โพสต์ยอดนิยม

อวสานของการลงทุนหุ้นต่างประเทศ?/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
primavista40
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 60
ผู้ติดตาม: 22

Re: AU

โพสต์ที่ 1

โพสต์

คำตอบจาก IR เรื่อง layer toast นะครับ

สินค้า layer toast ผลิตที่โรงงานของ CPRAM โดยทาง CPRAM ซื้อวัตถุดิบจาก After You คือ น้ำผึ้งชิบูย่า และทาง After You จะได้รับ % ส่วนแบ่งจากยอดขายสินค้าตัวนี้ค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Okkotsu
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 126
ผู้ติดตาม: 21

Re: VIH

โพสต์ที่ 2

โพสต์

Oppday Q2/2024 มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

(-) การปรับลด Adj. RW>2 มีผลกระทบประมาณ -10 ล้านบาทเศษ จะลงบัญชีใน Q3 (เนื่องจากได้รับจดหมายมาหลังทำงบการเงิน Q2 ไปแล้ว)

(+) การปรับเพิ่มค่ารักษา 3%-7% เพื่อปรับปรุงตามเงินเฟ้อของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของปีที่ผ่านมา โดยจะ effective ใน Q4

(+/-) มี new project/M&A หลายโครงการที่สนใจอยู่ระหว่างการศึกษา น่าจะเห็นใน 1-2 ปี (หนึ่งในโครงการอาจจะเป็นการลงทุนเพิ่มในโรงพยาบาลแม่สอดที่ปัจจุบันถือหุ้นอยู่ 8% และรับรู้รายได้จากเงินปันผลรับ)

เป้าหมายการเติบโตรายได้/กำไรทั้งปี double digit growth และ NPM เป็นเลข double digit
Believe in long-term, believe in yourself
ภาพประจำตัวสมาชิก
เหรียญ
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 735
ผู้ติดตาม: 269

Re: NEO

โพสต์ที่ 3

โพสต์

อัพเดทกับIR NEO

-กรอบGPMที่ให้ในOppDayเป็นกรอบที่เราทำได้ทุกปีอยู่ภายใต้ความconservativeพอสมควร

-ต้นทุนดูราคาน้ำมันปาล์มได้ไม่ตรงกัน100%แต่พอบอกแนวโน้มได้

-SG&Aปกติจะมีseasonal Q2ของทุกปีจะใช้เยอะสุด เพราะเป็นช่วงออกskuใหม่ๆไว้ขายครึ่งปีหลัง Q3จะลดลง <ถ้าดูจากงบก็เป็นแบบนั้น>

-รายได้H2>H1เป็นแบบนี้มาตลอด

-บาทแข็งได้ประโยชน์ไม่เร็วแต่จะได้อ้อมๆ คือ ซื้อบริษัทนอกที่ตั้งบริษัทในไทย เลยไม่ได้ตรงๆ

-แต่ละประเทศจะมี1ดิส แล้วค่อยมาดูอันไหนแนวโน้มดีค่อยใส่แรงเข้าไปเพิ่มเติม

-ตอนนี้อัฟกาดูมีศักยภาพจากประเทศที่ไปเปิดใหม่ มีดับเบิ้ลorder+เพิ่มแบรนมากขึ้น

-ในแต่ละประเทศเรามีทำreseachเหมือนในไทย ดูสินค้าที่นิยมในประเทศนั้นๆเป็นอย่างไร

-เวียดนามมีปัญหาที่ดิสทำFMCGอยู่ดีๆก็เปลี่ยนไปทำFOODแทน ตอนนี้ตั้งดิสให้เรียบร้อยแล้ว
''I didn't come this far to only come this far''
A445838

Re: NETBAY

โพสต์ที่ 4

โพสต์

phpBB [video]
smartpong
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 3
ผู้ติดตาม: 0

Re: TACC

โพสต์ที่ 5

โพสต์

นอกจากการเติบโตตาม 7-11
key drive ในปีนี้ที่น่าจะเพิ่มยอดได้เยอะ คือทางฝั่งของกาแฟพันธ์ไทย ที่ PTG เร่งสาขาขึ้นมากในปีนี้ ส่งผลดีต่อ TACC ที่อาจทำให้ topline ดีดขึ้นได้
tacc.png
EAKEPON
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 339
ผู้ติดตาม: 42

Re: KAMART

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ร้าน แสงเจริญ มี สินค้า kamart เยอะเลย ครับ.. (ร้าน อยู่ ตรงข้าม pantip ประตูน้ำ )
แนบไฟล์
1725684361405.jpg
1725684361515.jpg
1725684361638.jpg
1725684361740.jpg
1725684361848.jpg
1725684361266.jpg
1725684361057.jpg
1725684362155.jpg
1725684361989.jpg

"มันเป็นเช่นนั้นเอง"
ภาพประจำตัวสมาชิก
pop5888
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1301
ผู้ติดตาม: 648

Re: VIH

โพสต์ที่ 7

โพสต์

IMG_5316.jpeg

VIH มี line @IR.VIH เพื่อ Update ข้อมูล และ สอบถามข้อมูลแล้วครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
RogersX
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 359
ผู้ติดตาม: 124

Re: MC

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ใช่พรีเซนเตอร์ใหม่ ที่คุณเจมส์เล่าใน Oppday ไหมน้า

แกบอกจะมี พรีเซนเตอร์หญิงคนใหม่ที่ยังไม่เปิดเผยครับ


ไปตามดู ในภาพเขาเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ที่ทำแนวไบเกอร์อยู่ครับ

IMG_0808.jpeg
IMG_0810.jpeg
Invest like a pro.
zhoyun113
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 69
ผู้ติดตาม: 40

Re: KAMART

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ยอดขายทางTIKTOK เมื่อวานได้ 1.15แสนครับ
ข้อมูลจาก www.Kalodata.com ในร้านค้า KAMARTSCLUBครับ
หวังว่าจะเป็น Product Championตัวต่อไปนะครับ
458211480_122149680746266961_4792490405688954784_n.jpg
Screenshot 2024-09-06 094916.png
ภาพประจำตัวสมาชิก
xcha
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 172
ผู้ติดตาม: 6

Re: ICHI

โพสต์ที่ 10

โพสต์

Yuanta Corporate Day : บมจ. อิชิตัน กรุ๊ป (ICHI) เมื่อวาน (6 ก.ย. 2567) ครับ

https://www.youtube.com/watch?v=YscI4NQa118

มีข้อมูลใหม่เพิ่มจาก OppDay คือ
- (นาทีที่ 22:14) GPM, NPM หลังจากปิดยอดเดือน 8 แล้ว คิดว่าน่าจะเกินเป้าปัจจุบัน 25%, 15% ไปพอสมควร จะมาปรับเป้าอีกทีตอนสิ้น Q3
- (นาทีที่ 40:20) คนที่มาซื้อที่ดิน ได้รับ BOI แล้ว ดังนั้นเป็นการขายแน่นอน รับรู้ Q4 ต้นทุน 240 ลบ. ขายได้ 360 ลบ. จะรับรู้เป็นกำไรพิเศษ
T.ded
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 121
ผู้ติดตาม: 38

Re: TNP

โพสต์ที่ 11

โพสต์

tnp-2.png
SBITO Morning Brief (Live) 06 Sep 67
ภาพประจำตัวสมาชิก
killyX
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 565
ผู้ติดตาม: 246

Re: SUN

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ผมมีโอกาส Transit สนามบิน Seoul - Incheon International Airport (ICN) แล้วสำรวจเจอข้าวโพดหวานแบบ pouch shelf life ประมาณ 1 ปีวางขายในร้านสะดวกซื้อ CU ( อดีตชื่อ Family Mart )

https://en.wikipedia.org/wiki/CU_(store)

ร้านสะดวกซื้อในสนามบินจะมีความแตกต่างจากสาขานอกสนามบินตรงมี
พื้นที่ shelf มีน้อยและค่าเช่าแพง จึงทำให้ราคาสินค้าแพงกว่าและ ขายสินค้าส่วนมากอยู่ในกลุ่ม Food & Drinks ที่ขายดีหมุนรอบสินค้าไวคับ
IMG_0879.jpeg
IMG_0880.jpeg
IMG_0881.jpeg
IMG_0883.jpeg


https://maps.app.goo.gl/Vd8XEjYbTdqCVqa ... eview.copy
การลงทุนมีความเสียว โปรดใช้วิจารณญาณในการลอก
A389838

Re: TKN

โพสต์ที่ 13

โพสต์

น่าจะวางขายไม่นานนี้ สาหร่ายโรยข้าว ขายในเซเว่น ห่อเล็ก 20 บาท อร่อยดีครับ
IMG_7937.jpeg
ภาพประจำตัวสมาชิก
Introverted investor
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 143
ผู้ติดตาม: 351

Re: NEO

โพสต์ที่ 14

โพสต์

🟢บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) : [NEO]🟢
...
✴️OPPDAY : MD&A Q2/2024
...
📌ผลการดำเนินงานงวดครึ่งปี (H1/2024)

..................................................

🟢ยอดขาย : 4,966 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น YoY 8.60%)
...
🔘 กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน : 2,028 ล้านบาท รวมๆคงที่ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากการแข่งขันอันรุนแรงภายในตลาดน้ำยาปรับผ้านุ่ม และการเติบโตของยอดขาย ณ ต่างประเทศชะลอตัว (Fineline, Smart, Tomi)
...
🔘 กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล : 1,342 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว มีการเติบโตของยอดขายในทุกแบรนด์สินค้า เนื่องจากมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิม (BeNice, Eversense, Tros, Vivite)
...
🔘 กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก : 1,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว จากการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เช่น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับครอบครัวและผู้สูงวัย (D-nee, D-nee Deluxe)
.................................................

🟢กำไรขั้นต้น : 2,304 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 23.20% YoY) : GPM 46.40%
...
🔘 สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของยอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มของใช้ส่วนบุคคลและเด็ก ซึ่งมี GPM สูงกว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน อีกทั้งต้นทุนขายก็ปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่ายอดขาย จากการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์
.................................................

🟢กำไรสุทธิ : 544 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 60.50% YoY) : NPM 10.80%
...
🔘 จากการเพิ่มขึ้นของยอดขายและกำไรขั้นต้น
.................................................

🟢สินทรัพย์รวม : 10,024 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2023 : 38%)
...
🔘 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากประจำกับสถาบันการเงิน ส่วนใหญ่เป็นเงินที่ได้จากการ IPO เข้าตลาด และการลงทุนก่อสร้างขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มของใช้ส่วนบุคคลและเด็ก
.................................................

🟢หนี้สินรวม : 5,432 ล้านบาท (ลดลงจากสิ้นปี 2023 : 5%)
...
🔘 ส่วนใหญ่ลดลงจากการที่บริษัทชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นแก่สถาบันการเงิน ตามวัตถุประสงค์การใช้เงิน IPO
.................................................

🟢ส่วนของผู้ถือหุ้น : 4,592 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2023 : 193%)
...
🔘 ส่วนใหญ่มาจาก “ส่วนเกินมูลค่าหุ้น” จากการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
.................................................
สกรีนช็อต 2024-09-07 105645.png
........
🟪เป้าหมายการเติบโตและความเห็นเชิงธุรกิจจากผู้บริหาร NEO (H1/2024)

...
🔹 ยังคงเป้าหมายการเติบโตของยอดขายทั้งปี 2024 ที่ตัวเลขสองหลักเช่นเดิม (มากกว่า 10%) ซึ่งยอดขายในไตรมาสที่ 1-2 จะต่ำกว่าในไตรมาสที่ 3-4 อยู่แล้วเกือบทุกปี เป็นลักษณะปกติของธุรกิจ NEO ซึ่งยอดขายครึ่งปีจะคิดเป็นสัดส่วน 43-45% ของยอดขายทั้งปีโดยประมาณ
...
🔹 ในปีนี้ 2024 ตั้งเป้าหมายให้สินค้ากลุ่ม ‘Premium Mass’ มีสัดส่วน 5% ของยอดขายรวม
...
🔹 มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้า ‘Premium Mass’ ในอีก 3 ปีข้างหน้า (2026) ให้มีสัดส่วน 10% ของยอดขายรวม
...
🔹 ใน 1 ปี NEO ทำวิจัยไม่ต่ำกว่า 180-200 วัน กับผลิตภัณฑ์ทุกตัว เพื่อเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค สินค้าต้องถูกพัฒนาและปรับปรุงตลอดเวลา
...
🔹 การเติบโตของยอดขายรวม 3 ปีย้อนหลัง (2020-2023) CAGR 11.90% ต่อปี และมีเป้าหมายการเติบโตของยอดขายในอีก 5 ปีข้างหน้า (2024-2028) มากกว่า 10% เฉลี่ยต่อปี ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม เจาะตลาดสินค้า Premium เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการรุกช่องทางขายออนไลน์ที่บริษัทยังเข้าไปขายน้อยมากในปัจจุบัน
...
🔹 การส่งออกสินค้าไปขายยังต่างประเทศก็คาดหวังให้มีสัดส่วน 15% จากยอดขายทั้งหมด (ปัจจุบันสัดส่วนประมาณ 12% ซึ่งมากกว่า 97% จากทั้งหมดมาจาก CLMV)
...
🔹 ปัจจุบัน NEO ส่งออกสินค้าไปขายยัง 20 ประเทศ มีเป้าหมายภายในปี 2026 จะเพิ่มเป็น 25 ประเทศ และมากกว่า 28 ประเทศภายในปี 2028
...
🔹 ล่าสุด NEO มีการไปออกบูทเจาะตลาดกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง มีลูกค้าใหม่สนใจ เช่น ปากีสถาน อัฟกานิสถาน กาตาร์ และบาห์เรน ซึ่งประเทศอัฟกานิสถานได้มีตัวแทนจำหน่ายเริ่มติดต่อเข้ามาแล้ว
...
🔹 ภาพรวมตลาดของใช้ในครัวเรือน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ย้อนหลัง 3 ปี (2021-2023) เติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี และมีบทวิจัยคาดการณ์ว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า (2024-2025) ตลาดจะเติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี ซึ่งเป็นการเติบโตในทุกประเทศ
...
🔹 ยอดขายจากสินค้าในตลาด ‘Premium’ ครึ่งปีที่ผ่านมา มาจากผลิตภัณฑ์กลุ่ม ‘Silver Age’ (ผู้สูงวัยที่มีกำลังซื้อ) มากกว่า 50%
...
🔹 ครึ่งปี 2024 ที่ผ่านมา NEO ออกผลิตภัณฑ์ไปทั้งสิ้น 85 SKU และทั้งปีน่าจะควบคุมความผันผวนของราคาวัตถุดิบได้โดยทำให้ GPM อยู่ในช่วงไม่ต่ำกว่า 42-43% เราหลีกเลี่ยงไม่ทำสินค้าที่ไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีนวัตกรรม หรือไม่มี ‘Know How’ ของเรามากเพียงพอ
...
🔹 ประเด็นเรื่องค่าเสื่อมราคาของโรงงานใหม่ ในส่วนของตัวอาคารจะเริ่มรับรู้ค่าเสื่อมในไตรมาสที่ 1/2025 ส่วนค่าเสื่อมของเครื่องจักรจะทยอยรับรู้ตามการติดตั้ง (อาคารตัดค่าเสื่อม 30 ปี / เครื่องจักรตัดค่าเสื่อม 12 ปี) โดยจากนี้ไปจะมีการรับรู้ค่าเสื่อมส่วนนี้ในงบการเงินประมาณ 25 ล้านบาทต่อไตรมาส (ปีละ 100 ล้านบาท) ขอยืนยันว่าค่าก่อสร้างโรงงานมีความเป็นมาตรฐาน ผลประกอบการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เราจะไม่ลงทุนมากเกินความจำเป็น ขอเน้นย้ำว่าเราจะใช้เงินลงทุนที่ได้มาจากนักลงทุนอย่างคุ้มค่าให้มากที่สุด
.................................................

ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 😊
.....
สกรีนช็อต 2024-09-07 105901.png
สกรีนช็อต 2024-09-07 105922.png
สกรีนช็อต 2024-09-07 105939.png
สกรีนช็อต 2024-09-07 105958.png
Try to be a Value Investor, Learner & Storyteller.
..............
"I have a passion for keeping things simple."
..............
https://www.facebook.com/Introverted.investor
https://www.youtube.com/@Introverted_Podcast
ภาพประจำตัวสมาชิก
เหรียญ
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 735
ผู้ติดตาม: 269

Re: KCG

โพสต์ที่ 15

โพสต์

KCGติดESG100จะมีเงินกองทุนไหลเข้ามาบ้างไหมนะ
1000012892.jpg
''I didn't come this far to only come this far''
chipsri
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 40
ผู้ติดตาม: 11

Re: NEO

โพสต์ที่ 16

โพสต์

เสื้อร้องไห้ พาทัวร์โรงงาน Be nice ครับ ดู line production กันเพลินๆครับ
ลองอ่านคอมเม้นในคลิปเพื่อดูผลตอบรับเกี่ยวกับสินค้าจากลูกค้าได้อีกทางด้วยครับ

phpBB [video]
T.ded
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 121
ผู้ติดตาม: 38

Re: CHAYO

โพสต์ที่ 17

โพสต์

chayo2.png
SBITO Morning Brief (Live) 06 Sep 67
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1933
ผู้ติดตาม: 365

มาละเหวยมาละวา มาซื้อหรือมาขายตาละลา/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 18

โพสต์

วันที่ 7 สิงหาคม 2567 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตกลงมาต่ำมากที่ 1,291 จุด และเป็นการตกลงมาจากต้นปีถึง 8.8% ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นตลาดหุ้นที่ “แย่ที่สุดในโลก” ในขณะนั้น แต่หลังจากนั้น ดัชนีตลาดก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 4 กันยายน ดัชนีอยู่ที่ 1,365 จุด วันที่ 5 กันยายน ดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึง 39 จุด และวันที่ 6 กันยายน ปรับตัวขึ้นต่ออีก 23 จุด เป็น 1,428 จุด ทำให้ตั้งแต่ต้นปี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวขึ้นเป็นบวกแล้วประมาณเกือบ 1% และเพียง 1 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวขึ้นมาถึง 11% กลายเป็นตลาดหุ้นที่แสดงผลงานได้ “ดีที่สุดในโลก” ในช่วง 1 เดือนผ่านมา เพราะตลาดหุ้นโลก “ปรับตัวลงกันทั่วหน้า”

เหตุผลที่ชัดเจนก็คือ ประเทศไทยกำลังได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่แทนที่คนเดิมที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง คือคุณแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็นนายกที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของไทย และก็ไม่เคยมีตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีมาก่อน อย่างไรก็ตาม เธอเป็นลูกสาวของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยมีผลงานโดดเด่นในการบริหารประเทศในช่วงปี 2544 จนถึงปี 2549 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจฟื้นตัวจากความตกต่ำอย่างแรงต่อเนื่องจากวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ในปี 2540



คุณทักษิณได้แสดงตัวอย่างชัดเจนว่าจะเข้ามาช่วยกำหนดนโยบายและทิศทางในการบริหารประเทศทางด้านเศรษฐกิจที่จะฟื้นฟูประเทศไทยจากการ “ถดถอยหรือแน่นิ่ง” มานานเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเซียในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยลดลงจากระดับประมาณ 4-5% ต่อปีเหลือเพียงประมาณ 2% ต่อปีในช่วงหลัง ๆ

การแสดงออกของคุณทักษิณโดยการแสดง “วิสัยทัศน์” เมื่อ 3-4 วันก่อนหน้านี้ ได้ “จุดประกาย” ให้นักธุรกิจและนักลงทุนในตลาดหุ้น “เกิดความเชื่อมั่น” ว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะต้องดีขึ้นและตลาดหุ้นจะต้องดีขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ สิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ที่ทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยตกต่ำนั้น มันอยู่ที่จุดต่ำสุดแล้ว ทุกปัจจัยที่ดีที่ทุกคนต่างก็รอคอยว่าจะมา ถึงตอนนี้ มันกำลังจะมาอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลใหม่นี้พร้อมที่จะทำมันแล้ว

เงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะแจกคนละหมื่นบาทกับคนค่อนประเทศที่คนจำนวนมากไม่แน่ใจว่าจะทำได้และทำเมื่อไรเพราะถูก “ต่อต้าน” นั้น บัดนี้ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มเกิดขึ้นภายในเวลา “ไม่ถึงเดือน” และเงินนี้ยังไงก็คงทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟูขึ้นไม่มากก็น้อย เพราะจำนวนเงินหลายแสนล้านบาทที่จะถูกฉีดเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องหลายเดือนนั้น ยังไงก็คงส่งเสริมให้ภาคการบริโภคเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน อย่างน้อยในช่วงปลายปีนี้และอาจจะส่งผลต่อไปอีกในช่วงต้นปีหน้า

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของประเทศไทย ซึ่งนักธุรกิจและประชาชนต่างก็ “รอ” มานาน ถึงวันนี้ดูเหมือนว่าการรอน่าจะใกล้สิ้นสุดเต็มที โดยเฉพาะเมื่อมีสัญญาณชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า สหรัฐอเมริกาจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการประชุมคราวหน้าอีกไม่กี่วันที่จะถึง ซึ่งจะทำให้แบ้งค์ชาติไม่มีเหตุผลอีกต่อไปที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม และถ้าดอกเบี้ยลดลง การลงทุนและการบริโภคก็จะดีขึ้น ค่าผ่อนชำระเงินกู้ก็จะต่ำลง เงินที่จะใช้เพื่อการบริโภคก็จะมากขึ้น



เศรษฐกิจโดยรวมของไทยเองนั้น ดูเหมือนว่ากำลังจะดีขึ้นจากภาวะที่ซบเซาก่อนหน้านี้ ตัวเลขการส่งออกดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ติดลบ การท่องเที่ยวก็เช่นกันที่กำลังดีขึ้นและจะทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย ว่าที่จริง จำนวนคนที่เดินในซอยรางน้ำที่ผมอยู่นั้น ดูเหมือนจะคึกคักเกือบเท่าสมัยก่อนโควิด-19 แล้ว ซึ่งก็ทำให้ร้านค้าปลอดภาษีและร้านสะดวกซื้อมีลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นไม่ไปไหนมานานก็คือ เม็ดเงินที่มาจากสถาบันที่เข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งประกอบไปด้วยกองทุนต่าง ๆ เช่น กองทุนประหยัดภาษีของคนที่มีรายได้สูงเช่น LTF นั้นหายไปนานแล้ว และกองทุนที่จะมาแทนนั้นก็ไม่มีประสิทธิภาพพอในการดึงเงินเข้าสู่ตลาดหุ้น หรือไม่ก็เป็นกองทุนที่กำลังคิดหรือกำลังเตรียมการแต่ก็ไม่ออกมาเสียที สาเหตุส่วนหนึ่งก็คือ รัฐบาลยังมีอาการ “ไม่มั่นคง” เนื่องจากประเด็นทางการเมือง

แต่เมื่อถึงวันนี้ ดูเหมือนว่ากองทุนที่มี “ประสิทธิผลและประสิทธิภาพสูงสุด” คือ “กองทุนวายุภักษ์” ก็ปรากฏตัวขึ้นมา และบอกว่าจะเริ่มดำเนินการระดมเงิน 1 แสนหรือ 1.5 แสนล้านบาท เข้ามาซื้อหุ้นขนาดใหญ่ที่ดี ๆ และราคาถูกในตลาดหลักทรัพย์ โดยที่จะเป็นกองทุนที่รับประกันกับนักลงทุนว่าจะได้ผลตอบแทนอย่างน้อย 3% ต่อปี ในขณะที่ถ้าหุ้นให้ผลตอบแทนที่ดีก็อาจจะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นไปสูงสุดถึง 8% ต่อปี ทั้งหมดนี้จะเปิดขายในเร็ววันนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำใน “ไตรมาศหน้า” อีกต่อไป

ในส่วนของอายุหรือความมั่นคงของรัฐบาลที่เป็นประเด็นทำให้หลาย ๆ เรื่องต้องชะลอหรืออาจจะไม่เกิดนั้น ดูเหมือนว่ารัฐบาลนี้จะมั่นคงขึ้น มีความรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังลงตัว ผู้มีอำนาจ “ตัวจริง” ต่างก็ “ลงมาเล่น” กันหมด แน่นอนว่าจะมีคนเถียงว่ามีการใช้ “นอมินี” หรือตัวแทนกันมากที่สุดเพราะ “ตัวจริง” ขาดคุณสมบัติ แต่ผมมองว่าอาจจะใช่ แต่ตัวจริงนั้นก็ “เปิดตัว” ให้รู้กันชัดเจน เพียงแต่กฎหมายที่ “ไม่เป็นธรรม” อาจจะไม่สามารถเอาผิดได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ “อำนาจนอกระบบ” กับ “อำนาจในระบบ” ดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกันมากขึ้น และนี่ก็คือความมั่นคงทางการเมืองแบบ “ไทยๆ”



สรุปก็คือ “Timing” หรือจังหวะเวลาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น สิ่งดี ๆ ต่อตลาดหุ้นทั้งหลายต่างก็เวียนมาบรรจบกันพอดีแล้วก็ถูก “จุดชนวน” โดยคุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งก็ทำให้หุ้น “ระเบิด” ราวกับติดจรวด ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปแรงมากพร้อม ๆ กับปริมาณการซื้อขายต่อวันสูงถึงแสนล้านบาท ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่เราไม่ได้เห็นมานาน

ประเด็นสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ หุ้นจะขึ้นต่อไปและจะสูงไปถึงแค่ไหน นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น “VI” ที่ไม่เล่นหุ้นเก็งกำไรควรจะซื้อหรือควรจะขาย? แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ผมอยากจะหวนย้อนกลับไปดูดัชนีตลาดหุ้นยุคที่คุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นเวลาเกือบ 6 ปี

ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ที่คุณทักษิณได้เป็นนายกรัฐมนตรี ดัชนีตลาดอยู่ที่ประมาณ 330 จุด ดัชนีก็ทรง ๆ อยู่เท่าเดิมเป็นเวลาถึงประมาณ 2 ปี ก่อนที่จะเริ่มวิ่งขึ้นไปแรงมากในช่วงปีที่ 3 คือปี 2546 โดยที่เมื่อสิ้นปี 2546 ดัชนีก็วิ่งขึ้นไปถึง 772 จุด เฉพาะปี 2546 ปีเดียว ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไปถึง 117% ซึ่งเป็นการปรับตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทยหลังปีวิกฤติ 2540 อานิสงค์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างเต็มที่และ “สูงที่สุด” ถึง 7.2% สถานะทางการเงินของไทยสูงสุดจากการประกาศคืนเงินที่ต้องกู้ยืมจาก IMF ก่อนกำหนดของคุณทักษิณในช่วงกลางปี 2546

หลังจากการขึ้นสู่ “จุดสูงสุด” รัฐบาลที่นำโดยคุณทักษิณก็ประสบปัญหามากมายจากการประท้วงของกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามจนนำไปสู่การรัฐประหารในปี 2549 โดยที่การเติบโตของ GDP ลดลงเหลือเพียงปีละ 4-5% และดัชนีตลาดหุ้นในช่วง 3 ปีหลังของคุณทักษิณไม่สามารถขึ้นไปเกินจุดสูงสุดที่ 772 จุดอีกเลย

รอบใหม่ที่คุณทักษิณกลับมา “หลังจาก 17 ปี” นี้ ดูเหมือนว่าหุ้นจะต้อนรับ “ตั้งแต่วันแรก” เพราะคนอาจจะคิดถึงอดีตที่หอมหวาน คำถามอยู่ที่ว่า รัฐบาลจะสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากโครงสร้างของประชากรที่แก่ตัวได้ไหม เช่นเดียวกับปัญหาในการบริหารประเทศในระยะยาว ถ้าทำได้ หุ้นก็อาจจะโตต่อไปได้อีกยาวนาน แต่ถ้าหากว่าทำไม่ได้ หุ้นก็คงขึ้นไปได้อีกไม่นาน และถ้าเป็นอย่างนั้น นี่ก็คือโอกาสที่ควรจะขาย เพราะมันอาจจะเป็น “ก๊อกสุดท้าย” ที่เราจะขายหุ้นได้ในราคาที่ดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Introverted investor
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 143
ผู้ติดตาม: 351

Re: NEO

โพสต์ที่ 19

โพสต์

สกรีนช็อต 2024-09-07 215456.png

......
🟢บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) : [NEO]🟢
...
📌งบกำไร-ขาดทุน ย้อนหลัง 10 ไตรมาส

.....................................

Q1/2022-Q2/2024
...

ยอดขายและกำไรขั้นต้น มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนกำไรสุทธิมีความผันผวนพอสมควร แต่โดยรวมแล้วก็ยังเพิ่มขึ้น
...

⭐ยอดขายรวม 4 ปีย้อนหลัง (2020-2023) เติบโตเฉลี่ย 11.90% ต่อปี
⭐กำไรขั้นต้น 4 ปีย้อนหลัง (2020-2023) เติบโตเฉลี่ย 10.98% ต่อปี
⭐กำไรสุทธิ 4 ปีย้อนหลัง (2020-2023) เติบโตเฉลี่ย 10.79% ต่อปี
...

📣ยอดขาย 8,000 ล้านบาทต่อปี คือฐานเฉลี่ยของ 4 ปีที่ผ่านมา ด้วย GPM เฉลี่ย 41.50%, SG&A เฉลี่ย 30.33% และ NPM เฉลี่ย 8.63%
...

📣ปัจจุบัน GPM และ NPM ของ NEO ถือว่าทำได้ดี เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับยอดขาย มีบางไตรมาสที่ต้นทุนผันผวน แต่รวมๆก็ถือว่าไม่น่าเกลียด
.....................................

ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 🙂
.....
สกรีนช็อต 2024-09-07 220201.png
Try to be a Value Investor, Learner & Storyteller.
..............
"I have a passion for keeping things simple."
..............
https://www.facebook.com/Introverted.investor
https://www.youtube.com/@Introverted_Podcast
นีโอ
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 97
ผู้ติดตาม: 24

Re: NEO

โพสต์ที่ 20

โพสต์

🔘 กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน : 2,028 ล้านบาท รวมๆคงที่ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากการแข่งขันอันรุนแรงภายในตลาดน้ำยาปรับผ้านุ่ม และการเติบโตของยอดขาย ณ ต่างประเทศชะลอตัว (Fineline, Smart, Tomi)


กลุ่มนี้ผมสังเกตเห็นคู่แข่ง Downy ทุ่มโฆษณา TV เยอะมาก เห็นบ่อย รวมทั้งอาจชื้อชั้นวางสินค้า วางเป็นแถวยาววว

ไม่แปลกใจ ที่สินค้ากลุ่มนี้ของนีโอคงที่


เคยได้ยินผู้บริหาร นีโอ พูดว่า ถ้าคู่แข่งไหน ทุ่มโฆษณา
ช่วงเวลานั้นเป็นธรรมดาเขาจะได้ยอดไป
แต่ถ้าสินค้าเขาไม่ดีจริง ยอดขายจะตกในเวลาต่อมา


แสดงว่า คู่แข่งอาจได้ยอดขายเพิ่มแต่อาจไม่มีกำไร หรือบางมากเพราะ จ่ายค่าการตลาดสูง


ส่วนเดือน กันยายนนี้ เริ่มเห็นนีโอ ทำการตลาดสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น
A387638

Re: MOSHI

โพสต์ที่ 21

โพสต์

วันก่อนได้ลองเข้าไป moshi moshi ไป observe ดูสินค้าที่เป็น collection Ten NCT ไปถามพนักงานบอกว่าสินค้ายังไม่เข้า เหมือนจะขาดตลาดอยู่ ส่วนใหญ่ที่ฮอตๆ เป็นกลุ่มผ้าห่ม ชุดนอนประมาณนี้ (ตามที่ส่องใน tag twitter) แต่ที่ขายไม่หมดเป็นพวกสมุดโน้ต ตอนนั้นเลยไปถามพนักงานเค้าเต้อว่ามาวันไหน ปรากฎว่ามีกลุ่มแฟนคลับ2-3 คนมาตอบแทน5555 เลยรู้สึกถึงความเหนียวแน่นของด้อมนี้มาก

มีท่านใดพอทราบมั้บครับว่าค่า license ของ ten คนเดียวอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่นะครับ (ถ้าพอทราบข้อมูลเกี่ยวกับ capex project นี้ จะยินดีมากๆครับ) 🙏🏻



IMG_8155.jpeg
ภาพประจำตัวสมาชิก
watgolf
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 253
ผู้ติดตาม: 28

Re: NEO

โพสต์ที่ 22

โพสต์

สังเกตนะครับ หลายๆครั้งโบรก ปรับราคาเป้าหมายตามราคาหุ้นในกระดาน มากกว่าผลประกอบการในอนาคตที่คาดหวัง ทั้งๆที่ตัวเลขบางอย่างแทบไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ก็หาที่ปรับนั่นนี่ ให้ราคาเป้าหมายขึ้นหรือลงตามราคาหุ้นในกระดาน
เพราะงั้นเราอ่านบทวิเคราะห์ต้องยึดหลักของเราให้มั่นก่อน บทวิเคราะห์ หุ้นหลายๆตัวแนะนำขายที่ bottom แนะนำ hold เป็นจุดสุดท้ายก่อนหุ้นขึ้น
A511438

Re: NEO

โพสต์ที่ 23

โพสต์

กสิกรพึ่งปรับลดกำไรครับ
IMG_7019.jpeg
สิปาดัน
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 344
ผู้ติดตาม: 19

Re: BBGI

โพสต์ที่ 24

โพสต์

IMG_6932.png
IMG_6931.png
"เมื่อผลลัพธ์ยังมาไม่ถึง เราจำเป็นต้องมีศรัทธา"
batmank
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 244
ผู้ติดตาม: 16

Re: SCB

โพสต์ที่ 25

โพสต์

https://www.bangkokbiznews.com/business ... ss/1143673

บิ๊กมูฟ ‘ไทยเบฟ’ ตั้ง ลิตเติ้ล จอห์น ดิจิทัล ทุนจดฯ หมื่นล้าน รุกธุรกิจดิจิทัล
By สาวิตรี รินวงษ์06 ก.ย. 2024 เวลา 21:47 น.

ไทยเบฟ เดินหน้าเสริมแกร่งธุรกิจครั้งสำคัญ ตั้ง "ลิตเติ้ล จอห์น ดิจิทัล" ด้วยทุนจดทะเบียนมหาศาล " 1 หมื่นล้านบาท" เพื่อลุยธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล เสริมแกร่งธุรกิจอาหาร ต่อยอดเครื่องดื่ม หนึ่งในนั้นคือการร่วมวงเจรจา "โรบินฮู้ด" แต่พลาด!! เพราะมี "รายอื่น" คว้าไป
มีกระแสข่าวใหญ่ “บิ๊กดีล” ของ “บิ๊กคอร์ป” ยักษ์เครื่องดื่มและอาหารในภูมิภาคอาเซียนอย่าง “ไทยเบฟเวอเรจ” ที่ถูกเอ่ยไปอยู่ในโผของรายชื่อที่สนใจธุรกิจแพลตฟอร์ม Food Dlivery อย่าง “โรบินฮู้ด”(Robinhood) ที่ก่อนหน้านี้ประกาศ “ยกธงขาว” จะปิดให้บริการแอปพลิเคชัน Robinhood เป็นการถาวร วันที่ 31 กรกฎาคม 2567 หลังบริษัทเผชิญ “ขาดทุนบักโกรก” สะสมกว่า 5,000 ล้านบาท

ดับฝันแพลตฟอร์มช่วยคนตัวเล็ก!

เกิดความปราชัยในสนามธุรกิจไม่ทันไร เห็นการกลับลำ เลื่อนการยุติให้บริการออกไปก่อน เมื่อมีบรรดา “นายทุนใหญ่” ให้ความสนใจยื่นเสนอเจรจาซื้อกิจการ “รับไม้ต่อ” เพื่อเป็นหนึ่งใน “ขั้วที่ 3” รายใหญ่ สู้ศึกฟู้ดเดลิเวอรี่ยกใหม่

“ทุนใหญ่” ที่ถูกเผยจะเป็นผู้นำทัพ “โรบินฮู้ด” ปรากฏชื่อของ “บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน)” ที่มี “เจ้าสัวหนุ่ม ฐาปน สิริวัฒนภักดี” ทายาทของราชันย์น้ำเมา “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” เป็น 1 ใน 3 รายชื่อที่อยู่ในวงบิ๊กดีล! ดังกล่าว

บิ๊กมูฟ ‘ไทยเบฟ’ ตั้ง ลิตเติ้ล จอห์น ดิจิทัล ทุนจดฯ หมื่นล้าน รุกธุรกิจดิจิทัล

ตั้งลิตเติ้ล จอห์น ดิจิทัล ทุนจดทะเบียน 1 หมื่นล้านบาท
ความเคลื่อนไหวของ “ไทยเบฟ” สอดรับกับกระแสข่าวรุกฟู้ดเดลิเวอรี่เห็นชัดเจนมากขึ้น เมื่อมีการตั้งบริษัทลูกขึ้นมาใหม่ภายใต้ชื่อ “บริษัท ลิตเติ้ล จอห์น ดิจิทัล จำกัด”(Little John Digital) ซึ่งมีทุนจดทะเบียนมากถึง 1 หมื่นล้านบาท(10,000 ล้านบาท) ประกอบด้วยหุ้นสามัญ 1,000,000 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท

ขณะที่การลงทุนดังกล่าว จะเป็นเงินทุนที่จัดจากภายใน ส่วนการถือหุ้นนั้น มีบริษัทโดยอ้อมของเครืออย่าง “โอเพน อินโนเวชั่น”(Open Innovation) ที่เป็นบริษัทลงทุนด้านเทคโนโลยี และดิจิทัล ถือหุ้นใน “ลิตเติ้ล จอห์น ดิจิทัล” สัดส่วน 99.9999%

สำหรับบทบาทของ “ลิตเติ้ล จอห์น ดิจิทัล” จะดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ “ธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล”(Digital Business Platform)

ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวมีรายนาม “คณะกรรมการบริษัท” ที่เป็นแม่ทัพนายกองของ “ไทยเบพ” ครบครัน! ทั้ง นายอวยชัย ตันทโอภาส ผู้เป็นขุนพลธุรกิจสุราให้กับเจ้าสัวเจริญมาอย่างยาวนาน นายโฆษิต สุขสิงห์ ที่เป็นขุนพลข้างกายเจ้าสัวหนุ่ม ฐาปน และดูแลธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศไทย ธุรกิจโลจิสติกส์ รวมถึง “เทคโนโลยี-ดิจิทัล” ด้วย ยังมี นางต้องใจ ธนะชานันท์ ซึ่งดูแลด้านความยั่งยืน นางสาวนันทิกา นิลวรสกุล นายโสภณ ราชรักษา ที่ก้าวเป็น “แม่ทัพธุรกิจอาหาร” ให้กับกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ หมาดๆ และเป็นการสลับเก้าอี้กับ “นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล” ที่เปลี่ยนจากเคลื่อนธุรกิจอาหาร ไปดูแลธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ นายกฤษฎา วรรธนภาคิน และนายพิพิธ จริยวัฒนวิจิตร

บิ๊กมูฟ ‘ไทยเบฟ’ ตั้ง ลิตเติ้ล จอห์น ดิจิทัล ทุนจดฯ หมื่นล้าน รุกธุรกิจดิจิทัล
"โออิชิ แกรนด์ ชาบูชิ สตาร์บัคส์ เคเอฟซี" ทัพธุรกิจอาหารแกร่ง!
“ไทยเบฟ” เป็นอาณาจักรเครื่องดื่มและอาหารที่ใหญ่ มีแบรนด์สินค้ามากมาย โดยงวด 9 เดือน (ปีงบประมาณ ต.ค.-66 ก.ย.67) บริษัททำรายได้จากการขายที่ 217,055 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อย 0.5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรก่อนหักภาษี(EBITDA) 38,595 ล้านบาท เติบโต 2.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

เครื่องดื่มโดยรวมทั้ง เหล้า เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ทำเงินมหาศาล ส่วน “อาหาร” 9 เดือน มีรายได้จากการขาย 15,022 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มีกำไรก่อนหักภาษี 1,438 ล้านบาท ลดลง 0.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

พอร์ตโฟลิโออาหารเต็มไปด้วย “แบรนด์แกร่ง” ที่ยืนหนึ่งยาวนานนับสิบปี เช่น ร้านอาหารญี่ปุ่น โออิชิ แกรนด์ ชาบูชิ ยังมีเสริมทัพด้วยแบรนด์ระดับโลกทั้งไก่ทอดเบอร์ 1 “เคเอฟซี” และร้านกาแฟ “สตาร์บัคส์” ฯ ยังมีอีกหลายแบรนด์ที่พร้อมต่อจิ๊กซอว์ สร้างการเติบโตในอนาคต

ดังนั้น ภาพใหญ่เครื่องดื่มเป็น “หัวใจ” สำคัญของบริษัท แต่เครื่องดื่มเป็นสินค้าคู่(Combination) “อาหาร” อยู่เสมอ กินแล้วต้องดื่ม ทำให้บริษัทยังหาช่องเพื่อเบ่งพอร์ตโฟลิโอให้ใหญ่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งครึ่งปีแรก “อาหาร” มีสัดส่วนรายได้เพียง 6.7% เท่านั้น และ “กำไรสุทธิ” เพียง 3.6% สะท้อนว่ายังโตได้อีก!

บิ๊กมูฟ ‘ไทยเบฟ’ ตั้ง ลิตเติ้ล จอห์น ดิจิทัล ทุนจดฯ หมื่นล้าน รุกธุรกิจดิจิทัล

“ฟู้ดเดลิเวอรี่” ซีนเนอร์ยี “ไทยเบฟ” รอบทิศ
หากสร้างการเติบโตของไทยเบฟอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ PASSION 2025 ที่จะขยายตลาด สร้างแบรนด์ “เข้าถึงผู้บริโภค” ให้มากขึ้น

หากดีลประวัติศาตร์รุกคืบเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีอย่าง “โรบินฮู้ด” จะเสริมแกร่งให้กับ “ไทยเบฟรอบทิศ” ไม่ว่าจะเป็นการเสิร์ฟอาหารถึงมือผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันจะสตาร์บัคส์ เคเอฟซี และอื่นๆ ล้วนมีบริการดังกล่าว ซึ่งบางอย่างพึ่งพาพันธมิตร แต่มีบางอย่างที่ทำเองอย่าง โออิชิ

นอกจากนี้ สิ่งสำคัญสุดหากได้ “โรบินฮู้ด” มาอยู่ใต้เงา “ไทยเบฟ” นั่นคือการได้ “คลังแสงข้อมูล”(Big Data) ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้ออาหารของผู้บริโภค ซื้อเมนูอะไร ราคาต่อบิลเท่าไหร่ ความถี่เป็นอย่างไร ฯ ซึ่งสามารถนำไปวิเคราะห์ ต่อยอดการทำตลาด จัดโปรโมชั่นเพื่อ “กระตุ้นยอดขาย” ได้อีกมากโข

ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้ข้อมูลบรรดา “หน้าร้านอาหาร” ต่างๆ ที่จะเป็นอีกหนึ่ง “จิ๊กซอว์” ให้ไทยเบฟ ต่อยอด “การขายเครื่องดื่มทุกหมวด” ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์

บิ๊กมูฟ ‘ไทยเบฟ’ ตั้ง ลิตเติ้ล จอห์น ดิจิทัล ทุนจดฯ หมื่นล้าน รุกธุรกิจดิจิทัล

นี่มองแค่การเสริมแกร่งไทยเบฟ ยังไม่นับทั้งอาณาจักร “ไทยเจริญคอร์ปอเรชั่น” หรือทีซีซี กรุ๊ป มองยังไง..

..บิ๊กดีล! นี้มีแต่ Win-win!

ศักยภาพ “โรบินฮู้ด” ทุนใหม่ ใส่เงินลุกเดิน-วิ่งอีกครั้ง
เป็นที่ประจักษ์ว่า “โรบินฮู้ด” อยู่ใต้เงา “เอสซีบี เอกซ์”(SCB X) ที่จุดเริ่มต้นอยากช่วยเหลือคนตัวเล็กช่วงวิกฤติโควิด-19 ทว่า การลงสนามฟู้ดเดลิเวอรี หนึ่งในธุรกิจเผาเงิน เพื่อแลกกับผู้บริโภคมาใช้แพลตฟอร์มไม่ได้แจ้งเกิดง่ายๆ ยิ่งต้องกลืนเลือด 5,000 กว่าล้านบาท ใน 4 ปี จะกัดฟันฝืนขาดทุนต่อ ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะไม่ต่อยอดธุรกิจหลัก(Core business)

เมื่อ “เอสซีบี เอ็กซ์” จะทิ้ง “โรบินฮู้ด” สร้างมาแล้วไม่สูญเปล่า นายทุนใหญ่ต้องการรับช่วงต่อ ได้เม็ดเงินมา “บรรเทาบาดแผลธุรกิจ” ได้ไม่มากก็น้อย ส่วนทุนใหม่รับศักยภาพจากดีลนี้ คือการได้ยอดลูกค้าที่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไม่น้อยเพราะมีจำนวน “นับล้านราย” ร้านค้าบนแพลตฟอร์มที่พร้อมเสิร์ฟลูกค้า “ร่วมแสนราย” เหล่า “ไรเดอร์” อีกนับ “หมื่นชีวิต”

แบรนด์ “โรบินฮู้ด” ติดตลาดแจ้งเกิดแล้ว และภาพลักษณ์แบรนด์ถือว่าครองใจผู้บริโภค คนใช้งานอย่างดี เมื่อมีทุนมาใส่เงินต่อ การ “ลุกขึ้นเดิน-วิ่ง” สู้ต่ออีกครั้งย่อมไม่ใช่เรื่องยากเกินไป ยิ่งถ้าอยู่ภายใต้ “ไทยเบฟ” รับรองว่า “สงครามฟู้ดเดลิเวอรี่” 8.6 หมื่นล้านบาท เดือด!!

ในแวดวงธุรกิจ จะเห็น “ไทยเบฟ” เดินทางลัด “ซื้อและควบรวมกิจการ”(M&A) อยู่เป็นนิจ เพราะมีเงิน มันสมอง(ขุนพลนายกอง) พร้อมต่อยอดสิ่งที่ซื้อมาให้เติบโต และซีนเนอร์ยีทั้งอาณาจักรแสนล้านบาทได้

เห็นการซื้อกิจการบ่อยๆของไทยเบฟ และล้วนเป็นบิ๊กดีลระดับ “หมื่นล้าน-แสนล้านบาท” แทบทั้งสิ้น

ปัจจุบันไทยเบฟมีภาระหนี้ทั้งจากกู้เงินธนาคาร หุ้นกู้ ที่จะครบกำหนดชำระ เช่น 5 ปี และอื่นๆ รวมมูลค่า 209,044 ล้านบาท (ณ สิ้นมิ.ย.67) แต่กระนั้น อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน หรือ Interest Bearing Debt to Equity Ratio อยู่ในระดับต่ำ 0.68% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน อยู่ระดับ 0.65% สะท้อนฐานะทางการเงินขององค์กรแกร่ง

อย่างไรก็ตาม แม้ "ไทยเบฟ" จะมีชื่ออยู่ในโผผู้สนใจเจรจา "โรบินฮู้ด" แต่ดีลนี้ ยังไม่ใช่!สำหรับยักษ์เครื่องดื่มและอาหาร เพราะรายงานข่าวระบุว่า "รายอื่น" คือผู้คว้า "โรบินฮู้ด" ไปต่อยอดธุรกิจเรียบร้อยแล้ว
โพสต์โพสต์