โพสต์ยอดนิยม
เปลี่ยนสนามการค้าให้เป็นสนามรบ/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- Choice37
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2222
- ผู้ติดตาม: 150
Re: TACC
โพสต์ที่ 1
T.A.C.C. News Update
พบกับเครื่องดื่มอเมริกาโน่ ของ 7-Select
เติมความสดชื่นตลอดทั้งวันด้วยอเมริกาโน่ ที่คัดสรรกาแฟ Micro Ground 2 สายพันธุ์ Arabica และ Robusta เกรดพรีเมี่ยม ผ่านการคั่วในระดับที่เหมาะสม ให้รสชาติเข้มข้นหอมกลิ่นกาแฟคั่ว พร้อมให้คุณลิ้มรสชาติของเมล็ดกาแฟแท้ๆ
พร้อมกันทั่วประเทศ 10 กรกฎาคม 2568 นี้ @7-ELEVEN ทุกสาขาที่มีโถกดเครื่องดื่มเย็น 7-Select
[/size][/color]
พบกับเครื่องดื่มอเมริกาโน่ ของ 7-Select
เติมความสดชื่นตลอดทั้งวันด้วยอเมริกาโน่ ที่คัดสรรกาแฟ Micro Ground 2 สายพันธุ์ Arabica และ Robusta เกรดพรีเมี่ยม ผ่านการคั่วในระดับที่เหมาะสม ให้รสชาติเข้มข้นหอมกลิ่นกาแฟคั่ว พร้อมให้คุณลิ้มรสชาติของเมล็ดกาแฟแท้ๆ
พร้อมกันทั่วประเทศ 10 กรกฎาคม 2568 นี้ @7-ELEVEN ทุกสาขาที่มีโถกดเครื่องดื่มเย็น 7-Select
[/size][/color]
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 298
- ผู้ติดตาม: 250
Re: NSL
โพสต์ที่ 2
ลองกันยังงง!!
น้องใหม่จาก NSL FOODS
"บงบงช็อกโกแลต"
กว่าจะเจอกัน ตามหายากเย็นสุดๆ น้องมาพร้อมกล่องทอง เพิ่มความลักชูเข้าไปด้วย top ผงสีทองแบบสะท้อนวิบวับทะลุกล่อง
กัดคำแรกสัมผัสความกรุบกรอบด้านนอก ข้างในไส้ช็อกโกแลตจุกๆแบบเต็มๆคำ ไม่หวานมาก คืออร่อยย
ส่งความพรีเมี่ยม สวย หรู ดูแพง ถึงที่ใกล้บ้านคุณแล้ววันนี้
แนะนำให้กินแบบแช่เย็น อย่าไว้ข้างนอกนาน น้องอาจจะยมน้าา
น้องใหม่จาก NSL FOODS
"บงบงช็อกโกแลต"
แนะนำให้กินแบบแช่เย็น อย่าไว้ข้างนอกนาน น้องอาจจะยมน้าา
- Sompong Rungrod
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 14
- ผู้ติดตาม: 4
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 30
- ผู้ติดตาม: 5
Re: PTG
โพสต์ที่ 5
มอง PTG ผ่านร้านกาแฟพันธุ์ไทย
-. ออกตัวก่อนว่า ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ คาฟ่อเมซอน แต่ๆๆ เมื่อไม่นานมานี้ อยากลองชิมรสชาติ กาแฟพันธุ์ไทยดูจึงเข้าไปซื้อครับ
- .มุมมองที่ได้ จากสายตาที่เห็น อันนี้ไม่รู้สาขาอื่นๆ เหมือนกันไหม
การจัดร้านสวยงาม ลูกค้า ตอนนี้ เท่าที่ดู พอๆกับ อเมซอน บางสาขา คนแอบเยอะกว่า
สาขา เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ หาร้านง่ายขึ้น แต่แอบบ งง และแอบติง ในบางสาขา ราคากาแฟ ไม่เท่ากัน โดยเฉพาะสาขาที่ติดสถานที่ท่องเที่ยว
ที่เจอคือสาขา แถวหน้าวัดมหาธาตุ จ.อยุธยา ราคาบางเมนูแพงกว่า ร้าน ปกติถึง 20 บาท(เฮเซนัทคอฟฟี่เย็น ปกติ 60 สาขาหน้าแหล่งท่องเที่ยวขาย 85)
อันนี้คือแบบ งง มากๆ กับกลยุทธ์ การตั้งราคา เพราะ แถวนั้นก็มี คาเฟ่ อเมซอน แต่ราคาขาย ก็ไม่ได้บวกเพิ่มอะไรเลย ขายเท่ากันทุกร้าน
- บัตรสะสมแต้ม บัตรรายปี 599 บาท/ปี น่าจะมีส่วนมาก ในการทำให้คนเข้ามาสมัครสมาชิก แล้วได้ส่วนลด
ข้อดีของบัตรอีกส่วนคือ บริษัท ยิ่งมีสมาชิกมาก จำนวนเงินสด ที่ บริษัทได้รับและเก็บไว้ก่อน ลค.มาซื้อกาแฟทีหลัง เป็นการช่วยเรื่อง การมีเงินสด
เข้า แบบต่อเนื่อง คล้ายๆ สตาบัคฯ ที่ ลค.ส่วนใหญ่จะเติมเงินค้างไว้ในบัตร จนทำให้ เมื่อมีสมาชิกยิ่งมาก เงินสดที่ได้มาแบบไม่มีต้นทุน ยิ่งสูงมาก อันนี้ดี
มากๆๆ แอบชื่นชมในกลยุทธ์นี้ ของ ผบห.
- รสชาติกาแฟ ที่ชอบคือ กาแฟพันธุ์ไทยเย็น กับ เฮเซนัท คอฟฟี่เย็น
- สรุป สั้นๆ ราคาหุ้นตอนนี้ ยิ่ถ้าลงไป ถือเป็น โอกาสและจังหวะที่ดี ในการเก็บหุ้นที่ดี ราคาไม่แพงสำหรับผมเลยครับ
-. ออกตัวก่อนว่า ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ คาฟ่อเมซอน แต่ๆๆ เมื่อไม่นานมานี้ อยากลองชิมรสชาติ กาแฟพันธุ์ไทยดูจึงเข้าไปซื้อครับ
- .มุมมองที่ได้ จากสายตาที่เห็น อันนี้ไม่รู้สาขาอื่นๆ เหมือนกันไหม
การจัดร้านสวยงาม ลูกค้า ตอนนี้ เท่าที่ดู พอๆกับ อเมซอน บางสาขา คนแอบเยอะกว่า
สาขา เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ หาร้านง่ายขึ้น แต่แอบบ งง และแอบติง ในบางสาขา ราคากาแฟ ไม่เท่ากัน โดยเฉพาะสาขาที่ติดสถานที่ท่องเที่ยว
ที่เจอคือสาขา แถวหน้าวัดมหาธาตุ จ.อยุธยา ราคาบางเมนูแพงกว่า ร้าน ปกติถึง 20 บาท(เฮเซนัทคอฟฟี่เย็น ปกติ 60 สาขาหน้าแหล่งท่องเที่ยวขาย 85)
อันนี้คือแบบ งง มากๆ กับกลยุทธ์ การตั้งราคา เพราะ แถวนั้นก็มี คาเฟ่ อเมซอน แต่ราคาขาย ก็ไม่ได้บวกเพิ่มอะไรเลย ขายเท่ากันทุกร้าน
- บัตรสะสมแต้ม บัตรรายปี 599 บาท/ปี น่าจะมีส่วนมาก ในการทำให้คนเข้ามาสมัครสมาชิก แล้วได้ส่วนลด
ข้อดีของบัตรอีกส่วนคือ บริษัท ยิ่งมีสมาชิกมาก จำนวนเงินสด ที่ บริษัทได้รับและเก็บไว้ก่อน ลค.มาซื้อกาแฟทีหลัง เป็นการช่วยเรื่อง การมีเงินสด
เข้า แบบต่อเนื่อง คล้ายๆ สตาบัคฯ ที่ ลค.ส่วนใหญ่จะเติมเงินค้างไว้ในบัตร จนทำให้ เมื่อมีสมาชิกยิ่งมาก เงินสดที่ได้มาแบบไม่มีต้นทุน ยิ่งสูงมาก อันนี้ดี
มากๆๆ แอบชื่นชมในกลยุทธ์นี้ ของ ผบห.
- รสชาติกาแฟ ที่ชอบคือ กาแฟพันธุ์ไทยเย็น กับ เฮเซนัท คอฟฟี่เย็น
- สรุป สั้นๆ ราคาหุ้นตอนนี้ ยิ่ถ้าลงไป ถือเป็น โอกาสและจังหวะที่ดี ในการเก็บหุ้นที่ดี ราคาไม่แพงสำหรับผมเลยครับ
- pop5888
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1445
- ผู้ติดตาม: 798
Re: KLINIQ
โพสต์ที่ 7
KLINIQ: Key takeaways from analyst meeting
(by DAOL, 11 July 2025)
ประเด็นสำคัญ ดังนี้
1) ใน 2Q25E Cash sales โต double digit YoY (ใกล้ๆ +20% YoY) และ single digit QoQ โดย cash sales ที่ขยายตัวส่วนใหญ่มาจาก LAB X และ Surgery ด้าน SSSG อยู่ที่ +8.7% (เทียบกับ 2Q24 = +11.4%, 1Q25 = +21.3%) สำหรับ SG&A expenses คาดว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ไม่มาก แม้เปิด 5 สาขา เนื่องจากมี 2-3 สาขาเปิดปลายเดือน มิ.ย.
2) บริษัทปรับแผนการขยายสาขาใหม่ในปี 2025E เป็น 11 สาขา (จากเดิม 10 สาขา) โดยใน 1Q25 = 1 สาขา, 2Q25 = 5 สาขา (ปิดสาขา 1 สาขา), 3Q25 = 4 สาขา และ 4Q25 = 1 สาขา
3) สำหรับแผนการขยายสาขาในปี 2026E คาดใกล้เคียงกับปี 2025E ที่ 10 สาขา
4) สำหรับปี 2025E บริษัทยังคงเป้ารายได้ที่ 3.5 พันล้านบาท (+17% YoY), NPM 12%
5) มี write off จากการปิดสาขา LAB X 1 สาขา ประมาณ 2 ล้านบาท
6) บริษัทยังไม่มีแผนซื้อหุ้นคืนในเร็วๆนี้
7) บริษัทมีแผนที่จะย้ายเข้าเทรดใน SET ในช่วงปลายปี 2025E - ต้นปี 2026E
DAOL: เรามีมุมมองเป็นบวกต่อ outlook ของ KLINIQ เบื้องต้น เราคาดกำไรสุทธิ 2Q25E อยู่ในกรอบ 82-85 ล้านบาท ขยายตัว YoY , ทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย QoQ กำไรขยายตัว YoY จากรายได้ขยายตัว YoY จากการขยายสาขาและรายได้ศัลยกรรมขยายตัว ด้านกำไรที่ทรงตัว QoQ จาก SG&A to sales ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายในการเปิดสาขาโดย 2Q25 เปิด 5 สาขา ทั้งนี้ เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ที่ 367 ล้านบาท (+14% YoY) เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท อิง PER 17x
(by DAOL, 11 July 2025)
ประเด็นสำคัญ ดังนี้
1) ใน 2Q25E Cash sales โต double digit YoY (ใกล้ๆ +20% YoY) และ single digit QoQ โดย cash sales ที่ขยายตัวส่วนใหญ่มาจาก LAB X และ Surgery ด้าน SSSG อยู่ที่ +8.7% (เทียบกับ 2Q24 = +11.4%, 1Q25 = +21.3%) สำหรับ SG&A expenses คาดว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ไม่มาก แม้เปิด 5 สาขา เนื่องจากมี 2-3 สาขาเปิดปลายเดือน มิ.ย.
2) บริษัทปรับแผนการขยายสาขาใหม่ในปี 2025E เป็น 11 สาขา (จากเดิม 10 สาขา) โดยใน 1Q25 = 1 สาขา, 2Q25 = 5 สาขา (ปิดสาขา 1 สาขา), 3Q25 = 4 สาขา และ 4Q25 = 1 สาขา
3) สำหรับแผนการขยายสาขาในปี 2026E คาดใกล้เคียงกับปี 2025E ที่ 10 สาขา
4) สำหรับปี 2025E บริษัทยังคงเป้ารายได้ที่ 3.5 พันล้านบาท (+17% YoY), NPM 12%
5) มี write off จากการปิดสาขา LAB X 1 สาขา ประมาณ 2 ล้านบาท
6) บริษัทยังไม่มีแผนซื้อหุ้นคืนในเร็วๆนี้
7) บริษัทมีแผนที่จะย้ายเข้าเทรดใน SET ในช่วงปลายปี 2025E - ต้นปี 2026E
DAOL: เรามีมุมมองเป็นบวกต่อ outlook ของ KLINIQ เบื้องต้น เราคาดกำไรสุทธิ 2Q25E อยู่ในกรอบ 82-85 ล้านบาท ขยายตัว YoY , ทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย QoQ กำไรขยายตัว YoY จากรายได้ขยายตัว YoY จากการขยายสาขาและรายได้ศัลยกรรมขยายตัว ด้านกำไรที่ทรงตัว QoQ จาก SG&A to sales ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายในการเปิดสาขาโดย 2Q25 เปิด 5 สาขา ทั้งนี้ เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E ที่ 367 ล้านบาท (+14% YoY) เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท อิง PER 17x
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 159
- ผู้ติดตาม: 22
Re: M
โพสต์ที่ 9
ตอนนี้ผมมองว่าเอมเคคือผู้ตามตี๋น้อยด้านสุกี้บุฟเฟ่ต์ไปแล้วนะครับ และเพิ่งเริ่มที่จะไล่ตามด้วยการเริ่มต้น 2สาขาแรก
วันก่อนผมฟังไลฟ์สดสุกี้ตี๋น้อยแจกบัตรกินฟรี 100 ใบ คำถามมีอยู่ว่า
- ใน 1 วันตี๋น้อยใช้เนื้อออสวันละ กี่ตัน .... คำตอบคือ 12 ต้น
- ใน 1 วันตี๋น้อยใช้เนื้อหมูสามชั้น สันคอ สันนอก กี่ตัน ....คำตอบคือ 25 ตัน
- ใน 1 วันตี๋น้อยใช้ไข่ไก่วันละกี่ฟอง ....คำตอบคือ 46000 ฟอง
- เดือนมิถุนาที่ผ่านมาตี๋น้อยมีลูกค้าเฉลี่ยกี่คนต่อ 1 สาขา ....คำตอบคือ 110,000 คนต่อ 1สาขา
- และปลายปีนี้ตี๋น้อยกำลังจะเปิดสาขาใหม่ 5 สาขาในขณะที่เอมเคเพิ่งเริ่มทำบุฟเฟ่ต์ได้ 2สาขา
ถ้าผมเป็นผบห.ผมฟังแล้วก็เหนื่อยแทนเลยนะครับ ก่อนหน้านี้เราเชื่อเสมอว่าเอมเคคือผู้น้ำด้านสุกี้ แต่ตอนนี้เอมเคกำลังเป็นผู้ตามด้านสุกี้บุฟเฟ่ต์แล้ว
และสิ่งที่ผู้ตามเสียเปรียบคือต้นทุนวัตถุดิบ ด้วยจำนวนวัตถุดิบของตี๋น้อยขนาดนี้แน่นอนว่าต้นทุนวัตถุดิบถูกกว่าเอมเคแน่นอน
ตี๋น้อยเลยกลัวการถูกแย่งลูกค้าเพราะนั้นหมายถึงความสามารถในการต่อรองราคาวัตถุดิบก็จะลดลงด้วย
บอกได้ว่านี้เป็นการเริ่มต้นของการแข่งขันด้านสุกี้บุฟเฟ่ต์ที่น่าจะสนุกครับ เพราะสิ่งที่เอมเคได้เปรียบคือมีเงินสดเยอะพอที่จะขยายสาขาได้อย่างรวดเร็วถ้าผบห.ต้องการ
แต่อาจจะเหนื่อยหน่อยเพราะกำไรต่อสาขาคงไม่ได้สวยหรูเหมือนในอดีตแล้วครับ
เป็นกำลังใจให้ผถห.ทุกท่านครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1281
- ผู้ติดตาม: 410
Re: KAMART
โพสต์ที่ 10
แบรนด์เครื่องสำอางค์จีนยักษ์ใหญ่ที่คนไทยกลัวกำลังจะเจ๊ง
จาก https://www.facebook.com/share/p/162NvqJJ4Z/Florasis สะเทือน ผู้ร่วมก่อตั้งลาออกต่อเนื่อง จากยอดขายพุ่งแรงสู่ตกต่ำในไม่กี่ปี
.
วงการบิวตี้จีนสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อ Florasis (花西子) แบรนด์เครื่องสำอางจีนชื่อดัง ต้องเผชิญกับการลาออกของผู้บริหารระดับสูงถึง 2 รายในครึ่งปีแรกของ 2025 โดยล่าสุด เฟยม่าน ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้กำหนดทิศทางแบรนด์มาตั้งแต่เริ่ม ได้ประกาศอำลาอย่างเป็นทางการ พร้อมเผยว่าจะขอพักผ่อนและใช้เวลากับครอบครัว ท่ามกลางข่าวลือว่าเตรียมเดินหน้าเปิดธุรกิจใหม่ ซึ่งได้รับการยืนยันทางอ้อมจากการจดทะเบียนบริษัทที่ปรึกษาแบรนด์ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
.
ก่อนหน้านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ เหวินยวนพาร์ทเนอร์ด้านวิชวลและผู้อยู่เบื้องหลังลิปสติกแกะลายอันโด่งดัง ก็ได้ลาออกเช่นกัน ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนภายในแบรนด์
.
ย้อนกลับไปในยุครุ่งเรือง Florasis เติบโตแบบก้าวกระโดดจากยอดขายปีละ 43 ล้านหยวน (ราว 197 ล้านบาท) ในปี 2018 พุ่งทะลุ 5.4 พันล้านหยวน (ราว 2.84 หมื่นล้านบาท) ในปี 2021 ด้วยการตลาดแบบจัดเต็มและความร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์แถวหน้าอย่างหลี่เจียฉีแต่ความนิยมที่พุ่งแรงกลับกลายเป็นดาบสองคม
.
ปี 2023 แบรนด์เจอวิกฤตศรัทธาหลังคำพูด “แพงตรงไหน” จากหลี่เจียฉี นักไลฟ์ชื่อดังของวงการบิวตี้จีน กลายเป็นชนวนให้ผู้บริโภคตั้งคำถามถึงราคาและคุณภาพสินค้า ยอดขายร่วงหนัก และแม้จะมีการฟื้นตัวบางส่วนในต้นปี 2025 แต่ผลงานในเทศกาลชอปปิงกลับไม่สดใส
.
นอกจากนี้ การพึ่งพาการตลาดมากกว่าการวิจัย, การใช้โรงงานผลิตแบบ OEM และปัญหาเรื่องการคืนสินค้า ยังทำให้แบรนด์ถูกวิจารณ์หนัก ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสั่นคลอนอย่างต่อเนื่อง
.
ท่ามกลางกระแสเปลี่ยนแปลงนี้ อนาคตของ Florasis จะกลับมายืนหนึ่งในใจผู้บริโภคได้อีกหรือไม่ ยังคงเป็นคำถามใหญ่
.
.
ติดต่อเรา Email: [email protected]
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 167
- ผู้ติดตาม: 1
Re: M
โพสต์ที่ 12
ส่วนตัวคิดว่าปัจจัยที่น่ากังวลที่สุดในการจะลงทุนหุ้นตัวนี้ที่ผ่านมา คือ ผู้บริหาร
ที่ปรับตัวช้ามากๆ ยังติดอยู่กับรูปแบบเดิมๆ ทำโปรโมชั่นก็ครึ่งๆกลางๆ เข้าใจยาก
จะคุ้มก็คุ้มไม่สุด จะพรีเมียมก็ไม่เชิง ในขณะที่ตลาดเปลี่ยนไปค่อนข้างมากจากอดีต
แต่ 2 เดือนที่ผ่านมาถือว่าเซอร์ไพรส์
- เริ่มจากบุฟเฟ่ต์ 299 บาทเน้นไปที่สาขา Lotus, Big C ก่อน มา 4 คนกล้าแถมกุ้งแม่น้ำ
- ต่อโปรบุฟเฟ่ต์อีกเดือน พร้อมเพิ่มสาขาเป็น 299 สาขา (สาขาที่กำลังซื้อไม่สูง)
- ทดลอง 17 สาขาปิดดึก 5ทุ่ม/เที่ยงคืน
- ออกโปรคอนโดเหมาเหมา ที่ไม่ซับซ้อน ไม่แยกหมวด จะสั่งเมนูเดียวทั้งหมดเลยก็ได้
โดนเน้นไปที่สาขากำลังซื้อสูง เช่น Central, The mall, Robinson
แถมไอศครีมไปอีก 2 ถ้วย ผิดวิสัยการทำโปรที่ผ่านๆมามาก
ในอดีตส่วนตัวจำได้แต่ความซับซ้อนและความไม่กล้า จนลูกค้าอาจจะขาดทุนได้ เช่น โปรคอนโดแยกหลายหมวดหมู่ซับซ้อนมาก ผมไม่เคยสั่งเลย ซ้ำร้ายเคยลองบวกดูว่าหากสั่งแต่ตัวที่ถูกสุดของทุกหมวด มันสามารถขาดทุนได้ 5-10% เลยทีเดียว หรือแม้แต่น้ำผลไม้อะไรสักอย่างที่ 1 แก้วราคาสัก 45 บาท หากสั่งเป็นเหยือกโบรชัวร์บอกว่าจะเทได้ 4 แก้วแต่ 192 บาท (ราคาสมมตินะครับจำเป๊ะๆไม่ได้) คือหารแล้วจะงงว่าทำโปรแบบนี้ออกมาทำไม ให้คนที่เผลอสั่งเหยือกต้องทานแพงขึ้น
กลับมาที่ 2 เดือนล่าสุด ภาพที่เห็น คือ โปรที่เข้าใจง่าย คุ้ม ใจปล้ำ
ไม่รู้เพราะจวนตัว หรือ ผู้บริหารจะผลัดใบแล้วจริงๆ
มองยังไงปัญหาหลัก ก็คือ Volume การขาย หรือการ Utilize แต่ละสาขาให้ดีขึ้น ไม่ใช่ Margin หากใจกล้าๆแม้ GPM จะลดลงสัก 5% แต่หากมันไปทำให้ Revenue โตสัก 10-20% แถมได้ใจลูกค้าคืนมายังไงก็มีแต่คุ้มกับคุ้ม
ซึ่งแนวทาง 2 เดือนนี้ดูจะแก้ตรงที่คัน
ที่สำคัญผมคิดว่าปัญหาลึกๆที่ผ่านมาที่แก้ไม่ตก คือ การที่ MK มีสาขาเยอะ แต่ล่ะสาขาโปรไฟล์ลูกค้าต่างกันมาก กำลังซื้อต่างกัน การจะออกโปรโมชั่นให้ตรง Target มันทำไม่ได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ส่วนตัวตีความว่า ผู้บริหารกำลังจะแบ่งลูกค้าของตัวเองเป็น Segment ผ่านทำเลที่ตั้งเลย สาขากำลังซื้อต่ำใช้กลยุทธ์นึง สาขากำลังซื้อสูงใช้อีกกลยุทธ์นึง
ต่อไปการทำโปรมันจะตรง Target ขึ้นมาก (ถ้าสาขาไหนที่ดูไม่ไหวแล้วกล้าปิดไปให้หมดเลยจะยิ่งดี)
ยังไงตัวแบรนด์ MK ผู้บริโภคยังเชื่อมั่นในคุณภาพอยู่ แทบจะอยู่ที่ผู้บริหารล้วนๆว่าจะทำให้มัน Turnaround ทั้งในขาของผู้บริโภคและนักลงทุนไปได้พร้อมกันหรือเปล่า ต้องทั้งใจกล้าและ Balance ในเวลาเดียวกัน
ซึ่งเอาจริงๆด้วยระยะเวลาที่สั้นไปมากก็ยังไม่กล้าจะเชื่อในผู้บริหารขนาดนั้น
ยังไม่รู้จะเป็นเรื่องชั่วคราวหรือไม่ คงได้แต่ติดตามกันไปครับ
ที่ปรับตัวช้ามากๆ ยังติดอยู่กับรูปแบบเดิมๆ ทำโปรโมชั่นก็ครึ่งๆกลางๆ เข้าใจยาก
จะคุ้มก็คุ้มไม่สุด จะพรีเมียมก็ไม่เชิง ในขณะที่ตลาดเปลี่ยนไปค่อนข้างมากจากอดีต
แต่ 2 เดือนที่ผ่านมาถือว่าเซอร์ไพรส์
- เริ่มจากบุฟเฟ่ต์ 299 บาทเน้นไปที่สาขา Lotus, Big C ก่อน มา 4 คนกล้าแถมกุ้งแม่น้ำ
- ต่อโปรบุฟเฟ่ต์อีกเดือน พร้อมเพิ่มสาขาเป็น 299 สาขา (สาขาที่กำลังซื้อไม่สูง)
- ทดลอง 17 สาขาปิดดึก 5ทุ่ม/เที่ยงคืน
- ออกโปรคอนโดเหมาเหมา ที่ไม่ซับซ้อน ไม่แยกหมวด จะสั่งเมนูเดียวทั้งหมดเลยก็ได้
โดนเน้นไปที่สาขากำลังซื้อสูง เช่น Central, The mall, Robinson
แถมไอศครีมไปอีก 2 ถ้วย ผิดวิสัยการทำโปรที่ผ่านๆมามาก
ในอดีตส่วนตัวจำได้แต่ความซับซ้อนและความไม่กล้า จนลูกค้าอาจจะขาดทุนได้ เช่น โปรคอนโดแยกหลายหมวดหมู่ซับซ้อนมาก ผมไม่เคยสั่งเลย ซ้ำร้ายเคยลองบวกดูว่าหากสั่งแต่ตัวที่ถูกสุดของทุกหมวด มันสามารถขาดทุนได้ 5-10% เลยทีเดียว หรือแม้แต่น้ำผลไม้อะไรสักอย่างที่ 1 แก้วราคาสัก 45 บาท หากสั่งเป็นเหยือกโบรชัวร์บอกว่าจะเทได้ 4 แก้วแต่ 192 บาท (ราคาสมมตินะครับจำเป๊ะๆไม่ได้) คือหารแล้วจะงงว่าทำโปรแบบนี้ออกมาทำไม ให้คนที่เผลอสั่งเหยือกต้องทานแพงขึ้น
กลับมาที่ 2 เดือนล่าสุด ภาพที่เห็น คือ โปรที่เข้าใจง่าย คุ้ม ใจปล้ำ
ไม่รู้เพราะจวนตัว หรือ ผู้บริหารจะผลัดใบแล้วจริงๆ
มองยังไงปัญหาหลัก ก็คือ Volume การขาย หรือการ Utilize แต่ละสาขาให้ดีขึ้น ไม่ใช่ Margin หากใจกล้าๆแม้ GPM จะลดลงสัก 5% แต่หากมันไปทำให้ Revenue โตสัก 10-20% แถมได้ใจลูกค้าคืนมายังไงก็มีแต่คุ้มกับคุ้ม
ซึ่งแนวทาง 2 เดือนนี้ดูจะแก้ตรงที่คัน
ที่สำคัญผมคิดว่าปัญหาลึกๆที่ผ่านมาที่แก้ไม่ตก คือ การที่ MK มีสาขาเยอะ แต่ล่ะสาขาโปรไฟล์ลูกค้าต่างกันมาก กำลังซื้อต่างกัน การจะออกโปรโมชั่นให้ตรง Target มันทำไม่ได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ส่วนตัวตีความว่า ผู้บริหารกำลังจะแบ่งลูกค้าของตัวเองเป็น Segment ผ่านทำเลที่ตั้งเลย สาขากำลังซื้อต่ำใช้กลยุทธ์นึง สาขากำลังซื้อสูงใช้อีกกลยุทธ์นึง
ต่อไปการทำโปรมันจะตรง Target ขึ้นมาก (ถ้าสาขาไหนที่ดูไม่ไหวแล้วกล้าปิดไปให้หมดเลยจะยิ่งดี)
ยังไงตัวแบรนด์ MK ผู้บริโภคยังเชื่อมั่นในคุณภาพอยู่ แทบจะอยู่ที่ผู้บริหารล้วนๆว่าจะทำให้มัน Turnaround ทั้งในขาของผู้บริโภคและนักลงทุนไปได้พร้อมกันหรือเปล่า ต้องทั้งใจกล้าและ Balance ในเวลาเดียวกัน
ซึ่งเอาจริงๆด้วยระยะเวลาที่สั้นไปมากก็ยังไม่กล้าจะเชื่อในผู้บริหารขนาดนั้น
ยังไม่รู้จะเป็นเรื่องชั่วคราวหรือไม่ คงได้แต่ติดตามกันไปครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 259
- ผู้ติดตาม: 38
Re: ILINK
โพสต์ที่ 14
[email protected]
พ. 9 ก.ค. 11:54 (3 วันที่ผ่านมา)
เรียน คุณ ******ขอตอบคำถาม ดังนี้ค่ะ
Q: เรื่องนโยบายภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกามีผลบวกหรือลบอย่างไรกับบริษัทครับ
A: กำลังรอผลการเจรจา ปัจจุบันเป็นนิวตรอน(น่าจะ neutral มากกว่านะครับ-เดา) เนื่องจากเรานำเข้าผลิตภัณฑ์ LINK จาก อเมริกา, ไต้หวัน, จีน ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีของแต่ละผลิตภัณฑ์ ซึ่งยังมีการเสียภาษี 0, 10 และ 20% และเราขยายมาต่อเนื่อง ดังนั้นหากการเจรจาสำเร็จ และออกมาว่า สินค้าทั้งหมด ภาษีเหลือ 0 ก็จะได้ผลบวก ส่วนภาษีที่อเมริกาเก็บจากสินค้านำเข้า เราไม่ได้เป็น Export แต่เป็น Import………ขอบคุณค่ะ ส่วนงานนักลงทุนสัมพันธ์
พ. 9 ก.ค. 11:54 (3 วันที่ผ่านมา)
เรียน คุณ ******ขอตอบคำถาม ดังนี้ค่ะ
Q: เรื่องนโยบายภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกามีผลบวกหรือลบอย่างไรกับบริษัทครับ
A: กำลังรอผลการเจรจา ปัจจุบันเป็นนิวตรอน(น่าจะ neutral มากกว่านะครับ-เดา) เนื่องจากเรานำเข้าผลิตภัณฑ์ LINK จาก อเมริกา, ไต้หวัน, จีน ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีของแต่ละผลิตภัณฑ์ ซึ่งยังมีการเสียภาษี 0, 10 และ 20% และเราขยายมาต่อเนื่อง ดังนั้นหากการเจรจาสำเร็จ และออกมาว่า สินค้าทั้งหมด ภาษีเหลือ 0 ก็จะได้ผลบวก ส่วนภาษีที่อเมริกาเก็บจากสินค้านำเข้า เราไม่ได้เป็น Export แต่เป็น Import………ขอบคุณค่ะ ส่วนงานนักลงทุนสัมพันธ์
- Choice37
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2222
- ผู้ติดตาม: 150
Re: M
โพสต์ที่ 15
MK เปิดตัว Fighting brand ชื่อว่า ‘BONUS SUKI’ เอามาสู้ สุกี้ตี๋น้อย - ลัคกี้ สุกี้ - MarketThink
- เริ่มจากเพจเฟซบุ๊ก Saraburi สระบุรี โพสต์บอกว่า
“สรุปเป็น โบนัสสุกี้ BONUS SUKI เครือเอ็มเค เปิดสาขาแรกในไทย! ที่โรบินสันสระบุรี เริ่ม 16 ก.ค. 68 มีโปร 1 แถม 1 ถึง 20 ก.ค. (100 สิทธิ์แรกต่อวัน)”
- ทาง MarketThink ลองตรวจสอบข้อมูลดู พบว่าเจ้าของร้านนี้ ชื่อว่า บริษัท คุ้มคุ้ม จำกัด ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท
- ที่น่าสนใจคือ บริษัทนี้มีรายชื่อกรรมการ 4 คน คือ
1. นายฤทธิ์ ธีระโกเมน
2. นางสุดารัตน์ พัทธ์วิวัฒน์ศิริ
3. นางสาวทานตะวัน ธีระโกเมน
4. นายธีร์ ธีระโกเมน
- ซึ่งเรื่องนี้ ยังไปเชื่อมโยงพอดีกับเอกสารที่เครือ MK รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมาว่า
บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้มีการจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ชื่อว่า บริษัท คุ้มคุ้ม จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์คือ เพื่อประกอบธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 100%
- สำหรับรายละเอียดสำคัญ ๆ ของร้าน BONUS SUKI
- ราคา 219 บาท/คน
โดยราคานี้ ไม่รวมเครื่องดื่มรีฟิล 39 บาท และ Vat 7% (เท่ากับจะมีราคา Net อยู่ที่ 276 บาท เท่าสุกี้ตี๋น้อย กับ ลัคกี้ สุกี้)
- มี 60 เมนู ไม่ว่าจะเป็น หมูสันคอ เนื้อบริสเกตออสฯ กุ้งสด ลูกชิ้น ติ่มซำ ของทานเล่น เครื่องดื่มและสลัชชี
- ช่วงเวลาเปิด-ปิด ตั้งแต่ 11.00 - 05.00 น.
โดยในวันที่ 16 กรกฎาคมที่จะเปิดวันแรกนี้ ทางร้านได้จัดโปรโมชันโปร 1 ฟรี 1 จำกัด 100 สิทธิ์/วันด้วย
- มูฟนี้ของเครือ MK น่าจะเป็นอะไรที่ต้องจับตา เพราะช่วงเดือนที่ผ่านมา ตลาดสุกี้บุฟเฟต์ แข่งกันทำโปรโมชันอย่างดุเดือด
รวมถึงร้านสุกี้ MK ที่ก็เอาหลายสาขาในมือ ตามโลตัส บิ๊กซี มาทำเป็นสาขาบุฟเฟต์แข่งด้วย
- คราวนี้ ถึงเวลาแล้วที่เครือ MK มาเปิดแบรนด์ใหม่ เป็น Fighting brand ลุยตลาดนี้ชนกับคู่แข่งอย่าง สุกี้ตี๋น้อย - ลัคกี้ สุกี้ โดยเฉพาะ
ก็ต้องดูกระแสและฟีดแบ็กหลังจากนี้ ว่าตลาดนี้ จะสะเทือนขนาดไหน.
- เริ่มจากเพจเฟซบุ๊ก Saraburi สระบุรี โพสต์บอกว่า
“สรุปเป็น โบนัสสุกี้ BONUS SUKI เครือเอ็มเค เปิดสาขาแรกในไทย! ที่โรบินสันสระบุรี เริ่ม 16 ก.ค. 68 มีโปร 1 แถม 1 ถึง 20 ก.ค. (100 สิทธิ์แรกต่อวัน)”
- ทาง MarketThink ลองตรวจสอบข้อมูลดู พบว่าเจ้าของร้านนี้ ชื่อว่า บริษัท คุ้มคุ้ม จำกัด ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท
- ที่น่าสนใจคือ บริษัทนี้มีรายชื่อกรรมการ 4 คน คือ
1. นายฤทธิ์ ธีระโกเมน
2. นางสุดารัตน์ พัทธ์วิวัฒน์ศิริ
3. นางสาวทานตะวัน ธีระโกเมน
4. นายธีร์ ธีระโกเมน
- ซึ่งเรื่องนี้ ยังไปเชื่อมโยงพอดีกับเอกสารที่เครือ MK รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมาว่า
บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้มีการจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ชื่อว่า บริษัท คุ้มคุ้ม จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์คือ เพื่อประกอบธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 100%
- สำหรับรายละเอียดสำคัญ ๆ ของร้าน BONUS SUKI
- ราคา 219 บาท/คน
โดยราคานี้ ไม่รวมเครื่องดื่มรีฟิล 39 บาท และ Vat 7% (เท่ากับจะมีราคา Net อยู่ที่ 276 บาท เท่าสุกี้ตี๋น้อย กับ ลัคกี้ สุกี้)
- มี 60 เมนู ไม่ว่าจะเป็น หมูสันคอ เนื้อบริสเกตออสฯ กุ้งสด ลูกชิ้น ติ่มซำ ของทานเล่น เครื่องดื่มและสลัชชี
- ช่วงเวลาเปิด-ปิด ตั้งแต่ 11.00 - 05.00 น.
โดยในวันที่ 16 กรกฎาคมที่จะเปิดวันแรกนี้ ทางร้านได้จัดโปรโมชันโปร 1 ฟรี 1 จำกัด 100 สิทธิ์/วันด้วย
- มูฟนี้ของเครือ MK น่าจะเป็นอะไรที่ต้องจับตา เพราะช่วงเดือนที่ผ่านมา ตลาดสุกี้บุฟเฟต์ แข่งกันทำโปรโมชันอย่างดุเดือด
รวมถึงร้านสุกี้ MK ที่ก็เอาหลายสาขาในมือ ตามโลตัส บิ๊กซี มาทำเป็นสาขาบุฟเฟต์แข่งด้วย
- คราวนี้ ถึงเวลาแล้วที่เครือ MK มาเปิดแบรนด์ใหม่ เป็น Fighting brand ลุยตลาดนี้ชนกับคู่แข่งอย่าง สุกี้ตี๋น้อย - ลัคกี้ สุกี้ โดยเฉพาะ
ก็ต้องดูกระแสและฟีดแบ็กหลังจากนี้ ว่าตลาดนี้ จะสะเทือนขนาดไหน.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 43
- ผู้ติดตาม: 20
Re: WPH
โพสต์ที่ 16
ขออนุญาตแก้ข้อมูลให้ถูกต้องนะครับ คนที่ขายหุ้นคือ คุณวิรวิทย์ วรรณรักษ์ ตำแหน่ง account manager ส่วนCFO คุณเชน เหล่าสุนทร ไม่เคยขายครับkuritsu เขียน: ผมดูจากจำนวนนักท่องเที่ยว momentum ดูจะเข้าทางบริษัทหมด แต่มาตกใจตรง CFO ขายหุ้นหมดพอร์ต ถึงขั้นผมว่าอาจขาดทุนด้วยซ้ำมาขายตรงนี้ นอกจากนั้นรายใหญ่ที่เป็นผู้บริหารก็ขายช่วงใกล้ๆ กับงบไตรมาส 2 หวังว่าจะแค่ต้องใช้เงินนะครับ กลัวจะมี inside งบไตรมาส 2 พอควรครับ คงต้องรอดูเรื่องธรรมาภิบาลของผู้บริหารด้วยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 209
- ผู้ติดตาม: 25
Re: MC
โพสต์ที่ 18
สูตรปั้นยอดขาย Mc Jeans เริ่มจากศูนย์ สู่บัลลังก์เบอร์ 1 อีคอมเมิร์ซด้วยหลัก ‘3Ps’
บนเวที ‘Mastering E-Commerce with 3Ps Strategy เบื้องหลังกลยุทธ์ Mc Jeans พิชิตเบอร์ 1 ตลาดออนไลน์’ ภายในงาน The Secret Sauce Business Weekend อีสาน 2025
ธฤต จันทะโสต ผู้อำนวยการธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และ คุณานนต์ จันทรภาสวร ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจองค์กร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้เปิดกลยุทธ์จากประสบการณ์จริง ในการปั้นแบรนด์ ‘Mc Jeans’ จากแบรนด์เก่าแก่ไร้ประสบการณ์ทำธุรกิจออนไลน์ สู่ร้านค้าอันดับหนึ่งใน Shopee และอีกหลายแพลตฟอร์มในตลาดอีคอมเมิร์ซเมืองไทย ในเวลาเพียง 5 ปี ด้วยกรอบการทำงาน ‘3Ps’ ที่เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ
P1: Product (สินค้าที่ใช่)
บริษัทได้ค้นพบ ‘กฎ 80/20’ หมายถึงการที่สินค้าเพียง 20% ก็สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 80% ของยอดขายออนไลน์ทั้งหมด ดังนั้น แทนที่จะนำสินค้าทุกอย่างมาขาย ควรหาสินค้าที่เป็นตัวทำเงินให้เจอแทน จึงได้ปั้นกลยุทธ์ ‘Hero SKU’ และ ‘Super Hero SKU’ ขึ้นมาเพื่อพิชิตอัลกอริทึมของแพลตฟอร์ม
Hero SKU คือ สินค้าที่มียอดสั่งซื้อต่อเนื่อง 30 ออเดอร์ต่อวัน เป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งจะทำให้แพลตฟอร์มช่วยเพิ่มการมองเห็นให้กับร้านค้าประมาณ 30%
Super Hero SKU คือ สินค้าที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ด้วยยอดสั่งซื้อ 100 ออเดอร์ต่อวัน ต่อเนื่อง 3 เดือน ซึ่งไม่เพียงสร้างยอดขายมหาศาล แต่ยังเป็นตัวสร้างทราฟฟิกหลักให้กับร้าน
การรักษาตำแหน่งของฮีโร่โปรดักต์ไว้สำคัญไม่แพ้กัน โดยมี 3 ทริกที่แนะนำว่าต้องทำอย่างสม่ำเสมอ
ผลิตคลิปวิดีโอให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเน้นที่คุณภาพและความน่าสนใจ เช่น วิดีโอรีวิว, การมิกซ์แอนด์แมตช์เสื้อผ้า หรือโปรโมชัน
ต้องขึ้นไลฟ์ทุกวัน ใช้สินค้าเดิมๆ ซ้ำๆ เพื่อให้แพลตฟอร์มเกิดการเรียนรู้และช่วยส่งทราฟฟิกมาให้
บริหารจัดการสต็อกให้ดี หากสินค้ากำลังขายดีแต่สต็อกหมดก่อน อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มอาจเริ่มนับหนึ่งใหม่ จึงต้องรักษาสต็อกสินค้าให้มีพร้อมขายต่อเนื่องอย่างน้อย 3-6 เดือน
P2: People (คนที่พร้อม)
‘Data Analytics’ คือตำแหน่งที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากแพลตฟอร์ม, ศึกษาเทรนด์, พฤติกรรมลูกค้า และคู่แข่ง เพื่อกำหนดกลยุทธ์ที่แม่นยำ การมีทีมข้อมูลที่แข็งแกร่งช่วยให้ Mc Jeans สามารถทำผลตอบแทนจากการยิงโฆษณา ได้สูงถึง 20-30 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดที่อยู่ที่ 10-15 เท่า
และเมื่อเทรนด์ไลฟ์คอมเมิร์ซมาแรง Mc Jeans เลือกที่จะสร้างทีมขึ้นมาเอง มีการพัฒนาหลักสูตรสอนทุกอย่าง จนปัจจุบันมีทีมไลฟ์ภายในกว่า 40 ทีม และขยายไปสู่พนักงานหน้าร้าน (PC) อีกกว่า 200 คนทั่วประเทศ
ความสำเร็จนี้ยังถูกต่อยอดไปสู่โปรแกรม Affiliate ที่เปิดรับคนนอกเข้ามาฝึกเป็นนักขายให้กับแบรนด์ จนมีคนที่สามารถสร้างยอดขายให้ Mc Jeans ได้ถึง 10 ล้านบาทต่อเดือน และรับรายได้จากค่าคอมมิชชั่นสูงถึง 300,000 - 500,000 บาทต่อเดือน
P3: Process (กระบวนการที่แกร่ง)
"มีหน้าบ้านที่แข็งแรง ต้องมีหลังบ้านที่แข็งแรงกว่า"
ความท้าทายที่สุดของกระบวนการหลังบ้านคือการจัดการคลังสินค้าและการจัดส่ง ซึ่งต้องแข่งกับข้อกำหนดเรื่องเวลาของแพลตฟอร์มที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากทำไม่ได้ บทลงโทษนั้นรุนแรงและส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรง
Mc Jeans ผ่านจุดที่เคยโดนปิดร้านมาแล้ว จึงลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน มี Dashboard ที่สามารถติดตามสถานะออเดอร์ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถบริหารจัดการออเดอร์ในวันปกติได้ถึง 5,000-8,000 ออเดอร์ และในวันแคมเปญใหญ่ที่เคยพุ่งสูงเกือบ 25,000 ออเดอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งสุดท้ายที่ธฤต และ คุณานันต์ ได้ฝากไว้ คือ ตลาดอีคอมเมิร์ซที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วนี้ "ธุรกิจต้องมูฟให้ไว" และต้องสร้างทั้งหน้าบ้านที่แข็งแรงควบคู่ไปกับหลังบ้านที่แข็งแรงกว่า จึงจะสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จในสมรภูมิการค้าออนไลน์ได้อย่างยั่งยืน
#TSSBWอีสาน2025 #TheSecretSauceอีสาน #KeyTakeaway #McJeans
บนเวที ‘Mastering E-Commerce with 3Ps Strategy เบื้องหลังกลยุทธ์ Mc Jeans พิชิตเบอร์ 1 ตลาดออนไลน์’ ภายในงาน The Secret Sauce Business Weekend อีสาน 2025
ธฤต จันทะโสต ผู้อำนวยการธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และ คุณานนต์ จันทรภาสวร ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจองค์กร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้เปิดกลยุทธ์จากประสบการณ์จริง ในการปั้นแบรนด์ ‘Mc Jeans’ จากแบรนด์เก่าแก่ไร้ประสบการณ์ทำธุรกิจออนไลน์ สู่ร้านค้าอันดับหนึ่งใน Shopee และอีกหลายแพลตฟอร์มในตลาดอีคอมเมิร์ซเมืองไทย ในเวลาเพียง 5 ปี ด้วยกรอบการทำงาน ‘3Ps’ ที่เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ
บริษัทได้ค้นพบ ‘กฎ 80/20’ หมายถึงการที่สินค้าเพียง 20% ก็สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 80% ของยอดขายออนไลน์ทั้งหมด ดังนั้น แทนที่จะนำสินค้าทุกอย่างมาขาย ควรหาสินค้าที่เป็นตัวทำเงินให้เจอแทน จึงได้ปั้นกลยุทธ์ ‘Hero SKU’ และ ‘Super Hero SKU’ ขึ้นมาเพื่อพิชิตอัลกอริทึมของแพลตฟอร์ม
การรักษาตำแหน่งของฮีโร่โปรดักต์ไว้สำคัญไม่แพ้กัน โดยมี 3 ทริกที่แนะนำว่าต้องทำอย่างสม่ำเสมอ
‘Data Analytics’ คือตำแหน่งที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากแพลตฟอร์ม, ศึกษาเทรนด์, พฤติกรรมลูกค้า และคู่แข่ง เพื่อกำหนดกลยุทธ์ที่แม่นยำ การมีทีมข้อมูลที่แข็งแกร่งช่วยให้ Mc Jeans สามารถทำผลตอบแทนจากการยิงโฆษณา ได้สูงถึง 20-30 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดที่อยู่ที่ 10-15 เท่า
และเมื่อเทรนด์ไลฟ์คอมเมิร์ซมาแรง Mc Jeans เลือกที่จะสร้างทีมขึ้นมาเอง มีการพัฒนาหลักสูตรสอนทุกอย่าง จนปัจจุบันมีทีมไลฟ์ภายในกว่า 40 ทีม และขยายไปสู่พนักงานหน้าร้าน (PC) อีกกว่า 200 คนทั่วประเทศ
ความสำเร็จนี้ยังถูกต่อยอดไปสู่โปรแกรม Affiliate ที่เปิดรับคนนอกเข้ามาฝึกเป็นนักขายให้กับแบรนด์ จนมีคนที่สามารถสร้างยอดขายให้ Mc Jeans ได้ถึง 10 ล้านบาทต่อเดือน และรับรายได้จากค่าคอมมิชชั่นสูงถึง 300,000 - 500,000 บาทต่อเดือน
"มีหน้าบ้านที่แข็งแรง ต้องมีหลังบ้านที่แข็งแรงกว่า"
ความท้าทายที่สุดของกระบวนการหลังบ้านคือการจัดการคลังสินค้าและการจัดส่ง ซึ่งต้องแข่งกับข้อกำหนดเรื่องเวลาของแพลตฟอร์มที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากทำไม่ได้ บทลงโทษนั้นรุนแรงและส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรง
Mc Jeans ผ่านจุดที่เคยโดนปิดร้านมาแล้ว จึงลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน มี Dashboard ที่สามารถติดตามสถานะออเดอร์ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถบริหารจัดการออเดอร์ในวันปกติได้ถึง 5,000-8,000 ออเดอร์ และในวันแคมเปญใหญ่ที่เคยพุ่งสูงเกือบ 25,000 ออเดอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งสุดท้ายที่ธฤต และ คุณานันต์ ได้ฝากไว้ คือ ตลาดอีคอมเมิร์ซที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วนี้ "ธุรกิจต้องมูฟให้ไว" และต้องสร้างทั้งหน้าบ้านที่แข็งแรงควบคู่ไปกับหลังบ้านที่แข็งแรงกว่า จึงจะสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จในสมรภูมิการค้าออนไลน์ได้อย่างยั่งยืน
#TSSBWอีสาน2025 #TheSecretSauceอีสาน #KeyTakeaway #McJeans
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 117
- ผู้ติดตาม: 33
Re: WPH
โพสต์ที่ 19
ผมดูจากจำนวนนักท่องเที่ยว momentum ดูจะเข้าทางบริษัทหมด แต่มาตกใจตรง accounting manager ขายหุ้นหมดพอร์ต ถึงขั้นผมว่าอาจขาดทุนด้วยซ้ำมาขายตรงนี้ นอกจากนั้นรายใหญ่ที่เป็นผู้บริหารก็ขายช่วงใกล้ๆ กับงบไตรมาส 2 หวังว่าจะแค่ต้องใช้เงินนะครับ กลัวจะมี inside งบไตรมาส 2 พอควรครับ คงต้องรอดูเรื่องธรรมาภิบาลของผู้บริหารด้วยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 305
- ผู้ติดตาม: 30
Re: KLINIQ
โพสต์ที่ 20
บทวิเคราห์ของกรุงศรีครับ
https://www.settrade.com/th/research/an ... kss-kliniq
https://www.settrade.com/th/research/an ... kss-kliniq
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2016
- ผู้ติดตาม: 443
หุ้นโลก (all time) Hi หุ้นไทย (long time) Lo/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 23
หุ้นโลก ซึ่งดัชนีหลัก ๆ ก็คือ S&P500 Nasdaq และดัชนี Dow Jones ต่างก็ปรับตัวขึ้นจน “สูงสุดในประวัติศาสตร์” หรือใกล้จุดสูงสุดในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว และก็เช่นเดียวกับหุ้นในหลาย ๆ ตลาดที่นักลงทุนติดตามกันเช่น ญี่ปุ่นหรือแม้แต่จีนฮ่องกงเอง ที่อดีตเคยซบเซาเงียบเหงามานาน ในระยะเร็ว ๆ นี้ ดัชนีหุ้นก็วิ่งขึ้นเร็วสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักลงทุนทั่วโลก
ตรงกันข้ามกับหุ้นไทยที่ย่ำแย่มานานนับ 10 ปี และปีนี้ก็ยังแย่อยู่ และก็แย่มากขึ้นไปอีกโดยที่คนก็โทษภาษีการค้าของทรัมป์ราวกับว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ถูกกระทบหนัก เพราะความเป็นจริงก็คือ แทบทุกประเทศ ทั้งที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาต่างก็โดนเหมือนกัน แต่ตลาดหุ้นของพวกเขาก็ยังทำผลงานได้ดีมากแบบ “ผิดคาด” ทำไมตลาดหุ้นไทยจึงแทบจะเป็นตลาดหุ้นเดียวที่แย่ และนับจากต้นปีเราก็เป็นตลาดที่ “ตกมากที่สุด” ในบรรดาตลาดหุ้นหลัก ๆ ของย่านนี้
บางทีปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยแย่และตลาดหุ้นอื่นดีนั้น อาจจะเป็นเรื่องอื่นมากกว่า และก็อาจจะเป็นปัจจัยระยะยาวที่ดำเนินมานานพอสมควรแล้วและก็กระทบและมีผลต่อตลาดหุ้นมาตลอด เรื่องสงครามการค้านั้น อาจจะไม่ได้มีผลมากอย่างที่คิด และถึงจะมีก็อาจจะน้อยกว่าเรื่องของเทคโนโลยีโดยเฉพาะด้าน AI ที่อาจจะก่อให้เกิดผลดีต่อตลาดหุ้นที่สามารถลบล้างผลเสียของสงครามการค้าได้ โดยเฉพาะในประเทศที่มีความสามารถหรือความคิดสร้างสรรค์ในการใช้เทคโนโลยีสูง
ผมเองไม่มีคำตอบที่ถูกต้องว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็จะใช้ ประวัติศาสตร์ของดัชนีตลาดหุ้นของประเทศหรือตลาดหลัก ๆ มาอธิบายเท่าที่จะทำได้ โดยการมองย้อนหลังกลับไปเป็นระยะ ๆ คือ 10 ปี 5 ปี และจากต้นปีถึงวันนี้ประมาณ 6-7 เดือน ตามลำดับ
ตลาดหุ้นที่ดีที่สุดมองย้อนหลังไป 10 ปี ก็คือ Nasdaq ที่ประกอบไปด้วยหุ้นดิจิทัลไฮเท็คและแน่นอน AI ที่โดดเด่นที่สุดของโลก ดัชนีแนสแด็กในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นปรับตัวขึ้น 3 เท่าหรือ 300% คิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 16.1% ในเวลาติดต่อกัน 10 ปี หุ้น 7 นางฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในดัชนีนั้นเติบโตยิ่งกว่ามาก หุ้นอย่าง NVIDIA น่าจะเติบโตเป็น 100 เท่าและกลายเป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลาเพียงไม่กี่ปี
มองย้อนหลังไป 5 ปี ดัชนีแนสแด็กก็โตขึ้น 95.5% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 14.9% ซึ่งก็ยังแสดงให้เห็นว่า ดัชนีก็ยังเติบโตเร็วอยู่ทั้ง ๆ ที่ ขนาดของบริษัทหรือหุ้นนั้นใหญ่มาก “คับโลก” อยู่แล้ว
จากสิ้นปีที่แล้วหรือต้นปีถึงวันนี้ มีช่วงที่ดัชนีตกลงมาแรงในช่วงต้นปีที่เกิดการประกาศสงครามการค้าของทรัมป์ทำให้ดัชนีตกลงมาแรงกว่า 10% และคนคิดว่า “หมดยุคหุ้นบูม” ที่ดำเนินมายาวนานแล้ว แต่หลังจากนั้น ดัชนีก็ปรับตัวขึ้นมาใหม่และสูงขึ้นไปกว่าเดิมที่เคยเป็นจุดสูงสุด นับจากต้นปี ดัชนีปรับตัวขึ้นประมาณ 3.2% และตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความคึกคัก สถิติต่าง ๆ ถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง
ดัชนีหุ้น S&P 500 ซึ่งเป็นตัวแทนโดยรวมของเศรษฐกิจอเมริกันเองนั้น ดูเหมือนจะชี้ว่าอเมริกายังคงแข็งแกร่งและเป็นผู้นำโลกมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ไม่เหมือนอย่างที่ทรัมป์พูดว่า “Make America Great Again” ซึ่งแฝงนัยว่าอเมริกาแย่และจะต้องฟื้นฟูอเมริกาโดยการตั้งกำแพงกันผู้อพยพและสินค้าเข้าประเทศอย่างบ้าคลั่ง
ดัชนี S&P ปรับตัวขึ้นถึง 218% ในเวลา 10 ปี คิดเป็นผลตอบแทนบทต้นปีละ 12.3% ตลอด 10 ปี และในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีให้ผลตอบแทนไม่รวมปันผลถึง 73.5% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 11.7% ลดลงเพียงเล็กน้อยแต่ก็ยังถือว่ายอดเยี่ยมเมื่อคำนึงถึงขนาด Market Cap. ที่ใหญ่ขึ้นมาก คือมูลค่าตลาดใหญ่เกินกว่า 2 เท่าของรายได้ประชาชาติของสหรัฐไปแล้ว ในขณะที่บัฟเฟตต์เองเคยบอกว่า ถ้ามูลค่าสูงเท่ากับ GDP ก็ถือว่าตลาดหุ้นแพงเกินไปแล้ว
ตั้งแต่ต้นปี S&P ก็เช่นเดียวกับ Nasdaq ที่มีช่วงตกใจดัชนีลดลงจากเรื่องภาษีทรัมป์ แต่ขณะนี้บวกไปแล้วจากสิ้นปีที่แล้วประมาณ 7% และนำโดยหุ้นเท็คขนาดยักษ์อย่าง NVIDIA เป็นต้น
จากสหรัฐ ผมอยากกลับมาที่ประเทศกำลังพัฒนาที่กำลัง ถูกปั้นให้เป็น “The New Great Economy” นั่นคือ อินเดีย และ เวียตนาม ซึ่งผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจากประเทศที่จนมากและแทบไม่มีความสำคัญ กลายเป็นประเทศที่ผู้นำระดับโลกต้องมาเยี่ยมเยียน เจรจา และ “เกรงใจ” เมื่อจะทำอะไรที่กระทบกับ 2 ประเทศนี้
ดัชนีหุ้นอินเดียในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นเกือบ 200% เป็น 3 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 11.6% ไม่รวมปันผล และในช่วง 5 ปีหลัง ดัชนีเติบโตขึ้นถึง 125.8% หรือเท่ากับ 17.7% ต่อปีแบบทบต้นซึ่งสูงยิ่งกว่าดัชนีแนสแด็กที่ว่าสูงมากเสียอีก และนั่นทำให้ตลาดหุ้นอินเดียที่คนไทยแทบไม่รู้จักเมื่อ 5-6 ปีก่อน กลายเป็นตลาดที่นักลงทุนไทยสนใจมากขึ้นมาก ผลงานนับจากต้นปีนี้ก็ยังทำได้ดีคือบวกประมาณ 5-6%
ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้น 135% หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 8.9% แบบทบต้นไม่รวมปันผล ในช่วง 5 ปี ดัชนีปรับตัวขึ้น 67.6% หรือให้ผลตอบแทน 10.9% ซึ่งก็ต้องถือว่าค่อนข้างดีทีเดียวเมื่อคำนึงถึงว่าเวียตนามยังเป็นตลาด “Frontier Market” ที่สถาบันนักลงทุนขนาดใหญ่ของต่างชาติยังไม่สามารถเข้ามาลงทุนได้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นเวียตนามจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ดัชนีหุ้นตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 15% สูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะหลังจากที่ตกลงดีลการค้ากับอเมริกาได้สำเร็จ
ตลาดหุ้นฮั่งเส็งซึ่งผมใช้เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นจีนนั้น ดูเหมือนว่าจะคล้ายตลาดหุ้นไทยที่สุดในแง่ที่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองที่ทำให้ประเทศถอยหลังกลับไปในด้านของความเป็นเสรีทางเศรษฐกิจและการเมืองตั้งแต่เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ดัชนีฮั่งเส็งลดลงมาประมาณ 25% ในเวลา 10 ปีหรือลดลงเฉลี่ยปีละ 2.8% แบบทบต้น หรือเรียกว่าเป็น “Loss Decade”
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีก็ยังลดลงประมาณ 10% หรือลดลงปีละ 2.1% แบบทบต้น อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ดูเหมือนว่าจะมีการปรับในเรื่องของการเมืองและเศรษฐกิจในช่วงเร็ว ๆ นี้ของรัฐบาล ดัชนีฮั่งเส็งก็เริ่มดีขึ้นมากทั้ง ๆ ที่สงครามการค้ารุนแรงและอนาคตของเศรษฐกิจจีนก็ยังไม่สดใส ดัชนีตั้งแต่ต้นปีได้ปรับตัวขึ้นถึง 12.9% เราคงต้องจับตาดูต่อไปว่าจีนกำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างจริงจังมากน้อยแค่ไหน
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั้นเคยตกต่ำเป็น Loss Decade มาไม่น้อยกว่า 10-20 ปี แต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ด้วยการปฎิรูปอย่างสำคัญของชินโสะอาเบะนายกรัฐมนตรี ได้ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีความหวังและพร้อมกลับมามีบทบาทมากขึ้นในโลก
ดัชนีนิกเกอิปรับตัวเพิ่มขึ้น 126% ในเวลา 10 ปีคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 8.5% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แทบไม่ได้ดอกเบี้ยเลยเป็นเวลาสิบ ๆ ปีติดต่อกัน ผลตอบแทน 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 65% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 10.6% ซึ่งก็สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสุดท้าย ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันก็ยังเสมอตัวแม้ว่าต้องเผชิญกับภาษีทรัมป์
กล่าวโดยสรุปแล้วก็ต้องถือว่าตลาดญี่ปุ่นน่าจะสะท้อนว่า ญี่ปุ่นหลุดพ้นจากภาวะ “Loss Decades” แล้วอย่างสมบูรณ์จากการที่สามารถปฏิรูปเศรษฐกิจที่หยุดยั้งการถดถอยของ GDP ที่เคยดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนาน
สุดท้ายก็คือ ตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมา 10 ปี ดัชนีลดลงต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่มีปัญหาทางการเมืองซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้และเกิดการรัฐประหารซึ่งทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจซึ่งรวมถึงการที่ประชากรแก่ตัวลงและขาดการพัฒนาการศึกษาและเทคโนโลยี ผลก็คือ ดัชนีช่วง 10 ปีที่ผ่านมาลดลง 22% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ -2.5%
ในขณะที่มองย้อนหลัง 5 ปี ดัชนีลดลง 15.6% คิดเป็นผลตอบแทนทบต้น -3.3% ในช่วงเวลาติดต่อกัน 5 ปี และถ้ามองจากต้นปีถึงวันนี้ ดัชนีก็ติดลบไปแล้วถึง 19.9% แย่ที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
ภาพของประเทศไทยและตลาดหุ้นไทยถึงวันนี้ก็คือ เราอยู่ในภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่เรียกว่า “Loss Decade” หรือ “ทศวรรษที่หายไป” ที่ยังอาจจะไม่หมดและยังไม่เห็นวี่แววว่าจะฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้นแบบของจีนหรือญี่ปุ่น
ตรงกันข้ามกับหุ้นไทยที่ย่ำแย่มานานนับ 10 ปี และปีนี้ก็ยังแย่อยู่ และก็แย่มากขึ้นไปอีกโดยที่คนก็โทษภาษีการค้าของทรัมป์ราวกับว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ถูกกระทบหนัก เพราะความเป็นจริงก็คือ แทบทุกประเทศ ทั้งที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาต่างก็โดนเหมือนกัน แต่ตลาดหุ้นของพวกเขาก็ยังทำผลงานได้ดีมากแบบ “ผิดคาด” ทำไมตลาดหุ้นไทยจึงแทบจะเป็นตลาดหุ้นเดียวที่แย่ และนับจากต้นปีเราก็เป็นตลาดที่ “ตกมากที่สุด” ในบรรดาตลาดหุ้นหลัก ๆ ของย่านนี้
บางทีปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยแย่และตลาดหุ้นอื่นดีนั้น อาจจะเป็นเรื่องอื่นมากกว่า และก็อาจจะเป็นปัจจัยระยะยาวที่ดำเนินมานานพอสมควรแล้วและก็กระทบและมีผลต่อตลาดหุ้นมาตลอด เรื่องสงครามการค้านั้น อาจจะไม่ได้มีผลมากอย่างที่คิด และถึงจะมีก็อาจจะน้อยกว่าเรื่องของเทคโนโลยีโดยเฉพาะด้าน AI ที่อาจจะก่อให้เกิดผลดีต่อตลาดหุ้นที่สามารถลบล้างผลเสียของสงครามการค้าได้ โดยเฉพาะในประเทศที่มีความสามารถหรือความคิดสร้างสรรค์ในการใช้เทคโนโลยีสูง
ผมเองไม่มีคำตอบที่ถูกต้องว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็จะใช้ ประวัติศาสตร์ของดัชนีตลาดหุ้นของประเทศหรือตลาดหลัก ๆ มาอธิบายเท่าที่จะทำได้ โดยการมองย้อนหลังกลับไปเป็นระยะ ๆ คือ 10 ปี 5 ปี และจากต้นปีถึงวันนี้ประมาณ 6-7 เดือน ตามลำดับ
ตลาดหุ้นที่ดีที่สุดมองย้อนหลังไป 10 ปี ก็คือ Nasdaq ที่ประกอบไปด้วยหุ้นดิจิทัลไฮเท็คและแน่นอน AI ที่โดดเด่นที่สุดของโลก ดัชนีแนสแด็กในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นปรับตัวขึ้น 3 เท่าหรือ 300% คิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 16.1% ในเวลาติดต่อกัน 10 ปี หุ้น 7 นางฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในดัชนีนั้นเติบโตยิ่งกว่ามาก หุ้นอย่าง NVIDIA น่าจะเติบโตเป็น 100 เท่าและกลายเป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลาเพียงไม่กี่ปี
มองย้อนหลังไป 5 ปี ดัชนีแนสแด็กก็โตขึ้น 95.5% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 14.9% ซึ่งก็ยังแสดงให้เห็นว่า ดัชนีก็ยังเติบโตเร็วอยู่ทั้ง ๆ ที่ ขนาดของบริษัทหรือหุ้นนั้นใหญ่มาก “คับโลก” อยู่แล้ว
จากสิ้นปีที่แล้วหรือต้นปีถึงวันนี้ มีช่วงที่ดัชนีตกลงมาแรงในช่วงต้นปีที่เกิดการประกาศสงครามการค้าของทรัมป์ทำให้ดัชนีตกลงมาแรงกว่า 10% และคนคิดว่า “หมดยุคหุ้นบูม” ที่ดำเนินมายาวนานแล้ว แต่หลังจากนั้น ดัชนีก็ปรับตัวขึ้นมาใหม่และสูงขึ้นไปกว่าเดิมที่เคยเป็นจุดสูงสุด นับจากต้นปี ดัชนีปรับตัวขึ้นประมาณ 3.2% และตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความคึกคัก สถิติต่าง ๆ ถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง
ดัชนีหุ้น S&P 500 ซึ่งเป็นตัวแทนโดยรวมของเศรษฐกิจอเมริกันเองนั้น ดูเหมือนจะชี้ว่าอเมริกายังคงแข็งแกร่งและเป็นผู้นำโลกมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ไม่เหมือนอย่างที่ทรัมป์พูดว่า “Make America Great Again” ซึ่งแฝงนัยว่าอเมริกาแย่และจะต้องฟื้นฟูอเมริกาโดยการตั้งกำแพงกันผู้อพยพและสินค้าเข้าประเทศอย่างบ้าคลั่ง
ดัชนี S&P ปรับตัวขึ้นถึง 218% ในเวลา 10 ปี คิดเป็นผลตอบแทนบทต้นปีละ 12.3% ตลอด 10 ปี และในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีให้ผลตอบแทนไม่รวมปันผลถึง 73.5% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 11.7% ลดลงเพียงเล็กน้อยแต่ก็ยังถือว่ายอดเยี่ยมเมื่อคำนึงถึงขนาด Market Cap. ที่ใหญ่ขึ้นมาก คือมูลค่าตลาดใหญ่เกินกว่า 2 เท่าของรายได้ประชาชาติของสหรัฐไปแล้ว ในขณะที่บัฟเฟตต์เองเคยบอกว่า ถ้ามูลค่าสูงเท่ากับ GDP ก็ถือว่าตลาดหุ้นแพงเกินไปแล้ว
ตั้งแต่ต้นปี S&P ก็เช่นเดียวกับ Nasdaq ที่มีช่วงตกใจดัชนีลดลงจากเรื่องภาษีทรัมป์ แต่ขณะนี้บวกไปแล้วจากสิ้นปีที่แล้วประมาณ 7% และนำโดยหุ้นเท็คขนาดยักษ์อย่าง NVIDIA เป็นต้น
จากสหรัฐ ผมอยากกลับมาที่ประเทศกำลังพัฒนาที่กำลัง ถูกปั้นให้เป็น “The New Great Economy” นั่นคือ อินเดีย และ เวียตนาม ซึ่งผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจากประเทศที่จนมากและแทบไม่มีความสำคัญ กลายเป็นประเทศที่ผู้นำระดับโลกต้องมาเยี่ยมเยียน เจรจา และ “เกรงใจ” เมื่อจะทำอะไรที่กระทบกับ 2 ประเทศนี้
ดัชนีหุ้นอินเดียในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นเกือบ 200% เป็น 3 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 11.6% ไม่รวมปันผล และในช่วง 5 ปีหลัง ดัชนีเติบโตขึ้นถึง 125.8% หรือเท่ากับ 17.7% ต่อปีแบบทบต้นซึ่งสูงยิ่งกว่าดัชนีแนสแด็กที่ว่าสูงมากเสียอีก และนั่นทำให้ตลาดหุ้นอินเดียที่คนไทยแทบไม่รู้จักเมื่อ 5-6 ปีก่อน กลายเป็นตลาดที่นักลงทุนไทยสนใจมากขึ้นมาก ผลงานนับจากต้นปีนี้ก็ยังทำได้ดีคือบวกประมาณ 5-6%
ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้น 135% หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 8.9% แบบทบต้นไม่รวมปันผล ในช่วง 5 ปี ดัชนีปรับตัวขึ้น 67.6% หรือให้ผลตอบแทน 10.9% ซึ่งก็ต้องถือว่าค่อนข้างดีทีเดียวเมื่อคำนึงถึงว่าเวียตนามยังเป็นตลาด “Frontier Market” ที่สถาบันนักลงทุนขนาดใหญ่ของต่างชาติยังไม่สามารถเข้ามาลงทุนได้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นเวียตนามจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ดัชนีหุ้นตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 15% สูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะหลังจากที่ตกลงดีลการค้ากับอเมริกาได้สำเร็จ
ตลาดหุ้นฮั่งเส็งซึ่งผมใช้เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นจีนนั้น ดูเหมือนว่าจะคล้ายตลาดหุ้นไทยที่สุดในแง่ที่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองที่ทำให้ประเทศถอยหลังกลับไปในด้านของความเป็นเสรีทางเศรษฐกิจและการเมืองตั้งแต่เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ดัชนีฮั่งเส็งลดลงมาประมาณ 25% ในเวลา 10 ปีหรือลดลงเฉลี่ยปีละ 2.8% แบบทบต้น หรือเรียกว่าเป็น “Loss Decade”
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีก็ยังลดลงประมาณ 10% หรือลดลงปีละ 2.1% แบบทบต้น อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ดูเหมือนว่าจะมีการปรับในเรื่องของการเมืองและเศรษฐกิจในช่วงเร็ว ๆ นี้ของรัฐบาล ดัชนีฮั่งเส็งก็เริ่มดีขึ้นมากทั้ง ๆ ที่สงครามการค้ารุนแรงและอนาคตของเศรษฐกิจจีนก็ยังไม่สดใส ดัชนีตั้งแต่ต้นปีได้ปรับตัวขึ้นถึง 12.9% เราคงต้องจับตาดูต่อไปว่าจีนกำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างจริงจังมากน้อยแค่ไหน
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั้นเคยตกต่ำเป็น Loss Decade มาไม่น้อยกว่า 10-20 ปี แต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ด้วยการปฎิรูปอย่างสำคัญของชินโสะอาเบะนายกรัฐมนตรี ได้ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีความหวังและพร้อมกลับมามีบทบาทมากขึ้นในโลก
ดัชนีนิกเกอิปรับตัวเพิ่มขึ้น 126% ในเวลา 10 ปีคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 8.5% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แทบไม่ได้ดอกเบี้ยเลยเป็นเวลาสิบ ๆ ปีติดต่อกัน ผลตอบแทน 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 65% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 10.6% ซึ่งก็สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสุดท้าย ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันก็ยังเสมอตัวแม้ว่าต้องเผชิญกับภาษีทรัมป์
กล่าวโดยสรุปแล้วก็ต้องถือว่าตลาดญี่ปุ่นน่าจะสะท้อนว่า ญี่ปุ่นหลุดพ้นจากภาวะ “Loss Decades” แล้วอย่างสมบูรณ์จากการที่สามารถปฏิรูปเศรษฐกิจที่หยุดยั้งการถดถอยของ GDP ที่เคยดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนาน
สุดท้ายก็คือ ตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมา 10 ปี ดัชนีลดลงต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่มีปัญหาทางการเมืองซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้และเกิดการรัฐประหารซึ่งทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจซึ่งรวมถึงการที่ประชากรแก่ตัวลงและขาดการพัฒนาการศึกษาและเทคโนโลยี ผลก็คือ ดัชนีช่วง 10 ปีที่ผ่านมาลดลง 22% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ -2.5%
ในขณะที่มองย้อนหลัง 5 ปี ดัชนีลดลง 15.6% คิดเป็นผลตอบแทนทบต้น -3.3% ในช่วงเวลาติดต่อกัน 5 ปี และถ้ามองจากต้นปีถึงวันนี้ ดัชนีก็ติดลบไปแล้วถึง 19.9% แย่ที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
ภาพของประเทศไทยและตลาดหุ้นไทยถึงวันนี้ก็คือ เราอยู่ในภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่เรียกว่า “Loss Decade” หรือ “ทศวรรษที่หายไป” ที่ยังอาจจะไม่หมดและยังไม่เห็นวี่แววว่าจะฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้นแบบของจีนหรือญี่ปุ่น
- Choice37
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2222
- ผู้ติดตาม: 150
Re: ANAN
โพสต์ที่ 29
Culture chula end of Q3spiral741 เขียน: Update โครงการIdeo Ramkhamhaeng Lam Sali Station (ความคืบหน้าล่าสุดตามเวปของ Ananda - 99%) - เริ่มโอนแล้ว และผมเข้าใจว่าเริ่มมีคนเข้าอยู่แล้วCulture Chula (ความคืบหน้าล่าสุดตามเวปของ Ananda - 94%) - น่าจะเริ่มโอนปลายปีนี้Culture Thonglor (ความคืบหน้าล่าสุดตามเวปของ Ananda - 82%) - น่าจะเริ่มโอนปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าดูแล้วน่าจะสร้างจนเสร็จได้ทั้งหมด มาลุ้นยอดโอนกันอีกที ถ้ายอดโอนดีก็น่าจะช่วยเรื่องสถานะการเงินไปได้มากครับhttps://www.ananda.co.th/en/condominium/ideo-ra ... e-thonglor
Culture thonglor end of Q3- starting of Q4