียบเทียบต่าง ๆ เรื่องของการกระจุกตัวของหุ้นจึงเป็นเรื่องยากและไม่แม่นยำ อย่างไรก็ตาม ผมเองพยายามจะทำและใช้ข้อมูลแบบหยาบ ๆ เพื่อจะดูว่าตลาดหุ้นจีนนั้นเป็นอย่างไรเทียบกับตลาดอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว
หุ้น Top10 10 ตัวที่ผมเลือกนั้นเริ่มจากตัวที่ใหญ่ที่สุดคือหุ้น Tencent ที่มี Market Cap. 5.94 แสนล้านเหรียญ ตามด้วย อาลีบาบา และหุ้นอื่น ๆ เช่นแบ้งค์ขนาดใหญ่ หุ้นให้บริการโทรศัพท์มือถือ หุ้นปิโตรไชน่าและตบท้ายด้วยหุ้นเสียวหมี่ที่อยู่อันดับ 10 ผลรวมของ Market Cap. เท่ากับ 2.79 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ตลาดหุ้นนั้นคิดจากตลาดในแผ่นดินใหญ่จีนไม่รวมฮ่องกงมีมูลค่าตลาดที่ประมาณ 11.87 ล้านล้านเหรียญ ทำให้อัตราการกระจุกอยู่ที่ 23.5% น้อยกว่าของตลาดญี่ปุ่นด้วยซ้ำ ในขณะที่หุ้นตัวใหญ่ที่สุดก็มีสัดส่วนแค่ 5% ของตลาดหุ้นโดยรวม
โดยสรุปแล้ว ตลาดหุ้นที่ดูเหมือนว่าจะมีหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากเทียบกับหุ้นอื่น ๆ ในตลาดเดียวกันจนทำให้หุ้นเหล่านั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นมากมายแบบเหลือเชื่อ และทำให้หุ้นมีการกระจุกตัวสูงในแง่ที่ว่าหุ้นแค่ 10 ตัวรวมกันมีสัดส่วนหรือมีน้ำหนักสูงมากในตลาด เช่น 40% ขึ้นไปนั้น คือตลาดหุ้นไต้หวัน ตลาดหุ้นไทย เกาหลี เวียตนาม และอเมริกาที่มา “รั้งท้าย” ไม่ใช่อันดับ 1 อย่างที่คิด
ส่วนหุ้นที่ไม่มีอาการกระจุกตัวของหุ้นเลยน่าจะเป็นตลาดหุ้นญี่ปุ่นกับตลาดหุ้นจีน ที่ไม่มีหุ้นที่วิ่งขึ้นรุนแรงต่อเนื่องจนกลายเป็นหุ้นยักษ์ระดับโลกและทำให้หุ้นมีการกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่เพียง 10 ตัว ที่จะกำหนดชะตากรรมของตลาดหุ้นทั้งหมด
มองอีกด้านหนึ่งก็คือ หุ้นของตลาดที่มีการกระจุกตัวสูงอาจจะเป็นสัญญาณว่าหุ้นยักษ์ 10 ตัวนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วราคาอาจจะแพงจัดเป็นฟองสบู่ที่อาจจะแตกได้ในเร็ววัน เพราะราคาขึ้นมาจากการเก็งกำไรใน “อนาคต” ของบริษัทที่อิงอยู่กับธุรกิจระดับที่ปฏิวัติโลกที่อาจจะไม่จริง หรือถึงจะจริง แต่บริษัทเหล่านั้นก็อาจจะไม่ได้กำไรมากมายอย่างที่คิดเพราะบริษัทอาจจะพ่ายแพ้ในการแข่งขันที่ยังไม่รู้ว่าใครจะชนะ ดังนั้น จึงเป็นความเสี่ยงสำหรับคนที่เข้าไปลงทุนในหุ้นเหล่านั้น
การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยาวนานโดยที่มีช่วงปรับตัวลงน้อยกว่ามากนั้น ทำให้หุ้นดังกล่าวมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับหุ้นอื่น จนถึงนาทีนี้เราคงต้องเรียกว่าเป็น “หุ้นยักษ์” ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นสูงมาก หุ้นตัวใหญ่ที่สุดคือ NVIDIA นั้นมีมูลค่าถึงกว่า 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับ 162.5 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 10 เท่าของ Market Cap. ของมูลค่าหุ้นทั้งหมด 7-800 ตัวของตลาดหุ้นไทย
และถ้าเปรียบบริษัทเหมือนกับประเทศ ๆ หนึ่งในโลกที่ผลิตสินค้าและบริการให้กับโลก หุ้น NVIDIA ก็ใหญ่ขนาดที่เรียกว่าใหญ่กว่าทุกประเทศในโลกยกเว้นสหรัฐและจีนในแง่ของ GDP พูดง่าย ๆ Market Cap. ของเอนวิเดียใหญ่กว่า GDP ของประเทศเยอรมันที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลกที่ประมาณ 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเช่นเดียวกัน
“หุ้นยักษ์” ที่เป็นหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวในดัชนี S&P 500 ที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคทางด้าน AI กลุ่ม 7 นางฟ้าซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นเอนวิเดีย หุ้นแอปเปิล ไมโครซอฟท์ กูเกิล อะมาซอน บรอดคอม เมตา เทสลา เบิร์กไชร์ และเจพีมอร์แกน มี Market Cap. รวมกันประมาณ 25.7 ล้านล้านเหรียญนับที่วันสิ้นเดือนตุลาคม 2025 เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของหุ้นในดัชนี S&P ที่61 ล้านล้านเหรียญ ก็เท่ากับว่าหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวรวมกันมีมูลค่าเท่ากับ 42.2% ของหุ้นทั้งตลาด และหุ้น เอนวิเดียที่เป็นหุ้นตัวใหญ่ที่สุดเพียงตัวเดียวก็มีมูลค่าประมาณ 8.2% ในดัชนี S&P 500 แล้ว
พูดอย่างหยาบ ๆ ก็คือ หุ้นตัวใหญ่ที่สุดในตลาด 10 ตัวนั้น ได้ “Dominate” หรือ “ครอบงำ” ตลาด S&P500 ซึ่งเป็นตัวแทนประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว คือหุ้นอเมริกาจะขึ้นหรือลงก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มหุ้น 10 ตัวนี้ เป็นหลัก ตลาดหุ้นจะบูมหนักหรือเกิดวิกฤติในอนาคต ก็ขึ้นอยู่กับ “หุ้นนางฟ้า” เหล่านี้ และประเทศสหรัฐจะแพ้หรือชนะจีนในการต่อสู้แข่งขัน ก็ขึ้นอยู่กับผลงานของหุ้นกลุ่มนี้
นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญต่างก็เชื่อกันว่า อนาคตของสหรัฐก็คือ การเติบโตของสินค้าบริการที่นำโดย AI ที่แทบจะ “กินรวบ” กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด เพราะถ้ามองจากสัดส่วนของ Market Cap. ที่สูงถึง 42.2% นั้นก็อาจจะแปลว่า ในอนาคต คนก็จะใช้หรือทำอะไรเกี่ยวกับ AI มากมายในชีวิตประจำวัน รายจ่ายต่าง ๆ ที่จ่ายไปก็อาจจะจ่ายให้กับ AI เกือบครึ่งหนึ่งของรายจ่ายทั้งหมด โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
แต่หลายคนก็อาจจะคิดว่า จริงหรือ? จำนวนไม่น้อยก็อาจจะคิดว่า “คิดเวอร์กันไปเอง” โลกยังไปไม่ถึงจุดนั้น จริงอยู่ AI นั้นมีความสำคัญสุดยอด การปฎิวัติ AI กำลังเกิดขึ้นก็จริง แต่มันคงต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าที่มันจะมาทำงานแทนคนมากเสียจนคนเริ่มไร้ความหมายและตกงานกันไปหมด สิ่งที่เกิดขึ้นจริงตอนนี้กับหุ้นก็คือ การเก็งกำไรอย่างบ้าคลั่งที่ดันให้ราคาหุ้นขึ้นไปแบบหลุดโลกและไม่ช้าหุ้นก็อาจจะปรับตัวลงอย่างแรงจนอาจจะเกิดหายนะได้
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ดูเหมือนคนจะคิดกันว่า ตลาดหุ้นอเมริกากำลัง “กระจุกตัว” มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ อานิสงค์จากการที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี AI ขนาดใหญ่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบจะ “กลืนกิน” ธุรกิจรุ่นเก่าที่แทบจะไม่โตอีกต่อไปแล้ว
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ตลาดหุ้นอื่น ๆ ในโลกก็คงไม่เหมือนอเมริกา เพราะประเทศอื่นส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้มีหุ้นเทค AI ที่ยิ่งใหญ่เท่า ไม่ต้องพูดถึงตลาดหุ้นไทยที่เราเป็น “เศรษฐกิจเก่า” ดังนั้น หุ้นไทยก็คง “ไม่กระจุกตัว” และหุ้นตัวใหญ่ที่สุดก็คงไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับตลาด จริงไหม? ลองมาดูกัน
ตลาดหุ้นไทย ณ.ประมาณสิ้นเดือนตุลาคม 2568 มี Market Cap. ประมาณ 16.8 ล้านล้านบาท หุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวมีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 7.8 ล้านล้านบาท คิดแล้วเท่ากับ 46.3% ซึ่งสูงกว่าตลาด S&P 500 ที่อยู่ที่ 42.2% น่าตกใจใช่ไหมครับ และหุ้นใหญ่ที่สุดตัวเดียวคือหุ้นเดลต้ามี Market Cap. 2.73 ล้านล้านบาทหรือเท่ากับ 16.2% เทียบกับหุ้นเอนวิเดียที่ 8.2% งงไหมครับ? ที่ตลาดหุ้นไทยนั้น หุ้นยักษ์ 10 ตัวก็ครอบงำตลาดหุ้นไทย และครอบงำมากกว่าตลาดหุ้นอเมริกาด้วยซ้ำ
ลองมาดูตลาดหุ้นเวียตนามที่คนไทยไปลงทุนกันมาก “อัตราการครอบงำ” ของหุ้นยักษ์ Top 10 ของเวียตนามก็คือ หุ้นยักษ์ 10 ตัว มีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 4 ล้านล้านบาท ในขณะที่ตลาดมี Market Cap. รวมประมาณ 9.33 ล้านล้านบาท คิดแล้วเท่ากับ 42.6% หุ้นที่ใหญ่ที่สุดคือหุ้น VIC หรือวินกรุ๊ปมีมูลค่าประมาณ 9.5 แสนล้านบาท คิดเป็น 10.2% ของตลาดทั้งหมด นี่ก็กระจุกตัวสูงกว่า S&P 500 เช่นเดียวกันแม้จะน้อยกว่าตลาดหุ้นไทย
มาดูตลาดหุ้นเกาหลีที่ก็มีหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่จำนวนมากแม้ว่าจะไม่ใช่ AI มากนักยกเว้นหุ้นซัมซุง หุ้น Top 10 จำนวน 10 ตัว มี Market Cap. รวมกันเท่ากับ 1.05 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่มูลค่าหุ้นทั้งตลาดเท่ากับ 2.45 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น อัตราการกระจุกตัวของหุ้นยักษ์ก็คือ 43% สูงกว่า S&P 500 ที่ 42.2% และหุ้นซัมซุงที่ใหญ่ที่สุดมี Market Cap. 4.54 แสนล้านดอลลาร์เท่ากับ 18.53% ของตลาดหุ้นเกาหลีทั้งหมด
ตลาดหุ้นไต้หวันนั้น ถ้าจะพูดไปก็คล้าย ๆ ตลาดเกาหลีในแง่ที่มีหุ้นยักษ์ AI ระดับโลกจริง ๆ ก็คือหุ้น TSMC ที่มี Market Cap. ใหญ่มโหฬารที่ 1.52 ล้านล้านเหรียญหรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 49 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณเกือบ 3 เท่าของมูลค่าหุ้นทั้งตลาดของไทย และคิดเป็น 58.8% ของตลาดหุ้นไต้หวันที่มีมูลค่า 2.59 ล้านล้านเหรียญ
หุ้นยักษ์ 10 ตัวของไต้หวันมี Market Cap. รวมกันเท่ากับ 2 ล้านล้านเหรียญ ทำให้มีสัดส่วนเท่ากับ 76.8% ของตลาดหุ้นทั้งหมด และจึงน่าจะเป็นตลาดหุ้นที่มีอัตราการกระจุกตัวสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ถ้าจะพูดไปก็คือ ตลาดหุ้นไต้หวันนั้นถูกครอบงำสมบูรณ์แบบด้วยหุ้น 10 ตัว หรือบางทีอาจจะบอกได้ด้วยว่าถูกครอบงำด้วยหุ้นตัวเดียวคือ TSMC
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นตลาดที่น่าสนใจในแง่ที่ว่าเป็นประเทศที่มีบริษัทไฮเทคจำนวนมากแต่มักอยู่ในเทคโนโลยียุคก่อนอย่างเช่น รถยนต์สันดาป เครื่องจักรกล หรืออิเลคโทรนิกส์รุ่นก่อน ๆ
หุ้นยักษ์ 10 ตัวซึ่งนำโดยโตโยต้าและหุ้นซอฟแบ้งค์ที่เป็นผู้นำทางด้านการลงทุนในธุรกิจดิจิทัลรวมถึง AI มี Market Cap. รวมกัน 1.52 ล้านล้านเหรียญ จากตลาดหุ้นทั้งหมดที่มีมูลค่าตลาดของหุ้น 5.54 ล้านล้านเหรียญ ดังนั้น อัตรากระจุกตัวจึงอยู่ที่ 27.4% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั้งหมดที่กล่าวมา หุ้นโตโยต้าที่ใหญ่ที่สุดในตลาดก็มี Market Cap. เพียง2.68 แสนล้านเหรียญหรือเท่ากับ 8.71 ล้านล้านบาท คิดเป็นแค่ 4.84% ของมูลค่ารวมของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นในขณะนี้ ไม่ได้มีอาการของการเก็งกำไรและการกระจุกตัวของหุ้นใหญ่แต่อย่างใด
สุดท้ายก็คือตลาดหุ้นจีนที่นักลงทุนไทยจำนวนไม่น้อยเข้าไปลงทุน ตลาดจีนนั้นมีความซับซ้อนในแง่ที่ว่ามีตลาดหุ้นหลายแห่งรวมถึงตลาดฮ่องกงซึ่งมักจะแยกออกจากจีน และหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงที่เป็นหุ้นเทคและหุ้นขนาดใหญ่ก็มักจะไปจดทะเบียนในตลาด Nasdaq ด้วย การเปรียบเทียบต่าง ๆ เรื่องของการกระจุกตัวของหุ้นจึงเป็นเรื่องยากและไม่แม่นยำ อย่างไรก็ตาม ผมเองพยายามจะทำและใช้ข้อมูลแบบหยาบ ๆ เพื่อจะดูว่าตลาดหุ้นจีนนั้นเป็นอย่างไรเทียบกับตลาดอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว
หุ้น Top10 10 ตัวที่ผมเลือกนั้นเริ่มจากตัวที่ใหญ่ที่สุดคือหุ้น Tencent ที่มี Market Cap. 5.94 แสนล้านเหรียญ ตามด้วย อาลีบาบา และหุ้นอื่น ๆ เช่นแบ้งค์ขนาดใหญ่ หุ้นให้บริการโทรศัพท์มือถือ หุ้นปิโตรไชน่าและตบท้ายด้วยหุ้นเสียวหมี่ที่อยู่อันดับ 10 ผลรวมของ Market Cap. เท่ากับ 2.79 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ตลาดหุ้นนั้นคิดจากตลาดในแผ่นดินใหญ่จีนไม่รวมฮ่องกงมีมูลค่าตลาดที่ประมาณ 11.87 ล้านล้านเหรียญ ทำให้อัตราการกระจุกอยู่ที่ 23.5% น้อยกว่าของตลาดญี่ปุ่นด้วยซ้ำ ในขณะที่หุ้นตัวใหญ่ที่สุดก็มีสัดส่วนแค่ 5% ของตลาดหุ้นโดยรวม
โดยสรุปแล้ว ตลาดหุ้นที่ดูเหมือนว่าจะมีหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากเทียบกับหุ้นอื่น ๆ ในตลาดเดียวกันจนทำให้หุ้นเหล่านั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นมากมายแบบเหลือเชื่อ และทำให้หุ้นมีการกระจุกตัวสูงในแง่ที่ว่าหุ้นแค่ 10 ตัวรวมกันมีสัดส่วนหรือมีน้ำหนักสูงมากในตลาด เช่น 40% ขึ้นไปนั้น คือตลาดหุ้นไต้หวัน ตลาดหุ้นไทย เกาหลี เวียตนาม และอเมริกาที่มา “รั้งท้าย” ไม่ใช่อันดับ 1 อย่างที่คิด
ส่วนหุ้นที่ไม่มีอาการกระจุกตัวของหุ้นเลยน่าจะเป็นตลาดหุ้นญี่ปุ่นกับตลาดหุ้นจีน ที่ไม่มีหุ้นที่วิ่งขึ้นรุนแรงต่อเนื่องจนกลายเป็นหุ้นยักษ์ระดับโลกและทำให้หุ้นมีการกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่เพียง 10 ตัว ที่จะกำหนดชะตากรรมของตลาดหุ้นทั้งหมด
มองอีกด้านหนึ่งก็คือ หุ้นของตลาดที่มีการกระจุกตัวสูงอาจจะเป็นสัญญาณว่าหุ้นยักษ์ 10 ตัวนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วราคาอาจจะแพงจัดเป็นฟองสบู่ที่อาจจะแตกได้ในเร็ววัน เพราะราคาขึ้นมาจากการเก็งกำไรใน “อนาคต” ของบริษัทที่อิงอยู่กับธุรกิจระดับที่ปฏิวัติโลกที่อาจจะไม่จริง หรือถึงจะจริง แต่บริษัทเหล่านั้นก็อาจจะไม่ได้กำไรมากมายอย่างที่คิดเพราะบริษัทอาจจะพ่ายแพ้ในการแข่งขันที่ยังไม่รู้ว่าใครจะชนะ ดังนั้น จึงเป็นความเสี่ยงสำหรับคนที่เข้าไปลงทุนในหุ้นเหล่านั้น
-
A354438
Re: TACC
โพสต์ที่ 5
ในไตรมาสที่ 3 ปี2568 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 618.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.60% จากปี ก่อน และมี
กำไรสุทธิรวมจำนวน 89.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.98% จากปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายสินค้าในร้าน
7-Eleven ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเติบโตของปริมาณการบริโภคในประเทศ กระแสความนิยมของเครื่องดื่มชาไทยและชา
เขียวในกลุ่มผู้บริโภคที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดร่วมกับ 7-Eleven และลูกค้าของกลุ่ม
บริษัทฯ อย่างไรก็ดี ต้นทุนขายรวมสูงขึ้นจากราคาของเมล็ดกาแฟที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ที่แล้ว แต่กลุ่มบริษัทฯ ก็
สามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงค่าใช้จ่ายของบริษัทย่อยลดลงเป็นจำนวนมากจากการหยุด
ดำเนินธุรกิจ จึงทำให้มีสัดส่วนของต้นทุนและค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
กำไรสุทธิรวมจำนวน 89.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.98% จากปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายสินค้าในร้าน
7-Eleven ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเติบโตของปริมาณการบริโภคในประเทศ กระแสความนิยมของเครื่องดื่มชาไทยและชา
เขียวในกลุ่มผู้บริโภคที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดร่วมกับ 7-Eleven และลูกค้าของกลุ่ม
บริษัทฯ อย่างไรก็ดี ต้นทุนขายรวมสูงขึ้นจากราคาของเมล็ดกาแฟที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ที่แล้ว แต่กลุ่มบริษัทฯ ก็
สามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงค่าใช้จ่ายของบริษัทย่อยลดลงเป็นจำนวนมากจากการหยุด
ดำเนินธุรกิจ จึงทำให้มีสัดส่วนของต้นทุนและค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
-
ampare
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2303
- ผู้ติดตาม: 301
Re: TNP
โพสต์ที่ 6
งบไม่แย่นะครับ Sssg -7% แต่ยอดขายรวมถึงกำไรยัง flat ได้ บันทึกไว้หน่อยว่า SSSG ลงได้ถึง 7% โดยที่กำไรไม่ลด เป็น stress test แบบไวๆในอนาคต
สาเหตุที่ลบ 7% เพราะ q3-67 ตุนสินค้าช่วงน้ำท่วม ถ้าจำไม่ผิดช่วงนั้นจะช่วยชาวเชียงรายก็มาซื้อของไปแจกกัน
ตอนนี้จากบทวิเคราะห์กรุงศรี q4 ssg+ และเปิดใน Q4 อีก 2 สาขา ยอดขาย q4 คงโต high single หรือ mid teen ได้ ส่วน %gpm q3-68 q2-68 ก็มี improvement ขึ้นตลอด ซึ่งบริษัทก็เอาสินค้าหมวดใหม่ๆมาขายเพิ่มช่วยปรับปรุงส่วนนี้ กำไรก็น่าจะพอคาดเดากันได้นะครับ ส่วนราคาหุ้นคงต้องตามยถากรรม
สาเหตุที่ลบ 7% เพราะ q3-67 ตุนสินค้าช่วงน้ำท่วม ถ้าจำไม่ผิดช่วงนั้นจะช่วยชาวเชียงรายก็มาซื้อของไปแจกกัน
ตอนนี้จากบทวิเคราะห์กรุงศรี q4 ssg+ และเปิดใน Q4 อีก 2 สาขา ยอดขาย q4 คงโต high single หรือ mid teen ได้ ส่วน %gpm q3-68 q2-68 ก็มี improvement ขึ้นตลอด ซึ่งบริษัทก็เอาสินค้าหมวดใหม่ๆมาขายเพิ่มช่วยปรับปรุงส่วนนี้ กำไรก็น่าจะพอคาดเดากันได้นะครับ ส่วนราคาหุ้นคงต้องตามยถากรรม
Time is the friend of the wonderful company, the enemy of the mediocre.
-
GOOD VI
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 486
- ผู้ติดตาม: 69
Re: INET
โพสต์ที่ 7
ขออนุญาตเสนอ idea ถ้าปีไหนที่ inet สามารถขาย inetreit ได้กระแสเงินสดเข้ามา แต่ไม่มีผลต่อ net profit
เป็นไปได้หรือเปล่าที่ inet จะ มี dividened payout ratio มากกว่าเดิม ให้ผู้ถือหุ้นได้อานิสงฆ์บ้างครับ เช่นจากเดิม 10% กว่า ของ payout ratio เป็น 40-50% หรืออย่างน้อยก็ตามนโยบายบริษท์ที่แจ้งกับตลาดว่าปันผลขั้นต่ำ 30% ของ NP ซึ่งดูแล้วก็ไม่ได้เป็นเม็ดเงินมากมายอะไร
ไม่ต้องขนาดปันผลพิเศษ เข้าใจ inet ต้องเตรียมเงินลงทุนอีกเพื่อการเติบโตในภายภาคหน้าครับ
เป็นไปได้หรือเปล่าที่ inet จะ มี dividened payout ratio มากกว่าเดิม ให้ผู้ถือหุ้นได้อานิสงฆ์บ้างครับ เช่นจากเดิม 10% กว่า ของ payout ratio เป็น 40-50% หรืออย่างน้อยก็ตามนโยบายบริษท์ที่แจ้งกับตลาดว่าปันผลขั้นต่ำ 30% ของ NP ซึ่งดูแล้วก็ไม่ได้เป็นเม็ดเงินมากมายอะไร
ไม่ต้องขนาดปันผลพิเศษ เข้าใจ inet ต้องเตรียมเงินลงทุนอีกเพื่อการเติบโตในภายภาคหน้าครับ
-
Feudalz
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1313
- ผู้ติดตาม: 411
Re: KAMART
โพสต์ที่ 8
มาเดินดูคอลแลคชั่น cathy doll x maeng เห็นว่าขายดีมากโดยเฉพาะตัวที่ลิซ่ากับเจนิสใช้ครับ ขายดีทั้งที่ร้านและก็ออนไลน์เลยครับ
ถามเพื่อนๆ ที่ลองใช้ทุกคนบอกคุณภาพดีมากกันหมด เรื่องนี้ถามผู้หญิงน่าจะรู้ดีกว่าผู้ชายครับ
ถามเพื่อนๆ ที่ลองใช้ทุกคนบอกคุณภาพดีมากกันหมด เรื่องนี้ถามผู้หญิงน่าจะรู้ดีกว่าผู้ชายครับ
-
Feudalz
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1313
- ผู้ติดตาม: 411
Re: ADVICE
โพสต์ที่ 10
พึ่งมีข่าวว่า Nvidia จะยกเลิกการขาย RTX 50 series รุ่น Super เพราะว่าขาดแคลน RAM GDDR7 3GB ครับ ถ้าจริงเดี๋ยว GPU RTX 50 series น่าจะราคาแพงขึ้นและอาจจะขาดก็ได้ ถ้าจริงก็เรื่องใหญ่มีโอกาสคล้ายช่วงหลังโควิดเข้าไปทุกที
- Takerisks
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 162
- ผู้ติดตาม: 57
- pop5888
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1494
- ผู้ติดตาม: 823
Re: PR9
โพสต์ที่ 12
#PR9
ไตรมาส 3/2568
ตัดรายได้อื่นๆ ออก เพื่อวิเคราะห์ธุรกิจหลัก
รายได้ 1,363 ล้านบาท +11.27% YoY
กลุ่มลูกค้าคนไทย -2.74% YoY ..
อันนี้เหมือนกับ BH ที่รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยลดลง 2% ไปในทิศทางเดียวกัน
กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ +76.95% YoY .. เติบโตดีมาก
จากกลุ่มผู้ป่วยชาวตะวันออกกลางที่ยังคงเติบโตจากฐานที่ยังไม่ได้สูงมาก
กำไรขั้นต้น 498 ล้านบาท ทำจุดสูงสุดใหม่
ที่ อัตราการทำกำไร 36.52% ทรงตัวระดับสูง ใกล้เคียงกับ 4 ไตรมาสก่อนหน้า ...
แต่จริงๆน่าจะทำได้ดีกว่านี้ จาก Economies of Scale
จากปริมาณผู้มาใช้บริการที่มากขึ้น แต่ Fixed Cost เท่าเดิม
และ กลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เติบโตมาก ที่มีอัตรากำไรที่สูงกว่า
แต่ใน MD&A มีบอกว่ามาจากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น
และ บริษัทมีให้ทองคำกับพนักงานที่อยู่มานาน แต่พอยังไม่ได้ให้จริง
เลยต้องมีการปรับมูลค่าทองคำ เลยส่งผลต่อ อัตรากำไรขั้นต้น
ค่าใช้จ่ายในการขาย 78 ล้านบาท ทำจุดสูงสุดใหม่รายไตรมาส
คิดเป็น 5.75 % เมื่อเทียบกับรายได้ ทำจุดสูงสุดใหม่เช่นกัน
ค่าใช้จ่ายในการบริหาร 191 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 4 ล้านบาท QoQ
และ คิดเป็น 19.78% เมื่อเทียบกับรายได้ เหมือนว่าอาจจะพอควบคุมได้
ต้องติดตามว่าต้นทุนส่วนนี้จะหยุดเติบโตแล้วจริงๆหรือไม่
ถ้าควบคุมได้และรายได้ยังคงเติบโต ก็จะสามารถกดค่าใช้จ่าย SG&A to Sales ลงมาได้
SG_and_A 19.78% แม้ว่าจะลดลงจาก ไตรมาส 2/2568 เล็กน้อย
แต่ด้วยการที่รายได้เติบโตมาก จากการที่เป็น High Season ของธุรกิจโรงพยาบาล
และ เป็นไตรมาสที่เด็กๆชาวตะวันออกกลางปิดเทอม
จึงทำให้พ่อแม่ ที่จำเป็นต้องเดินทางออกมารักษาเลือกออกมารักษายังต่างประเทศ
เพราะ ไม่ต้องไปส่งลูกไปโรงเรียน
ดังนั้นหากรายได้ลดลงจากการ Off Season ก็ต้องมาดูว่า SG&A to Sales นั้นเป็นอย่างไร
กำไรจากการดำเนินงาน 228 ล้านบาท ยังไม่ทำจุดสูงสุดใหม่
แม้ว่ากำไรจะทำจุดสูงสุดใหม่ จากการที่ฐาน SG&A ที่สูงขึ้น
สรุป PR9 ก็ถือว่าเป็น รพ ที่มีรายได้เติบโตได้ดี
จากการเติบโตของรายได้ที่สูงจากกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติ จนทำให้รายได้ทำจุดสูงสุดใหม่ ..
แต่ในด้าน SG&A เป็นต้นทุนเพื่อลงทุนในการหารายได้สำหรับการขยายฐานผู้ป่วยชาวต่างชาติยังเพิ่มอยู่
ซึ่งหากต้นทุนในส่วนนี้ควบคุมได้ และ รายได้เติบโตจากฐานผู้ป่วยประเทศใหม่ๆ
ก็น่าจะพอคาดหวังได้ว่า เราจะเห็นกำไรที่เติบโตในอัตราเร่ง
เพราะ รพ. พระรามเก้ายังมีจำนวนเตียงอีกประมาณ 100 เตียง
ที่พร้อมจะเปิดให้บริการเพื่อรองรับการเติบโต
และ ที่สำคัญ คือ อีกกว่า 100 เตียงที่จะทยอยเปิดนี้บันทึกไปทั้งหมดแล้ว ดังนั้นต้นทุนหลักๆรับรู้ล่วงหน้าไปแล้ว
ดังนั้นหากรายได้เติบโต และ SG&A ควบคุมได้ ก็จะเห็นการเติบโตของกำไรในอัตราเร่งสปีด
จ.บ.
ไตรมาส 3/2568
ตัดรายได้อื่นๆ ออก เพื่อวิเคราะห์ธุรกิจหลัก
รายได้ 1,363 ล้านบาท +11.27% YoY
กลุ่มลูกค้าคนไทย -2.74% YoY ..
อันนี้เหมือนกับ BH ที่รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยลดลง 2% ไปในทิศทางเดียวกัน
กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ +76.95% YoY .. เติบโตดีมาก
จากกลุ่มผู้ป่วยชาวตะวันออกกลางที่ยังคงเติบโตจากฐานที่ยังไม่ได้สูงมาก
กำไรขั้นต้น 498 ล้านบาท ทำจุดสูงสุดใหม่
ที่ อัตราการทำกำไร 36.52% ทรงตัวระดับสูง ใกล้เคียงกับ 4 ไตรมาสก่อนหน้า ...
แต่จริงๆน่าจะทำได้ดีกว่านี้ จาก Economies of Scale
จากปริมาณผู้มาใช้บริการที่มากขึ้น แต่ Fixed Cost เท่าเดิม
และ กลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เติบโตมาก ที่มีอัตรากำไรที่สูงกว่า
แต่ใน MD&A มีบอกว่ามาจากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น
และ บริษัทมีให้ทองคำกับพนักงานที่อยู่มานาน แต่พอยังไม่ได้ให้จริง
เลยต้องมีการปรับมูลค่าทองคำ เลยส่งผลต่อ อัตรากำไรขั้นต้น
ค่าใช้จ่ายในการขาย 78 ล้านบาท ทำจุดสูงสุดใหม่รายไตรมาส
คิดเป็น 5.75 % เมื่อเทียบกับรายได้ ทำจุดสูงสุดใหม่เช่นกัน
ค่าใช้จ่ายในการบริหาร 191 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 4 ล้านบาท QoQ
และ คิดเป็น 19.78% เมื่อเทียบกับรายได้ เหมือนว่าอาจจะพอควบคุมได้
ต้องติดตามว่าต้นทุนส่วนนี้จะหยุดเติบโตแล้วจริงๆหรือไม่
ถ้าควบคุมได้และรายได้ยังคงเติบโต ก็จะสามารถกดค่าใช้จ่าย SG&A to Sales ลงมาได้
SG_and_A 19.78% แม้ว่าจะลดลงจาก ไตรมาส 2/2568 เล็กน้อย
แต่ด้วยการที่รายได้เติบโตมาก จากการที่เป็น High Season ของธุรกิจโรงพยาบาล
และ เป็นไตรมาสที่เด็กๆชาวตะวันออกกลางปิดเทอม
จึงทำให้พ่อแม่ ที่จำเป็นต้องเดินทางออกมารักษาเลือกออกมารักษายังต่างประเทศ
เพราะ ไม่ต้องไปส่งลูกไปโรงเรียน
ดังนั้นหากรายได้ลดลงจากการ Off Season ก็ต้องมาดูว่า SG&A to Sales นั้นเป็นอย่างไร
กำไรจากการดำเนินงาน 228 ล้านบาท ยังไม่ทำจุดสูงสุดใหม่
แม้ว่ากำไรจะทำจุดสูงสุดใหม่ จากการที่ฐาน SG&A ที่สูงขึ้น
สรุป PR9 ก็ถือว่าเป็น รพ ที่มีรายได้เติบโตได้ดี
จากการเติบโตของรายได้ที่สูงจากกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติ จนทำให้รายได้ทำจุดสูงสุดใหม่ ..
แต่ในด้าน SG&A เป็นต้นทุนเพื่อลงทุนในการหารายได้สำหรับการขยายฐานผู้ป่วยชาวต่างชาติยังเพิ่มอยู่
ซึ่งหากต้นทุนในส่วนนี้ควบคุมได้ และ รายได้เติบโตจากฐานผู้ป่วยประเทศใหม่ๆ
ก็น่าจะพอคาดหวังได้ว่า เราจะเห็นกำไรที่เติบโตในอัตราเร่ง
เพราะ รพ. พระรามเก้ายังมีจำนวนเตียงอีกประมาณ 100 เตียง
ที่พร้อมจะเปิดให้บริการเพื่อรองรับการเติบโต
และ ที่สำคัญ คือ อีกกว่า 100 เตียงที่จะทยอยเปิดนี้บันทึกไปทั้งหมดแล้ว ดังนั้นต้นทุนหลักๆรับรู้ล่วงหน้าไปแล้ว
ดังนั้นหากรายได้เติบโต และ SG&A ควบคุมได้ ก็จะเห็นการเติบโตของกำไรในอัตราเร่งสปีด
จ.บ.